ผู้คนที่อยู่ในสนามประลองที่ให้ความสนใจกับการประลองของคู่นี้ต่างแตกตื่นกันเป็นอย่างมาก เพราะสัตว์อสูรที่คุณชายกวงเหยาหานเรียกออกมา นอกจากว่าจะเป็นสิงโตเพลิงที่หายากเเล้วยังเป็นสัตว์อสูรมายาขั้นกลางอีกด้วย นับว่าตระกูลกวงนั้นให้ความสำคัญแก่คุณชายกวงเหยาหานท่านนี้ไม่น้อยเลยทีเดียว
"โจมตีพวกมันซะ!!!" กวงเหยาหานสั่งอสูรสิงโตมกรเพลิงของตนเข้าโจมตีลู่ซีในทันที
โฮก!
วูบ!
อสูรสิงโตมกรเพลิงคำรามออกมาเสียงดังพร้อมกับพุ่งทะยานเข้าโจมตีลู่ซีด้วยความรุนแรงเกรี้ยวกราด
โฮก!
ตู้ม! ตู้ม!
ลู่ซีไม่ยอมตกเป็นรองในการประลองครั้งนี้ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายได้อัญเชิญอสูรรับใช้ของตนออกมา เขาจึงอัญเชิญอสูรในพันธะนั่นคือเสี่ยวเฟิง หรือวิฬาร์อัสนีสีชาดนั่นเอง
เสียงร้องของวิฬาร์อัสนีสีชาด สัตว์อสูรมายาขั้นกลางร้องดังขึ้นไปทั่วสนามประลอง จนผู้คนที่มีพลังวิญญาณไม่สูงมากรวมไปถึงชาวบ้านธรรมดาต่างต้องยกมือขึ้นมาปิดหูของตนในทันที สายพลังเเห่งอัสนีบาตที่พวยพุ่งอยู่โดยรอบตัวของวิฬาร์อัสนีสีชาดได้ถูกปลดปล่อยออกมา โดยที่ไม่ต้องให้ลู่ซีบัญชาการอีกฝ่ายได้พุ่งโจมตีไปยังสิงโตมกรเพลิงด้วยความรวดเร็วไม่ทันได้ตั้งตัวเสียด้วยซ้ำ
"เฮือกกกกกกก!!!!" กวงเหยาหานตกใจเป็นอย่างมาก ที่ลู่ซีนั้นมีอสูรรับใช้เป็นสัตว์อสูรมายาขั้นกลางเช่นเดียวกับตน ยิ่งไปกว่านั้นสิงโตมกรเพลิงที่เป็นอสูรรับใช้ของเขาได้ถูกโจมตีอย่างต่อเนื่อง และถูกไล่ต้อนไปทั่วอาณาเขตของการประลองที่ถูกจำกัดไว้ชวนให้รู้สึกอับอายยิ่งนัก
'สัตว์อสูรทั้งสองตัวที่อยู่ในสนามของประลองของคุณชายทั้งสองต่างเป็นสัตว์อสูรมายา ไหนว่ากันว่ายากที่จะมีผู้ถือครองผูกพันธะโดยง่ายมิใช่รึ?'
'คราเเรกข้าคิดว่าคุณชายลู่ซีคงต้องเสียเปรียบเป็นแน่ เพราะทางฝั่งคุณชายกวงเหยาหานนั้นครองครองสัตว์อสูรมายาในพันธะของตน เเต่ใครจะไปคิดว่าคุณชายลู่ซีนั้นก็ถือครองอสูรรับใช้เป็นอสูรมายาเช่นเดียวกัน'
'ช่างเป็นการประลองที่น่าสนุกอะไรเยี่ยงนี้ คุณชายทั้งสองคนต่างเป็นราชทินนามขุนนางวิญญาณขั้นสูงทั้งคู่ อีกทั้งอสูรรับใช้ในพันธะต่างเป็นสัตว์อสูรมายาเหมือนกัน หากเป็นเช่นนี้แล้วคงต้องวัดแพ้หรือชนะกันด้วยระดับพลังของบทเวทย์ที่ใช้หรือการต่อสู้ด้วยวรยุทธเสียเเล้วข้าว่า... '
เสียงฮือฮาดังขึ้นอย่างคึกคักไปทั่วสนามประลองในครั้งนี้ เมื่อพวกเขาได้เห็นอสูรรับใช้ในพันธะของคุณชายทั้งสองที่ได้ทำการเผยโฉมเเสดงพลังโจมตีกันออกมาเนื่อง พวกเขาต่างทราบกันดีว่าอสูรมายานั้นน้อยที่จะมีผู้คนครอบครองผูกพันธะได้ เเต่สิ่งที่พวกตนได้เห็นนี้เล่าเพียงเเค่หนึ่งชั่วยามเเรกเท่านั้นในการประลองแคว้นครั้งนี้ พวกเขาต่างได้ประสบพบเจอกับสิ่งที่ไม่คาดคิด พวกเขาทั้งหมดต่างอดใจรอแทบไม่ไหวที่จะได้เห็นการประลองของผู้ฝึกตนราชทินนามขุนนางวิญญาณที่จะมีการเเข่งขันต่อไปคงจะสร้างความตื่นตาตื่นใจมากกว่านี้อีกหลายเท่าตัว
ลู่ซีเองแม้จะเเปลกใจไม่น้อยที่วิฬาร์อัสนีสีชาดของเขาสามารถเลื่อนระดับเป็นสัตว์อสูรมายาขั้นกลางได้เช่นนี้ ส่งผลให้ในตอนนี้เสี่ยวเฟิงมีหางงอกเพิ่มเป็นห้าหางเเล้วนั่นเอง โดยที่ความลับของสัตว์อสูรโบราณวิฬาร์อัสนีสีชาดนั่นก็คือพลังการโจมตีจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวตามจำนวนหางที่งอกเพิ่มขึ้น เท่ากับว่าเมื่อครบเก้าหางเมื่อใดต่อให้คู่ต่อสู้จะมีขนาดที่ใหญ่โตกว่าเพียงไหนก็ไม่อาจนับว่าเป็นคู่ต่อสู้ของวิฬาร์อัสนีสีชาดได้นั่นเอง
ระหว่างที่สัตว์อสูรทั้งสองตนเข้าห้ำหั่นต่อสู้กันอย่างดุเดือด ฝั่งของลู่ซีและคุณชายกวงเหยาหานต่างเข้าต่อสู้กันด้วยเพลงกระบี่อีกครั้ง โดยที่ครั้งนี้เป็นการต่อสู้ที่รุนเเรงเป็นอย่างมากสร้างความตื่นตาตื่นใจของผู้ที่รับชมการประลองไม่น้อย ด้วยความที่พวกเขาไม่คาดคิดว่าการต่อสู้ในรอบเเรกที่เป็นเพียงการประลองของราชทินนามขุนนางวิญญาณนี้จะถึงขั้นมีการใช้บทเวทย์ระดับสูงรวมไปถึงการเรียกใช้สัตว์อสูรออกมาต่อสู้กัน
"ข้าไม่ยอมแพ้เจ้าหรอก!!!" เสียงของกวงเหยาหานเอ่ยขึ้น เสื้อผ้าอาภรณ์ที่ขาดแหว่งไปไม่น้อยรวมไปถึงมีร่องรอยจากการโดนกระบี่ฟาดฟัน ทำให้รูปลักษณ์ของอีกฝ่ายดูราวกับเป็นขอทานน้อยที่ถูกรุมตีหาใช่เป็นคุณชายที่มาจากตระกูลใหญ่ของแคว้นไม่
"ควรจบการประลองครั้งนี้เถอะข้าเสียเวลามากเกินไปเเล้ว..." ลู่ซีเอ่ยขึ้นด้วยความจริงจัง สภาพของเขาในตอนนี้ทั้งอาภรณ์ที่สวมใส่ต่างมีร่องรอยการฉีกขาดหรือบาดแผลที่เกิดขึ้นจากการตั้งรับและโจมตีจากคุณชายกวงเหยาหาน
ต้องบอกตามตรงว่าเขายังอยู่ในสภาพที่ดีกว่าอีกฝ่าย อย่าได้เห็นว่าเขามีรูปร่างสูงโปร่งไม่ได้มีกล้ามเนื้อเช่นเดียวกับบุรุษทั่วไป เพราะเขาได้อาศัยช่องโหว่ที่กวงเหยาหานมักจะใช้อารมณ์ในการประลอง กับเขาที่มีสมาธิสติมากกว่าจึงได้เปรียบกว่ามาก
ครั้นมองไปยังการต่อสู้ของสัตว์อสูรทั้งสองตัว ก็พบว่าสภาพของสิงโตมกรเพลิงอันเป็นสัตว์อสูรในพันธะของกวงเหยาหานนั้นสภาพแทบจะไม่มีความแตกต่างจากนายของมันเสียเท่าไหร่นัก ในส่วนของวิฬาร์อัสนีสีชาดที่เป็นสัตว์อสูรรับใช้ของเขามีเพียงเเต่ร่องรอยบาดเจ็บเล็กน้อย พอให้ตัวของลู่ซีนั้นได้อุ่นใจว่าสัตว์อสูรในพันธะของตนไม่ได้เป็นอะไร
เสียงตะโกนยังคงดังขึ้นไปทั่วทั้งสนามประลองนี้ คุณชายทั้งสองนับว่าเป็นสุดยอดรุ่นเยาว์ที่มากไปด้วยฝีมืออย่างแท้จริง ไม่รอช้าการแลกเปลี่ยนเคล็ดวิชากระบี่ได้เริ่มขึ้นอีกครั้ง แต่ดูไปแล้วในครานี้ถือว่ามีความเหนือชั้นกว่าตอนแรกเริ่มการประลองจนเห็นได้ชัด
ตระกูลจาง
การประลองที่เกิดขึ้นในตอนนี้นั้นได้สร้างความเเปลกใจอย่างมากแก่คนในตระกูลจางเเห่งแคว้นหงส์แดงอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะทุกคนในตระกูลจางทั้งสายหลักและสายรองต่างจดจำลู่ซีในฐานะบ่าวรับใช้ของอดีตคุณชายใหญ่จางหนิงอ้ายได้เป็นอย่างดี
พวกเขาไม่คาดคิดว่าลู่ซีบ่าวรับใช้ที่ตนมองว่าเป็นสวะไม่ต่างกับนายของมันจะสามารถพัฒนาฝีมือได้ก้าวกระโดดเช่นนี้ ทั้งพลังวิญญาณที่อยู่ในราชทินนามขุนนางวิญญาณที่นับได้ว่าสูงเกินไปที่บ่าวรับใช้คนหนึ่งที่ไม่ได้รับการสนับสนุนในทรัพยากรของการฝึกตนจะสามารถเข้าถึงได้ นอกจากจะมีฝีมือวรยุทธที่ร้ายกาจแล้วยังสามารถใช้บทเวทย์ระดับสูงได้อย่างคล่องแคล่วทรงพลัง และยังครอบครองวิฬาร์อัสนีสีชาดที่เป็นสัตว์อสูรมายาที่หายากเช่นนี้ได้
'ที่เหล่านักฆ่ารับจ้างไม่สามารถทำตามภารกิจได้สำเร็จคงเป็นฝีมือของมันผู้นี้!! หากรู้ว่าในอนาคตมันจะสร้างปัญหา ข้าคงส่งนักฆ่าไปลอบสังหารมันเสียตั้งเเต่ยังเป็นบ่าวรับใช้ตัวน้อยที่ถูกชุบตัวมาจากขอทานเสีย...'
หวงลู่เอินครุ่นคิดด้วยความแค้นเคืองใจเป็นอย่างมาก แม้จะเเปลกใจไม่น้อยในฝีมือของบ่าวคนนี้และอสูรรับใช้ของมันว่ามีที่มาอย่างไร เเต่ก็ไม่เท่ากับที่นางคิดว่าที่แผนลอบสังหารหนิงอ้ายไม่สำเร็จคงเป็นฝีมือของมันผู้นี้อย่างแน่นอน
นางรวมไปถึงอนุทั้งสองคนของจางเลี่ยงหวง ต่างรู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจเป็นอย่างมากที่อดีตบ่าวในจวนของตนนั้นมีความสามารถที่โดดเด่นได้รับคำชมถึงเพียงนี้ เเต่เมื่อคิดว่าลู่ซีเป็นเพียงบ่าวเท่านั้นและหนิงอ้ายที่ไม่สามารถปลุกพลังวิญญาณได้คงได้ขึ้นชื่อว่าเป็นสวะของตระกูลต่อไป
"ท่านเเม่ขอรับ!!" เสียงของคุณชายรองหรือจางเหยากวงเอ่ยขึ้นพร้อมกับมองหน้ามารดาของตนด้วยความไม่พอใจ เขาสังเกตว่าบิดานลอบมองอย่างไม่วางตา
"ใจเย็นเสียเถิดกวงเอ๋อร์ มารดาเจ้าผู้นี้จะจัดการให้เจ้าเอง!!" หวงลู่เอินเอ่ยขึ้นเบา ๆ เพราะนางได้วางแผนอื่นรับมือเอาไว้สำรองเเล้ว...
ลู่ซีพุ่งเข้าโจมตีกวงเหยาหานด้วยความรุนแรงรวดเร็วอย่างต่อเนื่อง เมื่อสมควรแก่การประลองครั้งนี้จะรู้ผลแพ้ชนะกันได้เสียที เพราะหนิงอ้ายได้นั่งอยู่ตามลำพังนานเกินไปเสียเเล้ว
ฟิ้ว!
ตู้ม! ตู้ม!
บทเวทย์โจมตีระดับสูงของลู่ซีใช้พุ่งเข้าโจมตีกวงเหยาหานอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าคุณชายกวงเหยาหานจะใช้บทเวทย์ป้องกันเข้ามารับการโจมตีนี้ เเต่ก็แทบจะไม่มีผลสักนิดด้วยความแตกต่างของระดับพลังของบทเวทย์
อีกทั้งในตอนนี้กวงเหยาหานต่างเสียสมาธิเป็นอย่างมาก ด้วยเพราะในตอนนี้อสูรรับใช้สิงโตมกรเพลิงของเขาก็ได้รับบาดเจ็บอยู่ไม่น้อยอีกทั้งยังถูกไล่ต้อนและถูกโจมตีจากสัตว์อสูรของลู่ซี นับได้ว่าเป็นสภาพที่ไม่น่าดูสักเท่าไหร่นัก
ตู้ม! ตู้ม!
โฮ้ก!
กวงเหยาหานได้เรียกสัตว์อสูรรับใช้ของตนเข้ายังมิติจิต เนื่องจากสัมผัสได้ว่ามันได้รับบาดเจ็บไปไม่น้อย เพียงครู่เดียวที่เขาเสียสมาธิก็เผยช่องโหว่ให้ลู่ซีนั้นสามารถลงมือได้ในทันที
"อั้กกกก!!! ข้าแพ้เเล้ว..." กวงเหยาหานกระอักเลือดออกมาหลายคำ ตัวเขายอมรับในความพ่ายแพ้ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ และมั่นหมายว่าในสักวันเขาจะต้องเอาชนะลู่ซีให้ได้
ครั้งที่ที่เขาพ่ายแพ้ก็ด้วยเพราะความหยิ่งทะนงว่าตนเป็นผู้มีฝีมือที่มาจากตระกูลใหญ่ของแคว้น อีกทั้งในขณะที่ประลองอยู่ก็ไม่มีสมาธิและใช้เเต่อารมณ์จนเกินไป นี่คงเป็นครั้งเเรกที่เขายอมรับว่าความคิดหรือมุมมองของการฝึกตนของเขาได้เติบโตขึ้นไม่น้อย
"ขอบคุณสำหรับคำชี้แนะ!!!" ลู่ซีและกวงเหยาหานต่างได้ยกมือประสานกันและก้มลงเล็กน้อยตามมารยาทของผู้ฝึกตนที่พึงกระทำหลังจากเเลกเปลี่ยนฝีมือกัน
"คุณชายลู่ซีเเห่งแคว้นเต่าดำเป็นผู้ชนะ!!!!" ผู้อาวุโสที่ดำเนินการประลองนั้นได้ประกาศออกมาเสียงดังเมื่อสิ้นเสียงประกาศผู้คนที่อยู่ในสนามประลองนั้นต่างพากันส่งเสียงเชียร์บ้างก็ตะโกนส่งเสียงดังกึกก้องไปทั่วบริเวณทางด้านตระกูลหวังในตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นหวังจิ่งหลงผู้เป็นประมุขตระกูลหวังรวมไปถึงภรรยาของตนและลูกสาวของพวกเขานั่นคือหวังเยว่ซินต่างภูมิใจในหลานและบุตรชายบุญธรรมของตนผู้นี้ยิ่งนัก...
"ยินดีด้วยนะขอรับข้ารู้อยู่เเล้วว่าท่านจะต้องเป็นผู้ชนะ!!" หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นพร้อมกับรวบตัวของลู่ซีเข้าไปกอดทำเอาผู้คนในบริเวณต่างยกยิ้มยินดีที่พี่น้องคู่นี้ต่างรักใคร่กันยิ่งนัก
"ขอบใจมากหนิงอ้าย เกอยังเฝ้ารอชมฝีมือของเจ้าในรอบต่อไปอยู่นะ..." ลู่ซีเอ่ยขึ้นพร้อมกับกอดตอบกลับไป
"เราทั้งสองคนจะต้องไปสู่รอบสุดท้ายให้ได้ขอรับ!!" หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นด้วยความมั่นใจ
ลู่ซีสามารถผ่านการทดสอบในการประลองครั้งเเรกไปได้สำเร็จและรอเรียกการประลองในครั้งต่อไป หากว่ามีรายชื่อของตนปรากฏขึ้นอีกครั้งดูเหมือนว่าการประลองรอบเเรกของผู้ฝึกตนราชทินนามขุนนางวิญญาณจะใช้เวลาอีกนานพอสมควรด้วยเพราะว่าผู้ฝึกตนที่ต้องลงเเข่งขันในการประลองรอบเเรกนี้มีจำนวนมาก
คุณชายลู่ซีตามที่ถูกเรียกสุ่มรายชื่อในการลงประลองได้กลายเป็นที่จับจ้องของทุกคนที่อยู่ในบริเวณโดยรอบของสนามประลองเวทย์ครั้งนี้เป็นอย่างมาก เนื่องจากว่าการประลองที่พึ่งจบไปเมื่อสักครู่นั้นไม่ว่าจะเป็นทั้งระดับของบทเวทย์ที่ลู่ซีได้ใช้ในการโจมตีหรือป้องกันตัวเองรวมไปถึงท่วงท่าของวรยุทธการต่อสู้ต่าง ๆ ที่สามารถรับมือจากคุณชายกวงเหยาหานที่ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้มีฝีมืออีกคนหนึ่งที่มาจากตระกูลใหญ่ได้แล้ว
การที่คุณชายลู่ซีนั้นมีสัตว์อสูรมายาในครอบครองในพันธะ เพียงเเค่การลงประลองในสนามครั้งเเรกเท่านั้นชื่อของคุณชายลู่ซีต่างเป็นที่สนใจและพูดถึงเป็นวงกว้างไม่น้อยว่าเขานั้นเเท้ที่จริงเเล้วเป็นผู้ใดกันแน่ เหตุใดพวกตนจึงไม่คุ้นหน้าหรือทราบประวัติความเป็นมา
หรือบ้างก็ว่าคุณชายลู่ซีอาจจะเป็นคุณชายตระกูลของใหญ่ของแคว้นอื่นที่พวกตนยังไม่รู้จักที่เลือกมาลงประลองเเข่งขันในครั้งนี้เพื่อพิสูจน์ฝีมือของตนให้เป็นที่ประจักษ์ บรรดาผู้คนต่างพากันจับกลุ่มพูดคุยคาดเดากันไปต่าง ๆ นานาถึงสิ่งที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้
การประลองเวทย์ของผู้ฝึกตนราชทินนามขุนนางวิญญาณได้มีการประกาศรายชื่อของผู้ลงเเข่งขันให้ลงสนามประลองไปเพื่อทำการคัดผู้แพ้ในเเต่ละรอบของการแข่งขันออกจากรายชื่อและเฟ้นหาผู้ชนะไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะได้ตัวเเทนที่จะผ่านเข้ารอบเป็นของผู้ฝึกตนระดับเเรกนี้ให้เหลือเพียงสิบคนเพื่อไปเเข่งขันอีกในรอบต่อไปสำหรับการประลองในครั้งสุดท้ายเพื่อหาผู้ชนะห้าอันดับเเรกในระดับเเรกของการประลองแคว้นในครั้งนี้
หนิงอ้ายตั้งใจดูการประลองของเเต่ละคู่ไปเรื่อย ๆ โดยมีการพูดคุยเเลกเปลี่ยนความคิดกับลู่ซีบ้างไม่ว่าจะเป็นการทายเล่น ๆ กันว่าคู่ที่ลงเเข่งขันการประลองในเเต่ละรอบนั้นผู้ใดกันจะเป็นผู้ชนะ หรือพูดคุยเกี่ยวกับทักษะฝีมือของเเต่ละผู้เเข่งขันในการรับมือ หากว่าตนนั้นเป็นผู้ลงสนามประลองที่เป็นคู่ต่อสู้ของอีกฝ่ายว่าจะทำเช่นไรเพื่อที่พลิกกลับเป็นฝ่ายชนะ ยิ่งเมื่อการประลองได้ดำเนินไป ย่อมเหลือเพียงผู้ฝึกตนที่มีฝีมือโดดเด่นและมีความสามารถที่หลากหลาย
หนิงอ้ายแทบที่จะอดใจรอให้ถึงตอนที่เขาจะได้ลงประลองแทบไม่ไหว การประลองของเเต่ละคู่เริ่มมีการใช้บทเวทย์ระดับสูงที่มีความรุนแรงและหนักหน่วงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากว่าเป้าหมายของเเต่ละคนที่เข้าร่วมในการประลองครั้งนี้นั่นคือให้เข้ารอบได้ลึกมากที่สุดเพื่อเป็นการสร้างชื่อเสียงของตนเองและชื่อเสียงตระกูลของตนให้เป็นที่รู้จักได้รับการยอมรับมากขึ้นนั่นเอง
"ตอนนี้มีผู้เเข่งขันในรอบแรกของผู้ฝึกตนราชทินนามขุนนางวิญญาณมีจำนวนทั้งสิ้นยี่สิบคนสุดท้าย!! ในครานี้จะเป็นการประลองที่ละคู่เพื่อหาผู้ชนะเพียงเเค่สิบคนเท่านั้นการประลองเริ่มต้นขึ้น ณ บัดนี้!!!! " สิ้นเสียงของผู้อาวุโสผู้รับหน้าที่ดำเนินการประลองนั้นได้กล่าวจบลงผู้คนโดยรอบสนามประลองต่างพากันโห่ร้องส่งเสียงเชียร์ดังกระหึ่มเพราะว่าการประลองในรอบต่อไปนี้จะมีความดุเดือดเพิ่มขึ้นนั่นเอง
''การประลองในรอบนี้นั้นคงจะมีความดุเดือดและรุนเเรงมากกว่าเดิมหลายเท่ายิ่งนัก ข้าขอให้เกอระวังตนให้มากไม่ว่าผลการประลองจะออกมาเช่นไรข้าเชื่อว่าท่านตา ท่านยาย ท่านเเม่รวมไปถึงข้าเองนั้นภูมิใจในตัวท่านที่สุดนะขอรับ...''
หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นกับลู่ซีด้วยความเป็นห่วง แม้ว่าเขานั้นจะมั่นใจในฝีมือของลู่ซีว่าสามารถผ่านการประลองไปในรอบสุดท้ายได้ เเต่ถึงอย่างไรเเล้ว ผู้ฝึกตนที่ผ่านเข้ารอบมาในตอนนี้ยี่สิบคนสุดท้ายนั้นต่างมีความสามารถและฝีมือที่เป็นเอกลักษณ์อีกทั้งยังมีจุดเด่นหรือจุดด้อยที่แตกต่างกันไป
มุมหนึ่งในสนามประลอง
"เก็บจิตสังหารของเจ้าก่อนเถอะสหายก่อนที่ผู้คนในบริเวณจะตายกันไปเสียหมด..."
"เจ้าเป็นอันใดกันอยู่ ๆ ถึงได้ไม่พอใจเยี่ยงนี้??'' เสียงของรัชทายาทอันดับหนึ่งเเห่งแคว้นเสือขาวหรือจินหลงดังขึ้นเมื่อเห็นว่าสหายตนผู้สวมหน้ากากพยัคฆ์สีดำนั้นอยู่ ๆ ก็ปล่อยจิตสังหารออกมา
"…" ชายหนุ่มผู้สวมหน้ากากพยัคฆ์สีดำไม่ได้สนใจรัชทายาทเท่าใดนัก พร้อมกับมองไปยังจุดหนึ่งก่อนที่จะเก็บจิตสังหารของตนไป
'เสี่ยวไป๋ทู่น้อยของข้าเจ้ากอดชายหนุ่มคนอื่นต่อหน้าข้างั้นรึ??'
'หากคนผู้นั้นไม่ใช่คนที่เจ้านับถือเฉกเช่นพี่ชายเเล้วละก็ มันผู้นั้นคงไม่มีชีวิตอยู่อย่างแน่อน...'
บรรดาเหล่าชายชุดดำที่เป็นองครักษ์ขององศ์รัชทายาทและผู้ติดตามส่วนตัวของชายหนุ่มผู้สวมหน้ากากพยัคฆ์สีดำต่างลอบถอนหายออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน แม้ว่าพวกเขาจะเป็นผู้ฝึกตนระดับสูงก็จริง ทว่าจิตสังหารเมื่อครู่หากไม่รีบเร่งเดินพลังลมปราณป้องกันร่างกายคงแหลกเหลวไปแล้วเป็นแน่...
ด้วยเพราะหนิงอ้ายใช้เนตรเเห่งสวรรค์จึงทำให้เขาสามารถบอกลู่ซีถึงผู้ที่เข้ารอบมาในเเต่ละคนนั้นว่ามีจุดเเข็งในด้านใด ควรระวังในเรื่องใดบ้างรวมไปถึงจุดอ่อนต่าง ๆ แม้เพียงนิดก็ไม่อาจหลุดรอดสายตาไปได้ อีกทั้งหนิงอ้ายยังคงพูดคุยแนะนำให้กับลู่ซีถึงการใช้บทเวทย์กับผู้ฝึกตนที่เข้ารอบเเต่ละคนว่าควรใช้บทเวทย์ใดกับผู้ใดบ้างหากว่าถูกสุ่มรายชื่อให้ลงสนามประลอง"ขอบใจเจ้ามากหากว่าไม่ไหวจริง ๆ เกอจะขอยอมแพ้เอง..." ลู่ซีเอ่ยตอบกลับหนิงอ้ายไปด้วยรู้ว่าคนด้านข้างนั้นเป็นห่วงเขาไม่น้อยเเต่ถึงอย่างนั้นนับจากการลงประลองในครั้งเเรกจนถึงตอนนี้ตนยังไม่ได้ลงเเข่งขันอีก ดังนั้นสำหรับเขาและหนิงอ้ายที่ก่อนหน้าได้เเลกเปลี่ยนความคิดเห็นว่าในการประลองของเเต่ละคู่นั้นผู้ใดจะเป็นผู้ชนะ หรือแม้กระทั้งว่าหากตัวเขานั้นได้ลงประลองกับผู้ประลองคนดังกล่าวจะเเก้ทางของบทเวทย์ที่อีกฝ่ายใช้หรือว่าควรใช้วรยุทธอย่างไรโต้กลับ เพื่อที่จะให้ตนสามารถเป็นผู้ชนะได้นั่นเองการประลองยังคงดำเนินต่อไปเพื่อเฟ้นหาผู้แข่งขันสิบคนเพื่อเข้าสู่การประลองครั้งสุดท้ายในรอบแรก เพื่อประลองกันอีกครั้งจนได้ตัวเเทนของราชทินนามขุนนางวิญญาณเพียงห้าคนเท่านั
คุณชายรองตระกูลจางหรือจางหมิงหวัง ก่อนหน้านี้ได้ทำการร่ายบทเวทย์อัญเชิญสัตว์อสูรรับใช้ในพันธะของตนออกมากลางสนามประลองเเห่งนี้ปรากฏเป็นสัตว์อสูรรูปร่างใหญ่โตที่มีความสูงราวสามเมตร สัตว์อสูรในพันธะที่ถูกอัญเชิญออกมาของคุณชายจางหมิงหวังมีรูปลักษณ์ภายนอกคล้ายกับวัวขนสีน้ำตาลทองสว่างไสว มีดวงตาสีแดงกล่ำที่เเสดงให้เห็นถึงท่าทางความดุร้ายออกมาอย่างเปิดเผยราวกับว่าไม่ต้องการปกปิดแม้เเต่เพียงนิดทั่วทั้งร่างกายของสัตว์อสูรตัวดังกล่าวนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยมัดกล้ามที่ส่งกลิ่นอายถึงความเเข็งแกร่งของสัตว์อสูรมายาออกมาให้ได้สัมผัส นอกจากนั้นแล้วยังส่งเสียงคำรามดังกึกก้องไปทั่วทั้งสนามประลองพร้อมกับกำหมัดขึ้นทั้งสองข้าง และทุบตีที่อกของตัวเองไปมาพร้อมกับกวาดสายตามองไปทั่วทั้งบริเวณด้วยความที่เป็นถึงสัตว์อสูรมายา ดังนั้นเพียงเเค่เสียงคำรามที่ร้องออกมาก็สามารข่มขวัญผู้คนที่อยู่โดยรอบของสนามประลอง อีกทั้งยังส่งผลทำให้ม่านพลังเกราะป้องกันที่ถูกร่ายกำกับไว้ในสนามประลองถึงกับสั่นไหวไปมา หากว่าบทเวทย์ป้องกันที่ใช้ในสนามประลองดังกล่าวไม่ได้อยู่ในระดับสูง หรือไม่ได้มีการร่ายกำกับไว้หลายชั้นคงถูกทำลายลงไปนานเเ
คุณชายรองจางหมิงหวังถูกทัณฑ์สายฟ้าจากบทเวทย์ยันต์เขตแดนระดับเทวะเข้าโจมตีอย่างรุนแรงและต่อเนื่องเป็นเวลาเกือบหนึ่งเค่อ จนทำให้ตัวของจางหมิงหวังถึงกับล้มลงไปกับพื้นหมดสติไปด้วยความเจ็บปวด ทั่วทั้งร่างกายปรากฏเป็นบาดแผลทั้งจากการใช้การต่อสู้กับลู่ซีในการใช้อาวุธและวรยุทธต่าง ๆ รวมไปถึงการโจมตีของบทเวทย์เขตแดนระดับเทวะเมื่อสักครู่ทำให้มีเลือดไหลซึมออกมาทั่วทั้งร่างกายมีรอยไหม้อยู่หลายจุดเลยเช่นกัน"ถือว่าเอาคืนที่เจ้าเคยสั่งให้บ่าวรับใช้ในจวนทำร้ายหนิงอ้ายจนสลบไปในครั้งนั้นเสียเเล้วกันนะจางหมิงหวัง..." ลู่ซีเอ่ยขึ้นเบา ๆ กับอีกฝ่ายที่ในตอนนี้หมดสติลงไปที่พื้นฝั่งตรงข้ามใบหน้าของลู่ซีซีดลงอย่างเห็นได้ชัดจากการที่ตัวเขาฝืนใช้บทเวทย์เขตแดนระดับเทวะจึงทำให้สูญเสียพลังเวทย์ไปไม่น้อยเนื่องจากว่าตัวของลู่ซีได้ฝืนใช้งานบทเวทย์ระดับสูงเช่นนี้ แน่นอนว่าสิ่งที่ต้องเเลกเปลี่ยนนั่นคือพลังลมปราณจะลดลงเป็นอย่างมาก ต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูไม่น้อยรวมไปถึงต้องใช้โอสถฟื้นฟูขั้นสูงในการเพิ่มพลังลมปราณให้กลับมาดังเดิมได้อีกครั้ง"คุณชายลู่ซีเป็นผู้ชนะ!!!!!" สิ้นเสียงของผู้อาวุโสคนเดิมที่ทำหน้าที่เป็นผู้ดำเนิน
งานประลองของแคว้นที่ได้ถูกจัดขึ้นในเเต่ละครั้ง ล้วนไม่มีกำหนดช่วงระยะวันเวลาที่ตายตัวของงานประลองเวทย์ดังกล่าวว่าท้ายที่สุดแล้วนั้นจะเริ่มต้นการประลองและสิ้นสุดลงภายในกี่วัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับกฎกติกาที่ถูกตั้งกำหนดเอาไว้เพื่อเป็นข้อจำกัดในการประลอง การสร้างความท้าทายของขีดจำกัดของพลังเวทย์ ระดับพลังวิญญาณรวมไปถึงการสรรหาผู้ฝึกตนที่เต็มเปี่ยมไปด้วยฝีมือทั้งวิทยายุทธการต่อสู้รวมไปถึงการใช้บทเวทย์ต่าง ๆ เพื่อเป็นการจัดอันดับของผู้ฝึกตนในโลกยุทธภพเพื่อเเสดงถึงความเเข็งแกร่งผู้ฝึกตนที่เป็นผู้ชนะในห้าอันดับเเรกจะถูกเรียกว่ากลุ่มเสาหลักเเห่งยุทธภพจะสังกัดโดยตรงกับวิหารเทพยุทธ์ มีหน้าที่คอยดูเเลช่วยเหลือปกป้องผู้คนในโลกฝึกตน รูปแบบของงานประลองของแคว้นล้วนแตกต่างกันไปในเเต่ละครั้ง นับว่าสร้างความตื่นเต้นให้ทั้งกับตัวของผู้ฝึกตนที่ได้ลงสนามเเข่งขันประลองเอง หรือแม้กระทั่งผู้รับชมจากแคว้นต่าง ๆ ที่อยู่ในสนามประลองเวทย์ ทางแคว้นที่ได้รับเป็นเจ้าภาพของจัดการประลองจะเป็นผู้กำหนดรูปแบบการเเข่งขันประลองให้มีความแตกต่างกันไปงานประลองระหว่างแคว้นครั้งที่แปดสิบแปด (88) นี้ ทางแคว้นเต่าดำได้รับเป็นเจ้า
ผู้คนที่อยู่รอบข้างได้ยินบทสนทนาดังกล่าวต่างพากันตกใจไม่น้อย ทุกคนล้วนจำได้ว่าคุณชายหน้าตาหล่อเหลาที่พึ่งพูดจบลงไปนั่นคือคุณชายลู่ซี ผู้เป็นตัวแทนหนึ่งในห้าคนเเรกที่ผ่านการประลองในรอบถัดไป นอกจากจะมีความสามารถที่โดดเด่นเเล้วอีกฝ่ายยังครอบครองสัตว์อสูรมายาอีกด้วยบทสนทนาเมื่อครู่แม้จะเป็นการพูดคุยด้วยเสียงที่เบามากเพียงใดเเต่ด้วยพวกเขาที่เป็นผู้ฝึกตนที่นับได้ว่าประสาทสัมผัสล้วนดีกว่าคนธรรมดาหลายเท่านักเมื่อเห็นว่าคุณชายลู่ซีได้พูดคุยกับคุณชายหนิงผู้ลึกลับที่สวมผ้าคลุมปกปิดตัวตนที่พึ่งจบการประลองไปเมื่อครู่ บทสนทนาพูดคุยกันราวกับว่าเป็นพี่น้องกันเเต่นั่นไม่อาจทำให้ตกใจเท่ากับบทสนทนาที่ว่าคุณชายหนิงพึ่งทำการปลุกพลังวิญญาณได้ไม่ถึงสองปีเท่านั้น เเต่กลับเป็นถึงราชทินนามจักรพรรดิวิญญาณ ยังไม่รวมถึงเคล็ดวิชากระบี่ที่พริ้วไหวเฉียบขาดและความสามารถอื่นที่ร่างบางนั้นยังไม่ได้เเสดงให้ผู้คนได้เห็นอีก'เจ้าได้ยินเหมือนกับข้าหรือไม่? คุณชายหนิงพึ่งปลุกพลังวิญญาณได้เพียงไม่นานเเต่กลับเป็นถึงราชทินนามจักรพรรดิวิญญาณแล้ว ช่างน่าตกใจยิ่ง!!''บ้าไปเเล้ว!! บางคนปลุกพลังวิญญาณตั้งเเต่เจ็ดขวบปีเเต่ยังไม่สา
ด้วยความโกรธที่อีกฝ่ายทำให้เขาต้องรู้สึกอับอายเช่นนี้ จางเหยากวงจึงตัดสินใจอัญเชิญสัตว์อสูรของตนออกมาในทันทีจงออกมา อสูรราชันย์ศารกูลทมิฬ!!!!วูบ!โฮก!อสูรรับใช้ของจางเหยากวงนั้นปรากฏเป็นรูปลักษณ์คล้ายกับเสือดำที่มีลำตัวสูงใหญ่มีเปลวเพลิงสีดำลึกลับลุกท่วมไปทั่วทั้งตัว ดวงตาสีแดงเข้มดุดัน รอบตัวรายล้อมไปด้วยกลิ่นอันตรายราวกับว่าพร้อมที่จะทำลายทุกสิ่งให้มอดเป็นจุลผู้คนที่อยู่โดยรอบสนามประลองต่างส่งเสียงเชียร์กระหึ่ม ด้วยเพราะว่าในตอนนี้อสูรมายาระดับกลางได้ปรากฎในสนามประลองอีกครั้งเเล้วย่อมสร้างความตื่นเต้นเพิ่มขึ้นไปอีกมาก กลิ่นอายของสัตวอสูรมายาระดับกลาง ราชันย์ศารกูลทมิฬที่ได้เเผ่ออกมานั้นทำให้ผู้ฝึกตนที่อยู่โดยรอบสนามประลองรู้สึกอึดอัด แม้ว่าจะมีเกราะป้องกันเวทย์ที่คอยปกป้องอยู่เเล้วก็ตาม...'บ้าไปแล้วสัตว์อสูมายาระดับกลางอีกตัวเช่นนั้นรึ?? นี่ไม่ใช่งานประลองของผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์เเล้ว''แล้วทางคุณชายหนิงจะไหวหรือไม่นั่นเจอทั้งบทเวทย์ระดับสูงอีกทั้งสัตว์อสูรมายาที่แข็งแกร่งว่องไวเช่นนี้...'"จัดการมัน!!!" จางเหยากวงชี้ไปทางหนิงอ้าย ก่อนที่อสูรราชันย์ศารกูลทมิฬได้พุ่งเข้าโจมตีหนิงอ้า
บรรดาเหล่าฮ่องเต้ผู้ปกครองกแคว้น ต่างรู้สึกอิจฉาฮ่องเต้แคว้นเต่าดำยิ่งนักที่มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์มากไปด้วยความเก่งกาจและครอบครองสัตว์อสูรสังกัดปราณธาตุพฤกษาเช่นนี้ ฮ่องเต้ของแคว้นเต่าดำนั้นสัมผัสได้ถึงความรู้สึกต่าง ๆ เหล่านั้นได้ใบหน้าหล่อเหลาจึงเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่ฉายชัดถึงความภูมิใจและขอบคุณตนที่ได้ตัดสินใจที่รับเป็นเจ้าภาพในการประลองครั้งนี้ แน่นอนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นคงจะถูกเล่าขานกันอีกนานเท่านานเหล่าบรรดาสำนักต่าง ๆ นั้นพากันปรึกษากันภายในอย่างเร่งด่วน เพราะหากสำนักของตนนั้นได้ตัวของคุณชายหนิงผู้นี้มาเป็นศิษย์ในสำนักของตนได้นั้นนอกจากที่จะได้ผู้ฝึกตนที่มีฝีมือดีสามารถเป็นกำลังหลักให้สำนักของตนได้เเล้วนั้น ยังจะนำมาซึ่งชื่อเสียงของสำนักของตน..."ช่างน่าเห็นใจเสียจริง สัตว์อสูรในพันธะของคุณชายคงใช้เวลาไม่น้อยกว่าที่จะพักฟื้นได้ดังเดิม ไม่รู้ว่าข้าได้บอกกล่าวไปแล้วหรือยังว่าทุกการโจมตีของเจียวซิ่นล้วนแฝงไปด้วยปราณธาตุพฤกษากลายพันธ์ จึงมีความสามารถแฝงนั่นคือการกัดกร่อนแก่นสมุทรลมปราณของสัตว์อสูรได้ และหากรักษาไม่ทันก็คง...""เจ้า!!!! เจ้านี่มันสารเลวต่ำทรามยิ่งนัก ลูกไม้สกปรกลอบทำ
การประลองระหว่างแคว้นครั้งที่88 ในรอบสุดท้ายกำลังจะเริ่มขึ้นในอีกไม่กี่อึดใจนี้ แน่นอนว่าตัวแทนของผู้ฝึกตนทั้งสองราชทินนามจำนวนทั้งสิ้นห้าคน ถือได้ว่ารุ่นเยาว์เหล่านี้ล้วนเป็นหนึ่งในเสาหลักแห่งยุทธภพรุ่นเยาว์ทั้งสิ้น แต่ถึงอย่างไรแล้วการประลองยังคงต้องดำเนินต่อไปเพื่อค้นห้าผู้ชนะอันดับหนึ่ง ผู้ที่ได้ครอบครองซึ่งตำแหน่งฐานะเจ้าแห่งยุทธภพรุ่นเยาว์นั่นเองหนิงอ้ายเมื่อเปิดเผยตัวตนฐานะที่แท้จริงแล้ว จึงตัดสินใจชวนลู่ซีกลับไปยังที่นั่งของตระกูลหวังที่อยู่ไม่ห่างไปเท่าไหร่นัก อย่างไรแล้วหลังจากจบงานประลอง ท่านตาหวังจิ่งหลงคงประกาศฐานะที่เเท้จริงของเขาทั้งคู่ ดังนั้นหากไปยังที่นั่งดังกล่าวในตอนนี้ก็คงไม่ส่งผลอะไรมากมายเท่าไหร่นัก"ในที่สุดเจ้าก็ทำได้เเล้วนะหนิงเอ๋อร์..." หวังเยว่ซินเอ่ยขึ้นด้วยความสุข พร้อมกับดึงเด็กหนุ่มเข้ามากอดด้วยความภูมิใจ"พวกเจ้าทั้งสองคนเก่งมาก ไม่เสียชื่อลูกหลานตระกูลหวังของพวกเรา""หนิงเอ๋อร์ เพลงกระบี่ของหลานกล่าวว่าเหนือชั้นอย่างแท้จริง ทั้งพริ้วไหวและดุดันแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง หากนับไปแล้วในหมู่ฝึกตนรุ่นเยาว์ในช่วงวัยเดียวกัน ถือว่าเจ้าแข็งแกร่งและมากด้วยพรสวรร
ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู
ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง
คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต
การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์
หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร
ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต
มหาพิภพพิสดารแห่งนี้ประกอบไปด้วยสามพิภพ สี่มหาสมุทร แปดมหาทวีป โดยที่สามพิภพนั้นจะแบ่งเป็นดินแดนพิภพระดับสูง ดินแดนพิภพระดับกลางและพิภพระดับล่าง โดยมีสี่ทะเลมหาสมุทรตั้งอยู่ 4 ทิศล้อมรอบที่เชื่อว่าเป็นที่พักพิงของเทพบรรพกาลสูงสุดทั้งสาม และแปดมหาทวีปที่ได้มีการแบ่งการปกครองตามทิศทั้งแปดของดินแดนพิภพระดับกลาง ด้วยเพราะต่างมีผู้ปกครองดินแดนอันเป็นตัวตนที่ไม่ธรรมดาสามัญทั้งสิ้น ดังนั้นการเดินทางข้ามผ่านแต่ละเขตดินแดนจึงจำเป็นต้องมีเงื่อนไขกฎเกณฑ์ที่แตกต่างกันไปสำหรับการเดินทางข้ามเขตแดนทั้งสามพิภพโดยเฉพาะดินแดนพิภพระดับสูงและดินแดนพิภพระดับกลางนั้น เงื่อนไขสำคัญคือผู้ฝึกตนที่บ่มเพาะพลังปราณในดินแดนพิภพระดับกลาง หากไม่สามารถเลื่อนระดับเป็นราชทินนามอัครพรหมยุทธ์วิญญาณหรือครอบครองพลังวิญญาณในระดับที่101ได้ย่อมไม่อาจก้าวล้ำมายังดินแดนพิภพระดับสูงนี้ได้ด้วยขีดจำกัดของกายเนื้อที่ไม่สามารถรองรับพลังปราณฟ้าดินบริสุทธิ์เข้มข้นที่ไหลเวียนหล่อเลี้ยงทั่วทั้งมหาพิภพ เพราะหากไร้ซึ่งความแข็งแกร่งของสายโลหิตและพลังปราณที่ล้ำลึกที่เพียงพอ ไม่กี่ชั่วลมหายใจร่างกายและจิตวิญญาณย่อมถูกบดขยี้ไปสิ้นแต่ในทางก
ไม่น่าเชื่อว่าเพียงหนึ่งราตรีที่ผ่านพ้น สำนักหมาป่าทมิฬจะถูกฆ่าล้างสำนักจนไม่เหลือแม้แต่ผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว การจู่โจมโดยไม่อาจตั้งตัวนั้นได้ส่งผลให้เหล่าสมาชิกในสำนักต้องสังเวยชีวิตอย่างน่าสลดใจ สิ่งนี้กล่าวว่าได้สร้างความตื่นตะลึงแก่กลุ่มอิทธิพลมืดในยุทธภพอยู่ไม่น้อย แม้ว่าสำนักหมาป่าทมิฬจะเป็นสำนักที่พึ่งก่อตั้งได้ไม่กี่สิบปีแต่ก็มีชื่อเสียงโด่งดังในด้านความโหดเหี้ยมและไร้ความปรานี การล่มสลายของสำนักในครั้งนี้จึงกลายเป็นปริศนาที่ยากจะคาดเดาได้ว่าจะเกิดขึ้นสิ่งที่น่าตื่นตะลึงนั่นคืออดีตผู้ก่อตั้งสำนักนั้นเป็นถึงราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณที่มีรากฐานบ่มเพาะไม่ธรรมดาสามัญรวมไปถึงเจ้าสำนักคนปัจจุบันนั้นก็เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นสูงที่มากไปด้วยความสามารถไม่อ่อนด้อยแม้จะขึ้นชื่อในเรื่องของความวิปริตมากกว่าก็ตาม ไม่นับรวมถึงบรรดาผู้อาวุโสที่ล้วนต่างเป็นราชทินนามระดับสูงที่ไม่อาจดูแคลนได้ทั้งสถานที่ตั้งยังรายล้อมไปด้วยมหาค่ายกลเขตแดนธรรมชาติที่ใช่ว่าจะสามารถบุกฝ่าทะลวงไปได้โดยง่าย ข่าวการกวาดล้างสำนักหมาป่าทมิฬได้แพร่สะพัดออกไปราวกับไฟลามทุ่ง ไม่รู้ว่าทางสำนักได้ไปรับภารกิจหรือได้ล
ท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดและเศษซากร่างไร้วิญญาณของศัตรูที่พ่ายแพ้ หนิงอ้ายเรียกใช้พลังปราณตวัดเอาแหวนมิติและสมบัติวิเศษประจำตัวของผู้ตกตายทั้งหมดย้ายเข้ามาในแหวนมิติของตนอย่างไรสิ่งเหล่านี้ย่อมสามารถทำประโยชน์ได้อยู่ไม่น้อย ในใจเขาไม่นึกรังเกียจเลยเพียงนิด การเข่นฆ่าสังหารแล้วช่วงชิงสิ่งของของผู้ที่ตกตายไปนั้นเป็นสิ่งที่พบเจอได้ทั่วไปในยุทธภพจากนั้นหนิงอ้ายได้ระดมเรียกเปลวเพลิงบริสุทธิ์จากปราณทิวาธาตุเข้าแผดเผาเศษซากชิ้นเนื้อรวมไปถึงจิตวิญญาณของบรรดานักฆ่าเหล่านี้ให้สูญสลายโดยไม่อาจหวนคืนในวัฏจักรสังขารได้อีก จากเศษเสี้ยวความทรงจำที่เขาสัมผัสได้นั้นคนกลุ่มนี้หาใช่เป็นคนดีแต่อย่างใด ตลอดช่วงอายุที่ผ่านมาก็ล้วนแต่กระทำต่ำช้า สังหารผู้บริสุทธิ์มาไม่น้อย เพียงเท่านี้ย่อมไม่อาจชดเชยได้เสียด้วยซ้ำไม่ถึงครึ่งเค่อให้หลัง ห้วงมิติที่ถูกผนึกไว้เมื่อไร้ซึ่งผู้บัญชาการยามนี้ม่านพลังประหลาดดังกล่าวจึงได้ซ่านสลายไปในที่สุด เผยให้เห็นหมู่เมฆาที่ล่องลอยประดับเหนือท้องฟ้า เสียงแมลงน้อยใหญ่ดังขึ้นทั่วทั้งผืนป่าโดยรอบขับขานบรรเลงสอดประสานเป็นท่วงทำนองเสนาะหู แสงไฟเวทย์จากอาคารบ้านเรือน เสียงโหวกเหวกโวยวาย