หนิงอ้ายกับลู่ซีมุ่งตรงไปยังจุดลงทะเบียนที่มีการกางโตะตรงที่ปากทางเข้าการประลองในทันที แม้ว่าทั้งสองคนนั้นจะรีบเร่งออกจากจวนตระกูลหวังเป็นเวลาเช้าเเต่ก็ยังมีผู้ฝึกตนที่เดินทางมาถึงเร็วกว่ากว่าพวกเขาทั้งสองคน ในตอนนี้มีผู้คนมากมายที่กำลังรายล้อมอยู่โดยรอบจุดบริเวณดังกล่าวที่เปิดให้ลงทะเบียนอยู่ ถือว่าเป็นโชคดีของพวกเขาทั้งสองคนนั้นไม่น้อยที่มาทันเวลาพอดีเพราะว่าการประลองในครั้งนี้มีผู้สนใจเข้าร่วมเป็นอย่างมากดังนั้นจึงมีการจำกัดคนเข้าเเข่งขันเพียงเเค่ห้าร้อยคนเท่านั้น
''เนื่องจากครั้งนี้เป็นงานประลองแคว้นครั้งที่แปดสิบแปด ดังนั้นเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองจึงไม่มีการเรียกเก็บเงินสมัครในการประลองครั้งนี้ใดใดทั้งสิ้น เเต่จะจำกัดผู้เข้าเเข่งขันเพียงเเค่ห้าร้อยคนเท่านั้นและจะไม่มีการแบ่งแยกช่วงอายุการประลองทั้งสิ้นสำหรับผู้ใดที่หวังเพียงมาเล่นไม่จริงจังสามารถถอดตัวออกไปได้ทันที อย่าหาว่าไม่เตือน!!!'' เสียงของผู้ควบคุมกฎที่ทำหน้าที่ดูเเลในการลงทะเบียนได้เอ่ยขึ้นและดังพอที่จะให้ได้ยินในบริเวณโดยรอบทันที
'ข้าจะตกใจอะไรก่อนดีเล่า? การประลองครั้งนี้เปิดรับเพียงห้าร้อยคนหรือจะเป็นการจัดเเข่งขันประลองเเบบรวม...'
'ปกติการประลองที่มีการเเบ่งเป็นรุ่นข้าก็ว่ายากเเล้วเเต่นี่กลับเป็นการประลองรวมรุ่นงั้นรึ?'
'ในคราเเรกข้าตั้งใจว่าจะลงประลองเพียงเเต่ฝึกวิชาและเเลกเปลี่ยนฝีมือกับกลุ่มคนอายุใกล้เคียงกันเท่านั้น เเต่พอมาเจอเเบบนี้ข้าไม่ไหวแน่ ๆ'
'จัดประลองเเบบรวมรุ่นเช่นนี้ จะไม่เป็นการรังแกผู้เข้าร่วมประลองที่อายุน้อยกว่างั้นรึ พวกเจ้าเห้นด้วยหรือไม่?'
'ผู้ใดจะสนใจกันเล่า!! เรื่องของฝีมือไม่มีคำว่าอายุเข้ามาข้องเกี่ยวหรอกหากเจ้ากลัวก็สละสิทธิ์ไปเสียเถอะอย่ามาขวางทางผู้อื่น...'
'ให้พวกข้าเเข่งขันประลองกับพวกเด็กงั้นรึ? นี่เป็นการดูถูกฝีมือพวกข้าไปเสียเเล้วใคร เป็นคนคิดกฎบ้าบอนี้กัน...'
เสียงของผู้ฝึกตนหลากหลายช่วงอายุที่อยู่บริเวณด้านหน้าของโต๊ะลงทะเบียนต่างเเสดงความคิดเห็นกันอย่างออกรสบ้างก็มีผู้ฝึกตนบางคนถึงกับขอถอนตัวจากการประลองไปเลยก็มีเช่นกัน
''หนิงอ้ายในเมื่อการประลองเเคว้นครั้งนี้มีการเปลี่ยนเเปลงกฏการประลองเกอว่า...'' ลู่ซีเอ่ยขึ้นกับหนิงอ้ายด้วยความเป็นกังวลเล็กน้อยแต่หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นมาว่า
"เกอเชื่อฝีมือข้าเถอะขอรับเพราะอย่างไรเเล้วต่อให้มีสิ่งใดเกิดขึ้นก็ไม่อาจเปลี่ยนใจของข้าได้'' หนิงอ้ายเอ่ยตอบไปด้วยน้ำเสียงเเน่วเเน่มั่นคง
''เอาละในเมื่อพวกเจ้าได้ยินเช่นนี้เเล้วนั้นข้าขอบอกก่อนเลยว่ากฏการประลองครั้งนี้ยังมีการเปลี่ยนอยู่อีกมากเเน่นอนสำหรับใครที่ใจไม่สู้หรือหวาดกลัวก็จงถอนตัวไปเสียเเละหาที่นั่งรับชมกันตามความพึงพอใจได้เลยส่วนผู้ยังมั่นใจในฝีมือของตนนั้นจงก้าวออกมาข้างหน้าเเล้วเข้าเเถวรับใบลงทะเบียน" เสียงของผู้คุมกฏดังขึ้นอีกครั้งซึ่งในครั้งนี้ทั้งหนิงอ้ายเเละลู่ซีต่างก้าวขึ้นมาข้างหน้าพร้อมกับเข้าเเถวรับใบลงทะเบียนในทันทีเมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จสิ้นจึงเข้ามายังในสนามประลองเเละหาที่นั่งในสเตเดี่ยมเพื่อที่จะรอการลงประลอง...
ตระกูลจาง
"นั่นมันใช่ลู่ซีบ่าวที่คอยรับใช้สวะของตระกูลเจ้าหนิงอ้ายใช่ไหมขอรับ?'' เสียงของคุณชายรองหรือจางเหยากวงดังขึ้น เมื่อเห็นว่าตรงที่นั่งไกลออกไป ตรงบริเวณที่นั่งของแคว้นเต่าดำมีลู่ซีบ่าวรับใช้ของหนิงอ้ายนั่งอยู่ แม้ว่าจะแต่งตัวดูราวกับคุณชายของตระกูลใหญ่ เเต่เขาย่อมจดจำใบหน้ามันได้ในทันที ส่วนเด็กหนุ่มอีกคนนั่งข้างกันที่มีผ้าคลุมนั้นคงเป็นสวะตระกูลจางเจ้าหนิงอ้ายอย่างแน่นอน...
''เป็นเพียงบ่าวรับใช้เเต่ริอาจแต่งตัวเฉกเช่นคุณชายของตระกูลใหญ่ก็มิเชิง ช่างเหมาะสมกับนายของมันยิ่งนัก!!" เสียงของฮูหยินรองหรือหวงลู่เอินดังขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เกลียดชังยิ่งนัก
''ตั้งเเต่อดีตฮูหยินใหญ่ออกจากตระกูลจางไปพวกเรายังไม่ได้ข่าวคราวจากทางนั้นเลยนะเจ้าคะ...'' เสียงของอนุคนที่หนึ่งของจางเลี่ยงหวงดังขึ้น
''คงมิใช่ว่ากลับตระกูลหวังไปแล้วกล่าวโกหกอันใดนะเจ้าคะ ข้าเห็นว่าท่านประมุขตระกูลหวังลอบมองมาทางนี้บ่อย ๆ คล้ายกับไม่พอใจอะไรสักอย่างเสียอย่างนั้น...'' เสียงของอนุคนที่สองเอ่ยขึ้นผสมโรงขึ้นมาในบทสนทนาดังกล่าวนี้
''ท่านพ่อจักไม่พูดอะไรเลยหรือขอรับ มันและมารดาของมันสร้างชื่อเสียให้แก่ตระกูลจางของเราเสียมากมายเช่นนี้" เสียงของคุณชายสามหรือจางหมิงหวังดังขึ้น เมื่อเห็นว่าพี่รองของตนนั้นกำลังจะแย่งชิงความสนใจจากบิดาของพวกตน
''พวกเจ้าทั้งหมดสงบปากสงบคำเสีย ตอนนี้หนิงอ้ายและเยว่ซินได้ตัดขาดออกจากตระกูลจางของเราแล้ว ต่างคนต่างอยู่ไม่ข้องเกี่ยวกัน เข้าใจหรือไม่?" เสียงของจางเลี่ยงหวงเอ่ยขึ้นพร้อมกับใบหน้าที่นิ่งสงบไม่สามารถคาดเดาว่าตอนนี้กำลังคิดสิ่งใดอยู่กัน
เมื่อจางเลี่ยงหวงกล่าวมาเช่นนี้เเล้ว คนที่เหลือต่างพากันนิ่งเงียบพร้อมกับลอบมองไปยังบริเวณที่นั่งของหนิงอ้ายและลู่ซีนั่งอยู่ด้วยแววตาเกลียดชังอย่างปิดไม่มิด โดยเฉพาะคนที่มีศักดิ์เป็นพี่ชายของพวกตนที่แม้ว่าตอนนี้จะไม่ได้ใช้แซ่จางเเล้ว แม้ว่าจะสวมหมวกสานปกปิดใบหน้าเเต่พวกตนย่อมรู้ดีที่สุดว่าหน้าตาของมันงดงามเพียงใด
เพราะขนาดตอนนั้นหนิงอ้ายมันถูกกลั่นแกล้งต่าง ๆ ใบหน้าของมันยังงามกว่าพวกตนยิ่งนักแล้ว ยิ่งในตอนนี้ที่ได้กลับตระกูลหวังอันเป็นตระกูลเดิมของมารดา มันคงได้รับการดูเเลอย่างดีคงทำให้ให้ใบหน้าของมันคงงดงามกว่าพวกตนกว่าเดิม ช่างน่าเกลียดยิ่งนักขนาดเกิดมันเป็นชายยังมีใบหน้าที่งดงามกว่าพวกนางได้เช่นไรเมื่อคิดเช่นนี้เเล้วนั้นทั้งบตรีสี่คนของจางเลี่ยงหวงต่างพากันรู้สึกอิจฉาและทวีความเกลียดชังในตัวของหนิงอ้ายมากกว่าเดิม
"ให้มันจริงเถอะเจ้าคะ ไม่ใช่ว่าท่านพี่ยังคงรักและเป็นห่วงสองคนเเม่ลูกนั่นอยู่..."
''สงบปากสงบคำเสียฮูหยินรอง!!" ไม่ทันที่หวงลู่เอินได้กล่าวจบ เสียงของจางเลี่ยงหวงเอ่ยขึ้นพร้อมกับใบหน้าที่เอือมระอา ทำเอานางยิ่งรู้สึกเกลียดชังสองเเม่ลูกตระกูลหวังนั้นเข้าไปอีกกว่าเดิมหลายเท่าตัวยิ่ง
หวงลู่เอินคิดว่าหากหวังเยว่ซินได้หย่าขาดจากตระกูลจางไป สามีของนางจะรีบทำการแต่งตั้งนางขึ้นเป็นฮูหยินเอกในทันที เเต่กลับกลายเป็นว่าทุกครั้งที่นางเอ่ยเรื่องนี้ จางเลี่ยงหวงจะนิ่งเงียบไม่มีการตอบรับใดใดทั้งสิ้น อีกทั้งยังไปสำนักศึกษาผิงอานในทุกวันโดยที่บางครั้งสามีของนางไม่กลับมานอนที่จวนตระกูลจางเลยเสียด้วยซ้ำ นางไม่รู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกันจึงทำให้สามีเปลี่ยนไปเช่นนี้ หากคาดเดาไม่ผิดนางคิดว่าย่อมเป็นฝีมือของสองเเม่ลูกตระกูลหวังอย่างแน่นอน...
ราชวงศ์เเห่งแคว้นเต่าดำผู้รับหน้าที่ในการเป็นเจ้าภาพในงานประลองครั้งนี้ คณะราชวงศ์ของแคว้นอื่น ๆ รวมไปถึงบรรดาเหล่าเชื้อพระวงศ์ทุกพระองค์ได้เดินทางมาถึงอย่างพร้อมหน้า ได้มีการเเยกย้ายไปยังที่นั่งของแคว้นที่ถูกจัดเตรียมไว้ให้เเล้วเสร็จสิ้น โดยมีบ่าวรับใช้หน้าตางดงามที่เเต่งตัวอยู่ในอาภรณ์ที่งดงามล้ำค่าเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเกียรติของราชวงศ์เต่าดำ บ่าวหญิงรับใช้ที่ถูกคัดเลือกมาในวันนี้ต่างถูกเคี่ยวกรำให้มีกริยามารยาทที่เรียบร้อยเพื่อเพิ่มความประทับใจแก่แขกผู้มาเยือนและนำทางคณะเดินทางไปอีกที่นั่งดังกล่าว
เหล่าขุนนางและตระกูลใหญ่ของเเต่ละแคว้นอีกมากมายที่ได้เดินทางมาเข้าร่วมในงานประลองครั้งนี้ด้วย ไม่เพียงเเต่เท่านั้นยังมีสำนักศึกษาที่มีชื่อเสียงน้อยใหญ่ต่าง ๆ มากมายไม่ว่าจะเป็นสำนักศึกษาฝึกยุทธ หรือสำนักศึกษาบำเพ็ญเพียรรวมถึงชาวยุทธภพที่อาศัยอยู่ทั่วทุกแคว้นหรือชาวบ้านธรรมดาที่ให้ความสนใจต่างพากันเข้าร่วมงานประลองครั้งนี้กันอย่างคึกคัก โตะวางเดิมพันจากทางราชสำนักหรือสำนักต่าง ๆ ที่มีการตั้งโต๊ะพนันอย่างถูกกฎหมายเปิดให้ทุกคนสามารถพนันผู้ชนะในงานประลองครั้งนี้ซึ่งพบเห็นได้โดยรอบสนามการประลอง สิ่งนี้อาจกล่าวได้เช่นกันว่าเป็นสิ่งที่ดึงดูดผู้คนหลากหลายที่ให้เข้างานร่วมงานประลองนี้ แม้ไม่ได้ลงเเข่งขันเเต่ก็เเสวงหาโชคลาภจากการลงพนันมีผู้คนจากทั่วสารทิศให้เข้ามาร่วมในงานประลองครั้งนี้กันอย่างมากมาย
''มีโต๊ะวางพนันด้วยหรือขอรับ??" หนิงอ้ายถามขึ้นด้วยความสงสัย
''ที่ใดมีการเเข่งขันก็ย่อมขาดการพนันไปไม่ได้เจ้าว่าเป็นเช่นนั้นหรือไม่เล่า..." ลู่ซีเอ่ยตอบไปพร้อมกับพยักหน้าเล็กน้อย
"ข้ายอมรับว่าเเปลกใจไม่น้อยที่เห็นการวางโตะพนันเเบบเปิดเผยเช่นนี้ ทั้ง ๆ ที่มีทหารเวรยามคอยแฝงตัวอยู่โดยรอบ..." หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นพร้อมกับสังเกตไปโดยรอบ ในส่วนของราชวงศ์หรือเชื้อพระวงศ์จะต้องมีองครักษ์ดูเเลอย่างใกล้ชิดแม้จะไม่เปิดเผยตัวตนออกมาก็ตาม รวมไปถึงสำนักต่าง ๆ และตระกูลน้อยใหญ่ย่อมมีทหารฝีมือดีที่แฝงตัวคอยดูเเล หรือแม้กระทั่งบริเวณโดยรอบของสนามประลองนี้ต่างมีทหารเวรยามทั้งในและนอกเครื่องเเบบคอยตรวจตรารักษาความปลอดภัยอีกด้วย...
"งานประลองของแคว้นที่ถูกจัดขึ้นนั้นได้รับการสนับสนุนจากทางราชวงศ์หรือทางตระกูลใหญ่ของแคว้นเต่าดำ เหล่าโต๊ะเดิมพันที่เจ้าเห็นนั้นหลัก ๆ จะเป็นทางราชสำนักที่เป็นผู้ดูเเลโดยตรง สำหรับโต๊ะเดิมพันรายย่อยที่เเต่ละสำนักเป็นผู้ดูเเลจัดการนั้นหลักจากจบงานประลองของแคว้นแล้วจะต้องมีการเเสดงตัวบัญชีของรายได้ดังกล่าว เเบ่งส่วนรายได้ให้กับทางราชสำนักหรือเจ้าภาพในการจัดงานประลอง แล้วเเต่ว่าจะมีการจัดสรรเเบ่งส่วนรายได้นี้เป็นอย่างไร..." ลู่ซีอธิบายออกมาให้หนิงอ้ายได้เข้าใจมากยิ่งขึ้น
"เเสดงว่าทางราชสำนักของราชวงศ์แคว้นเต่าดำที่เป็นเจ้าภาพของการจัดงานประลองครั้งนี้ รวมไปถึงเจ้าภาพของการจัดงานประลองในเเต่ละครั้งก็จะได้รับผลประโยชน์จากสิ่งเหล่านี้อย่างมากมายมหาศาลเลยสินะขอรับ..." หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นด้วยความเข้าใจ และมีความคิดเห็นว่าไม่ว่าจะเป็นโลกเดิมที่เขาจากมาหรือว่าจะเป็นโลกใบนี้ สุดท้ายเเล้วการพนันนับว่าเป็นอีกทางลัดหนึ่งสู่ความร่ำรวยที่ผู้คนต่างมีความหวังและให้ความสนใจ อีกทั้งยังเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ดึงดูดให้ผู้คนได้หลงมัวเมาเช่นกัน
"เป็นเช่นนั้นเจ้าเข้าใจได้ถูกต้องเเล้ว..." ลู่ซีเอ่ยขึ้นพร้อมกับยกยิ้มด้วยความภาคภูมิใจ
ขณะที่บรรยากาศโดยรอบของงานประลองในตอนนี้ แม้จะยังไม่มีพิธีการเปิดงานประลองเเต่ผู้คนต่างหลั่งไหลเข้ามากระจายกันไปยังที่นั่งดังกล่าวที่ถูกจัดเตรียมไว้จนกล่าวได้ว่าที่นั่งรับชมตอนนี้อาจจะไม่เพียงพอเสียด้วยซ้ำ เเต่ถึงอย่างนั้นผู้คนที่เข้ามาในสนามประลองต่างอดที่จะชื่นชมไม่ได้ว่างานประลองครั้งนี้ที่จัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองครบรอบครั้งที่แปดสิบแปด (88) ทางแคว้นเต่าดำช่างจัดงานได้อย่างยิ่งใหญ่ตระการตายิ่งนัก นับว่าพวกเขาทุกคนต่างตัดสินใจอย่างถูกต้องที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในงานประลองครั้งนี้ อีกทั้งยังตั้งหน้าตั้งตารอรับชมการต่อสู้วรยุทธที่จะเกิดขึ้นในไม่กี่อึดใจรอหลังจากนี้
"ขอต้อนรับทุกท่านที่มาร่วมงานประลองของแคว้นครั้งที่แปดสิบแปดในครั้งนี้ที่ทางราชวงศ์เต่าดำของเรารับเป็นเจ้าภาพจัดงานประลอง ซึ่งก็ถึงเวลาอันสมควรแล้วที่จะเปิดการประลองในรอบเเรก!!!"
หลังจากที่ฮ่องเต้เเห่งราชวงศ์เต่าดำนั้นได้ทำการเปิดพิธีโดยการยิงเกาทัณฑ์ขึ้นไปยังท้องฟ้า ด้านบนของสนามประลองพลันปรากฏเป็นร่างเวทย์เต่าสีดำฟ้าสังกัดธาตุน้ำอันเป็นสัญลักษณ์ของแคว้นซึ่งได้เเหวกว่ายไปโดยรอบของสนามประลอง เพียงไม่กี่จิบชาเท่านั้นก็ระเบิดหายไปกลายเป็นหยดน้ำทิพย์ตกลงมาด้านล่างคล้ายกับเป็นการอวยพรเฉลิมฉลองให้กับงานประลองในครั้งนี้ เสียงประกาศดังก้องไปทั่วทั้งบริเวณที่ใจกลางของสนามประลองปรากฏเป็นแท่นเสาหินขนาดใหญ่โดยที่ตัวคนประกาศนั้นแต่งกายด้วยอาภรณ์ชั้นสูงที่ดูมีอายุราว ๆ ห้าสิบปีได้เเต่ก็ยังดูภูมิฐานอยู่เป็นอย่างมาก
"ผู้ที่ประกาศเปิดงานประลองที่อยู่ตรงแท่นหินนั้นเป็นคนจากตระกูลหรือสำนักใดหรือขอรับ?" หนิงอ้ายเอ่ยถามออกมาด้วยความสงสัย
"เป็นผู้อาวุโสของทางราชวงศ์แคว้นเต่าดำ พวกเขาเหล่านี้จะเป็นผู้ที่ดำเนินการประลองอีกทั้งยังเป็นผู้ตัดสินของการเเข่งขันเเต่ละรอบอีกด้วย..." ลู่ซีตอบกลับไป
หนิงอ้ายพยักหน้าเข้าใจและคิดว่าเเท้ที่จริงเเล้วการจัดประลองที่ได้มีการจัดขึ้นในเเต่ละปีต่างถูกใช้เป็นเครื่องมือในการหาผลประโยชน์ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นทางราชวงศ์เองรวมไปถึงตระกูลใหญ่ของแคว้นรวมไปถึงบรรดาสำนักต่าง ๆ ก็จะได้รับทั้งชื่อเสียงและผลประโยชน์ร่วมกันนับได้ว่าเป็นการพึ่งพาอาศัยที่น่าชื่นชมเลยทีเดียว
"อย่างที่พวกเจ้าได้รับรู้กันไปก่อนหน้า การเเข่งขันครั้งนี้จะเเบ่งออกเป็นสองระดับเท่านั้นซึ่งจะไม่มีการแบ่งช่วงอายุผู้ฝึกตนทั้งสิ้น การประลองในครั้งแรกจะเป็นการเเข่งขันของผู้ฝึกตนราชทินนามขุนนางวิญญาณทั้งสามระดับขั้น และการประลองครั้งที่สองจะเป็นการเเข่งขันระหว่างผู้ฝึกตนราชทินนามจักรพรรดิวิญญาณทั้งสามระดับเช่นกัน... "
"นอกจากนั้นแล้วเงื่อนไขกฎการประลองในครั้งนี้อนุญาติให้ผู้เข้าร่วมการประลองสามารถใช้ได้เพียงบทเวทย์ระดับต่างๆ กระบี่รวมไปถึงสมบัติวิเศษไม่เกินระดับนภา อีกทั้งยังไม่สามารถเรียกใช้วิญญาณยุทธ์ในการประลองได้ แต่ถึงอย่างไรย่อมสามารถใช้พลังจากปราณธาตุต้นกำเนิดในร่างกายได้เช่นกัน..."
"…"
"…"
"…"
"หากผู้ใดยอมรับในกฎการประลองที่เปลี่ยนไปในครั้งนี้ พวกท่านสามารถลงทะเบียนเป็นผู้เข้าเเข่งขันได้ โดยการเขียนชื่อของตนเเล้วนำมาหย่อนในกล่องที่อยู่ตรงด้านหน้านี้... "
"สำหรับกล่องไม้สีขาวนั่นคือผู้ที่สนใจเข้าร่วมลงประลองในฐานะของราชทินนามขุนนางวิญญาณทั้งสามขั้นย่อย ส่วนกล่องไม้สีทองที่ตั้งอยู่ด้านข้างกันย่อมเป็นกล่องรายชื่อของผู้ฝึกตนราชทินนามจักรพรรดิวิญญาณเท่านั้น พึงทราบโดยทั่วกันว่าเลห์กลหรือบทเวทย์ใดไม่อาจแทรกแซงได้ทั้งสิ้น!!" ผู้อาวุโสคนเดิมที่ทำหน้าที่ดำเนินการประลองเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง สิ้นคำประกาศจบเสียงปรบมือ เสียงโห่ร้องได้ดังขึ้นไปทั่วบริเวณสนามประลองอย่างกึกก้อง
บรรดาเหล่าทายาทของตระกูลใหญ่แคว้นต่าง ๆ รวมไปถึงเหล่าศิษย์ของสำนักทั่วทุกแคว้นที่ลงทะเบียนทันห้าร้อยคนเเรกต่างพากันเขียนชื่อราชทินนามของตน ก่อนที่จะส่งมอบแก่ผู้อาวุโสเพื่อนำไปใส่ไว้ในกล่องไม้ตามระดับพลังวิญญาณของตนนั่นเอง
"จากเดิมกฎของการประลองเกือบทุกครั้งจะเเบ่งออกเป็นสองช่วงอายุ อันได้แก่ช่วงอายุสิบห้าปีไม่เกินยี่สิบปีและช่วงอายุยี่สิบเอ็ดปีไม่เกินสามสิบปี ซึ่งจะกำหนดระดับพลังวิญญาณไม่เกินราชทินนามจักรพรรดิวิญญาณขั้นสูง ทว่าการประลองครั้งนี้กฎเกณฑ์ดังกล่าวได้ถูกยกเลิกไปสิ้นเกี่ยวกับช่วงอายุในการประลอง โดยจะเเบ่งการแข่งขันออกเป็นสองกลุ่มตามระดับพลังวิญญาณ หลังจากนั้นผู้ที่ผ่านเข้ารอบทั้งหมดจะมาเเข่งขันกันอีกครั้งเพื่อหาผู้ชนะห้าอันดับเเรกใช่ไหมขอรับ??" หนิงอ้ายเอ่ยถามขึ้นตามที่ตนเข้าใจในการเปลี่ยนกฎเกณฑ์ของงานประลองในครั้งนี้
"เจ้าเข้าใจถูกต้องเเล้ว..."
ลู่ซีค่อนข้างเป็นห่วงหนิงอ้ายอยู่ไม่น้อย เพราะถึงแม้ว่าตอนนี้ระดับพลังวิญญาณของหนิงอ้ายจะสูงกว่าเขาหนึ่งระดับ เเต่ด้วยความที่หนิงอ้ายนั้นพึ่งปลุกพลังวิญญาณเข้าสู่วิถีผู้ฝึกตนได้ไม่ถึงสองปีเท่านั้น หากมีโอกาสได้เข้าเเข่งขันลงสนามประลองในรอบลึก ๆ ย่อมเสียเปรียบในเรื่องของประสบการณ์อย่างแน่นอน
"ข้าตื่นเต้นมากขอรับ อยากจะเห็นฝีมือการประลองของผู้ฝึกตนราชทินนามจักรพรรดิวิญญาณเเล้ว..." หนิงอ้ายเอ่ยออกมาด้วยความตื่นเต้น แม้ว่าระยะเวลาเขาได้ฝึกฝนอย่างหนักก็จริง เเต่อย่างไรเล่าหากมีเเต่ความรู้เเต่ขาดซึ่งประสบการณ์จะนับว่าเป็นอันใดได้ อีกอย่างโลกของผู้ฝึกตนนั้นไม่ได้สวยงามเท่าไหร่นัก มีเพียงผู้ที่เเข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะเป็นผู้ที่อยู่สูงสุดและได้รับการนอบน้อมยำเกรง
"เกอเอาป้ายชื่อไปใส่ในกล่องรายชื่อประลองก่อน จ้านั่งรออยู่ตรงนี้อย่าซุกซนเข้าใจหรือไม่??" ลู่ซีเอ่ยสำทับเด็กหนุ่มก่อนที่จะเเยกตัวเดินไปตรงจุดวางกล่องใส่รายชื่อตรงกลางสนามประลองดังกล่าว
ในตอนนี้ลู่ซีเป็นผู้ฝึกตนราชทินนามขุนนางวิญญาณขั้นสูงจึงทำการหย่อนชื่อของตนในกล่องรายชื่อระดับเเรกที่เป็นกล่องไม้สีขาว สำหรับหนิงอ้ายถูกหย่อนป้ายชื่อลงในกล่องไม้สีทองที่เป็นการเเข่งขันระดับที่สอง เนื่องจากว่าในตอนนี้หนิงอ้ายถือได้ว่าเป็นผู้ฝึกตนราชทินนามจักรพรรดิวิญญาณแล้ว
"การเเข่งขันในระดับเเรกของผู้ฝึกตนราชทินนามขุนนางวิญญาณดูเหมือนว่าในปีนี้จะมีรายชื่อเข้าเเข่งขันเป็นจำนวนมาก ดังนั้นการเเข่งขันจะเเข่งทีละห้าคู่คนที่พ่ายแพ้จะถูกคัดออกและหมดสิทธิในการเเข่งขันรอบต่อไปในทันที สำหรับผู้ชนะนั้นจะต้องทำการเเข่งขันประลองไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะได้ผู้ชนะในระดับเเรกจำนวนห้าคนเท่านั้น!!!" ผู้อาวุโสที่ทำหน้าที่ดำเนินการประลองประกาศออกมาเสียงดัง...
"การเเข่งขันผู้เข้าประลองสามารถใช้ได้ทั้งวรยุทธอีกทั้งบทเวทย์ระดับต่าง ๆ รวมไปถึงอสูรรับใช้ก็ได้เช่นกันสำหรับการลงเเข่งขันจะไม่จำกัดเวลาจนกว่าจะล้มคู่ต่อสู้ได้ อีกทั้งการลงประลองนั้นจะเป็นการสุ่มรายชื่อ ผู้ชนะในเเต่ละรอบประลองอาจจะได้ลงประลองอีกหลายครั้งในขณะที่บางคนอาจจะได้ลงประลองเพียงเเค่หนึ่งหรือสองครั้งเพียงเท่านั้น เท่ากับว่านอกจากที่พวกเจ้าจะต้องอาศัยฝีมือของตนเเล้วนั้นก็ต้องอาศัยโชคเช่นกันว่าวันนี้จะเป็นวันของพวกเจ้าหรือไม่?"ผู้อาวุโสที่ทำหน้าที่ดำเนินการประลองพูดถึงความพิเศษของกฎการลงประลองครั้งนี้ สิ้นเสียงกล่าวจบลงผู้คนต่าง ๆ ที่อยู่โดยรอบสนามประลองต่างส่งเสียงเชียร์ดังกระหึ่มสร้างความรู้สึกฮึกเหิมด้วยเพราะว่าตอนนี้ถึงเวลาที่ทุกคนรอคอยเเล้ว"หากเป็นการสุ่มรายชื่อ หากว่ามีผู้ชนะในการลงประลองเเต่ละครั้งเเต่ในทุกการสุ่มรายชื่อดันมีเเต่รายชื่อของเขาให้ลงเเข่งขันเเต่กลับอีกคนอาจจะมีรายชื่อในการประลองเพียงไม่กี่ครั้งหากเป็นเช่นนี้จะไม่เป็นการเสียเปรียบกันหรือขอรับ??" หนิงอ้ายถามขึ้น ด้วยเพราะเขาสังเกตว่ากฎการประลองที่มีการปรับเปลี่ยนนี้มีช่องโหว่ค่อนข้างเยอะเลยทีเดียว หากว่ามีมื
ผู้คนที่อยู่ในสนามประลองที่ให้ความสนใจกับการประลองของคู่นี้ต่างแตกตื่นกันเป็นอย่างมาก เพราะสัตว์อสูรที่คุณชายกวงเหยาหานเรียกออกมา นอกจากว่าจะเป็นสิงโตเพลิงที่หายากเเล้วยังเป็นสัตว์อสูรมายาขั้นกลางอีกด้วย นับว่าตระกูลกวงนั้นให้ความสำคัญแก่คุณชายกวงเหยาหานท่านนี้ไม่น้อยเลยทีเดียว"โจมตีพวกมันซะ!!!" กวงเหยาหานสั่งอสูรสิงโตมกรเพลิงของตนเข้าโจมตีลู่ซีในทันทีโฮก!วูบ!อสูรสิงโตมกรเพลิงคำรามออกมาเสียงดังพร้อมกับพุ่งทะยานเข้าโจมตีลู่ซีด้วยความรุนแรงเกรี้ยวกราดโฮก!ตู้ม! ตู้ม!ลู่ซีไม่ยอมตกเป็นรองในการประลองครั้งนี้ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายได้อัญเชิญอสูรรับใช้ของตนออกมา เขาจึงอัญเชิญอสูรในพันธะนั่นคือเสี่ยวเฟิง หรือวิฬาร์อัสนีสีชาดนั่นเองเสียงร้องของวิฬาร์อัสนีสีชาด สัตว์อสูรมายาขั้นกลางร้องดังขึ้นไปทั่วสนามประลอง จนผู้คนที่มีพลังวิญญาณไม่สูงมากรวมไปถึงชาวบ้านธรรมดาต่างต้องยกมือขึ้นมาปิดหูของตนในทันที สายพลังเเห่งอัสนีบาตที่พวยพุ่งอยู่โดยรอบตัวของวิฬาร์อัสนีสีชาดได้ถูกปลดปล่อยออกมา โดยที่ไม่ต้องให้ลู่ซีบัญชาการอีกฝ่ายได้พุ่งโจมตีไปยังสิงโตมกรเพลิงด้วยความรวดเร็วไม่ทันได้ตั้งตัวเสียด้วยซ้ำ"เฮือก
ด้วยเพราะหนิงอ้ายใช้เนตรเเห่งสวรรค์จึงทำให้เขาสามารถบอกลู่ซีถึงผู้ที่เข้ารอบมาในเเต่ละคนนั้นว่ามีจุดเเข็งในด้านใด ควรระวังในเรื่องใดบ้างรวมไปถึงจุดอ่อนต่าง ๆ แม้เพียงนิดก็ไม่อาจหลุดรอดสายตาไปได้ อีกทั้งหนิงอ้ายยังคงพูดคุยแนะนำให้กับลู่ซีถึงการใช้บทเวทย์กับผู้ฝึกตนที่เข้ารอบเเต่ละคนว่าควรใช้บทเวทย์ใดกับผู้ใดบ้างหากว่าถูกสุ่มรายชื่อให้ลงสนามประลอง"ขอบใจเจ้ามากหากว่าไม่ไหวจริง ๆ เกอจะขอยอมแพ้เอง..." ลู่ซีเอ่ยตอบกลับหนิงอ้ายไปด้วยรู้ว่าคนด้านข้างนั้นเป็นห่วงเขาไม่น้อยเเต่ถึงอย่างนั้นนับจากการลงประลองในครั้งเเรกจนถึงตอนนี้ตนยังไม่ได้ลงเเข่งขันอีก ดังนั้นสำหรับเขาและหนิงอ้ายที่ก่อนหน้าได้เเลกเปลี่ยนความคิดเห็นว่าในการประลองของเเต่ละคู่นั้นผู้ใดจะเป็นผู้ชนะ หรือแม้กระทั้งว่าหากตัวเขานั้นได้ลงประลองกับผู้ประลองคนดังกล่าวจะเเก้ทางของบทเวทย์ที่อีกฝ่ายใช้หรือว่าควรใช้วรยุทธอย่างไรโต้กลับ เพื่อที่จะให้ตนสามารถเป็นผู้ชนะได้นั่นเองการประลองยังคงดำเนินต่อไปเพื่อเฟ้นหาผู้แข่งขันสิบคนเพื่อเข้าสู่การประลองครั้งสุดท้ายในรอบแรก เพื่อประลองกันอีกครั้งจนได้ตัวเเทนของราชทินนามขุนนางวิญญาณเพียงห้าคนเท่านั
คุณชายรองตระกูลจางหรือจางหมิงหวัง ก่อนหน้านี้ได้ทำการร่ายบทเวทย์อัญเชิญสัตว์อสูรรับใช้ในพันธะของตนออกมากลางสนามประลองเเห่งนี้ปรากฏเป็นสัตว์อสูรรูปร่างใหญ่โตที่มีความสูงราวสามเมตร สัตว์อสูรในพันธะที่ถูกอัญเชิญออกมาของคุณชายจางหมิงหวังมีรูปลักษณ์ภายนอกคล้ายกับวัวขนสีน้ำตาลทองสว่างไสว มีดวงตาสีแดงกล่ำที่เเสดงให้เห็นถึงท่าทางความดุร้ายออกมาอย่างเปิดเผยราวกับว่าไม่ต้องการปกปิดแม้เเต่เพียงนิดทั่วทั้งร่างกายของสัตว์อสูรตัวดังกล่าวนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยมัดกล้ามที่ส่งกลิ่นอายถึงความเเข็งแกร่งของสัตว์อสูรมายาออกมาให้ได้สัมผัส นอกจากนั้นแล้วยังส่งเสียงคำรามดังกึกก้องไปทั่วทั้งสนามประลองพร้อมกับกำหมัดขึ้นทั้งสองข้าง และทุบตีที่อกของตัวเองไปมาพร้อมกับกวาดสายตามองไปทั่วทั้งบริเวณด้วยความที่เป็นถึงสัตว์อสูรมายา ดังนั้นเพียงเเค่เสียงคำรามที่ร้องออกมาก็สามารข่มขวัญผู้คนที่อยู่โดยรอบของสนามประลอง อีกทั้งยังส่งผลทำให้ม่านพลังเกราะป้องกันที่ถูกร่ายกำกับไว้ในสนามประลองถึงกับสั่นไหวไปมา หากว่าบทเวทย์ป้องกันที่ใช้ในสนามประลองดังกล่าวไม่ได้อยู่ในระดับสูง หรือไม่ได้มีการร่ายกำกับไว้หลายชั้นคงถูกทำลายลงไปนานเเ
คุณชายรองจางหมิงหวังถูกทัณฑ์สายฟ้าจากบทเวทย์ยันต์เขตแดนระดับเทวะเข้าโจมตีอย่างรุนแรงและต่อเนื่องเป็นเวลาเกือบหนึ่งเค่อ จนทำให้ตัวของจางหมิงหวังถึงกับล้มลงไปกับพื้นหมดสติไปด้วยความเจ็บปวด ทั่วทั้งร่างกายปรากฏเป็นบาดแผลทั้งจากการใช้การต่อสู้กับลู่ซีในการใช้อาวุธและวรยุทธต่าง ๆ รวมไปถึงการโจมตีของบทเวทย์เขตแดนระดับเทวะเมื่อสักครู่ทำให้มีเลือดไหลซึมออกมาทั่วทั้งร่างกายมีรอยไหม้อยู่หลายจุดเลยเช่นกัน"ถือว่าเอาคืนที่เจ้าเคยสั่งให้บ่าวรับใช้ในจวนทำร้ายหนิงอ้ายจนสลบไปในครั้งนั้นเสียเเล้วกันนะจางหมิงหวัง..." ลู่ซีเอ่ยขึ้นเบา ๆ กับอีกฝ่ายที่ในตอนนี้หมดสติลงไปที่พื้นฝั่งตรงข้ามใบหน้าของลู่ซีซีดลงอย่างเห็นได้ชัดจากการที่ตัวเขาฝืนใช้บทเวทย์เขตแดนระดับเทวะจึงทำให้สูญเสียพลังเวทย์ไปไม่น้อยเนื่องจากว่าตัวของลู่ซีได้ฝืนใช้งานบทเวทย์ระดับสูงเช่นนี้ แน่นอนว่าสิ่งที่ต้องเเลกเปลี่ยนนั่นคือพลังลมปราณจะลดลงเป็นอย่างมาก ต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูไม่น้อยรวมไปถึงต้องใช้โอสถฟื้นฟูขั้นสูงในการเพิ่มพลังลมปราณให้กลับมาดังเดิมได้อีกครั้ง"คุณชายลู่ซีเป็นผู้ชนะ!!!!!" สิ้นเสียงของผู้อาวุโสคนเดิมที่ทำหน้าที่เป็นผู้ดำเนิน
งานประลองของแคว้นที่ได้ถูกจัดขึ้นในเเต่ละครั้ง ล้วนไม่มีกำหนดช่วงระยะวันเวลาที่ตายตัวของงานประลองเวทย์ดังกล่าวว่าท้ายที่สุดแล้วนั้นจะเริ่มต้นการประลองและสิ้นสุดลงภายในกี่วัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับกฎกติกาที่ถูกตั้งกำหนดเอาไว้เพื่อเป็นข้อจำกัดในการประลอง การสร้างความท้าทายของขีดจำกัดของพลังเวทย์ ระดับพลังวิญญาณรวมไปถึงการสรรหาผู้ฝึกตนที่เต็มเปี่ยมไปด้วยฝีมือทั้งวิทยายุทธการต่อสู้รวมไปถึงการใช้บทเวทย์ต่าง ๆ เพื่อเป็นการจัดอันดับของผู้ฝึกตนในโลกยุทธภพเพื่อเเสดงถึงความเเข็งแกร่งผู้ฝึกตนที่เป็นผู้ชนะในห้าอันดับเเรกจะถูกเรียกว่ากลุ่มเสาหลักเเห่งยุทธภพจะสังกัดโดยตรงกับวิหารเทพยุทธ์ มีหน้าที่คอยดูเเลช่วยเหลือปกป้องผู้คนในโลกฝึกตน รูปแบบของงานประลองของแคว้นล้วนแตกต่างกันไปในเเต่ละครั้ง นับว่าสร้างความตื่นเต้นให้ทั้งกับตัวของผู้ฝึกตนที่ได้ลงสนามเเข่งขันประลองเอง หรือแม้กระทั่งผู้รับชมจากแคว้นต่าง ๆ ที่อยู่ในสนามประลองเวทย์ ทางแคว้นที่ได้รับเป็นเจ้าภาพของจัดการประลองจะเป็นผู้กำหนดรูปแบบการเเข่งขันประลองให้มีความแตกต่างกันไปงานประลองระหว่างแคว้นครั้งที่แปดสิบแปด (88) นี้ ทางแคว้นเต่าดำได้รับเป็นเจ้า
ผู้คนที่อยู่รอบข้างได้ยินบทสนทนาดังกล่าวต่างพากันตกใจไม่น้อย ทุกคนล้วนจำได้ว่าคุณชายหน้าตาหล่อเหลาที่พึ่งพูดจบลงไปนั่นคือคุณชายลู่ซี ผู้เป็นตัวแทนหนึ่งในห้าคนเเรกที่ผ่านการประลองในรอบถัดไป นอกจากจะมีความสามารถที่โดดเด่นเเล้วอีกฝ่ายยังครอบครองสัตว์อสูรมายาอีกด้วยบทสนทนาเมื่อครู่แม้จะเป็นการพูดคุยด้วยเสียงที่เบามากเพียงใดเเต่ด้วยพวกเขาที่เป็นผู้ฝึกตนที่นับได้ว่าประสาทสัมผัสล้วนดีกว่าคนธรรมดาหลายเท่านักเมื่อเห็นว่าคุณชายลู่ซีได้พูดคุยกับคุณชายหนิงผู้ลึกลับที่สวมผ้าคลุมปกปิดตัวตนที่พึ่งจบการประลองไปเมื่อครู่ บทสนทนาพูดคุยกันราวกับว่าเป็นพี่น้องกันเเต่นั่นไม่อาจทำให้ตกใจเท่ากับบทสนทนาที่ว่าคุณชายหนิงพึ่งทำการปลุกพลังวิญญาณได้ไม่ถึงสองปีเท่านั้น เเต่กลับเป็นถึงราชทินนามจักรพรรดิวิญญาณ ยังไม่รวมถึงเคล็ดวิชากระบี่ที่พริ้วไหวเฉียบขาดและความสามารถอื่นที่ร่างบางนั้นยังไม่ได้เเสดงให้ผู้คนได้เห็นอีก'เจ้าได้ยินเหมือนกับข้าหรือไม่? คุณชายหนิงพึ่งปลุกพลังวิญญาณได้เพียงไม่นานเเต่กลับเป็นถึงราชทินนามจักรพรรดิวิญญาณแล้ว ช่างน่าตกใจยิ่ง!!''บ้าไปเเล้ว!! บางคนปลุกพลังวิญญาณตั้งเเต่เจ็ดขวบปีเเต่ยังไม่สา
ด้วยความโกรธที่อีกฝ่ายทำให้เขาต้องรู้สึกอับอายเช่นนี้ จางเหยากวงจึงตัดสินใจอัญเชิญสัตว์อสูรของตนออกมาในทันทีจงออกมา อสูรราชันย์ศารกูลทมิฬ!!!!วูบ!โฮก!อสูรรับใช้ของจางเหยากวงนั้นปรากฏเป็นรูปลักษณ์คล้ายกับเสือดำที่มีลำตัวสูงใหญ่มีเปลวเพลิงสีดำลึกลับลุกท่วมไปทั่วทั้งตัว ดวงตาสีแดงเข้มดุดัน รอบตัวรายล้อมไปด้วยกลิ่นอันตรายราวกับว่าพร้อมที่จะทำลายทุกสิ่งให้มอดเป็นจุลผู้คนที่อยู่โดยรอบสนามประลองต่างส่งเสียงเชียร์กระหึ่ม ด้วยเพราะว่าในตอนนี้อสูรมายาระดับกลางได้ปรากฎในสนามประลองอีกครั้งเเล้วย่อมสร้างความตื่นเต้นเพิ่มขึ้นไปอีกมาก กลิ่นอายของสัตวอสูรมายาระดับกลาง ราชันย์ศารกูลทมิฬที่ได้เเผ่ออกมานั้นทำให้ผู้ฝึกตนที่อยู่โดยรอบสนามประลองรู้สึกอึดอัด แม้ว่าจะมีเกราะป้องกันเวทย์ที่คอยปกป้องอยู่เเล้วก็ตาม...'บ้าไปแล้วสัตว์อสูมายาระดับกลางอีกตัวเช่นนั้นรึ?? นี่ไม่ใช่งานประลองของผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์เเล้ว''แล้วทางคุณชายหนิงจะไหวหรือไม่นั่นเจอทั้งบทเวทย์ระดับสูงอีกทั้งสัตว์อสูรมายาที่แข็งแกร่งว่องไวเช่นนี้...'"จัดการมัน!!!" จางเหยากวงชี้ไปทางหนิงอ้าย ก่อนที่อสูรราชันย์ศารกูลทมิฬได้พุ่งเข้าโจมตีหนิงอ้า
ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู
ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง
คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต
การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์
หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร
ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต
มหาพิภพพิสดารแห่งนี้ประกอบไปด้วยสามพิภพ สี่มหาสมุทร แปดมหาทวีป โดยที่สามพิภพนั้นจะแบ่งเป็นดินแดนพิภพระดับสูง ดินแดนพิภพระดับกลางและพิภพระดับล่าง โดยมีสี่ทะเลมหาสมุทรตั้งอยู่ 4 ทิศล้อมรอบที่เชื่อว่าเป็นที่พักพิงของเทพบรรพกาลสูงสุดทั้งสาม และแปดมหาทวีปที่ได้มีการแบ่งการปกครองตามทิศทั้งแปดของดินแดนพิภพระดับกลาง ด้วยเพราะต่างมีผู้ปกครองดินแดนอันเป็นตัวตนที่ไม่ธรรมดาสามัญทั้งสิ้น ดังนั้นการเดินทางข้ามผ่านแต่ละเขตดินแดนจึงจำเป็นต้องมีเงื่อนไขกฎเกณฑ์ที่แตกต่างกันไปสำหรับการเดินทางข้ามเขตแดนทั้งสามพิภพโดยเฉพาะดินแดนพิภพระดับสูงและดินแดนพิภพระดับกลางนั้น เงื่อนไขสำคัญคือผู้ฝึกตนที่บ่มเพาะพลังปราณในดินแดนพิภพระดับกลาง หากไม่สามารถเลื่อนระดับเป็นราชทินนามอัครพรหมยุทธ์วิญญาณหรือครอบครองพลังวิญญาณในระดับที่101ได้ย่อมไม่อาจก้าวล้ำมายังดินแดนพิภพระดับสูงนี้ได้ด้วยขีดจำกัดของกายเนื้อที่ไม่สามารถรองรับพลังปราณฟ้าดินบริสุทธิ์เข้มข้นที่ไหลเวียนหล่อเลี้ยงทั่วทั้งมหาพิภพ เพราะหากไร้ซึ่งความแข็งแกร่งของสายโลหิตและพลังปราณที่ล้ำลึกที่เพียงพอ ไม่กี่ชั่วลมหายใจร่างกายและจิตวิญญาณย่อมถูกบดขยี้ไปสิ้นแต่ในทางก
ไม่น่าเชื่อว่าเพียงหนึ่งราตรีที่ผ่านพ้น สำนักหมาป่าทมิฬจะถูกฆ่าล้างสำนักจนไม่เหลือแม้แต่ผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว การจู่โจมโดยไม่อาจตั้งตัวนั้นได้ส่งผลให้เหล่าสมาชิกในสำนักต้องสังเวยชีวิตอย่างน่าสลดใจ สิ่งนี้กล่าวว่าได้สร้างความตื่นตะลึงแก่กลุ่มอิทธิพลมืดในยุทธภพอยู่ไม่น้อย แม้ว่าสำนักหมาป่าทมิฬจะเป็นสำนักที่พึ่งก่อตั้งได้ไม่กี่สิบปีแต่ก็มีชื่อเสียงโด่งดังในด้านความโหดเหี้ยมและไร้ความปรานี การล่มสลายของสำนักในครั้งนี้จึงกลายเป็นปริศนาที่ยากจะคาดเดาได้ว่าจะเกิดขึ้นสิ่งที่น่าตื่นตะลึงนั่นคืออดีตผู้ก่อตั้งสำนักนั้นเป็นถึงราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณที่มีรากฐานบ่มเพาะไม่ธรรมดาสามัญรวมไปถึงเจ้าสำนักคนปัจจุบันนั้นก็เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นสูงที่มากไปด้วยความสามารถไม่อ่อนด้อยแม้จะขึ้นชื่อในเรื่องของความวิปริตมากกว่าก็ตาม ไม่นับรวมถึงบรรดาผู้อาวุโสที่ล้วนต่างเป็นราชทินนามระดับสูงที่ไม่อาจดูแคลนได้ทั้งสถานที่ตั้งยังรายล้อมไปด้วยมหาค่ายกลเขตแดนธรรมชาติที่ใช่ว่าจะสามารถบุกฝ่าทะลวงไปได้โดยง่าย ข่าวการกวาดล้างสำนักหมาป่าทมิฬได้แพร่สะพัดออกไปราวกับไฟลามทุ่ง ไม่รู้ว่าทางสำนักได้ไปรับภารกิจหรือได้ล
ท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดและเศษซากร่างไร้วิญญาณของศัตรูที่พ่ายแพ้ หนิงอ้ายเรียกใช้พลังปราณตวัดเอาแหวนมิติและสมบัติวิเศษประจำตัวของผู้ตกตายทั้งหมดย้ายเข้ามาในแหวนมิติของตนอย่างไรสิ่งเหล่านี้ย่อมสามารถทำประโยชน์ได้อยู่ไม่น้อย ในใจเขาไม่นึกรังเกียจเลยเพียงนิด การเข่นฆ่าสังหารแล้วช่วงชิงสิ่งของของผู้ที่ตกตายไปนั้นเป็นสิ่งที่พบเจอได้ทั่วไปในยุทธภพจากนั้นหนิงอ้ายได้ระดมเรียกเปลวเพลิงบริสุทธิ์จากปราณทิวาธาตุเข้าแผดเผาเศษซากชิ้นเนื้อรวมไปถึงจิตวิญญาณของบรรดานักฆ่าเหล่านี้ให้สูญสลายโดยไม่อาจหวนคืนในวัฏจักรสังขารได้อีก จากเศษเสี้ยวความทรงจำที่เขาสัมผัสได้นั้นคนกลุ่มนี้หาใช่เป็นคนดีแต่อย่างใด ตลอดช่วงอายุที่ผ่านมาก็ล้วนแต่กระทำต่ำช้า สังหารผู้บริสุทธิ์มาไม่น้อย เพียงเท่านี้ย่อมไม่อาจชดเชยได้เสียด้วยซ้ำไม่ถึงครึ่งเค่อให้หลัง ห้วงมิติที่ถูกผนึกไว้เมื่อไร้ซึ่งผู้บัญชาการยามนี้ม่านพลังประหลาดดังกล่าวจึงได้ซ่านสลายไปในที่สุด เผยให้เห็นหมู่เมฆาที่ล่องลอยประดับเหนือท้องฟ้า เสียงแมลงน้อยใหญ่ดังขึ้นทั่วทั้งผืนป่าโดยรอบขับขานบรรเลงสอดประสานเป็นท่วงทำนองเสนาะหู แสงไฟเวทย์จากอาคารบ้านเรือน เสียงโหวกเหวกโวยวาย