ในที่สุดวันเวลาก็ได้ผันเปลี่ยนหมุนเวียนมาถึงเช้าของวันใหม่ซึ่งเป็นวันเเรกตามกำหนดการของงานประลองของแคว้นที่มีการประกาศจัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองครบรอบครั้งที่แปดสิบแปด (88) ตัวเลขแปด (8) นั้นชาวยุทธภพรวมไปถึงชาวบ้านธรรมดาในทั่วทุกแคว้นต่างมีความเชื่อกันว่าเป็นตัวเลขที่ดีเป็นอย่างมาก มีความข้องเกี่ยวกับความร่ำรวยในเงินทองยิ่งหากมีตัวเลขนี้ต่อกันมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งหมายถึงความร่ำรวยที่ไม่มีความสิ้นสุด
เเต่ละแคว้นจะมีการปกครองในแคว้นของตนให้มีความเป็นอยู่ที่ดีก็จริงเเต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าฐานะของเเต่ละตระกูลในแคว้นต่างมีเรื่องของเงินทองหรือความร่ำรวยเป็นสิ่งที่สำคัญเข้ามาเกี่ยวข้องทั้งสิ้นไม่ว่าจะในเรื่องของหน้าตาของตระกูล การทำกิจการเพื่อหาเงินทองมาใช้ในการปกครองคนในจวนของตนรวมไปถึงการได้ถูกยอมรับนับถือจากผู้คนทั่วไปอีกด้วยและก็มีไม่น้อยเช่นกันที่พื้นที่อยู่อาศัยหรือพื้นที่ทำมาหากินที่มีทำเลที่ดีมักจะเป็นกรรมสิทธิ์ครอบครองของตระกูลที่ร่ำรวยไปส่วนใหญ่
อีกทั้งยังมีการจัดสรรเเบ่งเขตที่อยู่อาศัยนั้นก็ยึดจากความร่ำรวยเข้ามาข้องเกี่ยวไม่น้อยโดยที่ตระกูลใหญ่หรือตระกูลที่ร่ำรวยนั้นจะมีพื้นที่จวนอยู่บริเวณรอบนอกด้านในถัดไปจากเขตของพระราชวังที่ตั้งอยู่ตรงใจกลางของแคว้นและสำหรับตระกูลที่เหลือรวมไปถึงชาวบ้านธรรมดาที่ไม่ได้มีเงินทองมากมายเท่าใดนักก็จะอาศัยอยู่ในเขตรอบนอกถัดไปจากตระกูลที่ร่ำรวยอีกทีหรือบางครั้งก็มีการอาศัยบริเวณชายป่าเสียด้วยซ้ำดังนั้นเมื่องานประลองครั้งนี้ได้ถูกแจ้งว่าจะมีการจัดงานประลองเกิดขึ้นย่อมดึงดูดผู้คนอย่างมากมายหลากหลายแคว้นที่ได้เข้ามาร่วมไปถึงกลุ่มคนทุกชนชั้นเช่นกันโดยหวังเพียงเเต่ว่าการที่พวกเขานั้นได้เข้ามาร่วมงานในการประลองแคว้นครั้งที่แปดสิบแปด (88) ครั้งนี้พวกเขาจะได้รับการอวยพรให้มีเงินทองร่ำรวยขึ้นไปนั่นเอง
สำหรับงานประลองในครั้งนี้นั้นนับได้ว่าเป็นงานประลองครั้งที่สำคัญอีกครั้งหนึ่งก็ว่าได้เลยเช่นกันซึ่งเพียงเเค่มีข่าวลือว่าเป็นการเฉลิมฉลองครบรอบครั้งที่แปดสิบแปด (88) ก็ทำให้งานประลองครั้งนี้ต่างได้รับความสนใจเป็นอย่างมากมายจากผู้คนทั่วทุกแคว้นเเล้วยังไม่รวมถึงข่าวลือที่มีการกล่าวถึงกันในทุกวงน้ำชายามบ่ายหรือทุกเหลาอาหารต่าง ๆ ถึงความพิเศษที่เป็นไปได้ในของรางวัลสำหรับผู้ที่ชนะในห้าอันดับเเรกซึ่งจะได้รับของรางวัลที่คุ้มค่ากว่าในทุกปีที่ผ่านมาบ้างก็ว่าของรางวัลคือบทเวทย์ระดับเซียนที่มีการนำออกมามอบให้จากราชวงศ์เต่าดำผู้เป็นเจ้าภาพในการจัดงานประลองครั้งนี้
บ้างก็ว่าผู้ที่ชนะสามารถเอ่ยขอสิ่งใดจากราชวงศ์ของแคว้นก็ได้หนึ่งคำขอ หรือว่าแม้กระทั่งผู้ที่ชนะสามารถเลือกเข้าเป็นศิษย์สายในของสำนักศึกษาใดก็ได้โดยที่ไม่ต้องผ่านการทดสอบของสำนักศึกษาดังกล่าว ซึ่งประเด็นนี้นั้นนับว่าสร้างความแตกตื่นในโลกยุทธภพไม่น้อยเพราะว่าโดยปกติเเล้วนั้นผู้ที่ชนะการประลองต่างจะถูกรับเข้าเป็นศิษย์ของสำนักศึกษาโดยที่ไม่มีสิทธิ์ในการเลือกปฏิเสธได้
แม้ว่างานประลองครั้งนี้จะยังไม่ทราบรางวัลของผู้ที่ชนะหรือผู้ที่เข้าร่วมอย่างชัดเจนเเต่เพียงเเค่ข่าวลือในส่วนของรางวัลดังกล่าวนี้ก็ดึงดูดผู้คนให้เข้ามาร่วมงานประลองครั้งนี้มากกว่าครั้งก่อนแล้ว หากว่าผลรางวัลของผู้ชนะเป็นเช่นนี้จริงก็นับว่าน่าสนใจไม่น้อยที่พวกเขาจะเข้าร่วมแย่งชิงศึกในงานประลองครั้งนี้ ที่ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มชาวบ้านธรรมดารวมไปถึงกลุ่มผู้ที่ไม่ได้เข้าสู่ในวิถีของผู้ฝึกตนหรือแม้กระทั่งชาวยุทธภพที่มีพลังวิญญาณและอายุอยู่ในเกณฑ์กำหนดที่อาศัยอยู่ในทั่วทุกแคว้นในยุทธภพนั้นต่างหลั่งไหลเดินทางเข้ามาในแคว้นเต่าดำที่รับเป็นเจ้าภาพในการประลองครั้งนี้กันอย่างคึกคักกันเลยทีเดียว
สำหรับลานพิธีของการประลองแคว้นในครั้งนี้ได้ถูกจัดขึ้นโดยการใช้พื้นที่ตรงบริเวณส่วนหน้าของพระราชวังที่ตั้งอยู่ตรงใจกลางมหานครแคว้นเต่าดำที่ซึ่งในตอนนี้นั้นได้ถูกปรับเปลี่ยนเป็นสนามประลองดังกล่าวขึ้นแล้วซึ่งงานประลองนี้นับว่ามีการจัดขึ้นมาอย่างต่อเนื่องโดยที่ว่าในปีนี้นั้นเป็นการเฉลิมฉลองครบรอบครั้งที่แปดสิบแปด (88) ในเเต่ละครั้งในการจัดงานประลองของแคว้นนั้นจะมีการสลับเปลี่ยนหมุนเวียนการเป็นเจ้าภาพของการจัดงานเพื่อเป็นการเชื่อมความสัมพันธ์อันดีงามรวมไปถึงการสร้างมิตรสหาของแคว้น ไม่ว่าจะเป็นห้าแคว้นที่เหลือรวมไปถึงสำนักศึกษาที่ขึ้นชื่อต่าง ๆ ของเเต่ละแคว้นนั้นหากว่ามั่นใจว่ามีคุณสมบัติที่มากเพียงพอรวมไปถึงประวัติความเป็นมาที่ดีก็สามารถยื่นคำร้องเป็นเจ้าภาพในการจัดการงานประลองดังกล่าวนี้ได้เช่นกัน
งานประลองเวทย์ครั้งที่88นี้นับได้ว่าเป็นงานที่ได้รับความสนใจจากทุกฝ่ายเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกตนในยุทธภพที่อาศัยอยู่ในแคว้นต่าง ๆ รวมไปถึงชาวบ้านธรรมดาที่ไม่ใช่ผู้ฝึกตนต่างหลั่งไหลเข้าร่วมงานประลองครั้งนี้กันอย่างคึกคักบรรดาเหล่าสำนักศึกษาน้อยใหญ่ต่างมีการส่งตัวเเทนศิษย์ของเเต่ละสำนักของตนเข้าเเข่งขันในการประลองเพื่อเป็นการฝึกฝน ศิษย์ในสำนักของตนรวมไปถึงเป้าหมายในการสร้างชื่อเสียงแก่สำนัก
เหล่าบรรดาขุนนางเชื้อพระวงศ์ของแคว้นต่าง ๆ ตระกูลใหญ่ของเเต่ละแคว้นต่างให้ความสนใจและเดินทางเข้าร่วมกันอย่างมากมายอีกด้วย เพราะนอกจากจะเป็นการเเลกเปลี่ยนฝีมือของกลุ่มคนช่วงวัยใกล้เคียงกันเเล้วนั้นอีกเหตุผลแอบแฝงนั่นก็คือเพื่อทราบถึงบุคคลที่มีความสามารถของเเต่ละฝ่ายที่อาจจะสามารถผูกมิตรหรือเป็นศัตรูในอนาคตได้
บางครั้งก็นับได้ว่างานประลองแคว้นก็ไม่ต่างจากงานดูตัวไปสักนิด ด้วยเพราะว่าในเเต่ละราชวงศ์หรือเเต่ละตระกูลนั้นต่างต้องการเชื่อมความสัมพันธ์กับผู้ฝึกตนที่มีความสามารถหรือตระกูลใหญ่ต่าง ๆ เพื่อสร้างความมั่นคงของตระกูล
บริเวณลานหน้าพระราชวังของแคว้นเต่าดำในตอนนี้ได้ถูกปรับเปลี่ยนเป็นสนามประลองขนาดใหญ่ที่สามารถจุได้มากถึงเกือบแสนคนเลยทีเดียว ตรงที่พื้นของสนามประลองนั้นถูกปูไปด้วยเเผ่นหินศิลาแกร่งที่มีจำนวนมหาศาลที่เเต่ละเเผ่นนั้นถูกกำกับด้วยบทเวทย์ระดับสูงหลายชั้นที่สามารถป้องกันในการถูกทำลายหรือความเสียหายอันจะเกิดขึ้นในงานประลองครั้งนี้ โดยที่รอบตัวของสนามประลองทั้งหมดนั้นมีที่นั่งคล้ายกับสเตเดี้ยมลดลั่นกันลงมาทอดยาวไปโดยรอบสนามประลองอย่างเป็นระเบียบสวยงามยิ่ง
หลังจากที่มีผู้เข้าร่วมรับชมงานประลองเข้ามาในเขตพื้นที่ดังกล่าวเสร็จสิ้น จะปรากฏม่านพลังที่เป็นบทเวทย์ระดับสูงหลายบทที่ซับท้อนกันหลายชั้นเพื่อเสริมสร้างความเเข็งแกร่งป้องกันความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นโดยที่ไม่ตั้งใจ เมื่อบรรดาเหล่าราชวงศ์ของอีกห้าแคว้นที่เหลือมาถึงก็จะเเยกย้ายไปตามที่นั่งชั้นบนสุดของสเตเดี้ยมที่เตรียมเอาไว้ให้แล้ว จะมีเป็นสัญลักษณ์ของแคว้นถูกปักเป็นธงที่มีความประณีตสวยงามอย่างมาก สำหรับบรรดาตระกูลน้อยใหญ่ของเเต่ละแคว้นดังกล่าวจะได้นั่งลดหลั่นลงมาจากส่วนชั้นที่นั่งของทางราชวงศ์ รวมไปถึงชาวยุทธภพหรือแม้กระทั่งชาวบ้านเเต่ละแคว้นที่เดินทางเข้ามาก็มีที่นั่งรับชมตามพื้นที่นั่งที่ถูกเตรียมไว้ให้ของเเต่ละแคว้นเอาไว้เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย
เรือนพักของหนิงอ้าย
หนิงอ้ายกำลังนั่งนิ่งตรงหน้าคันฉ่องบานใหญ่ในห้องแต่งตัวของตน ตอนนี้ได้มีทั้งลู่ซีและบ่าวหญิงรับใช้อีกสองคนต่างร่วมมือจัดแต่งทรงผมรวมไปถึงเสื้อผ้าที่จะต้องสวมใส่ในวันนี้ เขาบอกไปเเต่เพียงว่าขอทรงผมที่ไม่ต้องทางการจนเกินไปนักเพื่อที่ว่าจะได้ไม่เป็นอุปสรรคหากตนต้องลงสนามประลอง
เครื่องประดับนั้นหนิงอ้ายตั้งใจจะสวมเพียงกวานที่ได้รับมาจากมารดาของตนที่ได้รับจากพิธีอายุครบสิบห้าปีของตนที่ผ่านมาอย่างเดียวเท่านั้น หนิงอ้ายตั้งใจเขาว่าจะใส่หมวกสานที่มีผ้าคลุมก่อนที่จะเปิดเผยใบหน้าของหวังหนิงอ้ายให้ผู้คนได้รับรู้และจดจำเขาไว้ด้วยความปกตินั้นยามอยู่ในเรือนสำหรับตัวของหนิงอ้ายแทบที่จะไม่แต่งหน้าเลยสักครั้งมีเพียงเเค่ทาชาดบาง ๆ เพื่อที่จะให้ดูใบหน้าไม่ซีดจนเกินไป
การเข้างานประลองครั้งนี้นั้นหนิงอ้ายจึงคิดว่าตนเองไม่จำเป็นต้องเติมแต่งอะไรให้มาก เพียงเเค่แต้มสีตรงที่แก้มเท่านั้น อีกทั้งทาชาดที่ปากเรียวบางได้รูปให้ดูสุขภาพดีก็เพียงพอเเล้วไม่จำเป็นต้องแต่งเติมเสริมไปมากกว่านี้ ตัวหนิงอ้ายเองไม่เข้าใจว่าทำไมผู้คนในโลกนี้โดยเฉพาะสตรีถึงนิยมแต่งหน้าขาวปากเเดงจนเกินไปในบางครั้ง เช่นนี้แม้จะดูว่างดงามก็จริงเเต่ในความคิดของเขามองว่าเป็นความงามที่ดูมีอายุเกินไปไม่เหมือนกับการแต่งหน้าเพียงเบา ๆ เช่นในโลกเดิมของเขาที่เป็นการแต่งหน้าที่ทำให้ดูงดงามสมกับวัยนั่นเอง
''วันนี้ท่านตาก็ต้องไปที่งานประลองด้วยใช่ไหมขอรับ??'' หนิงอ้ายเอ่ยถามลู่ซี
''วันนี้เป็นวันเปิดพิธีของงานประลอง ดังนั้นนอกจากที่องศ์ฮ่องเต้บรรดาพระชายารวมไปถึงเจ้าชายและเชื้อพระวงศ์ของเเต่ละแคว้นจะต้องเข้าร่วมเเล้ว บรรดาเหล่าตระกูลใหญ่ของเเต่ละแคว้นรวมไปถึงเจ้าสำนักศึกษาต่าง ๆ จำเป็นต้องเข้าร่วมพิธีเปิดงานของวันนี้เพื่อเเสดงถึงการให้เกียรติแก่เจ้าภาพจัดงาน...''
''งานประลองจะมีกติกาในเเต่ละปีที่ไม่เหมือนกัน ระยะเวลาการประลองกว่าจะสิ้นสุดลงในบางครั้งก็นับเป็นสิบวัน เเต่บางครั้งก็ใช้เวลาเพียงสี่ถึงห้าวันเท่านั้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการกำหนดภารกิจในการประลองที่แตกต่างกันออกไป ดังนั้นในวันเปิดพิธีของงานประลองรวมไปถึงวันสิ้นสุดของงานประลองนั้นจำเป็นที่จะต้องเข้าร่วมเพื่อที่เป็นสักขีพยานและเฉลิมฉลองชัยชนะ...'' ลู่ซีเอ่ยตอบกลับเด็กหนุ่มไปพร้อมกับสำรวจความเรียบร้อยอีกครั้ง
แม้ว่าจะถูกเปลี่ยนสถานะเป็นพี่น้องบุญธรรมหาใช่นายกับบ่าวเช่นกับในวันวานที่ผ่านมา เเต่ตัวของลู่ซีเองก็ยังดูเเลบางอย่างด้วยความเคยชิน ด้วยเพราะหนิงอ้ายอายุได้สิบห้าปีแล้วและด้วยความที่ใบหน้าถอดมาจากเยว่ซินผู้เป็นมารดาที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นยอดพธูอันดับหนึ่งของแคว้น อีกทั้งทางฝั่งบิดาซึ่งก็คือจางเลี่ยงหวงก็ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเอกบุรุษ ใบหน้าของหนิงอ้ายจึงนำส่วนที่ดีของทั้งสองมาอย่างพอเหมาะ แม้ว่าจะมีใบหน้าที่งดงามราวกับสตรีเพราะคล้ายคลึงกับมารดาไปเสียมากกว่าแปดในสิบส่วนเเต่กลับผสมผสานความน่ามองของบุรุษได้อย่างสง่างามเช่นกัน
''พวกเรารีบเดินทางไปงานประลองกันเถอะขอรับ เดี๋ยวจะไม่ทันการลงทะเบียนในการลงประลองอีกอย่างข้าไม่อยากขึ้นรถม้าของตระกูลหวังไปพร้อมกับท่านตาท่านยายและมารดา ข้ายังไม่อยากเปิดเผยว่าตนเป็นเชื้อสายตระกูลหวังขอรับ...'' หนิงอ้ายเอ่ยออกมา เพราะอยากใช้ความสามารถของตัวเองมากกว่าที่จะใช้อำนาจชื่อเสียงของตระกูลใหญ่ จริงอยู่ที่งานประลองของแคว้นจะเป็นงานประลองฝีมือวรยุทธ เเต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธได้เช่นกันว่าบางครั้งตระกูลใหญ่ หรือแม้กระทั่งทางราชวงศ์ต่างเเทรกแซงผลการตัดสินก็มีให้เห็นอยู่เช่นกัน
''คุณชายหนิงอ้ายงดงามมากเลยเจ้าค่ะ...''
''คุณชายลู่ซีก็รูปงามเช่นกันนะเจ้าคะ'' บ่าวหญิงรับใช้สองคนต่างเอ่ยขึ้นชมนายน้อยของตนทั้งสองขึ้นด้วยความชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง พวกนางต่างดีใจไม่น้อยที่พวกตนทั้งสองคนนั้นสามารถแย่งชิงหน้าที่ในส่วนของวันนี้สำหรับการดูเเลคุณชายทั้งสองของจวน
''ขอบใจพวกเจ้าทั้งสองคนด้วยเล่าที่มาช่วยข้าแต่งตัวในวันนี้…''
''ลู่เกอเช่นกันนะขอรับ มือท่านยังเบาเหมือนเดิมจนข้าเกือบจะหลับไปเสียเเล้วเมื่อครู่...'' หนิงอ้ายยกยิ้มออกมาพร้อมกับลุกขึ้นหมุนตัวรอบคันฉ่องบานใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าให้เป็นภาพเต็มตัว
หนิงอ้ายเลือกสวมใส่อาภรณ์สีเขียวอ่อน ตัดด้วยสีขาวที่ปักเป็นลวดลายใบไผ่งดงามอย่างประณีต เส้นผมสีขาวเงินเรียงเส้นสวยถูกยกรวบครึ่งศรีษะปล่อยมวยผมหางม้า ปล่อยบางส่วนหลุดรุ่ยไปตามกรอบใบหน้า ผมส่วนที่เหลือนั้นถูกปล่อยสยายจรดกลางหลังเปล่งประกายเงางามและมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของดอกไม้ออกมาให้รู้สึกชื่นใจบนศรีษะนั้นมีเครื่องประดับนั่นคือกวานสีทองลวดลายดอกเหมยกุ้ยสีเเดงที่ได้รับมาจากมารดาในงานพิธีสวมกวาน อีกทั้งเครื่องประดับที่ลู่ซีบังคับให้ใส่เพิ่มอีกชิ้นเพื่อที่จะให้ดูไม่น้อยเกินไปให้สมกับฐานะของหลานชายตระกูลหวัง หนิงอ้ายจึงเลือกสวมใส่เป็นกำไลหยกสลักสีเขียวมรกตและห้อยป้ายหยกพู่สีเขียวอีกเฉดหนึ่งเพียงเท่านั้น
''เป็นหน้าที่ของพวกบ่าวเจ้าค่ะ! พวกข้าทั้งสองล้วนเต็มใจอย่างยิ่งที่ได้รับหน้าที่นี้..." บ่าวหญิงรับใช้ทั้งสองคนเอ่ยขึ้นพร้อมกันและทำการโค้งคำนับอย่างนอบน้อม ก่อนออกจากห้องของหนิงอ้ายไปเนื่องจากพวกตนทั้งสองยังต้องดูเเลส่วนอื่นของเรือนดังกล่าวนี้อีกให้เรียบร้อย
"ไปกันเถอะหนิงอ้าย เกอเตรียมรถม้ารับจ้างให้มารอพวกเราที่หลังจวนเเล้ว" ลู่ซีเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าพวกเขาทั้งสองคนนั้นเรียบร้อยเเล้ว
หนิงอ้ายเมื่อสำรวจตัวเองอีกครั้งและมั่นใจว่าหากตนต้องเปิดเผยใบหน้าพร้อมกับเปิดเผยนามของตนขึ้นในงานประลองครั้งนี้ ผู้คนจะต้องจดจำนามหวังหนิงอ้ายได้อย่างแน่นอน โดยไม่ลืมที่จะหยิบเอาหมวกสานปีกกว้างที่มีผ้าคลุมปิดยาวไปถึงกลางหลังมาสวมใส่ มีเพียงดวงตาคู่ที่เปรียบดั่งอัญมณีสีฟ้าเท่านั้นที่ฉายความเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่นในการประลองครั้งนี้ว่าตนจะต้องเป็นผู้ชนะเท่านั้น
หนิงอ้ายกับลู่ซีขึ้นรถม้าที่ถูกเตรียมเอาไว้ด้านหลังของจวนตระกูลหวังเพื่อเดินทางไปยังสนามประลองเวทย์ที่ตั้งอยู่บริเวณใจกลางมหานครแคว้นเต่าดำอันเป็นบริเวณที่ตั้งของพระราชวังที่ถูกปรับเปลี่ยนมาเป็นสนามประลองในครั้งนี้ ใช้เวลาเพียงไม่นานเท่าใดนักก็มาถึงยังบริเวณพื้นที่จัดงานประลองดังกล่าว
''งานประลองแคว้นครั้งนี้ดูยิ่งใหญ่และคึกคักกว่าที่ข้าคิดไว้เสียอีกนะขอรับ...'' หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นในขณะที่ตัวเขานั้นกำลังมองลอดผ่านหน้าต่างของรถม้า ที่เมื่อได้มีการวิ่งผ่านเข้ามาในบริเวณงานประลองดังกล่าวก็พบเห็นว่ามีผู้คนจากหลากหลายแคว้นเดินทางมาเข้าร่วมงานประลองครั้งนี้มากมายเพียงใด
''งานประลองของแคว้นในเเต่ละครั้งนั้นโดยปกติจะได้รับความสนใจเป็นอย่างมากอยู่เเล้วในทุกปีห้าที่มีการจัดงานขึ้น ยิ่งในครั้งนี้ที่เป็นการจัดครบรอบงานประลองครั้งที่แปดสิบแปด (88) จึงทำให้ได้รับความสนใจจากผู้คนในทั่วทุกแคว้น ไม่ว่าจะเป็นชาวยุทธภพหรือแม้กระทั่งชาวบ้านธรรมดาเป็นอย่างมาก ดังนั้นงานประลองที่เกิดขึ้นในวันนี้จึงมีผู้คนมากมายอย่างที่เจ้าเห็น…'' ลู่ซีตอบกลับไปในขณะที่รถม้านั้นได้ทำการหยุดนิ่งพอดีเนื่องด้วยเพราะถึงทางเข้าของงานประลองเเล้ว
''พวกเราเข้าไปกันเถิดขอรับ!!'' หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นพร้อมกับมองไปโดยรอบบริเวณงานประลองอีกครั้งเเต่ก็ไม่สามารถปกปิดความรู้สึกตื่นเต้นของตนได้ ครั้นตั้งสติได้ว่าไม่ควรที่จะตื่นเต้นจนเกินไปจึงกลับมาวางท่าทีสงบนิ่งอีกครั้ง ก่อนจะสำรวจว่าสวมหมวกคลุมเรียบร้อยเเล้วหรือไม่ เมื่อมั่นใจในรูปลักษณ์ของตัวเองเเล้วเขาจึงก้าวลงรถม้าไปในทันที
ลู่ซีอมยิ้มเมื่อเห็นท่าทางของหนิงอ้ายที่ยังคงทำตัวราวกับเด็กน้อยที่พยายามทำตัวเป็นผู้ใหญ่ พร้อมกับหัวเราะออกมาเบา ๆ พร้อมกับลงไปยืนเคียงข้างหนิงอ้ายที่ในตอนนี้ยืนอยู่ตรงท้ายของรถม้า ก่อนที่ลู่ซีจะส่งสัญญาณให้รถม้ากลับไปได้ในทันทีโดยที่ไม่ต้องรอรับพวกตนหลังจากจบงานประลอง
ภาพลักษณ์ของลู่ซีในตอนนี้สำหรับผู้คนที่อยู่ในบริเวณงานประลองต่างมองเห็นเป็นภาพของชายหนุ่มที่พึ่งผ่านพ้นพิธีสวมกวานเพียงไม่กี่ปี แม้จะดูอายุยังน้อยเเต่ก็มีหน้าตาหล่อเหลาราวกับคุณชายของตระกูลใหญ่ที่มีชื่อเสียง ทุกย่างก้าวเดินนั้นดูสง่างามองอาจยิ่ง ยามที่เส้นผมและอาภรณ์เสื้อผ้าสีน้ำเงินเข้มปลิวไสวไปตามเเรงลมนั้นส่งเสริมให้กริยาท่าทางเป็นที่น่าสนใจในสายตาของผู้ที่ได้มองมา ชายหนุ่มในชุดอาภรณ์สีน้ำเงินเข้มนั้นจะดึงดูดสายตาพวกตนไปไม่น้อยเเต่พวกเขาทั้งหมดกลับไม่สามารถละสายตาจากตัวคนอีกผู้ที่เดินอยู่ข้างกันมาสักเพียงนิด
บุรุษชุดอาภรณ์สีเขียวอ่อนสบายตาม้ว่าจะสวมหมวกสานปีกกว้างที่มีผ้าคลุมบาง ๆ ปกปิดใบหน้าที่ไม่อาจมองทะลุเห็นสิ่งใดไปมากกว่านี้ เเต่พวกเขาต่างก็สามารถคาดเดาได้ไปในทิศทางเดียวกันว่าใบหน้าที่ถูกซ่อนภายใต้ผ้าคลุมนี้ย่อมเป็นคุณชายที่รูปงามเป็นแน่เเท้ พินิจจากมือเรียวยาวที่โผล่พ้นชายแขนเสื้อของอาภรณ์ก็ทำให้ทราบว่าคุณชายท่านนี้ผิวพรรณช่างงดงามกระจ่างใสหมดจดยิ่งนักซึ่งคงจะดีไม่น้อยถ้าพวกตนนั้นได้มองเห็นใบหน้าที่อยู่หมวกสานใบนี้
ยามที่คุณชายทั้งสองคนเดินเคียงข้างกันนั้นช่างดูราวกับเทพเซียนมาโปรดโลกเสียด้วยซ้ำ บรรดาเหล่าผู้คนที่ได้มองเห็นต่างชื่นชมในความสง่างามนี้และหมายมาดว่าพวกตนจะต้องเข้าไปทำความรู้จักคุณชายทั้งสองนี้ให้จงได้ แม้จะไม่ทราบชื่อแซ่เเต่ก็ขอทราบนามก็ถือว่าคุ้มค่ามากเเล้วในความรู้สึก...
หนิงอ้ายกับลู่ซีมุ่งตรงไปยังจุดลงทะเบียนที่มีการกางโตะตรงที่ปากทางเข้าการประลองในทันที แม้ว่าทั้งสองคนนั้นจะรีบเร่งออกจากจวนตระกูลหวังเป็นเวลาเช้าเเต่ก็ยังมีผู้ฝึกตนที่เดินทางมาถึงเร็วกว่ากว่าพวกเขาทั้งสองคน ในตอนนี้มีผู้คนมากมายที่กำลังรายล้อมอยู่โดยรอบจุดบริเวณดังกล่าวที่เปิดให้ลงทะเบียนอยู่ ถือว่าเป็นโชคดีของพวกเขาทั้งสองคนนั้นไม่น้อยที่มาทันเวลาพอดีเพราะว่าการประลองในครั้งนี้มีผู้สนใจเข้าร่วมเป็นอย่างมากดังนั้นจึงมีการจำกัดคนเข้าเเข่งขันเพียงเเค่ห้าร้อยคนเท่านั้น''เนื่องจากครั้งนี้เป็นงานประลองแคว้นครั้งที่แปดสิบแปด ดังนั้นเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองจึงไม่มีการเรียกเก็บเงินสมัครในการประลองครั้งนี้ใดใดทั้งสิ้น เเต่จะจำกัดผู้เข้าเเข่งขันเพียงเเค่ห้าร้อยคนเท่านั้นและจะไม่มีการแบ่งแยกช่วงอายุการประลองทั้งสิ้นสำหรับผู้ใดที่หวังเพียงมาเล่นไม่จริงจังสามารถถอดตัวออกไปได้ทันที อย่าหาว่าไม่เตือน!!!'' เสียงของผู้ควบคุมกฎที่ทำหน้าที่ดูเเลในการลงทะเบียนได้เอ่ยขึ้นและดังพอที่จะให้ได้ยินในบริเวณโดยรอบทันที'ข้าจะตกใจอะไรก่อนดีเล่า? การประลองครั้งนี้เปิดรับเพียงห้าร้อยคนหรือจะเป็นการจัดเเข่งขันประลองเ
"การเเข่งขันผู้เข้าประลองสามารถใช้ได้ทั้งวรยุทธอีกทั้งบทเวทย์ระดับต่าง ๆ รวมไปถึงอสูรรับใช้ก็ได้เช่นกันสำหรับการลงเเข่งขันจะไม่จำกัดเวลาจนกว่าจะล้มคู่ต่อสู้ได้ อีกทั้งการลงประลองนั้นจะเป็นการสุ่มรายชื่อ ผู้ชนะในเเต่ละรอบประลองอาจจะได้ลงประลองอีกหลายครั้งในขณะที่บางคนอาจจะได้ลงประลองเพียงเเค่หนึ่งหรือสองครั้งเพียงเท่านั้น เท่ากับว่านอกจากที่พวกเจ้าจะต้องอาศัยฝีมือของตนเเล้วนั้นก็ต้องอาศัยโชคเช่นกันว่าวันนี้จะเป็นวันของพวกเจ้าหรือไม่?"ผู้อาวุโสที่ทำหน้าที่ดำเนินการประลองพูดถึงความพิเศษของกฎการลงประลองครั้งนี้ สิ้นเสียงกล่าวจบลงผู้คนต่าง ๆ ที่อยู่โดยรอบสนามประลองต่างส่งเสียงเชียร์ดังกระหึ่มสร้างความรู้สึกฮึกเหิมด้วยเพราะว่าตอนนี้ถึงเวลาที่ทุกคนรอคอยเเล้ว"หากเป็นการสุ่มรายชื่อ หากว่ามีผู้ชนะในการลงประลองเเต่ละครั้งเเต่ในทุกการสุ่มรายชื่อดันมีเเต่รายชื่อของเขาให้ลงเเข่งขันเเต่กลับอีกคนอาจจะมีรายชื่อในการประลองเพียงไม่กี่ครั้งหากเป็นเช่นนี้จะไม่เป็นการเสียเปรียบกันหรือขอรับ??" หนิงอ้ายถามขึ้น ด้วยเพราะเขาสังเกตว่ากฎการประลองที่มีการปรับเปลี่ยนนี้มีช่องโหว่ค่อนข้างเยอะเลยทีเดียว หากว่ามีมื
ผู้คนที่อยู่ในสนามประลองที่ให้ความสนใจกับการประลองของคู่นี้ต่างแตกตื่นกันเป็นอย่างมาก เพราะสัตว์อสูรที่คุณชายกวงเหยาหานเรียกออกมา นอกจากว่าจะเป็นสิงโตเพลิงที่หายากเเล้วยังเป็นสัตว์อสูรมายาขั้นกลางอีกด้วย นับว่าตระกูลกวงนั้นให้ความสำคัญแก่คุณชายกวงเหยาหานท่านนี้ไม่น้อยเลยทีเดียว"โจมตีพวกมันซะ!!!" กวงเหยาหานสั่งอสูรสิงโตมกรเพลิงของตนเข้าโจมตีลู่ซีในทันทีโฮก!วูบ!อสูรสิงโตมกรเพลิงคำรามออกมาเสียงดังพร้อมกับพุ่งทะยานเข้าโจมตีลู่ซีด้วยความรุนแรงเกรี้ยวกราดโฮก!ตู้ม! ตู้ม!ลู่ซีไม่ยอมตกเป็นรองในการประลองครั้งนี้ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายได้อัญเชิญอสูรรับใช้ของตนออกมา เขาจึงอัญเชิญอสูรในพันธะนั่นคือเสี่ยวเฟิง หรือวิฬาร์อัสนีสีชาดนั่นเองเสียงร้องของวิฬาร์อัสนีสีชาด สัตว์อสูรมายาขั้นกลางร้องดังขึ้นไปทั่วสนามประลอง จนผู้คนที่มีพลังวิญญาณไม่สูงมากรวมไปถึงชาวบ้านธรรมดาต่างต้องยกมือขึ้นมาปิดหูของตนในทันที สายพลังเเห่งอัสนีบาตที่พวยพุ่งอยู่โดยรอบตัวของวิฬาร์อัสนีสีชาดได้ถูกปลดปล่อยออกมา โดยที่ไม่ต้องให้ลู่ซีบัญชาการอีกฝ่ายได้พุ่งโจมตีไปยังสิงโตมกรเพลิงด้วยความรวดเร็วไม่ทันได้ตั้งตัวเสียด้วยซ้ำ"เฮือก
ด้วยเพราะหนิงอ้ายใช้เนตรเเห่งสวรรค์จึงทำให้เขาสามารถบอกลู่ซีถึงผู้ที่เข้ารอบมาในเเต่ละคนนั้นว่ามีจุดเเข็งในด้านใด ควรระวังในเรื่องใดบ้างรวมไปถึงจุดอ่อนต่าง ๆ แม้เพียงนิดก็ไม่อาจหลุดรอดสายตาไปได้ อีกทั้งหนิงอ้ายยังคงพูดคุยแนะนำให้กับลู่ซีถึงการใช้บทเวทย์กับผู้ฝึกตนที่เข้ารอบเเต่ละคนว่าควรใช้บทเวทย์ใดกับผู้ใดบ้างหากว่าถูกสุ่มรายชื่อให้ลงสนามประลอง"ขอบใจเจ้ามากหากว่าไม่ไหวจริง ๆ เกอจะขอยอมแพ้เอง..." ลู่ซีเอ่ยตอบกลับหนิงอ้ายไปด้วยรู้ว่าคนด้านข้างนั้นเป็นห่วงเขาไม่น้อยเเต่ถึงอย่างนั้นนับจากการลงประลองในครั้งเเรกจนถึงตอนนี้ตนยังไม่ได้ลงเเข่งขันอีก ดังนั้นสำหรับเขาและหนิงอ้ายที่ก่อนหน้าได้เเลกเปลี่ยนความคิดเห็นว่าในการประลองของเเต่ละคู่นั้นผู้ใดจะเป็นผู้ชนะ หรือแม้กระทั้งว่าหากตัวเขานั้นได้ลงประลองกับผู้ประลองคนดังกล่าวจะเเก้ทางของบทเวทย์ที่อีกฝ่ายใช้หรือว่าควรใช้วรยุทธอย่างไรโต้กลับ เพื่อที่จะให้ตนสามารถเป็นผู้ชนะได้นั่นเองการประลองยังคงดำเนินต่อไปเพื่อเฟ้นหาผู้แข่งขันสิบคนเพื่อเข้าสู่การประลองครั้งสุดท้ายในรอบแรก เพื่อประลองกันอีกครั้งจนได้ตัวเเทนของราชทินนามขุนนางวิญญาณเพียงห้าคนเท่านั
คุณชายรองตระกูลจางหรือจางหมิงหวัง ก่อนหน้านี้ได้ทำการร่ายบทเวทย์อัญเชิญสัตว์อสูรรับใช้ในพันธะของตนออกมากลางสนามประลองเเห่งนี้ปรากฏเป็นสัตว์อสูรรูปร่างใหญ่โตที่มีความสูงราวสามเมตร สัตว์อสูรในพันธะที่ถูกอัญเชิญออกมาของคุณชายจางหมิงหวังมีรูปลักษณ์ภายนอกคล้ายกับวัวขนสีน้ำตาลทองสว่างไสว มีดวงตาสีแดงกล่ำที่เเสดงให้เห็นถึงท่าทางความดุร้ายออกมาอย่างเปิดเผยราวกับว่าไม่ต้องการปกปิดแม้เเต่เพียงนิดทั่วทั้งร่างกายของสัตว์อสูรตัวดังกล่าวนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยมัดกล้ามที่ส่งกลิ่นอายถึงความเเข็งแกร่งของสัตว์อสูรมายาออกมาให้ได้สัมผัส นอกจากนั้นแล้วยังส่งเสียงคำรามดังกึกก้องไปทั่วทั้งสนามประลองพร้อมกับกำหมัดขึ้นทั้งสองข้าง และทุบตีที่อกของตัวเองไปมาพร้อมกับกวาดสายตามองไปทั่วทั้งบริเวณด้วยความที่เป็นถึงสัตว์อสูรมายา ดังนั้นเพียงเเค่เสียงคำรามที่ร้องออกมาก็สามารข่มขวัญผู้คนที่อยู่โดยรอบของสนามประลอง อีกทั้งยังส่งผลทำให้ม่านพลังเกราะป้องกันที่ถูกร่ายกำกับไว้ในสนามประลองถึงกับสั่นไหวไปมา หากว่าบทเวทย์ป้องกันที่ใช้ในสนามประลองดังกล่าวไม่ได้อยู่ในระดับสูง หรือไม่ได้มีการร่ายกำกับไว้หลายชั้นคงถูกทำลายลงไปนานเเ
คุณชายรองจางหมิงหวังถูกทัณฑ์สายฟ้าจากบทเวทย์ยันต์เขตแดนระดับเทวะเข้าโจมตีอย่างรุนแรงและต่อเนื่องเป็นเวลาเกือบหนึ่งเค่อ จนทำให้ตัวของจางหมิงหวังถึงกับล้มลงไปกับพื้นหมดสติไปด้วยความเจ็บปวด ทั่วทั้งร่างกายปรากฏเป็นบาดแผลทั้งจากการใช้การต่อสู้กับลู่ซีในการใช้อาวุธและวรยุทธต่าง ๆ รวมไปถึงการโจมตีของบทเวทย์เขตแดนระดับเทวะเมื่อสักครู่ทำให้มีเลือดไหลซึมออกมาทั่วทั้งร่างกายมีรอยไหม้อยู่หลายจุดเลยเช่นกัน"ถือว่าเอาคืนที่เจ้าเคยสั่งให้บ่าวรับใช้ในจวนทำร้ายหนิงอ้ายจนสลบไปในครั้งนั้นเสียเเล้วกันนะจางหมิงหวัง..." ลู่ซีเอ่ยขึ้นเบา ๆ กับอีกฝ่ายที่ในตอนนี้หมดสติลงไปที่พื้นฝั่งตรงข้ามใบหน้าของลู่ซีซีดลงอย่างเห็นได้ชัดจากการที่ตัวเขาฝืนใช้บทเวทย์เขตแดนระดับเทวะจึงทำให้สูญเสียพลังเวทย์ไปไม่น้อยเนื่องจากว่าตัวของลู่ซีได้ฝืนใช้งานบทเวทย์ระดับสูงเช่นนี้ แน่นอนว่าสิ่งที่ต้องเเลกเปลี่ยนนั่นคือพลังลมปราณจะลดลงเป็นอย่างมาก ต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูไม่น้อยรวมไปถึงต้องใช้โอสถฟื้นฟูขั้นสูงในการเพิ่มพลังลมปราณให้กลับมาดังเดิมได้อีกครั้ง"คุณชายลู่ซีเป็นผู้ชนะ!!!!!" สิ้นเสียงของผู้อาวุโสคนเดิมที่ทำหน้าที่เป็นผู้ดำเนิน
งานประลองของแคว้นที่ได้ถูกจัดขึ้นในเเต่ละครั้ง ล้วนไม่มีกำหนดช่วงระยะวันเวลาที่ตายตัวของงานประลองเวทย์ดังกล่าวว่าท้ายที่สุดแล้วนั้นจะเริ่มต้นการประลองและสิ้นสุดลงภายในกี่วัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับกฎกติกาที่ถูกตั้งกำหนดเอาไว้เพื่อเป็นข้อจำกัดในการประลอง การสร้างความท้าทายของขีดจำกัดของพลังเวทย์ ระดับพลังวิญญาณรวมไปถึงการสรรหาผู้ฝึกตนที่เต็มเปี่ยมไปด้วยฝีมือทั้งวิทยายุทธการต่อสู้รวมไปถึงการใช้บทเวทย์ต่าง ๆ เพื่อเป็นการจัดอันดับของผู้ฝึกตนในโลกยุทธภพเพื่อเเสดงถึงความเเข็งแกร่งผู้ฝึกตนที่เป็นผู้ชนะในห้าอันดับเเรกจะถูกเรียกว่ากลุ่มเสาหลักเเห่งยุทธภพจะสังกัดโดยตรงกับวิหารเทพยุทธ์ มีหน้าที่คอยดูเเลช่วยเหลือปกป้องผู้คนในโลกฝึกตน รูปแบบของงานประลองของแคว้นล้วนแตกต่างกันไปในเเต่ละครั้ง นับว่าสร้างความตื่นเต้นให้ทั้งกับตัวของผู้ฝึกตนที่ได้ลงสนามเเข่งขันประลองเอง หรือแม้กระทั่งผู้รับชมจากแคว้นต่าง ๆ ที่อยู่ในสนามประลองเวทย์ ทางแคว้นที่ได้รับเป็นเจ้าภาพของจัดการประลองจะเป็นผู้กำหนดรูปแบบการเเข่งขันประลองให้มีความแตกต่างกันไปงานประลองระหว่างแคว้นครั้งที่แปดสิบแปด (88) นี้ ทางแคว้นเต่าดำได้รับเป็นเจ้า
ผู้คนที่อยู่รอบข้างได้ยินบทสนทนาดังกล่าวต่างพากันตกใจไม่น้อย ทุกคนล้วนจำได้ว่าคุณชายหน้าตาหล่อเหลาที่พึ่งพูดจบลงไปนั่นคือคุณชายลู่ซี ผู้เป็นตัวแทนหนึ่งในห้าคนเเรกที่ผ่านการประลองในรอบถัดไป นอกจากจะมีความสามารถที่โดดเด่นเเล้วอีกฝ่ายยังครอบครองสัตว์อสูรมายาอีกด้วยบทสนทนาเมื่อครู่แม้จะเป็นการพูดคุยด้วยเสียงที่เบามากเพียงใดเเต่ด้วยพวกเขาที่เป็นผู้ฝึกตนที่นับได้ว่าประสาทสัมผัสล้วนดีกว่าคนธรรมดาหลายเท่านักเมื่อเห็นว่าคุณชายลู่ซีได้พูดคุยกับคุณชายหนิงผู้ลึกลับที่สวมผ้าคลุมปกปิดตัวตนที่พึ่งจบการประลองไปเมื่อครู่ บทสนทนาพูดคุยกันราวกับว่าเป็นพี่น้องกันเเต่นั่นไม่อาจทำให้ตกใจเท่ากับบทสนทนาที่ว่าคุณชายหนิงพึ่งทำการปลุกพลังวิญญาณได้ไม่ถึงสองปีเท่านั้น เเต่กลับเป็นถึงราชทินนามจักรพรรดิวิญญาณ ยังไม่รวมถึงเคล็ดวิชากระบี่ที่พริ้วไหวเฉียบขาดและความสามารถอื่นที่ร่างบางนั้นยังไม่ได้เเสดงให้ผู้คนได้เห็นอีก'เจ้าได้ยินเหมือนกับข้าหรือไม่? คุณชายหนิงพึ่งปลุกพลังวิญญาณได้เพียงไม่นานเเต่กลับเป็นถึงราชทินนามจักรพรรดิวิญญาณแล้ว ช่างน่าตกใจยิ่ง!!''บ้าไปเเล้ว!! บางคนปลุกพลังวิญญาณตั้งเเต่เจ็ดขวบปีเเต่ยังไม่สา
ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู
ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง
คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต
การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์
หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร
ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต
มหาพิภพพิสดารแห่งนี้ประกอบไปด้วยสามพิภพ สี่มหาสมุทร แปดมหาทวีป โดยที่สามพิภพนั้นจะแบ่งเป็นดินแดนพิภพระดับสูง ดินแดนพิภพระดับกลางและพิภพระดับล่าง โดยมีสี่ทะเลมหาสมุทรตั้งอยู่ 4 ทิศล้อมรอบที่เชื่อว่าเป็นที่พักพิงของเทพบรรพกาลสูงสุดทั้งสาม และแปดมหาทวีปที่ได้มีการแบ่งการปกครองตามทิศทั้งแปดของดินแดนพิภพระดับกลาง ด้วยเพราะต่างมีผู้ปกครองดินแดนอันเป็นตัวตนที่ไม่ธรรมดาสามัญทั้งสิ้น ดังนั้นการเดินทางข้ามผ่านแต่ละเขตดินแดนจึงจำเป็นต้องมีเงื่อนไขกฎเกณฑ์ที่แตกต่างกันไปสำหรับการเดินทางข้ามเขตแดนทั้งสามพิภพโดยเฉพาะดินแดนพิภพระดับสูงและดินแดนพิภพระดับกลางนั้น เงื่อนไขสำคัญคือผู้ฝึกตนที่บ่มเพาะพลังปราณในดินแดนพิภพระดับกลาง หากไม่สามารถเลื่อนระดับเป็นราชทินนามอัครพรหมยุทธ์วิญญาณหรือครอบครองพลังวิญญาณในระดับที่101ได้ย่อมไม่อาจก้าวล้ำมายังดินแดนพิภพระดับสูงนี้ได้ด้วยขีดจำกัดของกายเนื้อที่ไม่สามารถรองรับพลังปราณฟ้าดินบริสุทธิ์เข้มข้นที่ไหลเวียนหล่อเลี้ยงทั่วทั้งมหาพิภพ เพราะหากไร้ซึ่งความแข็งแกร่งของสายโลหิตและพลังปราณที่ล้ำลึกที่เพียงพอ ไม่กี่ชั่วลมหายใจร่างกายและจิตวิญญาณย่อมถูกบดขยี้ไปสิ้นแต่ในทางก
ไม่น่าเชื่อว่าเพียงหนึ่งราตรีที่ผ่านพ้น สำนักหมาป่าทมิฬจะถูกฆ่าล้างสำนักจนไม่เหลือแม้แต่ผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว การจู่โจมโดยไม่อาจตั้งตัวนั้นได้ส่งผลให้เหล่าสมาชิกในสำนักต้องสังเวยชีวิตอย่างน่าสลดใจ สิ่งนี้กล่าวว่าได้สร้างความตื่นตะลึงแก่กลุ่มอิทธิพลมืดในยุทธภพอยู่ไม่น้อย แม้ว่าสำนักหมาป่าทมิฬจะเป็นสำนักที่พึ่งก่อตั้งได้ไม่กี่สิบปีแต่ก็มีชื่อเสียงโด่งดังในด้านความโหดเหี้ยมและไร้ความปรานี การล่มสลายของสำนักในครั้งนี้จึงกลายเป็นปริศนาที่ยากจะคาดเดาได้ว่าจะเกิดขึ้นสิ่งที่น่าตื่นตะลึงนั่นคืออดีตผู้ก่อตั้งสำนักนั้นเป็นถึงราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณที่มีรากฐานบ่มเพาะไม่ธรรมดาสามัญรวมไปถึงเจ้าสำนักคนปัจจุบันนั้นก็เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นสูงที่มากไปด้วยความสามารถไม่อ่อนด้อยแม้จะขึ้นชื่อในเรื่องของความวิปริตมากกว่าก็ตาม ไม่นับรวมถึงบรรดาผู้อาวุโสที่ล้วนต่างเป็นราชทินนามระดับสูงที่ไม่อาจดูแคลนได้ทั้งสถานที่ตั้งยังรายล้อมไปด้วยมหาค่ายกลเขตแดนธรรมชาติที่ใช่ว่าจะสามารถบุกฝ่าทะลวงไปได้โดยง่าย ข่าวการกวาดล้างสำนักหมาป่าทมิฬได้แพร่สะพัดออกไปราวกับไฟลามทุ่ง ไม่รู้ว่าทางสำนักได้ไปรับภารกิจหรือได้ล
ท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดและเศษซากร่างไร้วิญญาณของศัตรูที่พ่ายแพ้ หนิงอ้ายเรียกใช้พลังปราณตวัดเอาแหวนมิติและสมบัติวิเศษประจำตัวของผู้ตกตายทั้งหมดย้ายเข้ามาในแหวนมิติของตนอย่างไรสิ่งเหล่านี้ย่อมสามารถทำประโยชน์ได้อยู่ไม่น้อย ในใจเขาไม่นึกรังเกียจเลยเพียงนิด การเข่นฆ่าสังหารแล้วช่วงชิงสิ่งของของผู้ที่ตกตายไปนั้นเป็นสิ่งที่พบเจอได้ทั่วไปในยุทธภพจากนั้นหนิงอ้ายได้ระดมเรียกเปลวเพลิงบริสุทธิ์จากปราณทิวาธาตุเข้าแผดเผาเศษซากชิ้นเนื้อรวมไปถึงจิตวิญญาณของบรรดานักฆ่าเหล่านี้ให้สูญสลายโดยไม่อาจหวนคืนในวัฏจักรสังขารได้อีก จากเศษเสี้ยวความทรงจำที่เขาสัมผัสได้นั้นคนกลุ่มนี้หาใช่เป็นคนดีแต่อย่างใด ตลอดช่วงอายุที่ผ่านมาก็ล้วนแต่กระทำต่ำช้า สังหารผู้บริสุทธิ์มาไม่น้อย เพียงเท่านี้ย่อมไม่อาจชดเชยได้เสียด้วยซ้ำไม่ถึงครึ่งเค่อให้หลัง ห้วงมิติที่ถูกผนึกไว้เมื่อไร้ซึ่งผู้บัญชาการยามนี้ม่านพลังประหลาดดังกล่าวจึงได้ซ่านสลายไปในที่สุด เผยให้เห็นหมู่เมฆาที่ล่องลอยประดับเหนือท้องฟ้า เสียงแมลงน้อยใหญ่ดังขึ้นทั่วทั้งผืนป่าโดยรอบขับขานบรรเลงสอดประสานเป็นท่วงทำนองเสนาะหู แสงไฟเวทย์จากอาคารบ้านเรือน เสียงโหวกเหวกโวยวาย