ด้วยเพราะหนิงอ้ายใช้เนตรเเห่งสวรรค์จึงทำให้เขาสามารถบอกลู่ซีถึงผู้ที่เข้ารอบมาในเเต่ละคนนั้นว่ามีจุดเเข็งในด้านใด ควรระวังในเรื่องใดบ้างรวมไปถึงจุดอ่อนต่าง ๆ แม้เพียงนิดก็ไม่อาจหลุดรอดสายตาไปได้ อีกทั้งหนิงอ้ายยังคงพูดคุยแนะนำให้กับลู่ซีถึงการใช้บทเวทย์กับผู้ฝึกตนที่เข้ารอบเเต่ละคนว่าควรใช้บทเวทย์ใดกับผู้ใดบ้างหากว่าถูกสุ่มรายชื่อให้ลงสนามประลอง
"ขอบใจเจ้ามากหากว่าไม่ไหวจริง ๆ เกอจะขอยอมแพ้เอง..." ลู่ซีเอ่ยตอบกลับหนิงอ้ายไปด้วยรู้ว่าคนด้านข้างนั้นเป็นห่วงเขาไม่น้อย
เเต่ถึงอย่างนั้นนับจากการลงประลองในครั้งเเรกจนถึงตอนนี้ตนยังไม่ได้ลงเเข่งขันอีก ดังนั้นสำหรับเขาและหนิงอ้ายที่ก่อนหน้าได้เเลกเปลี่ยนความคิดเห็นว่าในการประลองของเเต่ละคู่นั้นผู้ใดจะเป็นผู้ชนะ หรือแม้กระทั้งว่าหากตัวเขานั้นได้ลงประลองกับผู้ประลองคนดังกล่าวจะเเก้ทางของบทเวทย์ที่อีกฝ่ายใช้หรือว่าควรใช้วรยุทธอย่างไรโต้กลับ เพื่อที่จะให้ตนสามารถเป็นผู้ชนะได้นั่นเอง
การประลองยังคงดำเนินต่อไปเพื่อเฟ้นหาผู้แข่งขันสิบคนเพื่อเข้าสู่การประลองครั้งสุดท้ายในรอบแรก เพื่อประลองกันอีกครั้งจนได้ตัวเเทนของราชทินนามขุนนางวิญญาณเพียงห้าคนเท่านั้น ตลอดการสุ่มรายชื่อในการประลองไม่มีการประกาศชื่อให้ลู่ซีลงประลองเสียทีนับว่าอีกฝ่ายได้แต้มต่อเป็นอย่างมาก
การประลองที่มีกฎเกณฑ์เช่นนี้นอกจากต้องใช้ฝีมือไหวพริบและสติเเล้วยังคงต้องอาศัยโชคไม่น้อยเลยทีเดียว หนิงอ้ายสังเกตว่าในขณะที่ลู่ซียังไม่ถูกเรียกให้ลงแข่งขันทำให้สามารถผ่านเข้ารอบไปเรื่อย ๆ เเต่บางคนนั้นกลับมีรายชื่อลงแข่งขันไปเสียหลายครั้งจนทำให้สภาพของตัวคนดังกล่าวแทบที่จะเรียกว่าไม่อยู่ในสภาพที่ดีสักเท่าไหร่นัก เเต่ด้วยฝีมือที่ไม่อาจดูแคลนได้จึงสามารถผ่านเข้ารอบมาได้เรื่อย ๆ นับได้ว่ามีฝีมืออย่างเเท้จริง
ในที่สุดลู่ซีก็มีรายชื่อของผู้ผ่านเข้ารอบสิบคนสุดท้ายของการประลองในรอบเเรกของผู้ฝึกตนราชทินนามขุนนางวิญญาณ เมื่อประกาศเรียกชื่อของผู้ที่ผ่านเข้ารอบทั้งสิบคนรวมไปถึงลู่ซีให้ยืนขึ้นนั้น ผู้คนที่อยู่ในสนามประลองต่างพากันตะโกนโห่ร้องส่งเสียงเชียร์ด้วยเพราะจดจำถึงความสามารถของลู่ซีได้
มีผู้คนจำนวนไม่น้อยเช่นกันที่คิดว่าคุณชายลู่ซีผู้นี้คงเป็นลูกรักของสวรรค์เป็นแน่ จึงทำให้สามารถเข้ารอบมาถึงสิบคนสุดท้ายนี้ได้ง่ายโดยที่ไม่มีรายชื่อสุ่มให้ลงเเข่งขันประลองหลายครั้งเฉกเช่นผู้อื่น แม้ว่าลู่ซีจะมีฝีมือเป็นที่ประจักษ์เป็นอย่างมากและเขาได้ถูกจับตามองว่าการประลองครั้งต่อไปจะเเสดงความสามารถในด้านใดให้พวกตนได้เห็นอีกกัน เพราะอย่างไรแล้วอีกฝ่ายย่อมสามารถเข้าสู่รอบสุดท้ายของการประลองปีนี้ได้อย่างไม่ยากนัก
"การประลองในครั้งนี้ช่างดุเดือดยิ่ง!! ตอนนี้ก็ได้มาถึงรอบสุดท้ายของการประลองในครั้งเเรกเพื่อที่จะหาผู้ชนะเพียงเเค่ห้าคนเท่านั้นจากผู้เเข่งขันที่มีรายชื่อในสิบคนนี้ แน่นอนว่ายังคงเป็นกฎการประลองก็เช่นเดิม นั่นคือผู้ที่แพ้จะถูกคัดออกในทันที สำหรับผู้ชนะในเเต่ละคู่ประลองนั้นจะเป็นหนึ่งในตัวเเทนห้าคนของผู้ฝึกตนราชทินนามขุนนางวิญญาณเพื่อเข้าเเข่งขันในครั้งต่อไป..." เสียงของผู้อาวุโสที่ดำเนินการประลองคนเดิมได้เอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง เพื่อเน้นย้ำว่าการเเข่งขันครั้งสุดท้ายนี้มีความสำคัญมากเพียงใด...
ตระกูลหวัง
"ดูเหมือนว่าคุณชายรองตระกูลจางคงดวงดีไม่น้อยเลยทีเดียว ถึงได้มีรายชื่อผ่านมาถึงรอบสิบคนสุดท้ายเช่นนี้..." หวังจิ่งหลงเอ่ยขึ้นพร้อมกับส่ายหน้าเบา ๆ
"แต่อย่างไรด้วยข้อจำกัดในการประลองครั้งนี้ ถือว่าอีกฝ่ายทำผลงานได้ไม่แย่เท่าไหร่นะเจ้าคะ..." เหมยฮวาเอ่ยขึ้นกับสามีให้ได้ยินกันเพียงสองคนเท่านั้น แม้ว่านางจะไม่ใช่ผู้ฝึกตนที่มีฝีมือโดดเด่นหรือว่ามีพลังวิญญาณระดับสูงเเต่นางก็พอดูออกถึงฝีมือของเเต่ละคนที่ลงเเข่งขันในสนามประลองอยู่บ้าง
"เหอะ!! ถึงเช่นนั้นก็ไม่ได้ใช้ความสามารถและทักษะพิเศษเทียบเท่ากับลู่ซีหลานของพวกเราเสียด้วยซ้ำ…" หวังจิ่งหลงเอ่ยขึ้นพร้อมกับนึกถึงหลานชายบุญธรรมของตนที่ลงสนามประลอง
คู่ประลองก่อนหน้าคือคุณชายกวงเหยาหานจากตระกูลกวงที่มีชื่อเสียงหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของแคว้นมังกรเขียว ราวกับว่ามีผู้ที่คอยชักใยอยู่เบื้องหลังจงใจให้พ่ายแพ้ตั้งเเต่การประลองในครั้งเเรก เเต่กับเจ้าลูกเต่าหน้าเหม็นจากตระกูลจางกับได้ประลองกับผู้ฝึกตนพเนจรที่ไม่ค่อยมีฝีมือเก่งกาจเท่าใดเสียด้วยซ้ำ
"ลู่ซีหลานของเรานั้นทั้งเก่งกาจมีฝีมือและหล่อเหลาเช่นเดียวกับท่านพี่ในครั้งนั้นเลยเจ้าค่ะ..." เหมยฮวาตอบกลับสามีของตนไปด้วยความชื่นชม ก่อนที่จะพูดคุยในเรื่องอื่นต่อไป...
"ถึงเวลาที่ทุกคนรอคอยเเล้วกับการประลองสิบคนสุดท้ายของผู้ฝึกตนราชทินนามขุนนางวิญญาณ ผู้เเข่งขันในคู่เเรกได้แก่คุณชายรองจางหมิงหวังจากตระกูลจางเเห่งแคว้นหงส์เเดงกับคุณชายลู่ซีแห่งแคว้นเต่าดำ!!!" ผู้อาวุโสคนเดิมที่เป็นผู้ดำเนินการประลองได้สุ่มรายชื่อขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากที่ประกาศออกมาให้ได้รับทราบ ผู้คนที่อยู่ในโดยรอบสนามประลองต่างส่งเสียงฮือฮาไม่น้อยเพราะไม่คิดว่าคุณชายลู่ซีจะต้องลงเเข่งขันกับคุณชายรองจางหมิงหวังที่มาจากตระกูลใหญ่เเห่งแคว้นหงส์เเดงเช่นนี้
"คุณชายรองจางหมิงหวังจากตระกูลจางเเห่งแคว้นหงส์เเดงเช่นนั้นรึ..." ลู่ซีเอ่ยขึ้นมาเบา ๆ ราวกับพูดคุยกับตนเองพร้อมกับลอบยิ้มอยู่ในใจ เพราะนี่จะเป็นโอกาสที่ตัวเขาสามารถเเสดงฝีมือและลงมือเเก้แค้นเเทนหนิงอ้ายได้นั่นเอง
ตระกูลจาง
ทางฝั่งของตระกูลจางนั้นก็ตกใจไม่แพ้กัน ด้วยเพราะต่างจดจำได้ว่าลู่ซีหรือคุณชายลู่ซีที่ถูกเรียกชื่อนั้นเป็นเพียงเด็กกำพร้าที่อดีตฮูหยินใหญ่เยว่ซินได้ไถ่ตัวให้เป็นบ่าวติดตามรับใช้คนสนิทของอดีตคุณชายใหญ่จางหนิงอ้าย แม้ว่ารูปลักษณ์ของลู่ซีจะดูราวกับเป็นคุณชายจากตระกูลใหญ่ไม่หลงเหลือความเป็นบ่าวรับใช้เลยก็ตาม
ยิ่งไปกว่านั้นการประลองของลู่ซีในก่อนหน้านี้ย่อมทำให้เกิดความเเปลกใจกับพวกตนไม่น้อยเลยทีเดียว พวกเขาต่างขบคิดสงสัยว่าอดีตบ่าวรับใช้คนนี้เหตุใดกันจึงมีฝีมือที่เก่งกาจและสามารถใช้บทเวทย์ระดับสูงได้กัน หากเทียบกับคุณชายรองจางหมิงหวังของพวกตนเเล้วก็ไม่สามารถคาดเดาได้โดยง่ายได้ว่าผู้ใดจะเป็นฝ่ายชนะในการประลองครั้งนี้
"ข้าจะจัดการมันเองของรับท่านเเม่!!" จางหมิงหวังเมื่อได้ยินว่าคู่ต่อสู้ของตนเป็นใครจึงเอ่ยขึ้นด้วยความมั่นใจ
"ระวังตัวให้ดีเล่าหมิงเอ๋อร์ นอกจากที่มันจะสามารถใช้บทเวทย์ระดับสูงได้เเล้ว มันยังครอบครองสัตว์อสูรมายาในพันธะเลยทีเดียว..." ฮูหยินรองหรือหวงลู่เอินเอ่ยขึ้นด้วยความเป็นกังวลอยู่บ้างเล็กน้อย
"เข้าใจแล้วขอรับท่านเเม่!!" จางหมิงหวังเอ่ยตอบกลับไปก่อนที่จะก้าวลงสู่กลางสนามประลองในทันที...
เสียงผู้คนมากมายที่อยู่โดยรอบของสนามประลองเวทย์นี้ต่างดังกระหึ่มไปทั่ว หากเทียบฝีมือของคุณชายลู่ซีที่ผ่านเข้ารอบสุดท้ายโดยได้ลงประลองเพียงเเค่ครั้งเดียว กับคุณชายรองจางหมิงหวังที่ได้ลงสนามประลองไปสามครั้งและสามารถจัดการคู่ต่อสู้ฝั่งตรงข้ามได้เพียงเเค่ไม่กี่อึดใจ ตามที่พวกเขาได้เห็นตั้งเเต่เริ่มการประลองนับได้ว่ายากที่จะคาดเดาได้ว่าผู้ใดกันจะเป็นผู้ชนะที่จะได้เป็นตัวเเทนหนึ่งในห้าคนเเรก
หวังจิ่งหลงถึงกับลุกขึ้นจากที่นั่งของตนนับได้ว่าเป็นการกระทำที่ค่อนข้างฮือฮาเป็นอย่างมาก ด้วยเพราะว่าอีกฝ่ายได้ขึ้นชื่อว่าเป็นประมุขของตระกูลหวังหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่เเห่งแคว้นเต่าดำ ที่ในตอนนี้ถึงกับลุกจากที่นั่งของตนและมุ่งตรงไปยังโต๊ะรับพนันด้วยตัวเองพร้อมกับเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ดังว่า
"ข้าหวังจิ่งหลง ขอลงเดิมพันฝั่งคุณชายลู่ซีจำนวนหนึ่งแสนเหรียญทอง!!!"
"…"
"…"
"โอ้!! ท่านประมุขหวังจิ่งหลงเเห่งแคว้นเต่าดำลงพนันฝั่งคุณชายลู่ซีจำนวนหนึ่งแสนเหรียญทองเลยทีเดียว มีผู้ใดที่อยากลงเดิมพันเพิ่มอีกหรือไม่? ก่อนที่จะหมดเวลาเปิดรับในอีกไม่กี่อึดใจนี้" ผู้อาวุโสคนเดิมที่เป็นผู้ดำเนินการได้เอ่ยเสียงดังเพื่อหวังให้ยอดการเดิมพันนั้นเพิ่มมากขึ้น
เสียงประกาศจากผู้ดำเนินการประลองนับว่าได้ผลเกิดคาดเลยทีเดียว เพราะจำนวนของผู้ที่ลงเดิมพันนั้นได้เพิ่มมากขึ้นโดยต่างเน้นในการลงทางฝั่งของจางหมิงหวัง ด้วยเพราะว่าตัวของคุณชายจางหมิงหวังมาจากตระกูลใหญ่ของแคว้น เมื่อเทียบกับคุณชายลู่ซีที่ในตอนนี้ทุกคนคาดว่าน่าจะเป็นเพียงชาวยุทธภพธรรมดาเท่านั้นคงไม่ได้มีทรัพยากรในการฝึกตนที่มากมาย ด้วยเบื้องหลังของคุณชายจางหมิงหวังที่เป็นตระกูลใหญ่ของแคว้นเต่าดำนั้นคงทุ่มเททรัพยากรในการฝึกตนไม่น้อยอีกทั้งตัวของจางหมิงหวังเองก็มีอสูรครอบครองเป็นถึงอสูรมายาเช่นกัน
"ตอนนี้คุณชายทั้งสองได้ลงสนามประลองแล้ว ในรอบสิบคนสุดท้ายนี้ ต้องการผู้ชนะเพียงห้าคนเท่านั้นที่จะเป็นตัวแทนของผู้ฝึกตนราชทินนามขุนนางวิญญาณ!!!"
"ทางฝั่งซ้ายมือ ขอต้อนรับคุณชายลู่ซีอีกครั้ง ราชทินนามขุนนางวิญญาณขั้นสูง ระดับพลังวิญญาณ29 วิญญาณยุทธ์สายสนับสนุน ผู้ครองครองอสูรมายาขั้นกลาง ตัวแทนจากแคว้นเต่าดำ!!"
เฮ!!!!!
"แน่นอนว่าทางฝั่งขวามือของข้า นั่นคือคุณชายรองจางหมิงหวัง จากตระกูลจางแห่งแคว้นหงส์แดง!! ราชทินนามขุนนางวิญญาณขั้นสูง ระดับพลังวิญญาณ29 วิญญาณยุทธ์สายควบคุม และเป็นหนึ่งในรุ่นเยาว์ที่ครอบครองสัตว์อสูรมายาเช่นกัน!!!"
เฮ!!!!!
"เอาละ เริ่มการประลองได้!!!!"
ลู่ซียืนประจันหน้ากับจางหมิงหวังกลางสนามประลองด้วยใบหน้าราบเรียบไม่ปรากฏคลื่นอารมณ์ ไม่สามารถคาดเดาสิ่งใดได้ เเต่ท่าทางไม่สนใจดังกล่าวนี้กลับทำให้จางหมิงหวังนั้นไม่พอใจยิ่ง ท่าทางที่ดูราวกับว่าลู่ซีนั้นเป็นคุณชายจากตระกูลใหญ่หาใช่เป็นบ่าวรับใช้ที่คอยก้มหน้าก้มตาในเรือนตระกูลจางดั่งเช่นที่ผ่านมา
"ไม่คิดเลยว่าบ่าวรับใช้ของสวะประจำตระกูลจางจะสามารถผ่านเข้ารอบมาถึงตรงนี้ได้!! เอาเป็นว่าข้าจะรีบส่งเจ้ากลับไปหาเจ้าสวะผู้นั้นโดยเร็วเเล้วกันเเต่ไม่รับปากนะว่าเจ้าจะได้กลับไปในสภาพเช่นไร..." จางหมิงหวังเอ่ยขึ้นอย่างดูถูกพร้อมกับยิ้มเหยียดที่ริมฝีปาก
"เช่นนั้นรึ?? เเต่ที่ข้าเห็นฝีมือของท่านที่สามารถผ่านมาถึงรอบนี้ด้วยคู่ประลองที่มีฝีมือราวกับพึ่งเข้าสู่วิถีของผู้ฝึกตน เเล้วเหตุใดท่านจึงมั่นใจเช่นนี้ได้กัน..." ลู่ซีเอ่ยตอบกลับไปอย่างไม่คิดที่จะไว้หน้าแม้เเต่น้อย เขาคือคุณชายใหญ่ของตระกูลหวังหาใช่เป็นบ่าวรับใช้ดั่งเช่นวันวาน การที่เขายอมให้คนตรงหน้าดูถูกเหยียดหยามก็คงไม่ต่างกับลากตระกูลหวังลงมาได้รับการเหยียบย่ำจากตระกูลจาง
"ไอ้บ่าวชั้นต่ำ ข้าผู้นี้จะเสียเวลาสั่งสอนเจ้าเอง!!" จางหมิงหวังรู้สึกโกรธเป็นอย่างมาก ตรงหน้านี้เป็นเพียงบ่าวรับใช้เเต่กลับกล้าต่อปากต่อคำกับเขาที่เป็นถึงคุณชายจากตระกูลใหญ่ช่างไม่รู้จักเจียมตนสักเพียงนิด
พรึบ!
ฟิ้ว! ฟิ้ว!
เพล้ง! เพล้ง!
จางหมิงหวังพุ่งทะยานไปด้านหน้าพร้อมกับโจมตีด้วยกระบี่อย่างเต็มแรง ลู่ซีนั้นได้ตวัดเอากระบี่ของตนออกมาต้านไว้ได้อย่างสวยงามทันท่วงที พร้อมกับแตะปลายเท้าด้วยเคล็ดวิชาย่างก้าวทะยานหมื่นลี้พุ่งเข้าโจมตีกลับไปในทันใด
พรึบ!
ฟิ้ว! ฟิ้ว!
เพล้ง! เพล้ง!
พลังลมปราณของทั้งสองได้ถูกนำออกมาใช้เสริมเข้ากับเคล็ดวิชากระบี่ที่สอดประสานกับท่วงท่าการโจมตีที่รุนแรง ด้วยความที่ทั้งสองต่างมีฝีมือไม่ไม่ห่างชั้นมากดังนั้นต่างฝ่ายจึงสามารถตั้งรับและโจมตีกลับได้อย่างทันท่วงทีไม่มีฝ่ายใดเพลี้ยงพล้ำให้แก่กัน
"หากกฏการประลองครั้งนี้เหมือนเดิมเฉกเช่นทุกครั้ง ข้าคงไม่ลังเลที่จะเรียกใช้ทักษะวิญญาณที่สองจัดการกับเจ้า ราชทินนามสายสนับสนุนคิดจะต่อกรกับราชทินนามสายควบคุมอย่างข้าเช่นนั้นรึ นับว่าเป็นโชคดีของเจ้ามากเลยทีเดียว!!" จางหมิงหวังร้องดังขึ้นด้วยความโกรธเกรี้ยว
"ข้าก็ไม่ได้ร้องขอให้ท่านต้องออมมือเสียหน่อย" ลู่ซีตอบกลับไป ก่อนที่จะเร่งเร้าญาณสัมผัสเพื่อตั้งรับการโจมตีจากอีกฝ่าย
การต่อสู้ของทั้งสองคนได้ดำเนินไปเรื่อย ๆ โดยที่ทั้งสองฝ่ายยังคงใช้เพียงเคล็ดวิชากระบี่และวรยุทธเท่านั้นในการเข้าต่อสู้ห้ำหั่นกันและยังไม่ได้มีการใช้บทเวทย์เเต่อย่างใด การปะทะกันของเคล็ดวิชากระบี่ของทั้งสองต่างดุเดือดและสร้างความตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างมาก ผู้คนโดยรอบสนามประลองต่างพากับจับจ้องทุกการเคลื่อนไหวอย่างไม่กระพริบตาราวกับว่าพวกตนนั้นจะพลาดจุดที่สำคัญในการประลอง...
ลู่ซีค่อย ๆ จับจุดเคล็ดวิชากระบี่ที่จางหมิงหวังใช้ เมื่อเขาสามารถจดจำในท่วงท่าได้เเล้ว ลู่ซีจึงทำการโต้กลับด้วยเคล็ดวิชากระบี่ที่มีความคล้ายคลึงกัน เเต่ทางฝั่งของลู่ซีจะมีความแตกต่างในเรื่องของความรวดเร็วความดุดันที่มากกว่า
ลู่ซีนึกขอบคุณผู้อาวุโสหวังฮุ่ยอยู่ในใจไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะว่าเคล็ดลับต่าง ๆ เหล่านี้นั้นย่อมเป็นผู้อาวุโสที่ทำการถ่ายทอดให้แก่เขา อีกทั้งยังคอยให้คำแนะนำเสมอยามที่ได้ฝึกฝนเคล็ดวิชากระบี่จนเขาสามารถเรียกใช้ได้อย่างเชี่ยวชาญเช่นนี้
เพล้ง!
ฉึบ!
คมกระบี่ของลู่ซีได้เฉือนเข้ากับต้นเเขนด้านขวาของจางหมิงหวังซึ่งเป็นข้างที่อีกฝ่ายนั้นใช้จับกระบี่ บรรดาเหล่าผู้คนโดยรอบสนามประลองต่างพากันส่งเสียงเฮกันดังลั่น ด้วยเพราะว่าเวลาผ่านไปไม่น้อยแล้วเเต่ทั้งสองคนยังไม่เพลี้ยงพล้ำให้แก่กัน จนมาถึงตอนนี้ที่คุณชายลู่ซีสามารถสร้างรอยแผลแก่คุณชายจางหมิงหวังได้แล้วในที่สุด
มีหลายคนเช่นกันที่พากันมองออกว่าเคล็ดวิชากระบี่ที่คุณชายลู่ซีใช้ตอบโต้กลับนั้นมีความคล้ายคลึงกับเคล็ดวิชากระบี่ของคุณชายจางหมิงหวังไปมากกว่าเจ็ดในสิบส่วน เเต่ก็มีความแตกต่างกันเพียงในส่วนของเพลงกระบี่
แน่นอนว่าทางฝั่งของคุณชายลู่ซีนั้นเพลงกระบี่ที่ถูกเรียกใช้ออกมาล้วนเต็มไปด้วยความดุดันที่พริ้วไหวเเต่ก็แฝงไปด้วยความเฉียบขาดอันเเสดงถึงความเป็นอันหนึ่งเดียวกันระหว่างตัวคนกับกระบี่นั่นเอง
"อ๊ากกกกก!!!!!" เสียงร้องของจางหมิงหวังดังขึ้นเมื่อกระบี่ของลู่ซีได้สัมผัสเลือดและสร้างรอยแผลใหม่อีกแผลที่ต้นเเขนด้านซ้ายให้กับเขาอีกครั้ง
จางหมิงหวังตกใจไม่น้อยที่ลู่ซีสามารถใช้เคล็ดวิชากระบี่ของตนได้มากถึงเจ็ดในสิบส่วนเพียงเเค่การประลองกระบี่ในช่วงเวลาสั้น ๆ ตอนนี้ตัวเขาเองโกรธเป็นอย่างมากที่บ่าวรับใช้ชั้นต่ำกล้าที่จะทำให้เขามีบาดแผลและได้รับความอับอายเช่นนี้ ดังนั้นจางหมิงหวังจึงตัดสินใจอัญเชิญสัตว์อสูรในพันธะของตนออกมาต่อสู้ในทันที
จงออกมาอสูรราชาอสุภอัคนี!!!
โฮก!
จางหมิงหวังกางมือออกพร้อมกับร่ายบทเวทย์อัญเชิญสัตว์อสูรมายาของตนออกมาในทันที ตรงด้านหน้าเขานั้นพลันปรากฏเป็นวงเวทย์อักขระที่มีรัศมีเปล่งประกายออกมาพร้อมกับปรากฏร่างของสัตว์อสูรคล้ายกับวัวขนสีน้ำตาลทองที่มีความสูงถึงสามเมตร
เสียงร้องคำรามออกมากึกก้องให้ได้ยินไปทั่วทั้งสนามประลอง ผู้คนที่ได้เห็นสัตว์อสูรมายาดังกล่าวต่างตกใจเพราะต่างเคยได้ยินเสียงร่ำลือว่าสัตว์อสูรมายาของคุณชายจางหมิงหวังขึ้นชื่อในเรื่องของพละกำลังเป็นอย่างมาก
"ข้าฝากเจ้าจัดการอสูรรับใช้ตนนี้ด้วย..." ลู่ซีเอ่ยขึ้นมาเบา ๆ พร้อมกับกางมือออกเพื่ออัญเชิญบทเวทย์เรียกสัตว์อสูรในพันธะของตนออกมา
จงออกมาเสี่ยวเฟิง วิฬาร์อัสนีสีชาด!!!
กรี๊ซ!
อสูรวิฬาร์อัสนีสีชาดพลันปรากฏขึ้นจากวงเวทย์อักขระพร้อมกับตอบรับคำสั่งจากลู่ซี ผู้เป็นเจ้านายแห่งพันธะพร้อมกับขยายร่างกายที่เเท้จริงออกมา เสียงกรีดร้องดังเเหลมไปทั่วทั้งสนามประลองส่งผลให้ผู้ฝึกตนที่มีพลังวิญญาณในระดับที่ไม่ค่อยสูงเท่าใดนักหรือชาวบ้านธรรมดาที่ไม่ใช่ผู้ฝึกตนต่างพากันสัมผัสได้ถึงความกดดันนี้
หากว่าไม่มีเกราะป้องกันระดับสูงที่ถูกร่ายกำกับไว้หลายชั้นในสนามประลองดังกล่าว รับรองได้ว่าต้องมีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่รับพลังกดดันมหาศาลจากสัตว์อสูรมายาไม่ไหวจนถึงขั้นหมดสติไปอย่างแน่นอน...
คุณชายรองตระกูลจางหรือจางหมิงหวัง ก่อนหน้านี้ได้ทำการร่ายบทเวทย์อัญเชิญสัตว์อสูรรับใช้ในพันธะของตนออกมากลางสนามประลองเเห่งนี้ปรากฏเป็นสัตว์อสูรรูปร่างใหญ่โตที่มีความสูงราวสามเมตร สัตว์อสูรในพันธะที่ถูกอัญเชิญออกมาของคุณชายจางหมิงหวังมีรูปลักษณ์ภายนอกคล้ายกับวัวขนสีน้ำตาลทองสว่างไสว มีดวงตาสีแดงกล่ำที่เเสดงให้เห็นถึงท่าทางความดุร้ายออกมาอย่างเปิดเผยราวกับว่าไม่ต้องการปกปิดแม้เเต่เพียงนิดทั่วทั้งร่างกายของสัตว์อสูรตัวดังกล่าวนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยมัดกล้ามที่ส่งกลิ่นอายถึงความเเข็งแกร่งของสัตว์อสูรมายาออกมาให้ได้สัมผัส นอกจากนั้นแล้วยังส่งเสียงคำรามดังกึกก้องไปทั่วทั้งสนามประลองพร้อมกับกำหมัดขึ้นทั้งสองข้าง และทุบตีที่อกของตัวเองไปมาพร้อมกับกวาดสายตามองไปทั่วทั้งบริเวณด้วยความที่เป็นถึงสัตว์อสูรมายา ดังนั้นเพียงเเค่เสียงคำรามที่ร้องออกมาก็สามารข่มขวัญผู้คนที่อยู่โดยรอบของสนามประลอง อีกทั้งยังส่งผลทำให้ม่านพลังเกราะป้องกันที่ถูกร่ายกำกับไว้ในสนามประลองถึงกับสั่นไหวไปมา หากว่าบทเวทย์ป้องกันที่ใช้ในสนามประลองดังกล่าวไม่ได้อยู่ในระดับสูง หรือไม่ได้มีการร่ายกำกับไว้หลายชั้นคงถูกทำลายลงไปนานเเ
คุณชายรองจางหมิงหวังถูกทัณฑ์สายฟ้าจากบทเวทย์ยันต์เขตแดนระดับเทวะเข้าโจมตีอย่างรุนแรงและต่อเนื่องเป็นเวลาเกือบหนึ่งเค่อ จนทำให้ตัวของจางหมิงหวังถึงกับล้มลงไปกับพื้นหมดสติไปด้วยความเจ็บปวด ทั่วทั้งร่างกายปรากฏเป็นบาดแผลทั้งจากการใช้การต่อสู้กับลู่ซีในการใช้อาวุธและวรยุทธต่าง ๆ รวมไปถึงการโจมตีของบทเวทย์เขตแดนระดับเทวะเมื่อสักครู่ทำให้มีเลือดไหลซึมออกมาทั่วทั้งร่างกายมีรอยไหม้อยู่หลายจุดเลยเช่นกัน"ถือว่าเอาคืนที่เจ้าเคยสั่งให้บ่าวรับใช้ในจวนทำร้ายหนิงอ้ายจนสลบไปในครั้งนั้นเสียเเล้วกันนะจางหมิงหวัง..." ลู่ซีเอ่ยขึ้นเบา ๆ กับอีกฝ่ายที่ในตอนนี้หมดสติลงไปที่พื้นฝั่งตรงข้ามใบหน้าของลู่ซีซีดลงอย่างเห็นได้ชัดจากการที่ตัวเขาฝืนใช้บทเวทย์เขตแดนระดับเทวะจึงทำให้สูญเสียพลังเวทย์ไปไม่น้อยเนื่องจากว่าตัวของลู่ซีได้ฝืนใช้งานบทเวทย์ระดับสูงเช่นนี้ แน่นอนว่าสิ่งที่ต้องเเลกเปลี่ยนนั่นคือพลังลมปราณจะลดลงเป็นอย่างมาก ต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูไม่น้อยรวมไปถึงต้องใช้โอสถฟื้นฟูขั้นสูงในการเพิ่มพลังลมปราณให้กลับมาดังเดิมได้อีกครั้ง"คุณชายลู่ซีเป็นผู้ชนะ!!!!!" สิ้นเสียงของผู้อาวุโสคนเดิมที่ทำหน้าที่เป็นผู้ดำเนิน
งานประลองของแคว้นที่ได้ถูกจัดขึ้นในเเต่ละครั้ง ล้วนไม่มีกำหนดช่วงระยะวันเวลาที่ตายตัวของงานประลองเวทย์ดังกล่าวว่าท้ายที่สุดแล้วนั้นจะเริ่มต้นการประลองและสิ้นสุดลงภายในกี่วัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับกฎกติกาที่ถูกตั้งกำหนดเอาไว้เพื่อเป็นข้อจำกัดในการประลอง การสร้างความท้าทายของขีดจำกัดของพลังเวทย์ ระดับพลังวิญญาณรวมไปถึงการสรรหาผู้ฝึกตนที่เต็มเปี่ยมไปด้วยฝีมือทั้งวิทยายุทธการต่อสู้รวมไปถึงการใช้บทเวทย์ต่าง ๆ เพื่อเป็นการจัดอันดับของผู้ฝึกตนในโลกยุทธภพเพื่อเเสดงถึงความเเข็งแกร่งผู้ฝึกตนที่เป็นผู้ชนะในห้าอันดับเเรกจะถูกเรียกว่ากลุ่มเสาหลักเเห่งยุทธภพจะสังกัดโดยตรงกับวิหารเทพยุทธ์ มีหน้าที่คอยดูเเลช่วยเหลือปกป้องผู้คนในโลกฝึกตน รูปแบบของงานประลองของแคว้นล้วนแตกต่างกันไปในเเต่ละครั้ง นับว่าสร้างความตื่นเต้นให้ทั้งกับตัวของผู้ฝึกตนที่ได้ลงสนามเเข่งขันประลองเอง หรือแม้กระทั่งผู้รับชมจากแคว้นต่าง ๆ ที่อยู่ในสนามประลองเวทย์ ทางแคว้นที่ได้รับเป็นเจ้าภาพของจัดการประลองจะเป็นผู้กำหนดรูปแบบการเเข่งขันประลองให้มีความแตกต่างกันไปงานประลองระหว่างแคว้นครั้งที่แปดสิบแปด (88) นี้ ทางแคว้นเต่าดำได้รับเป็นเจ้า
ผู้คนที่อยู่รอบข้างได้ยินบทสนทนาดังกล่าวต่างพากันตกใจไม่น้อย ทุกคนล้วนจำได้ว่าคุณชายหน้าตาหล่อเหลาที่พึ่งพูดจบลงไปนั่นคือคุณชายลู่ซี ผู้เป็นตัวแทนหนึ่งในห้าคนเเรกที่ผ่านการประลองในรอบถัดไป นอกจากจะมีความสามารถที่โดดเด่นเเล้วอีกฝ่ายยังครอบครองสัตว์อสูรมายาอีกด้วยบทสนทนาเมื่อครู่แม้จะเป็นการพูดคุยด้วยเสียงที่เบามากเพียงใดเเต่ด้วยพวกเขาที่เป็นผู้ฝึกตนที่นับได้ว่าประสาทสัมผัสล้วนดีกว่าคนธรรมดาหลายเท่านักเมื่อเห็นว่าคุณชายลู่ซีได้พูดคุยกับคุณชายหนิงผู้ลึกลับที่สวมผ้าคลุมปกปิดตัวตนที่พึ่งจบการประลองไปเมื่อครู่ บทสนทนาพูดคุยกันราวกับว่าเป็นพี่น้องกันเเต่นั่นไม่อาจทำให้ตกใจเท่ากับบทสนทนาที่ว่าคุณชายหนิงพึ่งทำการปลุกพลังวิญญาณได้ไม่ถึงสองปีเท่านั้น เเต่กลับเป็นถึงราชทินนามจักรพรรดิวิญญาณ ยังไม่รวมถึงเคล็ดวิชากระบี่ที่พริ้วไหวเฉียบขาดและความสามารถอื่นที่ร่างบางนั้นยังไม่ได้เเสดงให้ผู้คนได้เห็นอีก'เจ้าได้ยินเหมือนกับข้าหรือไม่? คุณชายหนิงพึ่งปลุกพลังวิญญาณได้เพียงไม่นานเเต่กลับเป็นถึงราชทินนามจักรพรรดิวิญญาณแล้ว ช่างน่าตกใจยิ่ง!!''บ้าไปเเล้ว!! บางคนปลุกพลังวิญญาณตั้งเเต่เจ็ดขวบปีเเต่ยังไม่สา
ด้วยความโกรธที่อีกฝ่ายทำให้เขาต้องรู้สึกอับอายเช่นนี้ จางเหยากวงจึงตัดสินใจอัญเชิญสัตว์อสูรของตนออกมาในทันทีจงออกมา อสูรราชันย์ศารกูลทมิฬ!!!!วูบ!โฮก!อสูรรับใช้ของจางเหยากวงนั้นปรากฏเป็นรูปลักษณ์คล้ายกับเสือดำที่มีลำตัวสูงใหญ่มีเปลวเพลิงสีดำลึกลับลุกท่วมไปทั่วทั้งตัว ดวงตาสีแดงเข้มดุดัน รอบตัวรายล้อมไปด้วยกลิ่นอันตรายราวกับว่าพร้อมที่จะทำลายทุกสิ่งให้มอดเป็นจุลผู้คนที่อยู่โดยรอบสนามประลองต่างส่งเสียงเชียร์กระหึ่ม ด้วยเพราะว่าในตอนนี้อสูรมายาระดับกลางได้ปรากฎในสนามประลองอีกครั้งเเล้วย่อมสร้างความตื่นเต้นเพิ่มขึ้นไปอีกมาก กลิ่นอายของสัตวอสูรมายาระดับกลาง ราชันย์ศารกูลทมิฬที่ได้เเผ่ออกมานั้นทำให้ผู้ฝึกตนที่อยู่โดยรอบสนามประลองรู้สึกอึดอัด แม้ว่าจะมีเกราะป้องกันเวทย์ที่คอยปกป้องอยู่เเล้วก็ตาม...'บ้าไปแล้วสัตว์อสูมายาระดับกลางอีกตัวเช่นนั้นรึ?? นี่ไม่ใช่งานประลองของผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์เเล้ว''แล้วทางคุณชายหนิงจะไหวหรือไม่นั่นเจอทั้งบทเวทย์ระดับสูงอีกทั้งสัตว์อสูรมายาที่แข็งแกร่งว่องไวเช่นนี้...'"จัดการมัน!!!" จางเหยากวงชี้ไปทางหนิงอ้าย ก่อนที่อสูรราชันย์ศารกูลทมิฬได้พุ่งเข้าโจมตีหนิงอ้า
บรรดาเหล่าฮ่องเต้ผู้ปกครองกแคว้น ต่างรู้สึกอิจฉาฮ่องเต้แคว้นเต่าดำยิ่งนักที่มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์มากไปด้วยความเก่งกาจและครอบครองสัตว์อสูรสังกัดปราณธาตุพฤกษาเช่นนี้ ฮ่องเต้ของแคว้นเต่าดำนั้นสัมผัสได้ถึงความรู้สึกต่าง ๆ เหล่านั้นได้ใบหน้าหล่อเหลาจึงเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่ฉายชัดถึงความภูมิใจและขอบคุณตนที่ได้ตัดสินใจที่รับเป็นเจ้าภาพในการประลองครั้งนี้ แน่นอนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นคงจะถูกเล่าขานกันอีกนานเท่านานเหล่าบรรดาสำนักต่าง ๆ นั้นพากันปรึกษากันภายในอย่างเร่งด่วน เพราะหากสำนักของตนนั้นได้ตัวของคุณชายหนิงผู้นี้มาเป็นศิษย์ในสำนักของตนได้นั้นนอกจากที่จะได้ผู้ฝึกตนที่มีฝีมือดีสามารถเป็นกำลังหลักให้สำนักของตนได้เเล้วนั้น ยังจะนำมาซึ่งชื่อเสียงของสำนักของตน..."ช่างน่าเห็นใจเสียจริง สัตว์อสูรในพันธะของคุณชายคงใช้เวลาไม่น้อยกว่าที่จะพักฟื้นได้ดังเดิม ไม่รู้ว่าข้าได้บอกกล่าวไปแล้วหรือยังว่าทุกการโจมตีของเจียวซิ่นล้วนแฝงไปด้วยปราณธาตุพฤกษากลายพันธ์ จึงมีความสามารถแฝงนั่นคือการกัดกร่อนแก่นสมุทรลมปราณของสัตว์อสูรได้ และหากรักษาไม่ทันก็คง...""เจ้า!!!! เจ้านี่มันสารเลวต่ำทรามยิ่งนัก ลูกไม้สกปรกลอบทำ
การประลองระหว่างแคว้นครั้งที่88 ในรอบสุดท้ายกำลังจะเริ่มขึ้นในอีกไม่กี่อึดใจนี้ แน่นอนว่าตัวแทนของผู้ฝึกตนทั้งสองราชทินนามจำนวนทั้งสิ้นห้าคน ถือได้ว่ารุ่นเยาว์เหล่านี้ล้วนเป็นหนึ่งในเสาหลักแห่งยุทธภพรุ่นเยาว์ทั้งสิ้น แต่ถึงอย่างไรแล้วการประลองยังคงต้องดำเนินต่อไปเพื่อค้นห้าผู้ชนะอันดับหนึ่ง ผู้ที่ได้ครอบครองซึ่งตำแหน่งฐานะเจ้าแห่งยุทธภพรุ่นเยาว์นั่นเองหนิงอ้ายเมื่อเปิดเผยตัวตนฐานะที่แท้จริงแล้ว จึงตัดสินใจชวนลู่ซีกลับไปยังที่นั่งของตระกูลหวังที่อยู่ไม่ห่างไปเท่าไหร่นัก อย่างไรแล้วหลังจากจบงานประลอง ท่านตาหวังจิ่งหลงคงประกาศฐานะที่เเท้จริงของเขาทั้งคู่ ดังนั้นหากไปยังที่นั่งดังกล่าวในตอนนี้ก็คงไม่ส่งผลอะไรมากมายเท่าไหร่นัก"ในที่สุดเจ้าก็ทำได้เเล้วนะหนิงเอ๋อร์..." หวังเยว่ซินเอ่ยขึ้นด้วยความสุข พร้อมกับดึงเด็กหนุ่มเข้ามากอดด้วยความภูมิใจ"พวกเจ้าทั้งสองคนเก่งมาก ไม่เสียชื่อลูกหลานตระกูลหวังของพวกเรา""หนิงเอ๋อร์ เพลงกระบี่ของหลานกล่าวว่าเหนือชั้นอย่างแท้จริง ทั้งพริ้วไหวและดุดันแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง หากนับไปแล้วในหมู่ฝึกตนรุ่นเยาว์ในช่วงวัยเดียวกัน ถือว่าเจ้าแข็งแกร่งและมากด้วยพรสวรร
หนิงอ้ายร่ายบทเวทย์โจมตีและบทเวทย์ป้องกันอย่างเต็มที่ต่อเนื่อง ตอนนี้เวลาผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วยามเเล้วจริงอยู่ที่ว่าเคล็ดวิชาสยบอัสนีเมฆาของเขานั้นจะสามารถชักนำพลังปราณฟ้าดินบริสุทธ์มาสร้างสมดุลเสริมพลังปราณใช้ในการต่อสู้ได้ เเต่ทว่าความเหนื่อยล้าก็ปรากฏแล้วเช่นกันเล็กน้อย หนิงอ้ายคิดว่าควรที่จะจบการประลองครั้งนี้ได้เสียทีเพราะร่างกายของคนเรานั้นต่อให้เป็นผู้ฝึกตนที่มีความเเข็งแกร่งกว่าคนทั่วไปก็ควรได้รับการฟื้นฟูและพักผ่อนอย่างเต็มที่เช่นกัน"คุณชายโม่เหรินข้ายินดีที่ได้ประลองกับท่านในครั้งนี้เเต่เป้าหมายของข้ายิ่งใหญ่นักขออภัยที่ต้องล่วงเกิน!!!" หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นพร้อมกับยกมือประสานและโค้งคำนับด้วยมารยาทเพราะเขานั้นนับถือฝีมือของอีกฝ่ายจริง ๆอัญเชิญบทเวทย์โจมตีเขตแดนมหาดาระกะสยบโลกา!ครืนนน!'บทเวทย์เขตแดนระดับเทวะที่ถูกร่ายด้วยผู้ฝึกตนระดับจักรพรรดิขั้นต้นอย่างงั้นรึ?? เหตุใดกลิ่นอายช่างรุนแรงเช่นนี้ได้กัน...' โม่เหรินเมื่อเห็นว่าหนิงอ้ายนั้นเอาจริงเเล้ว ยอมรับตามตรงว่าเขาตกใจไม่น้อยเลยทีเดียวกับบทเวทย์ที่อีกฝ่ายเรียกใช้ กลิ่นอายเช่นนี้คงเป็นบทเวทย์ระดับเทวะขึ้นไปอย่างแน่นอนไม่ใช่เรื
ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู
ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง
คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต
การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์
หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร
ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต
มหาพิภพพิสดารแห่งนี้ประกอบไปด้วยสามพิภพ สี่มหาสมุทร แปดมหาทวีป โดยที่สามพิภพนั้นจะแบ่งเป็นดินแดนพิภพระดับสูง ดินแดนพิภพระดับกลางและพิภพระดับล่าง โดยมีสี่ทะเลมหาสมุทรตั้งอยู่ 4 ทิศล้อมรอบที่เชื่อว่าเป็นที่พักพิงของเทพบรรพกาลสูงสุดทั้งสาม และแปดมหาทวีปที่ได้มีการแบ่งการปกครองตามทิศทั้งแปดของดินแดนพิภพระดับกลาง ด้วยเพราะต่างมีผู้ปกครองดินแดนอันเป็นตัวตนที่ไม่ธรรมดาสามัญทั้งสิ้น ดังนั้นการเดินทางข้ามผ่านแต่ละเขตดินแดนจึงจำเป็นต้องมีเงื่อนไขกฎเกณฑ์ที่แตกต่างกันไปสำหรับการเดินทางข้ามเขตแดนทั้งสามพิภพโดยเฉพาะดินแดนพิภพระดับสูงและดินแดนพิภพระดับกลางนั้น เงื่อนไขสำคัญคือผู้ฝึกตนที่บ่มเพาะพลังปราณในดินแดนพิภพระดับกลาง หากไม่สามารถเลื่อนระดับเป็นราชทินนามอัครพรหมยุทธ์วิญญาณหรือครอบครองพลังวิญญาณในระดับที่101ได้ย่อมไม่อาจก้าวล้ำมายังดินแดนพิภพระดับสูงนี้ได้ด้วยขีดจำกัดของกายเนื้อที่ไม่สามารถรองรับพลังปราณฟ้าดินบริสุทธิ์เข้มข้นที่ไหลเวียนหล่อเลี้ยงทั่วทั้งมหาพิภพ เพราะหากไร้ซึ่งความแข็งแกร่งของสายโลหิตและพลังปราณที่ล้ำลึกที่เพียงพอ ไม่กี่ชั่วลมหายใจร่างกายและจิตวิญญาณย่อมถูกบดขยี้ไปสิ้นแต่ในทางก
ไม่น่าเชื่อว่าเพียงหนึ่งราตรีที่ผ่านพ้น สำนักหมาป่าทมิฬจะถูกฆ่าล้างสำนักจนไม่เหลือแม้แต่ผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว การจู่โจมโดยไม่อาจตั้งตัวนั้นได้ส่งผลให้เหล่าสมาชิกในสำนักต้องสังเวยชีวิตอย่างน่าสลดใจ สิ่งนี้กล่าวว่าได้สร้างความตื่นตะลึงแก่กลุ่มอิทธิพลมืดในยุทธภพอยู่ไม่น้อย แม้ว่าสำนักหมาป่าทมิฬจะเป็นสำนักที่พึ่งก่อตั้งได้ไม่กี่สิบปีแต่ก็มีชื่อเสียงโด่งดังในด้านความโหดเหี้ยมและไร้ความปรานี การล่มสลายของสำนักในครั้งนี้จึงกลายเป็นปริศนาที่ยากจะคาดเดาได้ว่าจะเกิดขึ้นสิ่งที่น่าตื่นตะลึงนั่นคืออดีตผู้ก่อตั้งสำนักนั้นเป็นถึงราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณที่มีรากฐานบ่มเพาะไม่ธรรมดาสามัญรวมไปถึงเจ้าสำนักคนปัจจุบันนั้นก็เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นสูงที่มากไปด้วยความสามารถไม่อ่อนด้อยแม้จะขึ้นชื่อในเรื่องของความวิปริตมากกว่าก็ตาม ไม่นับรวมถึงบรรดาผู้อาวุโสที่ล้วนต่างเป็นราชทินนามระดับสูงที่ไม่อาจดูแคลนได้ทั้งสถานที่ตั้งยังรายล้อมไปด้วยมหาค่ายกลเขตแดนธรรมชาติที่ใช่ว่าจะสามารถบุกฝ่าทะลวงไปได้โดยง่าย ข่าวการกวาดล้างสำนักหมาป่าทมิฬได้แพร่สะพัดออกไปราวกับไฟลามทุ่ง ไม่รู้ว่าทางสำนักได้ไปรับภารกิจหรือได้ล
ท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดและเศษซากร่างไร้วิญญาณของศัตรูที่พ่ายแพ้ หนิงอ้ายเรียกใช้พลังปราณตวัดเอาแหวนมิติและสมบัติวิเศษประจำตัวของผู้ตกตายทั้งหมดย้ายเข้ามาในแหวนมิติของตนอย่างไรสิ่งเหล่านี้ย่อมสามารถทำประโยชน์ได้อยู่ไม่น้อย ในใจเขาไม่นึกรังเกียจเลยเพียงนิด การเข่นฆ่าสังหารแล้วช่วงชิงสิ่งของของผู้ที่ตกตายไปนั้นเป็นสิ่งที่พบเจอได้ทั่วไปในยุทธภพจากนั้นหนิงอ้ายได้ระดมเรียกเปลวเพลิงบริสุทธิ์จากปราณทิวาธาตุเข้าแผดเผาเศษซากชิ้นเนื้อรวมไปถึงจิตวิญญาณของบรรดานักฆ่าเหล่านี้ให้สูญสลายโดยไม่อาจหวนคืนในวัฏจักรสังขารได้อีก จากเศษเสี้ยวความทรงจำที่เขาสัมผัสได้นั้นคนกลุ่มนี้หาใช่เป็นคนดีแต่อย่างใด ตลอดช่วงอายุที่ผ่านมาก็ล้วนแต่กระทำต่ำช้า สังหารผู้บริสุทธิ์มาไม่น้อย เพียงเท่านี้ย่อมไม่อาจชดเชยได้เสียด้วยซ้ำไม่ถึงครึ่งเค่อให้หลัง ห้วงมิติที่ถูกผนึกไว้เมื่อไร้ซึ่งผู้บัญชาการยามนี้ม่านพลังประหลาดดังกล่าวจึงได้ซ่านสลายไปในที่สุด เผยให้เห็นหมู่เมฆาที่ล่องลอยประดับเหนือท้องฟ้า เสียงแมลงน้อยใหญ่ดังขึ้นทั่วทั้งผืนป่าโดยรอบขับขานบรรเลงสอดประสานเป็นท่วงทำนองเสนาะหู แสงไฟเวทย์จากอาคารบ้านเรือน เสียงโหวกเหวกโวยวาย