ด้วยความโกรธที่อีกฝ่ายทำให้เขาต้องรู้สึกอับอายเช่นนี้ จางเหยากวงจึงตัดสินใจอัญเชิญสัตว์อสูรของตนออกมาในทันที
จงออกมา อสูรราชันย์ศารกูลทมิฬ!!!!
วูบ!
โฮก!
อสูรรับใช้ของจางเหยากวงนั้นปรากฏเป็นรูปลักษณ์คล้ายกับเสือดำที่มีลำตัวสูงใหญ่มีเปลวเพลิงสีดำลึกลับลุกท่วมไปทั่วทั้งตัว ดวงตาสีแดงเข้มดุดัน รอบตัวรายล้อมไปด้วยกลิ่นอันตรายราวกับว่าพร้อมที่จะทำลายทุกสิ่งให้มอดเป็นจุล
ผู้คนที่อยู่โดยรอบสนามประลองต่างส่งเสียงเชียร์กระหึ่ม ด้วยเพราะว่าในตอนนี้อสูรมายาระดับกลางได้ปรากฎในสนามประลองอีกครั้งเเล้วย่อมสร้างความตื่นเต้นเพิ่มขึ้นไปอีกมาก กลิ่นอายของสัตวอสูรมายาระดับกลาง ราชันย์ศารกูลทมิฬที่ได้เเผ่ออกมานั้นทำให้ผู้ฝึกตนที่อยู่โดยรอบสนามประลองรู้สึกอึดอัด แม้ว่าจะมีเกราะป้องกันเวทย์ที่คอยปกป้องอยู่เเล้วก็ตาม...
'บ้าไปแล้วสัตว์อสูมายาระดับกลางอีกตัวเช่นนั้นรึ?? นี่ไม่ใช่งานประลองของผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์เเล้ว'
'แล้วทางคุณชายหนิงจะไหวหรือไม่นั่นเจอทั้งบทเวทย์ระดับสูงอีกทั้งสัตว์อสูรมายาที่แข็งแกร่งว่องไวเช่นนี้...'
"จัดการมัน!!!" จางเหยากวงชี้ไปทางหนิงอ้าย ก่อนที่อสูรราชันย์ศารกูลทมิฬได้พุ่งเข้าโจมตีหนิงอ้ายในทันที
อัญเชิญบทเวทย์ป้องกันปราการวารีอหังการ!
ตู้ม!
หนิงอ้ายร่ายบทเวทย์ป้องกันระดับเทวะขึ้นเพื่อป้องกันการโจมตีครั้งนี้ของอสูรตรงหน้าที่มีความว่องไวและรุนแรงเป็นอย่างมาก ที่ไม่อาจประมาทได้เลยทีเดียว
จางเหยากวงเห็นว่าหนิงอ้ายกำลังตั้งรับและป้องกันการโจมตีจากสัตว์อสูรรับใช้ของตนอยู่ จึงร่ายบทเวทย์โจมตีหนิงอ้ายอย่างไม่รั้งรอ เวทย์โจมตีของคุณชายจางเหยากวงปรากฏเป็นรูปร่างเป็นสายน้ำที่ถูกควบแน่นจนความเเหลมคม ก่อนเข้าโจมตีในทันที เมื่อหนิงอ้ายเห็นเป็นเช่นนั้นจึงร่ายบทเวทย์ป้องกันออกมาตั้งรับบทเวทย์โจมตีดังกล่าว
ด้วยความคุ้นชิ้นกับการใช้เนตรเเห่งสวรรค์ในการตรวจสอบความเป็นไปต่าง ด้วยระดับพลังจักรพรรดิวิญญาณเเล้ว จึงทำให้ขอบเขตในการรับรู้เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก เมื่อสัมผัสได้ถึงจิตสังหารที่รุนแรงหนิงอ้ายจึงไม่ลังเลที่จะร่ายบทเวทย์โจมตีสะท้อนกลับจางเหยากวง พร้อมไปกับเพิ่มความเเข็งแกร่งของบทเวทย์ป้องกัน เพื่อรับมือการโจมตีของสัตว์อสูรศารกูลทมิฬกาลพร้อมกันในทันที
อัญเชิญบทเวทย์ป้องกันปราการวารีอหังการ!
ตู้ม! ตู้ม!
อัญเชิญบทเวทย์โจมตีมหาบุปผชาติเหมันต์จำแลงลักษณ์!
ตู้ม! ตู้ม!
"เป็นไปไม่ได้!!!" จางเหยากวงตกใจเป็นอย่างมาก เพราะไม่คิดว่าคุณชายหนิงผู้นี้จะสามารถร่ายบทเวทย์ออกมาถึงสองบทขึ้นพร้อมกันเช่นนี้ได้ เพราะแม้กระทั่งผู้ฝึกตนที่มีพลังวิญญาณระดับเทวะขึ้นไปยังไม่สามารถทำได้เช่นนี้เสียด้วยซ้ำ
'คุณชายหนิงสามารถร่ายบทเวทย์ขึ้นมาพร้อมกันได้ถึงสองบท และเป็นคนละรูปแบบเวทย์เสียด้วย ช่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก!!'
'แท้ที่จริงแล้วคุณชายหนิงผู้นี้เป็นใครกัน? เหตุใดจึงเปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์เช่นนี้…'
เสียงของผู้คนที่อยู่โดยรอบสนามประลองต่างส่งเสียงฮือฮากันขึ้น เมื่อได้เห็นในความสามารถที่ไม่คาดคิดของคุณชายหนิงผู้นี้ที่ได้เเสดงพรสวรรค์ให้พวกตนได้ประหลาดใจ การกระทำของหนิงอ้ายได้ทำให้ผู้คนในสนามประลองยิ่งอยากรู้ยิ่งนักว่าภายใต้ผ้าคลุมนี้เเท้จริงเป็นผู้ใดกันแน่ เหตุใดกันจึงทำให้พวกตนได้ประจักษ์ในความสามารถที่โดดเด่น ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสามารถพรสวรรค์อย่างเเท้จริง...
การประลองเวทย์ยังคงดำเนินต่อไปด้วยความดุเดือด ผู้ที่รับชมในสนามประลองต่างสามารถรับรู้ได้ว่าทางฝั่งของคุณชายหนิงนั้นค่อนข้างเสมอตัวกับทางฝั่งของคุณชายจางเหยากวงที่ใช้ทั้งบทเวทย์ระดับสูงและสัตว์อสูรในพันธะ ที่พุ่งเข้าจู่โจมต่อสู้โดยไม่เว้นจังหวะให้อีกฝ่ายได้พักเพื่อที่จะจบการประลองเสียที
หนิงอ้ายรู้ดีว่าในตอนนี้พลังลมปราณในร่างกายของเขาได้ถูกนำไปใช้ในการประลองนี้แทบทั้งสิ้น ดังนั้นหนิงอ้ายจึงไม่รอช้าที่ดูดซับพลังฟ้าดินตามเคล็ดวิชาของตระกูลหวังที่ตนนั้นปรับเพียงเล็กน้อยเพื่อให้สามารถทำการดูดซับพลังลมปราณฟ้าดินที่อยู่รอบตัวให้เข้ามาทดเเทนพลังปราณที่ตนนั้นต้องเสียไปในงานประลองเวทย์ตอนนี้
ทางฝั่งของจางเหยากวงในตอนนี้นั้นรู้สึกเหนื่อยล้าเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากเสียพลังปราณไปอย่างมากเนื่องจากตนนั้นได้ร่ายบทเวทย์ระดับสูงในการเข้าจู่โจม อีกทั้งยังต้องควบคุมสัตว์อสูรของตนเข้าร่วมต่อสู้ด้วย เท่ากับว่าตัวเขาต้องใช้พลังปราณถึงสองเท่าตัวต่อการโจมตีในเเต่ละครั้ง
ตัวของจางเหยากวงนั้นเเปลกใจยิ่ง ที่คุณชายหนิงผู้นี้นอกจากจะสามารถร่ายบทเวทย์พร้อมกันได้ถึงสองรูปแบบเเต่กลับไม่มีท่าทีเหนื่อยล้าออกมาซักนิดจากการตั้งรับการโจมตีและการร่ายบทเวทย์ที่แตกต่างกัน ยิ่งเปรียบเทียบกับตนที่เต็มไปด้วยความเมื่อยล้าและพลังปราณในร่างกายลดน้อยลงไปทุกขณะ
"เป็นอันใดกัน?? ความสามารถของคุณชายจางเหยากวง ตัวแทนรุ่นเยาว์จากหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของแคว้นหงส์เเดงมีความสามารถเพียงเท่านี้เองรึ!!" หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่คล้ายจะหัวเราะ เมื่อเห็นว่าทางฝั่งของจางเหยากวงนั้นเหนื่อยล้าจนเเทบยืนไม่ไหว
"สามหาวยิ่ง!!! ข้าจะทำให้เจ้ารู้ว่าข้าจะจัดการกับคนที่ทำให้ข้านั้นโมโหนั้นจะมีจุดจบเช่นไร" จางเหยากวงตะโกนตอบกลับหนิงอ้ายไปด้วยแววตาที่ต้องการให้อีกฝ่ายนั้นหายไปตลอดกาล
วงเวทย์อักขระได้ปรากฏขึ้นตรงบริเวณที่สัตว์อสูรราชันย์ศารกูลทมิฬ ทันใดนั้นรูปลักษณ์ของสัตว์อสูรมายาขั้นกลางตัวดังกล่าวได้เปลี่ยนเเปลงไปในทันที
ศาสตร์ลับโบราณศักดิ์สิทธิ์คำสาปแห่งโลกันต์!
วูบ!
'คุณชายจางเหยากวงถึงขั้นร่ายศาสตร์ลับโบราณกับสัตว์อสูรในพันธะอย่างนั้นรึ??'
'มิคาดคิดเลยว่าเพียงเเค่การประลองเเค่นี้จะต้องถึงกับใช้ศาสตร์ลับโบราณที่น่ากลัวเช่นนี้กัน...'
'อสูรมายาขั้นกลาง ราชันย์ศารกูลทมิฬที่ถูกสาปโดยศาสตร์ลับโบราณ มันจะไม่ยอมหยุดโจมตีจนกว่าจะดูดพลังวิญญาณของฝั่งตรงข้ามออกมาจนหมด...'
เสียงของผู้คนในสนามประลองต่างพากันตกใจกันเป็นอย่างมาก แม้กระทั่งองค์ฮ่องเต้ผู้ปกครองของเเต่ละแคว้น ผู้นำตระกูลน้อยใหญ่ต่าง ๆ รวมไปถึงผู้ฝึกตนที่มีพลังวิญญาณในระดับสูงในยุทธภพต่างพากันจับจ้องการประลองครั้งนี้
เพราะหากว่าเหตุการณ์ในการประลองนี้เกินที่จะควบคุมจะได้สามารถป้องกันได้อย่างทันทันที ด้วยเพราะรู้ว่าการร่ายศาสตร์ลับโบราณกับสัตว์อสูรแม้จะไม่ใช่เรื่องต้องห้าม เเต่ด้วยเพราะว่าพลังวิญญาณของจางเหยากวงในตอนนี้ที่อยู่เพียงเขตขั้นจักรพรรดิวิญญาณขั้นต้นเพียงเท่านั้นผลเสียที่อาจเกิดขึ้นตามมาก็สุดที่จะมีผู้ใดรับรู้ได้
"จงจัดการศัตรูของข้า!!!!!" จางเหยากวงเอ่ยขึ้นพร้อมกับกรีดนิ้วของตน หยดเลือดสองสามหยดได้ตกลงในวงแหวนอักขระเวทย์เพื่อทำการออกคำสั่งศาสตร์ลับโบราณนี้ในทันทีที่ได้รับหยดเลือดผู้เป็นนายแห่งพันธะสัญญา
จงออกมาเจียวซิ่น!
วูบ!
หนิงอ้ายรู้ดีว่าสัตว์อสูรมายาขั้นกลางที่ถูกร่ายกำกับด้วยศาสตร์ลับโบราณ เขาไม่สามารถที่จะเอาชนะได้โดยง่าย อีกทั้งเขายังสัมผัสได้ถึงจิตสังหารโบราณที่รุนแรงหลายเท่าจากสัตว์อสูรราชันย์ศารกูลทมิฬกาลดังกล่าว หนิงอ้ายไม่ลังเลสักนิดที่จะเรียกสัตว์อสูรในพันธะของตนออกมาในสนามประลองในทันที
'เมื่อกี้คุณชายหนิงเอ่ยว่าอย่างไรนะ...เรียกสัตว์อสูรในพันธะออกมาแล้วเช่นนั้นรึ '
"ข้าก็หลงนึกว่าที่คุณชายหนิงไม่ยอมเรียกสัตว์อสูรออกมาเป็นเพราะไม่มีครอบครองเสียอีก...'
'เจ้าโง่เคยได้ยินหรือไม่เล่าคำว่า...ไพ่ลับในยามฉุกเฉินอย่างไรเล่า...'
'นั้นคืออสูรรับใช้ในพันธะของคุณชายหนิงงั้นรึ??'
'เจ้าว่านั่นเป็นสัตว์อสูรประเภทใดกัน?? เหตุใดเกราะป้องกันเวทย์ที่ครอบคลุมไปทั่วทั้งสนามประลองยังไม่สามารถปกปิดกลิ่นอายความกดดันชวนให้รู้สึกอึดอัดเช่นนี้ได้...'
'บ้าไปเเล้ว คุณชายหนิงผู้นี้เป็นใครกันเหตุใดจึงเปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์และสามารถครอบครองสัตว์อสูรเช่นนี้ได้...'
สัตว์อสูรในพันธะของหนิงอ้ายได้ปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางความตื่นตะลึงของผู้รับชมที่อยู่ในสนามประลองเวทย์เเห่งนี้ กลิ่นอายที่ลึกล้ำเหนือขั้นกว่าสัตว์อสูรมายาขั้นกลางไม่รู่กี่เท่าเช่นนี้ สัตว์อสูรของคุณชายหนิง หากคาดเดาไม่ผิดคงเป็นถึงสัตว์อสูรสังกัดปราณธาตุพฤกษาหายากเสียแล้วกระมัง...
หากมีคำกล่าวว่าสัตว์อสูรระดับมายานั้นหาได้ยากยิ่งที่จะมีผู้ครอบครองได้เเล้วนั้น เเต่ทว่ากับสัตว์อสูรในสังกัดปราณธาตุพฤกษานั้นแทบจะไม่มีความเป็นไปได้ที่จะมีผู้ครอบครอบเลยเสียด้วยซ้ำ ด้วยเพราะสัตว์อสูรดังกล่าวนี้นั้นมีความบริสุทธิ์ของทางสายเลือดเป็นอย่างมากเเต่อัตราการกำเนิดนั้นค่อนข้างน้อยและต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่าง
อีกทั้งเเรกกำเนิดสัตว์อสูรสังกัดปราณธาตุพฤกษาก็เปรียบดั่งสัตว์อสูรทั่วไปที่ต้องมีการอาศัยเวลาเพิ่มพูนบ่มเพาะพลังปราณในตัว ถึงแม้ว่าจะมีขุมพลังที่ยิ่งใหญ่ก็จริงเเต่ก็ใช่ว่าทุกตัวจะสามารถเอาชีวิตรอดจนเติบให้ได้ มีไม่น้อยเช่นกันที่สัตว์อสูรตำนานตัวน้อยเหล่านั้นจะถูกสัตว์อสูรอื่นดูดกลืนพลังปราณเพื่อเพิ่มพลังแก่ตนนั่นเอง
ดังนั้นเมื่อทุกคนเห็นว่าทางฝั่งของหนิงอ้ายได้อัญเชิญสัตว์อสูรของตนออกมา แม้จะพอทราบว่าเป็นสัตว์อสูรประเภทใด ด้วยลักษณะพิเศษที่ถูกต้องตามตำราของสัตว์อสูรสังกัดปราณธาตุพฤกษาที่ทุกคนต่างเคยได้ศึกษาผ่านตากันแทบทั้งสิ้น ถึงลักษณะจำเพาะของสัตว์อสูรประเภทต่าง ๆ เมื่อได้พบสัตว์อสูรของหนิงอ้ายก็แทบที่จะไม่เชื่อสายตาของตนทั้งสิ้น
มีความเชื่อว่าสัตว์อสูรสังกัดปราณธาตุพฤกษาเป็นเพียงเรื่องเล่าขานของคนรุ่นเก่าที่มีการลงบันทึกในตำราซึ่งไว้สำหรับศึกษาเพิ่มพูนความรู้ แม้ว่าพวกเขาทั้งหลายจะไม่รู้ว่าสัตว์อสูรตรงหน้าของพวกตน ที่มีรูปร่างแปลกตาเป็นสัตว์อสูรในสังกัดใดหรือจะเป็นสัตว์อสูรสังกัดปราณธาตุพฤกษาจริงเเท้หรือไม่
เเต่ด้วยลักษณะอันโดดเด่นตามตำราที่ระบุไว้นั้นคือสัตว์อสูรตำนานจะสามารถจำแนกได้จากลวดลายบนตัวของสัตว์อสูรที่จะมีดำสีทองไปทั่วทั้งตัว รวมไปถึงกลิ่นอายที่แผ่ออกมาในสนามประลองนั้นกล่าวได้ว่าความกดดันและรู้สึกอันตรายมีเข้มข้นกว่าการปรากฏตัวของสัตว์อสูรมายาก่อนหน้านั้นจนเทียบไม่ติดเลยทีเดียว
เสียงคำรามดังก้องไปทั่วทั้งสนามประลองสัตว์อสูรของหนิงอ้ายนั้นปรากฏเป็นรูปร่างคล้ายกับต้นไม้โบราณที่เเผ่กิ่งก้านไร้ซึ่งใบ มีรูปทรงเเปลกตาที่สูงถึงสามเมตร ทั่วทั้งลำต้นมีลวดลายโบราณสีดำทองสลับกับสีเขียวเเดงเป็นลวดลายที่เมื่อจ้องมองไปเเล้วทำให้รู้สึกมึนงงไปชั่วขณะ อีกทั้งยังเเผ่กลิ่นอายกดดันออกมาโดยรอบอย่างปิดไม่มิด
ตรงบริเวณโดยรอบโคนส่วนคล้ายกับขาที่ยืนต้นนั้นพลันปรากฏเป็นกับดักดอกไม้ทรงกลมรียาวสีเเดงโปร่งเเสงที่ด้านบนมีลักษณะคล้ายกับปากบนล่างที่เต็มไปด้วยคมเขี้ยวเเหลมอีกทั้งภายในนั้นยังเต็มไปด้วยของเหลวที่มีฤทธิ์กัดกร่อนส่งเสียงร้องฟู่ออกมาเบา ๆ ชวนให้รู้สึกขนลุกอยู่ในที
หลังจากถูกหนิงอ้ายอัญเชิญเจียวซิ่นออกมาจากห้วงมิติจิต จึงทำการตั้งรับการโจมตีของสัตว์อสูรราชันย์ศารกูลทมิฬกาลในชั่วพริบตา ส่วนที่เป็นรยางค์ได้ยืดขยายเพิ่มจำนวนเข้าจู่โจมอีกฝ่ายในทันที จนอสูรราชันย์ศารกูลทมิฬกาลนั้นถึงกับกระเด็นไปไกลชนกับเกราะเวทย์ที่เป็นเส้นเเบ่งในสนามประลอง
เจียวซิ่นเมื่อทำการหยั่งรากลงสู่พื้นดินแล้วจึงทำการดูดซับพลังปราณฟ้าดินอย่างรวดเร็วและแผ่ขยายรากและกับดักบุปผามรณะทรงกลมรีสีเเดงโปร่งเเสงได้ผุดขึ้นไปทั่วทั้งสนามประลอง ส่วนบริเวณปากที่เต็มไปด้วยเขี้ยวเเหลมคมนั้นได้สลับพุ่งเข้าโจมตีอย่างรุนแรงต่อเนื่อง
ทั้งตัวของจางเหยากวงและสัตว์อสูรราชันย์ศารกูลทมิฬปรากฏเป็นรอยเเผลน้อยใหญ่ไปทั่วลำตัวโดยเฉพาะสัตว์อสูรของจางเหยากวง ด้วยเพราะถูกร่ายกำกับด้วยบทเวทย์โบราณจึงทำให้ไม่รู้สึกเจ็บปวดใดใดทั้งสิ้น สิ่งที่คอยกำกับในตอนนี้คือการทำตามคำสั่งนายของตนซึ่งนั่นคือการสังหารและช่วงชิงพลังปราณของหนิงอ้ายนั่นเอง
ในส่วนของรยางค์ยืดของเจียวซิ่นรวมไปถึงเหล่ากับดักดอกไม้มรณะเหล่านั้น แม้ว่าจะถูกทำลายไปจำนวนมากเเต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยได้ผลเท่าไหร่นักแม้จะถูกทำลายไปค่อนข้างมากเเต่ก็เกิดต้นอ่อนกับดักต้นใหม่ผุดขึ้นมาโจมตีเพิ่มจำนวนขึ้นอีกเป็นเท่าตัว สนามประลองเวทย์นี้แม้จะกำกับไปด้วยบทเวทย์ป้องกันหลายชั้นรวมไปถึงบทเวทย์เสริมความเเข็งแกร่งไปหลายบทก็จริงเเต่เมื่อพบกับการโจมตีของสัตว์อสูรตำนานนั้นก็ทำให้เกิดความเสียหายต่อพื้นสนามประลองนี้ไปไม่น้อยเลยทีเดียว
ฟิ้ว!
ตู้ม! ตู้ม!
ทางฝั่งของจางเหยากวงในคราเเรกยอมรับว่าตนตกใจเป็นอย่างมากถึงกลิ่นอายของสัตว์อสูรตำนานของหนิงอ้าย ในใจกลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความอิจฉาคนผู้นี้ยิ่งนัก ทั้งจากการที่อีกฝ่ายใช้บทเวทย์ระดับที่สูงกว่าตนอีกทั้งยังได้ครอบครองสัตว์อสูรตำนานเยี่ยงนี้ แม้จะเป็นกังวลอยู่บ้างเเต่ด้วยเพราะสัตว์อสูรในพันธะของตนได้ใช้ศาสตร์ลับโบราณกำกับไว้ดังนั้นพลังจึงเพิ่มขึ้นซึ่งนับได้ว่าไม่เสียเปรียบในการประลองนี้เท่าใดนัก
ตัวของจางเหยากวงนั้นแทบไม่มีโอกาสที่จะโจมตีหนิงอ้ายได้เลยแม้เเต่น้อย เนื่องจากว่าในตอนนี้นั้นตัวคนได้อยู่ใจกลางของสัตว์อสูรตำนานที่ในตอนนี้ได้เเผ่รากและกิ่งก้านไร้ใบเเผ่ขยายปกคลุมไปทั่วทั้งสนามประลอง เหตุใดยิ่งทำลายเท่าไหร่เเต่จำนวนถึงเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวเช่นนี้ได้
แม้ว่าเจียวซิ่นจะเป็นสัตว์อสูรสังกัดปราณธาตุพฤกษาก็จริง ทว่าความแข็งแกร่งนั้นไม่อาจดูเบาได้เพียงนิด ส่วนของส่วนขาที่ได้หยั่งลึกลงไปในพื้นสนามประลองนั้นได้ดูดซับลมปราณฟ้าดินบริสุทธิ์อย่างต่อเนื่อง ทุกการอสูรราชันย์ศารกูลทมิฬที่ส่งมานั้นล้วนถูกรยางค์ยืดสีเขียวเข้มขยายต้านรับไปได้ทุกครั้ง
ตู้ม! ตู้ม!
กับดักบุปผามรณะของเจียวซิ่น หลังจากที่ได้รับการยกระดับด้วยพลังลมปราณของร่างไร้วิญญาณของผู้ฝึกตนรวมไปถึงสัตว์อสูรนั้นได้แปรเปลี่ยนและมากไปด้วยความสามารถที่เพิ่มขึ้น พื้นที่โดยรอบของอสูรราชันย์ศารกูลทมิฬเต็มไปด้วยทะเลบุปผามรณะ นับว่าเป็นภาพที่งดงามและน่ากลัวยิ่งนักในความรู้สึก
"ไม่ทราบว่าคุณชายจางเหยากวงทราบหรือไม่? สัตว์อสูรสังกัดปราณพฤกษาขึ้นชื่อว่าเป็นนายเเห่งทุกสรรพสิ่ง เพียงเเค่ฝังรากลงไปไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ใดนั้นทั้งส่วนของราก ลำต้น กิ่งก้าน รวมไปถึงต้นอ่อนต่าง ๆ ก็สามารถดูดซับพลังปราณฟ้าดินเข้ามาใช้ได้อย่างไม่มีสิ้นสุดอีกทั้งยังสามารถช่วงชิงพลังปราณของอีกฝ่ายเข้ามาเสริมกำลังให้ตนได้อีกด้วย..." หนิงอ้ายเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้มใต้ผ้าคลุม
โฮก!
ส่วนของรยางค์ยืดได้พุ่งเข้ามัดตัวของสัตว์อสูรราชันย์ศารกูลทมิฬกาลได้สำเร็จ ทันใดนั้นที่ตรงบริเวณดังกล่าวได้ปรากฏเป็นต้นอ่อนกับดักบุปผามรณะทรงกลมรีสีเเดงโปร่งเเสงผุดขึ้นมาจากใต้ดินบริเวณส่วนของปากด้านบนที่เต็มไปด้วยฟันเเหลมนั้นได้เข้าจู่โจมกัดไปทั่งร่างของสัตว์อสูรดังกล่าวพร้อมเข้าครอบเข้าสู่ในกับดักในทันที
เสียงร้องโดยหวนของสัตว์อสูรในพันธะของจางเหยากวงนั้นส่งเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดเนื่องจากว่าเจียวซิ่นนั่นได้ทำการดูดพลังปราณในร่างของมันในทันที และได้ส่งผลมาถึงพลังวิญญาณของจางเหยากวงให้มีระดับลดลงไปอย่างรวดเร็วเมื่อเป็นเช่นนั้นอีกฝ่ายจึงไม่ลังเลที่จะเรียกสัตว์อสูรของตนเข้ามาในมิติจิตก่อนที่จะถูกดูดกลืนพลังวิญญาณจนสลายหายไปนั่นเอง
"คุณชายจางไม่น่ารีบเรียกสัตว์อสูรของตนกลับไปเร็วเช่นนี้ไม่เช่นนั้นเจียวซิ่นของข้าคงได้อิ่มท้องไปอีกหลายวัน...."หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นพร้อมกับหัวเราะขึ้นมาเบา ๆ
"เจ้ามันช่างขี้โกงอย่างน่าไม่อายยิ่งนัก!!" จางเหยากวงนั้นได้ตะโกนออกมาเสียงดัง
"ข้าโกงเช่นนั้นรึ?? ไม่ทราบว่ากฎในการประลองข้อใดที่เขียนห้ามไม่ใช้สัตว์อสูรพฤกษาออกมาต่อสู้กัน..." หนิงอ้ายเอ่ยออกมาทำเอาคนที่ได้ยินนั้นถึงกับไปไม่เป็นเลยทีเดียว
'คุณชายหนิงกล่าวถูกเเล้ว ไม่มีกฎการประลองข้อใดเขียนห้ามไม่ให้สัตว์อสูรสังกัดปราณธาตุพฤกษาลงเเข่งขัน...'
'ใครจะไปคาดคิดว่าสัตว์อสูรสังกัดพฤกษาจะสามารถโจมตีได้รุนแรงเช่นนี้ได้กัน...'
ผู้รับชมในสนามประลองแห่งนี้ต่างพาพูดถึงหนิงอ้ายและเจียวซิ่นอย่างชื่นชม พร้อมกับเเลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันไปทั้งสิ้น
ไม่เว้นแม้กระทั่งบรรดาเหล่าฮ่องเต้ผู้ปกครองกแคว้น ต่างรู้สึกอิจฉาฮ่องเต้แคว้นเต่าดำยิ่งนักที่มีผู้ฝึกตนที่มีความเก่งกาจและครอบครองสัตว์อสูรสังกัดปราณธาตุพฤกษาเช่นนี้ได้...
บรรดาเหล่าฮ่องเต้ผู้ปกครองกแคว้น ต่างรู้สึกอิจฉาฮ่องเต้แคว้นเต่าดำยิ่งนักที่มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์มากไปด้วยความเก่งกาจและครอบครองสัตว์อสูรสังกัดปราณธาตุพฤกษาเช่นนี้ ฮ่องเต้ของแคว้นเต่าดำนั้นสัมผัสได้ถึงความรู้สึกต่าง ๆ เหล่านั้นได้ใบหน้าหล่อเหลาจึงเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่ฉายชัดถึงความภูมิใจและขอบคุณตนที่ได้ตัดสินใจที่รับเป็นเจ้าภาพในการประลองครั้งนี้ แน่นอนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นคงจะถูกเล่าขานกันอีกนานเท่านานเหล่าบรรดาสำนักต่าง ๆ นั้นพากันปรึกษากันภายในอย่างเร่งด่วน เพราะหากสำนักของตนนั้นได้ตัวของคุณชายหนิงผู้นี้มาเป็นศิษย์ในสำนักของตนได้นั้นนอกจากที่จะได้ผู้ฝึกตนที่มีฝีมือดีสามารถเป็นกำลังหลักให้สำนักของตนได้เเล้วนั้น ยังจะนำมาซึ่งชื่อเสียงของสำนักของตน..."ช่างน่าเห็นใจเสียจริง สัตว์อสูรในพันธะของคุณชายคงใช้เวลาไม่น้อยกว่าที่จะพักฟื้นได้ดังเดิม ไม่รู้ว่าข้าได้บอกกล่าวไปแล้วหรือยังว่าทุกการโจมตีของเจียวซิ่นล้วนแฝงไปด้วยปราณธาตุพฤกษากลายพันธ์ จึงมีความสามารถแฝงนั่นคือการกัดกร่อนแก่นสมุทรลมปราณของสัตว์อสูรได้ และหากรักษาไม่ทันก็คง...""เจ้า!!!! เจ้านี่มันสารเลวต่ำทรามยิ่งนัก ลูกไม้สกปรกลอบทำ
การประลองระหว่างแคว้นครั้งที่88 ในรอบสุดท้ายกำลังจะเริ่มขึ้นในอีกไม่กี่อึดใจนี้ แน่นอนว่าตัวแทนของผู้ฝึกตนทั้งสองราชทินนามจำนวนทั้งสิ้นห้าคน ถือได้ว่ารุ่นเยาว์เหล่านี้ล้วนเป็นหนึ่งในเสาหลักแห่งยุทธภพรุ่นเยาว์ทั้งสิ้น แต่ถึงอย่างไรแล้วการประลองยังคงต้องดำเนินต่อไปเพื่อค้นห้าผู้ชนะอันดับหนึ่ง ผู้ที่ได้ครอบครองซึ่งตำแหน่งฐานะเจ้าแห่งยุทธภพรุ่นเยาว์นั่นเองหนิงอ้ายเมื่อเปิดเผยตัวตนฐานะที่แท้จริงแล้ว จึงตัดสินใจชวนลู่ซีกลับไปยังที่นั่งของตระกูลหวังที่อยู่ไม่ห่างไปเท่าไหร่นัก อย่างไรแล้วหลังจากจบงานประลอง ท่านตาหวังจิ่งหลงคงประกาศฐานะที่เเท้จริงของเขาทั้งคู่ ดังนั้นหากไปยังที่นั่งดังกล่าวในตอนนี้ก็คงไม่ส่งผลอะไรมากมายเท่าไหร่นัก"ในที่สุดเจ้าก็ทำได้เเล้วนะหนิงเอ๋อร์..." หวังเยว่ซินเอ่ยขึ้นด้วยความสุข พร้อมกับดึงเด็กหนุ่มเข้ามากอดด้วยความภูมิใจ"พวกเจ้าทั้งสองคนเก่งมาก ไม่เสียชื่อลูกหลานตระกูลหวังของพวกเรา""หนิงเอ๋อร์ เพลงกระบี่ของหลานกล่าวว่าเหนือชั้นอย่างแท้จริง ทั้งพริ้วไหวและดุดันแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง หากนับไปแล้วในหมู่ฝึกตนรุ่นเยาว์ในช่วงวัยเดียวกัน ถือว่าเจ้าแข็งแกร่งและมากด้วยพรสวรร
หนิงอ้ายร่ายบทเวทย์โจมตีและบทเวทย์ป้องกันอย่างเต็มที่ต่อเนื่อง ตอนนี้เวลาผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วยามเเล้วจริงอยู่ที่ว่าเคล็ดวิชาสยบอัสนีเมฆาของเขานั้นจะสามารถชักนำพลังปราณฟ้าดินบริสุทธ์มาสร้างสมดุลเสริมพลังปราณใช้ในการต่อสู้ได้ เเต่ทว่าความเหนื่อยล้าก็ปรากฏแล้วเช่นกันเล็กน้อย หนิงอ้ายคิดว่าควรที่จะจบการประลองครั้งนี้ได้เสียทีเพราะร่างกายของคนเรานั้นต่อให้เป็นผู้ฝึกตนที่มีความเเข็งแกร่งกว่าคนทั่วไปก็ควรได้รับการฟื้นฟูและพักผ่อนอย่างเต็มที่เช่นกัน"คุณชายโม่เหรินข้ายินดีที่ได้ประลองกับท่านในครั้งนี้เเต่เป้าหมายของข้ายิ่งใหญ่นักขออภัยที่ต้องล่วงเกิน!!!" หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นพร้อมกับยกมือประสานและโค้งคำนับด้วยมารยาทเพราะเขานั้นนับถือฝีมือของอีกฝ่ายจริง ๆอัญเชิญบทเวทย์โจมตีเขตแดนมหาดาระกะสยบโลกา!ครืนนน!'บทเวทย์เขตแดนระดับเทวะที่ถูกร่ายด้วยผู้ฝึกตนระดับจักรพรรดิขั้นต้นอย่างงั้นรึ?? เหตุใดกลิ่นอายช่างรุนแรงเช่นนี้ได้กัน...' โม่เหรินเมื่อเห็นว่าหนิงอ้ายนั้นเอาจริงเเล้ว ยอมรับตามตรงว่าเขาตกใจไม่น้อยเลยทีเดียวกับบทเวทย์ที่อีกฝ่ายเรียกใช้ กลิ่นอายเช่นนี้คงเป็นบทเวทย์ระดับเทวะขึ้นไปอย่างแน่นอนไม่ใช่เรื
แม้ว่าหลิวอี้จะร่ายบทเวทย์โจมตีไปยังคุณชายทั้งสองอย่างต่อเนื่องกลับไปไม่น้อยเช่นกันเเต่ทางฝั่งของหนิงอ้ายนั้นได้ร่ายบทเวทย์ป้องกันตนเองและลู่ซีในทันท่วงที ทำให้ไม่ว่าจะเป็นการโจมตีด้วยบทเวทย์ระดับสูงและทรงพลังเเค่ไหนก็ไม่สามารถทำอันตรายกับพวกเขาทั้งสองได้เลยสักนิด เพียงสองเค่อเท่านั้นเกราะป้องกันอันเกิดจากศาสตร์ลับกลืนนภาอสูรเต่าทมิฬนิลกาฬของคุณชายหลิวอี้นั้นไม่สามารถตั้งรับได้ไหวเเล้วและเเตกสลายลงไปในที่สุด"อั๊กกกซ์!!! ข้าขอยอมแพ้คุณชายทั้งสอง เป็นเกียรติยิ่งนักที่ได้ประลองกับพวกท่าน!!" ทางฝั่งของคุณชายหลิวอี้นั้นเอ่ยออกมาด้วยรู้ตัวว่าหากเขานั้นฝืนใช้พลังวิญญาณและศาสตร์ลับกลืนนภาอสูรเต่าทมิฬนิลกาฬต่อไปแม้ว่าจะสามารถตั้งรับได้นานมากกว่านี้เเต่ผลกระทบหลังจากนั้นไม่สามารถคาดเดาได้เพราะอาจจะเกิดความเสียหายไปถึงจิตวิญญาณเลยทีเดียวซึ่งหากเป็นเช่นนั้นแล้วเส้นทางผู้ฝึกตนของเขานั้นคงไม่มีทางก้าวหน้าได้อีก ดังนั้นถึงจะพ่ายแพ้ไปเเต่นับได้ว่าเขานั้นได้สร้างชื่อเสียงของตระกูลหลิวแห่งแคว้นสิงโตเพลิงบนยุทธภพของทวีปบูรพาได้แล้ว อีกทั้งได้ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในห้าของเสาหลักเเห่งยุทธภพรุ่นเยาว์ที่ขึ
การมอบรางวัลสำหรับผู้ฝึกตนในการประลองเวทย์ครั้งที่แปดสิบแปด (88) ที่ทางแคว้นเต่าดำได้รับเป็นเจ้าภาพในการจัดงานประลองเวทย์ในครั้งนี้ กล่าวได้ว่าดอกผลที่ได้รับจากงานประลองนับได้ว่ามากมายมหาศาลเลยทีเดียวไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียงของแคว้นที่เพิ่มขึ้นจากการปรากฎตัวผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่มากไปด้วยพรสวรรค์การปรากฏตัวของสัตว์อสูรนภาที่ว่ากันว่ายากนักที่จะสามารถครอบครอง รวมไปถึงสัตว์อสูรสังกัดปราณธาตุพฤกษาที่มีบันทึกอยู่ในตำราหอบรรพชนเก่าแก่ของเเต่ละตระกูลนั้นหาใช่เป็นเพียงนิทานเรื่องเล่าเท่านั้น เพราะได้ถูกครอบครองโดยผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์คนหนึ่งที่มีพรสวรรค์เหนือชั้นกว่ารุ่นเดียวกันซึ่งผู้ฝึกตนที่ผ่านเข้ามาถึงรอบประลองเวทย์สิบคนสุดท้ายนั้นจะได้รางวัลซึ่งก็คือเหรียญทองหนึ่งพันเหรียญและได้รับบทเวทย์ป้องกันและบทเวทย์โจมตีระดับสูงคนละหนึ่งบทเวทย์นับได้ว่าเป็นผลตอบเเทนที่คุ้มค่ากับการประลองครั้งนี้ยิ่งนักสำหรับห้าอันดับแรกหรือเสาหลักเเห่งยุทธภพรุ่นเยาว์ของทวีปบูรพานั้นมีรายชื่อดังต่อไปนี้...อันดับที่ห้าคุณชายโม่เหรินจากตระกูลโม่แห่งแคว้นเสือขาว รางวัลที่ได้รับนับว่าไม่สามัญทั่วไปอย่างแน่นอนตามศักดิ์ฐานะของ
ตอนนี้ทุกคนได้รับรู้เเล้วว่าคุณชายทั้งสองคนนั้นมีความสัมพันธ์อย่างไรกับตระกูลหวัง แน่นอนว่าคุณชายหนิงอ้ายเป็นที่รู้จักกันดีในนามของอดีตคุณชายใหญ่ตระกูลจางเเห่งแคว้นหงส์เเดง ด้วยเพราะทั้งสองแคว้นนั้นอยู่ติดกันไม่ต่างจากเมื่องพี่เมืองน้อง ดังนั้นข่าวคราวในแวดวงที่ว่าคุณชายหนิงอ้ายเปรียบดั่งสวะของตระกุลจาง ผู้คนต่างรับรู้กันทั่วเพียงเเต่ไม่ได้มีการพูดคุยให้เห็นชัดด้วยเกรงกลัวอำนาจตระกูลใหญ่อย่างเช่นตระกูลจางและตระกูลหวัง กระทั่งข่าวที่ว่าท่านหญิงเยว่ซินได้หย่าขาดกับประมุขจางเลี่ยงหวงน ม้เหตุการณ์จะผ่านมาได้เพียงไม่กี่วัน เเต่ว่าหอข่าวที่มีสายลับแฝงตัวอยู่ทุกแคว้นต่างรายงานความเป็นไปที่เกิดขึ้นท่ามกลางความยินดีที่เกิดขึ้นแน่นอนว่าตระกูลหวังเเห่งแคว้นเต่าดำต่างเป็นที่จับจ้องมากขึ้น ด้วยเพราะว่าผู้ชนะอันดับหนึ่งและอันดับสองในการประลองเวทย์ครั้งนี้ต่างมีความข้องเกี่ยวโดยตรงกับตระกูลหวัง แม้ว่าจะเป็นตระกูลที่เพิ่งก่อตั้งได้เพียงไม่กี่ร้อยปีเเต่กลับยืนหยัดในฐานะหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของแคว้นเต่าดำ ยิ่งกับวันนี้รุ่นเยาว์ในตระกูลหวังกลับสร้างชื่อเสียงให้กับตระกูลไปอีกไม่น้อยด้วยฐานะของเจ้ายุทธภพแล
ห้องโถงรับรองของเรือนหลักตระกูลหวังเครื่องใช้ภายในเรือนทั้งหมดนั้นทำขึ้นจากหยกเขียวอ่อนแกะสลักที่มีความงดงามอ่อนช้อย อีกทั้งยังประดับตกแต่งไปด้วยสิ่งของมีค่ามากมายบางชิ้นถึงกับมีอายุยาวนานหลายร้อยปีเลยทีเดียว ของทุกอย่างเหล่านี้ต่างเเสดงให้เห็นถึงความมั่งคั่งของตระกูลหวังสายหลักได้เป็นอย่างดี"ได้ยินว่าหนิงเอ๋อร์กับลู่เอ๋อร์จะทำการทดสอบเข้าร่วมสำนักศึกษาในอีกไม่กี่วันเช่นนั้นรึ?" หวังจิ่งหลงถามขึ้นมองไปทางฝั่งของหลานชายของตนทั้งสอง"ขอรับท่านตา เพียงเเต่ว่าข้ากับลู่เกอยังไม่แน่ใจว่าจะเข้าร่วมสำนักศึกษาใด..." หนิงอ้ายตอบกลับผู้เป็นตาของตนไป"การเลือกสำนักศึกษามีความสำคัญไปไม่น้อย ด้วยความแตกต่างของเเต่ละสำนักไม่ว่าจะเป็นที่ตั้งของสำนักที่เอื้อต่อการฝึกฝนตามพลังธาตุในร่างกายและทรัพยากรล้ำค่าที่จำเป็นในการเลื่อนระดับพลังวิญญาณรวมไปถึงวิสัยทัศน์ของเจ้าสำนัก สิ่งต่างๆ เหล่านี้นั้นล้วนมีผลในการบ่มเพาะทั้งสิ้น...""สำนักศึกษาในมหาทวีปบูรพานี้นับได้ว่ามีอยู่มากมายไม่น้อย เพียงเเต่สำนักใหญ่ที่มีชื่อเสียงและผู้คนในโลกยุทธภพให้การยอมรับมีเพียงห้าสำนักเท่านั้น นั่นคือสำนักศึกษาเวหาธาราสวรรค์ สำนั
หนิงอ้ายกับลู่ซีใช้เวลาอยู่ในหอตำราเพียงหนึ่งชั่วยามเท่านั้นตามที่ได้ตกลงกันไว้เมื่อถึงเวลาก็มาตรงจุดนับพบโดยทันที ซึ่งทางฝั่งของหนิงอ้ายนั้นได้เลือกตำรามานับสิบกว่าเล่มเกี่ยวกับความรู้พื้นฐานทั้งหมดเพื่อที่จะไปศึกษาเพิ่มเติม ทางฝั่งของลู่ซีนั้นได้เลือกตำราเกี่ยวกับพลังธาตุน้ำและเคล็ดวิชาระดับสูงอีกสองสามบทในการศึกษาเพิ่มเติม ด้วยเพราะรู้ตัวว่าฝีมือของเขาในตอนนี้ยังไม่เพียงพอที่จะปกป้องหนิงอ้ายได้ ดังนั้นเขาต้องฝึกฝนให้มากที่สุดเมื่อแจ้งจำนวนตำราที่นำออกจากหอตระกูลหวังกับผู้อาวุโสท่านเดิมเสร็จเเล้วนั้น เมื่อถึงเรือนพักเเล้วทั้งสองคนจึงเเยกย้ายกลับห้องของตนเพื่อศึกษาตำราต่อนั่นเองหนิงอ้ายใช้เวลาทั้งวันไปกับการศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับพลังลมปราณ พลังวิญญาณและพลังปราณธาตุที่เป็นความรู้พื้นฐานทั้งหมด เมื่ออ่านจบเเล้วทำให้เขานั้นมีความเข้าใจมากยิ่งขึ้น เมื่อเดินพลังลมปราณและปรับการหมุนเวียนของร่างกายให้มั่นคงสมดุลชักนำลมปราณฟ้าดินเข้ามากักเก็บเป็นพลังวิญญาณในร่างกายให้เเข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นหลายเท่าเคล็ดวิชาสยบอัสนีเมฆานั้นนอกจากจะเป็นวิชาตัวเบาที่ขึ้นชื่อเเล้วเเต่สิ่งที่แฝงตามมาจากเคล็ดวิชา
ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู
ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง
คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต
การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์
หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร
ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต
มหาพิภพพิสดารแห่งนี้ประกอบไปด้วยสามพิภพ สี่มหาสมุทร แปดมหาทวีป โดยที่สามพิภพนั้นจะแบ่งเป็นดินแดนพิภพระดับสูง ดินแดนพิภพระดับกลางและพิภพระดับล่าง โดยมีสี่ทะเลมหาสมุทรตั้งอยู่ 4 ทิศล้อมรอบที่เชื่อว่าเป็นที่พักพิงของเทพบรรพกาลสูงสุดทั้งสาม และแปดมหาทวีปที่ได้มีการแบ่งการปกครองตามทิศทั้งแปดของดินแดนพิภพระดับกลาง ด้วยเพราะต่างมีผู้ปกครองดินแดนอันเป็นตัวตนที่ไม่ธรรมดาสามัญทั้งสิ้น ดังนั้นการเดินทางข้ามผ่านแต่ละเขตดินแดนจึงจำเป็นต้องมีเงื่อนไขกฎเกณฑ์ที่แตกต่างกันไปสำหรับการเดินทางข้ามเขตแดนทั้งสามพิภพโดยเฉพาะดินแดนพิภพระดับสูงและดินแดนพิภพระดับกลางนั้น เงื่อนไขสำคัญคือผู้ฝึกตนที่บ่มเพาะพลังปราณในดินแดนพิภพระดับกลาง หากไม่สามารถเลื่อนระดับเป็นราชทินนามอัครพรหมยุทธ์วิญญาณหรือครอบครองพลังวิญญาณในระดับที่101ได้ย่อมไม่อาจก้าวล้ำมายังดินแดนพิภพระดับสูงนี้ได้ด้วยขีดจำกัดของกายเนื้อที่ไม่สามารถรองรับพลังปราณฟ้าดินบริสุทธิ์เข้มข้นที่ไหลเวียนหล่อเลี้ยงทั่วทั้งมหาพิภพ เพราะหากไร้ซึ่งความแข็งแกร่งของสายโลหิตและพลังปราณที่ล้ำลึกที่เพียงพอ ไม่กี่ชั่วลมหายใจร่างกายและจิตวิญญาณย่อมถูกบดขยี้ไปสิ้นแต่ในทางก
ไม่น่าเชื่อว่าเพียงหนึ่งราตรีที่ผ่านพ้น สำนักหมาป่าทมิฬจะถูกฆ่าล้างสำนักจนไม่เหลือแม้แต่ผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว การจู่โจมโดยไม่อาจตั้งตัวนั้นได้ส่งผลให้เหล่าสมาชิกในสำนักต้องสังเวยชีวิตอย่างน่าสลดใจ สิ่งนี้กล่าวว่าได้สร้างความตื่นตะลึงแก่กลุ่มอิทธิพลมืดในยุทธภพอยู่ไม่น้อย แม้ว่าสำนักหมาป่าทมิฬจะเป็นสำนักที่พึ่งก่อตั้งได้ไม่กี่สิบปีแต่ก็มีชื่อเสียงโด่งดังในด้านความโหดเหี้ยมและไร้ความปรานี การล่มสลายของสำนักในครั้งนี้จึงกลายเป็นปริศนาที่ยากจะคาดเดาได้ว่าจะเกิดขึ้นสิ่งที่น่าตื่นตะลึงนั่นคืออดีตผู้ก่อตั้งสำนักนั้นเป็นถึงราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณที่มีรากฐานบ่มเพาะไม่ธรรมดาสามัญรวมไปถึงเจ้าสำนักคนปัจจุบันนั้นก็เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นสูงที่มากไปด้วยความสามารถไม่อ่อนด้อยแม้จะขึ้นชื่อในเรื่องของความวิปริตมากกว่าก็ตาม ไม่นับรวมถึงบรรดาผู้อาวุโสที่ล้วนต่างเป็นราชทินนามระดับสูงที่ไม่อาจดูแคลนได้ทั้งสถานที่ตั้งยังรายล้อมไปด้วยมหาค่ายกลเขตแดนธรรมชาติที่ใช่ว่าจะสามารถบุกฝ่าทะลวงไปได้โดยง่าย ข่าวการกวาดล้างสำนักหมาป่าทมิฬได้แพร่สะพัดออกไปราวกับไฟลามทุ่ง ไม่รู้ว่าทางสำนักได้ไปรับภารกิจหรือได้ล
ท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดและเศษซากร่างไร้วิญญาณของศัตรูที่พ่ายแพ้ หนิงอ้ายเรียกใช้พลังปราณตวัดเอาแหวนมิติและสมบัติวิเศษประจำตัวของผู้ตกตายทั้งหมดย้ายเข้ามาในแหวนมิติของตนอย่างไรสิ่งเหล่านี้ย่อมสามารถทำประโยชน์ได้อยู่ไม่น้อย ในใจเขาไม่นึกรังเกียจเลยเพียงนิด การเข่นฆ่าสังหารแล้วช่วงชิงสิ่งของของผู้ที่ตกตายไปนั้นเป็นสิ่งที่พบเจอได้ทั่วไปในยุทธภพจากนั้นหนิงอ้ายได้ระดมเรียกเปลวเพลิงบริสุทธิ์จากปราณทิวาธาตุเข้าแผดเผาเศษซากชิ้นเนื้อรวมไปถึงจิตวิญญาณของบรรดานักฆ่าเหล่านี้ให้สูญสลายโดยไม่อาจหวนคืนในวัฏจักรสังขารได้อีก จากเศษเสี้ยวความทรงจำที่เขาสัมผัสได้นั้นคนกลุ่มนี้หาใช่เป็นคนดีแต่อย่างใด ตลอดช่วงอายุที่ผ่านมาก็ล้วนแต่กระทำต่ำช้า สังหารผู้บริสุทธิ์มาไม่น้อย เพียงเท่านี้ย่อมไม่อาจชดเชยได้เสียด้วยซ้ำไม่ถึงครึ่งเค่อให้หลัง ห้วงมิติที่ถูกผนึกไว้เมื่อไร้ซึ่งผู้บัญชาการยามนี้ม่านพลังประหลาดดังกล่าวจึงได้ซ่านสลายไปในที่สุด เผยให้เห็นหมู่เมฆาที่ล่องลอยประดับเหนือท้องฟ้า เสียงแมลงน้อยใหญ่ดังขึ้นทั่วทั้งผืนป่าโดยรอบขับขานบรรเลงสอดประสานเป็นท่วงทำนองเสนาะหู แสงไฟเวทย์จากอาคารบ้านเรือน เสียงโหวกเหวกโวยวาย