ทางฝั่งเยว่ซินหลังจากที่มีนักฆ่าเข้ามาลอบสังหารบุตรชายของนางในช่วงกลางคืนที่ผ่านมา โชคดีที่ไม่เกิดเหตุการณ์ความสูญเสียดังกล่าวขึ้น ที่น่าแปลกใจคือหนังสือจ้างวานฆ่านี้ได้ชี้ชัดว่าเป็นฝีมือของหวงลู่เอินหรือฮูหยินรองคนรักของจางเลี่ยงหวง เยว่ซินนั้นไม่มีเรื่องราวข้องเกี่ยวกับอีกฝ่ายเท่าไหร่นัก แต่หากว่าแรงจูงใจของการกระทำนี้คือนางต้องการผลักดันบุตรชายของนางขึ้นเป็นผู้สืบทอดของตระกูลแทนจางหนิงอ้ายผู้เป็นคุณชายใหญ่ของตระกูลจางสายหลักแล้วย่อมเป็นไปได้เช่นกันทั้งสิ้น
แต่แล้วอย่างไรเล่า? จางเลี่ยงหวงสามีของนางก็คงไม่เชื่อต่อหลักฐานที่มีอยู่และคงเข้าข้างคนรักของตนเฉกเช่นทุกครั้ง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หนิงอ้ายถูกรังแกและโดนทำร้าย ต่อให้นางมีหลักฐานเพียงใดสามีของนางไม่เคยลงโทษหรือเอาผิดเลยซักครั้ง เยว่ซินหยิบสมุดบันทึกเล่มเก่าของตนที่อยู่ในช่องลับบนหัวเตียงขึ้นมาพร้อมกับเปิดอ่านอีกครั้งพลันย้อนคิดไปถึงอดีตเมื่อครั้งก่อนที่นางเข้ามาเป็นฮูหยินเอกของตระกูล
ชื่อเสียงของจางหนิงอ้ายบุตรชายของนาง ผู้คนทั้งที่อยู่ในเหตุการณ์ในพิธีปลุกพลังวิญญาณเมื่อเจ็ดปีก่อนต่างมีการร่ำลือไปอย่างเสียหาย บ้างว่าคุณชายใหญ่หนิงอ้ายเป็นสวะของตระกูลจาง หากไม่ได้เกิดเป็นคุณชายคนเเรกจากฮูหยินเอกป่านนี่ตำแหน่งว่าที่ผู้สืบทอดของตระกูลจางย่อมเป็นของคุณชายรองจางเหยากวงไปเสียเเล้ว ด้วยเพราะความที่คุณชายรองห่างจากคุณชายใหญ่ไม่ถึงปี และมีหน้าตาถอดมาจากเลี่ยงหวงผู้เป็นบิดาเสียส่วนใหญ่อีกทั้งเป็นผู้ฝึกตนที่มีสองพลังธาตุเป็นถึงศิษย์สายในของผู้อาวุโสในสำนักศึกษาผิงอานเพียงเท่านี้ย่อมทำให้เป็นที่เชิดหน้าชูตากว่าคุณชายใหญ่จางหนิงอ้ายยิ่งแล้ว
ที่ผ่านมาเยว่ซินได้สอนตำราความรู้ศาสตร์ทั้งสี่ของสตรีรวมไปถึงการใช้อาวุธเพื่อสำหรับในการต่อสู้ป้องกันตัวเองได้ให้แก่หนิงอ้าย ไม่ว่าจะเป็นการยิงธนูการใช้มีดสั้นรวมไปถึงการฝึกกระบี่ เยว่ซินตั้งใจไว้ว่าถึงแม้บุตรของตนจะไม่สามารถปลุกพลังวิญญาณผู้ฝึกตน แต่ก็สามารถฝึกความแข็งแกร่งทางร่างกายได้เช่นกัน
จนเมื่อวันเวลาผันผ่านจนในตอนนี้บุตรของนางอายุสิบห้าปีซึ่งถือว่าเติบโตขึ้นอย่างสง่างามเป็นที่น่าภูมิใจอย่างยิ่ง ตลอดหนึ่งปีมานี้นางแทบจะไม่ได้พูดคุยกับเลี่ยงหวงเลยด้วยซ้ำหากไม่มีเรื่องจำเป็น เเต่ถึงอย่างไรการดูแลความเรียบร้อยของจวนรวมไปถึงการดูเเลตรวจสอบร้านค้ากิจการในตระกูลจางนางมักจะนำสมุดบัญชีกิจการต่าง ๆ มาตรวจสอบในทุกเจ็ดวันอย่างสม่ำเสมอ
การตัดสินใจในตอนนี้นั้นง่ายยิ่งขึ้นหลายเท่าในความรู้สึก เมื่อหนิงอ้ายกับลู่ซีออกไปจากเรือนแล้ว เยว่ซินจึงได้ปรึกษากับหรันหรูผู้เป็นสหายสนิทของตนรวมไปถึงท่านจางปินสามีของสหายของนางถึงความเป็นไปหลังจากนี้ เมื่อทั้งสองได้รับรู้เรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบจึงได้เอ่ยออกมาเพียงเเต่ว่าการตัดสินใจทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับเยว่ซินเท่านั้น บางทีหนทางที่ตัดสินใจเลือกอาจจะดีกว่าตอนนี้และอาจส่งผลดีกับหนิงอ้ายเสียด้วยซ้ำ นางจึงฝากฝังให้ทั้งสองจัดเตรียมความพร้อมต่าง ๆ ในการเดินทางกลับแคว้นเต่าดำในวันพรุ่งนี้ ส่วนนางตั้งใจไปหาจางเลี่ยงหวงสามีของนางเพื่อพูดคุย แน่นอนว่านางไม่ลืมที่จะนำสัญญาจ้างวานฆ่าของมือสังหารเมื่อคืนติดมือไปด้วย
จวนของตระกูลจางกว้างขวางพอ ๆ กับจวนของตระกูลหวังของนางที่แคว้นเต่าดำ ดังนั้นระยะทางไปกลับจากเรือนเล็กท้ายจวนที่นางพักอาศัยกับเรือนหลักที่อดีตสามีของนางนั้นอยู่ย่อมใช้เวลาเดินทางไม่น้อย เยว่ซินค่อยย่ำเท้าเดินเพื่อซึมซับความทรงจำที่นางเคยอยู่ในจวนนี้ให้มากที่สุดเเต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่คาดคิดว่าจะเจอใครบางคนด้วยซ้ำ
''ไม่คิดเลยว่าจะได้พบเจอกับฮูหยินเอกในวันนี้ สบายดีหรือไม่เจ้าคะ?'' ฮูหยินรองหรือหวงลู่เอินคนรักของสามีเอ่ยทักขึ้นคล้ายกับว่าเป็นเหตุการณ์ที่บังเอิญยิ่ง
''มีอะไรก็พูดมา ตรงนี้ไม่มีคนรักของเจ้าอยู่ด้วยไม่จำเป็นต้องสวมหน้ากากจอมปลอมคุยกับข้า!!'' เยว่ซินเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าไม่ปรากฏอารมณ์ใด ''อย่ามาทำเป็นรู้จักข้าขนาดนั้นนางแพศยาหวัง ข้าละเกลียดเจ้ายิ่งนัก!!'' หวงลู่เอินสบถออกมาคล้ายกับว่าสะกดอารมณ์ไม่อยู่ ''ข้าจำได้ว่าไม่เคยเอาตัวเองเข้าไปยุ่งกับเจ้าเปรียบดังน้ำบ่อไม่ยุ่งกับน้ำคลองฉันนั้น ข้าว่าที่แท้จริงปัญหานี้คงอยู่ที่ตัวเจ้าเสียเเล้วละฮูหยินรองหวง เเต่ข้าขอเตือนสติเจ้าอย่าล้ำเส้นข้าไปมากกว่านี้!!!'' ''ที่ผ่านมาข้าไม่ตอบโต้เเต่เจ้าคงรู้ถึงเหตุผลข้อนั้นเป็นอย่างดี เจ้าคงไม่ลืมเลือนไปแล้วใช่หรือไม่? ว่าข้าผู้นี้สามารถทำอะไรได้บ้าง...'' เยว่ซินกล่าวทิ้งท้ายอีกครั้ง พร้อมกับเดินจากไปอย่างรวดเร็วหวงลู่เอินตกใจอยู่ไม่น้อย เพราะที่ผ่านมานางได้ใช้สิ่งติดค้างที่จางเลี่ยงหวงมีให้แก่นาง ทำให้นางหลงระเริงไปโดยลืมคิดไปว่าหวังเยว่ซินขึ้นชื่อในเรื่องของฝีมือเป็นที่ยอมรับแม้กระทั่งผู้ฝึกตนด้วยกัน ในการประลองแคว้นครั้งนั้นนางสามารถติดห้าอันดับเเรกและสามารถก้าวเข้าสู่ทำเนียบเสาหลักของยุทธภพ ไหนจะเบื้องหลังที่ยิ่งใหญ่อันได้แก่ตระกูลหวังหนึ่งในสี่ของแคว้นเต่าดำ หากเยว่ซินไม่ได้แต่งงานกับเลี่ยงหวงคงไม่ถอนตัวจากทำเนียบสุดยอดรุ่นเยาว์ดังกล่าวง่าย ๆ เสียด้วยซ้ำ
นี่นาง..นี่นางพึ่งทำอะไรลงไปกัน? หวงลู่เอินได้เเต่คิดย้ำอยู่ในจิตใจอย่างเหม่อลอย...
เยว่ซินเดินแยกตัวออกมาอย่างรวดเร็ว เพราะหากว่านางยังยืนฟังที่หวงลู่เอินคนรักของสามีกล่าวถ้อยคำน่ารังเกียจออกมาอีกเพียงนิดคงอดกลั้นไม่ไหวที่จะฝากรอยมือบนใบหน้านางให้สาสมใจเป็นแน่ นางไม่ใช่เป็นสตรีที่เรียบร้อย นางเพียงรู้จักการวางตัวให้สมกับคุณหนูตระกูลหวังของแคว้นเต่าดำเท่านั้นและเลือกปฏิบัติกับคนที่นางรู้สึกเป็นมิตรด้วยความจริงใจ
เเต่สำหรับคนที่น่ารังเกียจและเสแสร้งบางครั้งการใช้ปากพูดด้วยย่อมไม่ได้ผลตรงใจเท่าไหร่ หากเยว่ซินนางไม่กลัวว่าจะมีปัญหาตามมาเกี่ยวพันภายหลังนางคงจะจะเอาคืนไม่น้อย ได้แต่หวังว่าคำเตือนที่นางเอ่ยไปจะทำให้สมองอันน้อยนิดของอีกฝ่ายคิดได้ หาไม่เป็นเช่นนั้นต่อให้ต้องมีปัญหากับตระกูลหวงของนางก็ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ต้องกังวลใจ
เย่วซินเดินไปตามทางเรื่อย ๆ แม้ไม่ได้ออกจากเรือนเล็กท้ายจวนมานานก็จริง ทุกเส้นทางนางย่อมจดจำได้แม้กระทั่งความรู้สึก ความทรงจำแม้ว่าจะทุกข์มากกว่าสุขเเต่อย่างไรก็เป็นสิ่งที่นางเลือกตัดสินใจด้วยตนเองตั้งเเต่เเรกกว่าจะรู้ตัวอีกทีนางก็เดินไปถึงเรือนหลักในจวนเสียเเล้ว
''ท่านฝู่หรงฝากแจ้งกับท่านประมุขได้หรือไม่ว่าข้ามีเรื่องจะพูดคุยด้วยเจ้าค่ะ...'' เยว่ซินเมื่อเห็นบ่าวรับใช้คนสนิทของสามีจึงเอ่ยไหว้วานให้เป็นธุระให้
''ขอรับฮูหยินเอก วันนี้ท่านประมุขไม่มีภารกิจต้องไปสำนักศึกษาพอดีข้าจะเข้าไปแจ้งให้นะขอรับ!!'' ฝู่หรงเมื่อได้ยินเช่นนั้นจึงเอ่ยรับปากออกไป พร้อมกับสังเกตฮูหยินเอกของเจ้านายตนไม่ว่ากี่ครั้งที่ได้มองก็มักจะเต็มไปด้วยความงดงามอันเป็นที่หนึ่งไม่อาจเป็นสองได้ กริยามารยาทเรียบร้อยสมกับเป็นบุตรตรีของหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของแคว้น
แม้จะไม่ได้พบเจอมาเกือบสองปีเเต่ใบหน้างามของฮูหยินเอกกลับดูสดชื่นเบิกบานใจอีกครั้งเหมือนกับในวันเเรกที่ได้ก้าวเข้ามาในจวนตระกูล เขาเองก็อดที่จะสงสัยไม่น้อยว่าใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความสุขได้แปรเปลี่ยนมาเป็นใบหน้าที่เฉยชามานานเเค่ไหนกัน เเต่เมื่อคิดว่าไม่ใช่เรื่องของตนจึงรีบโค้งคำนับและเข้าไปแจ้งนายของตนโดยทันที ฝู่หรงหายไปสักพักหนึ่งแล้วออกมากล่าวเชิญตัวเยว่ซินให้เข้าไป
''เชิญฮูหยินเอกที่ด้านในเลยขอรับ ท่านประมุขรอท่านอยู่'' แม้จะเเปลกจอยู่บ้าง เเต่ใบหน้างามกลับนิ่งสงบสองเท้าก้าวเดินอย่างมั่นคงมุ่งตรงไปยังห้องทำงานเมื่อเข้าไป เห็นเป็นสามีของตนกำลังก้มหน้าทำงานจึงเอ่ยทักขึ้น
''จางเย่วซินคำนับท่านประมุขข้ามีเรื่องจะแจ้งขอรบกวนเวลาสักครู่นะเจ้าค่ะ'' เลี่ยงหวงเมื่อได้ยินดังนั้นแม้จะรู้สึกไม่ค่อยพอใจคำเรียกที่ดูเหินห่างที่ภรรยาใช้กับตนเเต่เมื่อได้ยินเสียงหวานนุ่มหูที่ตนไม่ได้ยินมานานแล้วจึงเงยหน้ามองใบหน้างดงามของฮูหยินเอกของตน
''งานข้าไม่ได้สำคัญอะไรมากเจ้ามีอะไรก็พูดมาเถอะซินเอ๋อร์...'' เมื่อได้ยินดังนั้นเยว่ซินจึงรวบรวมความกล้าที่ตนมีอยู่ทั้งหมดและเอ่ยออกไปว่า
''ท่านจำเหตุการณ์เมื่อหนึ่งปีที่ผ่านมาได้หรือไม่?? ที่หนิงอ้ายบุตรของข้าจมน้ำเเต่ท่านไม่มีการสั่งลงโทษใดใดทั้งสิ้นเเต่เอ่ยว่าจะมอบสิ่งที่ข้าปรารถนาให้หนึ่งประการเป็นการทดเเทน...''
''ข้าย่อมจำได้ผู้นำที่ดีย่อมกล่าวเเล้วไม่คืนคำ'' เลี่ยงหวงเอ่ยตอบไปด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบแม้ในใจตอนนี้นั้นเขาหวาดกลัวสิ่งที่จะได้ยินในประโยคถัดไปจากภรรยาของตนยิ่งนัก
''คำขอหนึ่งประการที่ท่านติดค้างข้าในวันนั้น ข้าต้องการเพียงอิสระของข้าและบุตรชายพวกข้าทั้งสองจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับตระกูลจางและจะไม่รับตำแหน่งและทรัพย์สินของตระกูลจางทั้งสิ้นสิ่งที่ข้าต้องการมีเพียงใบหย่าของข้าและท่าน รบกวนประกาศให้เป็นที่รับรู้กันโดยทั่วกันถึงแม้ว่าท่านจะไม่รักข้าและบุตรชายของข้าแต่ขอท่านให้เกียรติพวกเราสองคนแม่ลูกด้วยลูกของข้านั้นจมอยู่กับคำด่าทอและคำดูถูกมานานเกินไปแล้ว...''
''สุดท้ายสิ่งที่ข้าอยากจะบอกกับท่านนั่นคือหากว่าข้าเลือกที่จะย้อนเวลากลับไปได้ข้าจะย้อนกลับไปในการประลองของแคว้นในครั้งนั้นที่ทำให้ข้าได้พบกับท่าน ข้าจะเลือกที่จะไม่เข้าร่วมการประลองและเลือกที่จะไม่รู้จักท่าน ข้าจะเลือกเชื่อฟังคำเตือนของบิดามารดาของข้ามากกว่านี้และขอให้ท่านรับรู้ไว้ว่าข้าไม่เคยหมดรักท่าน เพียงเเต่ว่าทุกวันนี้ข้ามีคนที่ข้ารักมากกว่าท่านนั้นคือหนิงอ้ายบุตรของข้าเท่านั้น...''
''ข้าจะออกเดินทางกลับตระกูลหวังแคว้นเต่าดำในวันรุ่งขึ้น ฝากท่านจัดการใบหย่าและประกาศให้ผู้คนได้รับรู้กันโดยทั่วด้วยเถิด จะได้ไม่ต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกันอีกเเล้วนี่เป็นสิ่งสุดท้ายที่ข้าหวังว่าท่านจะทำให้หนิงอ้ายทำหน้าที่ให้สมกับเป็นบิดาของเขาสักครั้ง...'' กล่าวจบเยว่ซินจึงส่งใบสัญญาจ้างในมือของตนวางตรงหน้าของจางเลี่ยงหวงอีกทั้งถอดปิ่นปักผมบนศรีษะของนางวางไว้ตรงหน้าคู่กัน
เยว่ซินตั้งใจว่าในวันรุ่งขึ้นนางจะออกเดินทางกลับตระกูลหวังให้เร็วที่สุด แม้ว่าแคว้นหงส์แดงและแคว้นเต่าดำบ้านเกิดของนางจะมีอาณาเขตติดกันเสมือนบ้านพี่เมืองน้อง เเต่เนื่องจากตระกูลจางและตระกูลหวังทั้งสองตระกูลต่างเป็นหนึ่งในสี่ของตระกูลใหญ่ของแคว้นทั้งคู่จึงทำให้จวนของตระกูลจะอยู่ตรงบริเวณใจกลางของแคว้นที่เป็นศูนย์กลางการปกครอง
อีกเหตุผลที่นางอยากเดินทางให้เร็วที่สุดก็ด้วยเพราะกลัวว่าหากนางประวิงเวลาไปมากกว่านี้จะยิ่งเปิดโอกาสให้นักฆ่ารับจ้างลอบเข้ามาในเรือนอีกครั้ง แม้จะไม่มีความสูญเสียเกิดขึ้นด้วยเพราะว่าผู้ที่อาศัยในเรือนหลังเล็กนี้ทั้งนางและบ่าวรับใช้คนอื่น ๆ ต่างเป็นวรยุทธเป็นผู้ฝึกตนกันทั้งสิ้นและด้วยความประมาทย่ามใจของพวกมันที่คิดว่าบุตรชายของนางไม่ใช่ผู้ฝึกตน อีกทั้งยังร่างกายอ่อนแอจึงส่งนักฆ่าฝีมือดีเพียงไม่กี่คน หากว่าพวกมันไม่ได้กลับไปรายงานผลภารกิจย่อมทำให้พวกมันแปลกใจและต้องส่งนักฆ่ามาเพิ่มเป็นแน่
คืนที่ผ่านมานางรับรู้ได้ว่าบุตรของนางมีฝีมือไม่ด้อยกว่าผู้ใด เเต่ถึงอย่างไรนางย่อมป้องกันไว้ก่อนดีกว่า นางมีเพียงบุตรคนเดียวซึ่งก็คือหนิงอ้าย แน่นอนว่าเยว่ซินไม่พร้อมที่จะเสียเด็กหนุ่มไปเป็นแน่ ก่อนหน้านี้ถึงแม้ว่านางจะถูกไล่ให้มาอยู่เรือนเล็กท้ายจวนและถูกยึดอำนาจของฮูหยินใหญ่ของตระกูลจางเกือบทั้งหมดก็จริง เเต่การจัดการสมุดบัญชีของตระกูลจางและกิจการของตระกูล รายรับ รายจ่ายต่าง ๆ เลี่ยงหวงอดีตสามีของนางยังคงไว้ใจให้นางทำหน้าที่ดูเเลตรงนี้อยู่เสมอ
นางไม่มีความจำเป็นต้องเอาตัวเองเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับอีกฝ่ายเเล้ว เยว่ซินตั้งใจคืนทุกสิ่งที่นางได้ดูเเลตั้งเเต่ก้าวเข้ามาในตระกูลจางแห่งนี้ นั่นคือสมุดบัญชีค่าใช้จ่ายของตระกูลจาง รวมไปถึงสมุดบัญชีของกิจการต่าง ๆ ที่ปกตินางมักจะให้พ่อบ้านของตระกูลนำมาให้ตนตรวจสอบในทุกเจ็ดวัน อีกทั้งยังมีตราประจำตัวของฮูหยินใหญ่ตระกูลจางที่นางเคยครอบครองมาหลายสิบปี ตอนนี้คงถึงเวลาแล้วที่จะต้องคืนให้แก่อดีตสามีเพื่อที่เขาจะได้ส่งมอบให้สตรีที่ตนรักจริง ๆ ไม่ใช่มอบให้สตรีเช่นนางที่ถูกตบแต่งเข้ามาด้วยความเหมาะสมดั่งเช่นนาง…
เลี่ยงหวงเห็นปิ่นปักผมก็จดจำได้ว่าเป็นปิ่นที่เขาแกะสลักด้วยตนเองเพื่อมอบให้อีกฝ่ายพร้อมกับคำสัญญาในวันวานเเต่มาในวันนี้นอกจากที่ตนจะไม่สามารถทำตามคำสัญญาได้แล้วกลับทำร้ายความรักความเชื่อใจของนาง เลี่ยงหวงแม้จะเห็นว่าเยว่ซินเดินออกไปแล้วแต่กลับไม่กล้าเรียกนางเสียด้วยซ้ำ...
เขารู้
เขารู้ดีเสมอ...
เยว่ซินเป็นสตรีที่ไม่เหมือนผู้ใดที่ตนรู้จักแม้นางจะเป็นสตรีที่มีความเพียบพร้อมไปทั้งหน้าตาชาติตระกูล สิ่งที่ทำให้เลี่ยงหวงสนใจในตัวนางคือความเด็ดขาด เมื่อนางเลือกทำสิ่งใดเเล้วย่อมหมายความว่านางได้คิดอย่างถี่ถ้วนและไม่มีทางเปลี่ยนใจ
'' ท่านทะเลาะกันอีกแล้วเช่นนั้นหรือขอรับ?'' ฝู่หรงที่รออยู่ทางด้านนอกตนจึงไม่ได้ยินเสียงที่นายท่านสองของคนพูดคุยกัน เเต่เมื่อเห็นฮูหยินเอกออกไปด้วยอาการดังกล่าวก็อดที่จะพูดขึ้นมาไม่ได้ถึงแม้สถานะของตนคือบ่าวรับใช้คนสนิท แต่เลี่ยงหวงจะคอยบอกเสมอว่าเราทั้งสองเป็นดั่งสหายกันเมื่ออยู่กันสองคนไม่จำเป็นต้องมากพิธี
''ผิดที่ข้าเองฝู่หรงข้าทำพลาด ทำพลาดไปอีกแล้ว....'' เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่เจ็บปวดเช่นนั้นฝู่หรงจึงเงยหน้าขึ้นมองเลี่ยงหวงและเห็นว่าใบหน้าหล่อเหลานั้นคล้ายกับมีอายุขึ้นมาหลายสิบปี
''เยว่ซินนางมาทวงสัญญา นางขอหย่าและให้ประกาศออกไปให้คนรับรู้กันโดยทั่ว นางไม่เอาข้าเเล้ว เจ้าได้ยินรึไม่!!'' เลี่ยงหวงเอ่ยออกมาด้วยจิตใจที่เจ็บปวด
นี่เขาไม่ได้ร้องไห้มานานเท่าใดกัน? เลี่ยงหวงไม่เข้าใจว่าตนทำพลาดตอนไหนจึงทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเยว่ซินถึงจุดสิ้นสุดเช่นนี้ได้
''ม้วนกระดาษในมือของนายท่านเป็นสิ่งใด? ข้าเห็นสิ่งนี้ฮูหยินเอกนำติดตัวเข้ามาด้วยตอนขอพบกับท่าน…'' เลี่ยงหวงได้ยินฝู่หรง จึงทำการดึงม้วนกระดาษออกมาและตกใจไม่น้อยกับเนื้อหาในม้วนกระดาษนั้น
''สัญญาจ้างวานฆ่าเป้าหมายคือจางหนิงอ้าย? นี่มันอะไรกันทำไมข้าไม่รู้เรื่องนี้!!'' เมื่อกล่าวจบสายตาของเลี่ยงหวงได้เเต่จ้องมองม้วนกระดาษในมือของตนอย่างเงียบ ๆ โดยที่ฝู่หรงไม่สามารถคาดเดาผู้เป็นนายของตนได้...
ด้านหลังของหนิงอ้ายปรากฏเป็นวงแหวนเวทย์สีน้ำเงินเข้มแสดงถึงผู้ฝึกตนปราณธาตุน้ำระดับสาม ในตอนนี้เขากำลังเร่งทำการยกระดับพลังวิญญาณให้ข้ามผ่านขั้นย่อยให้ได้ในเร็ววัน เพราะหากยิ่งมีระดับพลังวิญญาณเพิ่มขึ้นมากเท่าใด เขาก็จะสามารถปกป้องตัวเองและท่านแม่เพิ่มขึ้นได้เท่านั้นสำหรับราชทินนามจักรพรรดิวิญญาณขั้นสามัญกับระยะเวลาเพียงหนึ่งปีเช่นนี้ นับได้ว่าหนิงอ้ายไม่ต่างไปจากอัจฉริยะคงไม่เกินจริงไปนัก ต้องบอกว่าเด็กหนุ่มโชคดีอย่างมากที่ได้ศึกษาเคล็ดวิชาลับตระกูลหวัง จึงทำให้สามารถขยายจุดตันเถียรได้รองรับและขยายเส้นปราณทั่วร่างกายเพิ่มการดูดซับพลังปราณมากกว่าคนอื่นหลายเท่าจึงทำให้เขาสามารถดูดซับพลังปราณฟ้าดินได้โดยตรง ยิ่งได้รับแรงหนุนจากจี้หยกโลหิตแล้วความสามารถในการดูดซับปราณฟ้าดินของหนิงอ้ายจึงไม่ต่างไปจากพยัคฆ์ติดปีกเสียแล้วในตอนนี้บทเวทย์โจมตีมหาบุปผชาติเหมันต์จำแลงลักษณ์!ตู้ม!สภาพอากาศโดยรอบของเขตของบทเวทย์อากาศลดลงโดยฉับพลัน ปรากฎเป็นดอกบัวเหมันต์สีขาวบริสุทธิ์ดอกใหญ่แผ่อายความเย็นจาง ๆ ไปทั่วบริเวณ ตรงด้านบนเห็นเป็นเกล็ดบัวเหมันต์หิมะที่มีไอเย็นลอยตกลงไปทั่วเขตของบทเวทย์ เมื่อตกลงถึงพื
ตระกูลหวังเป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของแคว้นเต่าดำซึ่งถือได้ว่าเป็นอีกแคว้นใหญ่ที่มีความสำคัญเป็นอย่างมากเนื่องจากตั้งอยู่บริเวณใจกลางของมหาทวีปบูรพา จึงทำให้รอบด้านทั้งสี่ทิศของแคว้นมีอาณาเขตติดกับอีกสามแคว้นใหญ่ที่เหลือ แคว้นเต่าดำมีรูปแบบการปกครองที่ชัดเจนโดยเเบ่งออกเป็นสิบมณฑลใหญ่มีเมืองสาขาหรือเมืองในการปกครองในเเต่ละมณฑลมากกว่าสิบเมืองในการดูเเล ทั้งสิบมณฑลใหญ่อยู่ในการปกครองส่วนกลางของแคว้นเรียกว่ามหานครแคว้นเต่าดำหากกล่าวให้เข้าใจด้วยง่ายคือแคว้นเต่าดำประกอบไปด้วยเมืองน้อยใหญ่นับร้อยเมือง มีหมู่บ้านอย่างมากมายกระจายกันไปทั่วทั้งแคว้น ต้องบอกว่าเเต่ละเมืองหาได้มีความเจริญเทียบเท่ากันไม่ เพราะบางเมืองมีอาณาเขตติดกับแคว้นอื่นมักจะเป็นเมืองที่ขึ้นชื่อเป็นจุดเเลกเปลี่ยนสินค้า หรือบางเมืองยังคงรักษาขนบธรรมเนียมปฏิบัติกันมาอย่างช้านานนับว่าเป็นเสน่ห์ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน เเต่กับสิบมณฑลใหญ่ที่มีการปกครองดูเเลเมืองในรับผิดชอบของตนมักจะมีความเจริญและมีพื้นที่กว้างขวางเป็นอย่างมาก ด้วยเพราะผู้ปกครองมณฑลดังกล่าวมักจะเป็นเหล่าบรรดาผู้มีศักดิ์เป็นอ๋องเป็นเชื้อพระวงศ์นั่นเองคณะเดินทางของหนิงอ้
ขบวนรถม้าเดินทางยังคงดำเนินไปอย่างไม่รีบร้อน จุดหมายปลายทางคือจวนตระกูลหวังที่ตั้งอยู่ในมหานครแคว้นเต่าดำแห่งนี้ ตลอดเส้นทางเดินรถม้าได้ตัดผ่านหมู่บ้านน้อยใหญ่มากมาย สิ่งหนึ่งที่หนิงอ้ายสังเกตคือยิ่งเข้าใกล้ใจกลางมหานครแคว้นเต่าดำมากเท่าใดความเจริญรุ่งเรืองของบ้านเมืองรวมไปถึงความคึกคักของตลาดเเลกเปลี่ยนสินค้าก็จะเพิ่มขึ้นไปเท่านั้น''ตรงด้านหน้าจะเป็นตลาดเมืองหลวงก่อนถึงจวนตระกูลหวัง หนิงอ้าย ลู่ซี เจ้าทั้งสองจะแวะก่อนหรือไม่?'' เยว่ซินเอ่ยถามเด็กหนุ่มทั้งสอง เพราะหากพ้นเขตตลาดเมืองหลวงนี้ไปอีกเพียงไม่ถึงเค่อก็จะถึงจวนตระกูลหวังเเล้ว''แวะขอรับท่านเเม่ ข้าจะหาซื้อของฝากติดไม้ติดมือให้ท่านตาและท่านยายด้วยขอรับ!'' หนิงอ้ายตอบมารดาไปในทันที ในโลกเดิมของเขาสำหรับการเข้าพบปะผู้อาวุโสที่มีอายุมากกว่า ตามมารยาทที่พึงกระทำแล้วผู้น้อยควรมีของฝากติดมือไปฝากเสมอ เป็นการเเสดงถึงความเคารพให้เกียรตินั่นเองนับว่าผิดจากหนิงอ้ายเคยคิดไว้ไปเสียมาก มหานครแคว้นเต่าดำนี้มีพื้นที่กว้างขวางใหญ่โตเป็นอย่างมาก อาคารบ้านเรือนสองข้างทางดูโอ่อ่าอลังการดูเเล้วเจริญหูเจริญตาเป็นอย่างมาก ถนนหนทางจากทุกมุมเมืองที่
ระดับพลังวิญญาณ**พลังวิญญาณคือพลังลมปราณภายในร่างกายของผู้ฝึกตน เกี่ยวข้องกับความเหมาะสมในการประสานกระดูกวิญญาณเข้ากับร่างกายอีกด้วย ระดับพลังวิญญาณของผู้ฝึกตนจะเเบ่งออกเป็นสิบห้าระดับ แต่ละระดับแบ่งเป็นสิบขั้นย่อย**แต่ละขั้นย่อยของระดับพลังวิญญาณจะปรากฏเป็นสัญลักษณ์ดังนี้ระดับ 1-3 ขั้นต้น หนึ่งวงแหวนเวทย์ระดับ 4-6 ขั้นกลาง สองวงแหวนเวทย์ระดับ 7-9 ขั้นสูง สามวงแหวนเวทย์1.ก่อเกิดวิญญาณระดับ1-10 ไม่มีวงแหวนเวทย์2.ขุนพลวิญญาณระดับ11-19 สัญลักษณ์แทนวงแหวนเวทย์สีขาว-กระดูกวิญญาณที่เหมาะสมในการดูดซับอายุไม่เกิน 1,000 ปี3.ขุนนางวิญญาณระดับ20-29 สัญลักษณ์แทนวงแหวนเวทย์สีเขียว-กระดูกวิญญาณที่เหมาะสมในการดูดซับอายุไม่เกิน 2,000 ปี4.จักรพรรดิวิญญาณระดับ30-39 สัญลักษณ์แทนวงแหวนเวทย์สีเหลือง-กระดูกวิญญาณที่เหมาะสมในการดูดซับอายุไม่เกิน 4,000 ปี5.เทวะวิญญาณระดับ40-49 สัญลักษณ์แทนวงแหวนเวทย์สีส้ม-กระดูกวิญญาณที่เหมาะสมในการดูดซับอายุไม่เกิน 8,000 ปี6.ราชันวิญญาณระดับ50-59 สัญลักษณ์แทนวงแหวนเวทย์สีชมพู-กระดูกวิญญาณที่เหมาะสมในการดูดซับอายุไม่เกิน 10,000 ปี7.เทพยุทธ์วิญญาณระ
หากมีการจัดอันดับนักธุรกิจรุ่นใหม่ไฟแรงที่อายุไม่เกิน30ปี เชื่อว่าต้องมี นที พัชรวงศ์เศวต อยู่ในรายชื่อเหล่านี้อย่างแน่นอน เพราะชายหนุ่มถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งนักธุรกิจที่มีความคิดนอกกรอบในการแก้ปัญหา ทั้งความเป็นผู้นำของอีกฝ่ายที่ฉายชัดออกมาแม้อายุยังน้อยเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เขามีความแตกต่างจากนักธุรกิจคนอื่นในช่วงวัยใกล้เคียงกันเป็นอย่างมากสิ่งเหล่านี้ได้ส่งผลให้ในระยะเวลาเพียงไม่กี่ปีชื่อของเขาได้กลายเป็นอีกหนึ่งนักธุรกิจหนุ่มผู้ประสบความสำเร็จที่โดดเด่นและน่าจับตามองเป็นอย่างมากคนหนึ่งที่ไม่เพียงได้รับการยอมรับจากพันธมิตรแวดวงนักธุรกิจเพราะทางด้านเทคโนโลยีชายหนุ่มก็สามารถพัฒนาระบบความมั่นคงของรัฐให้มีความเสถียรภาพมากขึ้นจนกลายเป็นแม่แบบโปรแกรมจนถูกนำไปใช้กันอย่างแพร่หลาย รวมไปถึงผลงานในด้านต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์อย่างมหาศาลต่อผู้คนหลายล้านชีวิตล้วนได้สร้างชื่อเสียงของเขาให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้นหลายเท่านอกจากนั้นแล้วนทียังเป็นชายหนุ่มที่มีรูปลักษณ์น่าดึงดูดและมีเสน่ห์เป็นอย่างมาก ร่างกายสูงโปร่งสวมชุดสูทตัดเย็บอย่างดีเน้นให้เห็นรูปร่างท่าทางที่แสดงออกถึงความมั่นใจ ดวงตาเฉียบค
สัมผัสแรกที่รู้สึกคือความเจ็บปวดไปทั่วทั้งร่างกายในสัญชาตญาณการรับรู้ แต่ก่อนที่นทีจะตั้งสติมากกว่านี้ก็ได้ยินเสียงเรียกชื่อที่คุ้นหูจนต้องฝืนลืมตาขึ้นด้วยความลำบาก เมื่อปรับสายตาให้มองเห็นชัดแล้วจึงเห็นเป็นสตรีผู้หนึ่งที่นั่งอยู่ข้างเตียงที่เขานอนอยู่ สายตาของนางที่มองมาเต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกที่หลากหลายชวนให้รู้สึกอุ่นใจและคุ้นเคยอยู่ไม่น้อย“หนิงเอ๋อร์ หนิงเอ๋อร์ ได้ยินเสียงของมารดาหรือไม่?” เสียงของสตรีเอ่ยขึ้นด้วยความเป็นห่วงเพราะเด็กหนุ่มสลบไปไม่ได้สติถึงเจ็ดวันเต็ม“ท่านแม่...” นทีเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้งไปตามความคิดแรกที่ปรากฎขึ้น ก่อนที่จะขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความมึนงง เมื่อเห็นเช่นนั้นสตรีคนดังกล่าวจึงรีบป้อนน้ำให้กับเขาในทันที“หนิงเอ๋อร์ ในที่สุดเจ้าก็ฟื้นขึ้นเสียที...” สตรีคนเดิมเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงกังวลพร้อมกับขยับเข้าใกล้มองสำรวจด้วยความเป็นห่วง นางใช้หลังมือลูบไล้ใบหน้าและลำคอของเด็กหนุ่มด้วยความกังวลที่ลดลงไปบ้างเล็กน้อยแม้ว่าภายนอกของเด็กหนุ่มในตอนนี้ดูเหมือนปกติแล้วก็จริงแต่นางยังคงไม่วางใจสักเท่าไหร่ เพราะเดิมทีแล้วร่างกายของอีกฝ่ายไม่ได้แข็งแรงมาก ในระยะหลังม
ใครจะไปเชื่อว่าหลังจากตายแล้วแทนที่จะต้องไปชดใช้กรรมหรือข้ามสะพานไหน่เหอกินน้ำแกงยายเมิ่งเพื่อเกิดใหม่ เเต่กลายเป็นว่าวิญญาณของเขากลับเข้ามาอยู่ในร่างของจางหนิงอ้ายวัยสิบสี่ปี บุตรชายคนโตของจางเลี่ยงหวงที่ปัจจุบันเป็นประมุขตระกูลจางหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของแคว้นหงส์แดง มีฮูหยินเอกคือหวังเยว่ซินมารดาของหนิงอ้ายและยังมีฮูหยินรองรวมไปถึงอนุอีกสามคน สำหรับบรรดาพี่น้องร่วมบิดาเดียวกันของหนิงอ้ายต่างมีอายุลดหลั่นกันไปเพียงหนึ่งหรือสองปีเท่านั้น หากจะเรียกว่าพี่น้องก็ไม่เต็มปากเพราะแทบไม่ผูกพันธ์รักใคร่กันเท่าใดนัก พี่น้องเหล่านั้นต่างพูดจาดูแคลนไร้ซึ่งความเคารพใดแต่เจ้าของร่างนี้ไม่เคยตอบกลับทั้งสิ้นบรรดาพี่น้องร่วมบิดาเดียวกันประกอบไปด้วย...คุณชายใหญ่จางหนิงอ้ายคุณชายรองจางเหยากวงคุณหนูสามจางฝูเยว่คุณหนูสี่จางลี่เหมยคุณชายห้าจางหมิงหวังคุณหนูหกและคุณหนูเจ็ดเป็นแฝดหญิงคนพี่จางเหมยกุ้ยคนน้องจางเหมยฮวาพี่น้องร่วมบิดาทั้งหกคนเมื่ออายุครบเจ็ดปีก็สามารถปลุกพลังวิญญาณได้ ในตอนนี้ทุกคนต่างเข้าศึกษาในสำนักผิงอานกันทั้งสิ้น มีเพียงจางหนิงอ้ายที่ไม่สามารถเข้าศึกษาในสำนักเนื่องด้วยไม่สามารถปลุ
จางหนิงอ้ายอาศัยอยู่กับมารดาที่เรือนหลังเล็กท้ายจวนติดกับป่าไผ่พร้อมกับบ่าวรับใช้เพียงไม่กี่คน ถึงแม้ว่าหวังเยว่ซินจะมีฐานะเป็นถึงฮูหยินเอกของจวน แต่ทว่าความเป็นอยู่ในตอนนี้อาจกล่าวได้ว่าไม่ค่อยดีเท่าไหร่นักยังดีที่บ่าวในเรือนนี้ล้วนต่างจงรักภักดีต่อนายของตนทั้งสองยิ่งกว่าชีวิต เนื่องจากมารดาไม่ได้รับความรักจากบิดา อีกทั้งมีเรื่องราวที่ผิดใจกันก่อนหน้าจึงทำให้เรือนน้อยท้ายจวนหลังนี้ไม่ได้รับเงินทองจากเรือนหลักมาจุนเจือนับเป็นเวลาเกือบปีเเล้ว มีแต่เพียงสินสมรสเดิมที่มารดาของเขาได้จากตระกูลเดิมก่อนที่จะแต่งเข้าตระกูลจางเพียงเท่านั้น นับวันก็ยิ่งหมดไปจากการจับจ่ายใช้สอยซื้อของจิปาถะต่าง ๆเมื่อไม่มีอำนาจในตระกูลและไม่เป็นที่รักของสามีนับว่าพอทนไหวอยู่บ้าง เพียงเเต่ไม่ถึงหนึ่งปีที่ผ่านมาในเหตุการณ์ล่าสุดที่เป็นเหตุทำให้หนิงอ้ายต้องล้มป่วยหนัก มารดาของเขาต้องการความเป็นธรรมในเรื่องดังกล่าวนี้แต่สามีของนางก็มิได้นำพาอันใด อีกทั้งยังขับไสไล่ส่งพวกเขาทั้งคู่จากเรือนหลักของจวนด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ทั้งมารดาและหนิงอ้ายจำเป็นต้องมาอาศัยในพื้นที่ส่วนหลังของจวนห่างไกลจากเรือนหลักของตระกูลจางเช่น
ขบวนรถม้าเดินทางยังคงดำเนินไปอย่างไม่รีบร้อน จุดหมายปลายทางคือจวนตระกูลหวังที่ตั้งอยู่ในมหานครแคว้นเต่าดำแห่งนี้ ตลอดเส้นทางเดินรถม้าได้ตัดผ่านหมู่บ้านน้อยใหญ่มากมาย สิ่งหนึ่งที่หนิงอ้ายสังเกตคือยิ่งเข้าใกล้ใจกลางมหานครแคว้นเต่าดำมากเท่าใดความเจริญรุ่งเรืองของบ้านเมืองรวมไปถึงความคึกคักของตลาดเเลกเปลี่ยนสินค้าก็จะเพิ่มขึ้นไปเท่านั้น''ตรงด้านหน้าจะเป็นตลาดเมืองหลวงก่อนถึงจวนตระกูลหวัง หนิงอ้าย ลู่ซี เจ้าทั้งสองจะแวะก่อนหรือไม่?'' เยว่ซินเอ่ยถามเด็กหนุ่มทั้งสอง เพราะหากพ้นเขตตลาดเมืองหลวงนี้ไปอีกเพียงไม่ถึงเค่อก็จะถึงจวนตระกูลหวังเเล้ว''แวะขอรับท่านเเม่ ข้าจะหาซื้อของฝากติดไม้ติดมือให้ท่านตาและท่านยายด้วยขอรับ!'' หนิงอ้ายตอบมารดาไปในทันที ในโลกเดิมของเขาสำหรับการเข้าพบปะผู้อาวุโสที่มีอายุมากกว่า ตามมารยาทที่พึงกระทำแล้วผู้น้อยควรมีของฝากติดมือไปฝากเสมอ เป็นการเเสดงถึงความเคารพให้เกียรตินั่นเองนับว่าผิดจากหนิงอ้ายเคยคิดไว้ไปเสียมาก มหานครแคว้นเต่าดำนี้มีพื้นที่กว้างขวางใหญ่โตเป็นอย่างมาก อาคารบ้านเรือนสองข้างทางดูโอ่อ่าอลังการดูเเล้วเจริญหูเจริญตาเป็นอย่างมาก ถนนหนทางจากทุกมุมเมืองที่
ตระกูลหวังเป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของแคว้นเต่าดำซึ่งถือได้ว่าเป็นอีกแคว้นใหญ่ที่มีความสำคัญเป็นอย่างมากเนื่องจากตั้งอยู่บริเวณใจกลางของมหาทวีปบูรพา จึงทำให้รอบด้านทั้งสี่ทิศของแคว้นมีอาณาเขตติดกับอีกสามแคว้นใหญ่ที่เหลือ แคว้นเต่าดำมีรูปแบบการปกครองที่ชัดเจนโดยเเบ่งออกเป็นสิบมณฑลใหญ่มีเมืองสาขาหรือเมืองในการปกครองในเเต่ละมณฑลมากกว่าสิบเมืองในการดูเเล ทั้งสิบมณฑลใหญ่อยู่ในการปกครองส่วนกลางของแคว้นเรียกว่ามหานครแคว้นเต่าดำหากกล่าวให้เข้าใจด้วยง่ายคือแคว้นเต่าดำประกอบไปด้วยเมืองน้อยใหญ่นับร้อยเมือง มีหมู่บ้านอย่างมากมายกระจายกันไปทั่วทั้งแคว้น ต้องบอกว่าเเต่ละเมืองหาได้มีความเจริญเทียบเท่ากันไม่ เพราะบางเมืองมีอาณาเขตติดกับแคว้นอื่นมักจะเป็นเมืองที่ขึ้นชื่อเป็นจุดเเลกเปลี่ยนสินค้า หรือบางเมืองยังคงรักษาขนบธรรมเนียมปฏิบัติกันมาอย่างช้านานนับว่าเป็นเสน่ห์ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน เเต่กับสิบมณฑลใหญ่ที่มีการปกครองดูเเลเมืองในรับผิดชอบของตนมักจะมีความเจริญและมีพื้นที่กว้างขวางเป็นอย่างมาก ด้วยเพราะผู้ปกครองมณฑลดังกล่าวมักจะเป็นเหล่าบรรดาผู้มีศักดิ์เป็นอ๋องเป็นเชื้อพระวงศ์นั่นเองคณะเดินทางของหนิงอ้
ด้านหลังของหนิงอ้ายปรากฏเป็นวงแหวนเวทย์สีน้ำเงินเข้มแสดงถึงผู้ฝึกตนปราณธาตุน้ำระดับสาม ในตอนนี้เขากำลังเร่งทำการยกระดับพลังวิญญาณให้ข้ามผ่านขั้นย่อยให้ได้ในเร็ววัน เพราะหากยิ่งมีระดับพลังวิญญาณเพิ่มขึ้นมากเท่าใด เขาก็จะสามารถปกป้องตัวเองและท่านแม่เพิ่มขึ้นได้เท่านั้นสำหรับราชทินนามจักรพรรดิวิญญาณขั้นสามัญกับระยะเวลาเพียงหนึ่งปีเช่นนี้ นับได้ว่าหนิงอ้ายไม่ต่างไปจากอัจฉริยะคงไม่เกินจริงไปนัก ต้องบอกว่าเด็กหนุ่มโชคดีอย่างมากที่ได้ศึกษาเคล็ดวิชาลับตระกูลหวัง จึงทำให้สามารถขยายจุดตันเถียรได้รองรับและขยายเส้นปราณทั่วร่างกายเพิ่มการดูดซับพลังปราณมากกว่าคนอื่นหลายเท่าจึงทำให้เขาสามารถดูดซับพลังปราณฟ้าดินได้โดยตรง ยิ่งได้รับแรงหนุนจากจี้หยกโลหิตแล้วความสามารถในการดูดซับปราณฟ้าดินของหนิงอ้ายจึงไม่ต่างไปจากพยัคฆ์ติดปีกเสียแล้วในตอนนี้บทเวทย์โจมตีมหาบุปผชาติเหมันต์จำแลงลักษณ์!ตู้ม!สภาพอากาศโดยรอบของเขตของบทเวทย์อากาศลดลงโดยฉับพลัน ปรากฎเป็นดอกบัวเหมันต์สีขาวบริสุทธิ์ดอกใหญ่แผ่อายความเย็นจาง ๆ ไปทั่วบริเวณ ตรงด้านบนเห็นเป็นเกล็ดบัวเหมันต์หิมะที่มีไอเย็นลอยตกลงไปทั่วเขตของบทเวทย์ เมื่อตกลงถึงพื
ทางฝั่งเยว่ซินหลังจากที่มีนักฆ่าเข้ามาลอบสังหารบุตรชายของนางในช่วงกลางคืนที่ผ่านมา โชคดีที่ไม่เกิดเหตุการณ์ความสูญเสียดังกล่าวขึ้น ที่น่าแปลกใจคือหนังสือจ้างวานฆ่านี้ได้ชี้ชัดว่าเป็นฝีมือของหวงลู่เอินหรือฮูหยินรองคนรักของจางเลี่ยงหวง เยว่ซินนั้นไม่มีเรื่องราวข้องเกี่ยวกับอีกฝ่ายเท่าไหร่นัก แต่หากว่าแรงจูงใจของการกระทำนี้คือนางต้องการผลักดันบุตรชายของนางขึ้นเป็นผู้สืบทอดของตระกูลแทนจางหนิงอ้ายผู้เป็นคุณชายใหญ่ของตระกูลจางสายหลักแล้วย่อมเป็นไปได้เช่นกันทั้งสิ้นแต่แล้วอย่างไรเล่า? จางเลี่ยงหวงสามีของนางก็คงไม่เชื่อต่อหลักฐานที่มีอยู่และคงเข้าข้างคนรักของตนเฉกเช่นทุกครั้ง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หนิงอ้ายถูกรังแกและโดนทำร้าย ต่อให้นางมีหลักฐานเพียงใดสามีของนางไม่เคยลงโทษหรือเอาผิดเลยซักครั้ง เยว่ซินหยิบสมุดบันทึกเล่มเก่าของตนที่อยู่ในช่องลับบนหัวเตียงขึ้นมาพร้อมกับเปิดอ่านอีกครั้งพลันย้อนคิดไปถึงอดีตเมื่อครั้งก่อนที่นางเข้ามาเป็นฮูหยินเอกของตระกูลชื่อเสียงของจางหนิงอ้ายบุตรชายของนาง ผู้คนทั้งที่อยู่ในเหตุการณ์ในพิธีปลุกพลังวิญญาณเมื่อเจ็ดปีก่อนต่างมีการร่ำลือไปอย่างเสียหาย บ้างว่าคุณชายใหญ่ห
กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วทั้งห้อง ร่างไร้วิญญาณที่ถูกชโลมด้วยโลหิตสีแดงฉานมากมายชวนให้รู้สึกคลื่นเหียนอยู่ไม่น้อยแก่ผู้พบเห็น แต่ด้วยทุกคนในที่นี้ต่างโลดแล่นอยู่ในเส้นทางของผู้ฝึกตนเป็นเวลาหลายปี ดังนั้นย่อมเคยพบเจอเหตุการณ์ฆ่าฟันเช่นนี้ทั้งสิ้น ที่น่าแปลกใจคือหนิงอ้ายที่เป็นผู้ลงมือกระทำนั้นกลับไร้ความตกใจราวกับว่านี่เป็นสิ่งที่คุ้นชินเสียอย่างนั้น''นักฆ่าเหล่านี้แม้จะเป็นร่างไร้วิญญาณไปแล้วก็จริง แต่อย่างไรขึ้นชื่อว่าผู้ฝึกตนย่อมมีพลังลมปราณไหลเวียนอยู่ในจุดชีพจรทั่วทั้งร่างกายที่ไม่แตกต่างไปจากสัตว์อสูร หากปล่อยทิ้งเอาไว้เช่นนี้คงเสียเปล่าเป็นแน่ เช่นนั้นข้าจะนำร่างไร้วิญญาณของนักฆ่าเหล่านี้ให้กับเจียวซิ่นขอรับ...''แม้ว่าสิ่งที่หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นมาจะชวนให้ตกตะลึงในความรู้สึก เพราะการที่สัตว์อสูรในพันธะสามารถดูดซับลมปราณจากร่างไร้วิญญาณของสัตว์อสูรนั้นไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน แล้วยิ่งกับร่างไร้วิญญาณของผู้ฝึกตนเช่นนี้ย่อมไม่เคยมีผู้ใดกระทำทั้งสิ้น แต่ถึงอย่างไรคำกล่าวของหนิงอ้ายก็ไม่มีผิดถูกเช่นกันหวังฮุ่ยได้สั่งการองครักษ์ทั้งสามให้แยกย้ายกันไปเก็บกวาดร่างไร้วิญญาณของนักฆ่าสังหารที
หนิงอ้ายหลับตาลงพร้อมกับกำหนดลมหายใจเข้าออก พลังลมปราณฟ้าดินอันบริสุทธิ์โดยรอบที่ถูกชักนำโดยจี้หยกโลหิตส่งผลให้มวลลมปราณบริเวณนี้ต่างถูกชักนำเข้าตามจุดชีพจรไปทั่วทั้งร่างกายตามสุดยอดเคล็ดวิถี ลมปราณอันอบอุ่นวิ่งวนเข้าสู่จุดใจกลางตันเถียรไม่จบสิ้น พลังลมปราณในร่างกายที่ผ่านการเคี่ยวกรำนับสิบกว่ารอบต่างถูกอัดแน่นเป็นรากฐานบ่มเพาะที่แข็งแกร่ง วันเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนผันไปเรื่อย ๆ วันนี้ถือได้ว่าเป็นวันครบรอบอายุสิบห้าปีของจางหนิงอ้าย แน่นอนว่าทางฝั่งของนทีก็นับว่าเขาเองได้อาศัยอยู่ในร่างนี้เป็นเวลาหนึ่งปีแล้วเช่นกันหนิงอ้ายใช้เวลาไม่นานกับการจัดการตัวเอง วันนี้เขาเลือกใส่เสื้อตัวในสีขาวล้วนและเสื้อตัวนอกเป็นสีเขียวอ่อนที่ปักด้วยลวดลายใบไผ่สีเขียวมรกต เมื่อไปถึงบริเวณห้องโถงรับรองที่ตอนนี้ถูกเปลี่ยนให้เป็นงานเลี้ยงเล็ก ๆ มีท่านแม่เยว่ซิน ท่านลุงหวังฮุ่ย ท่านลุงจางปิน ท่านน้าหรันหรูที่นั่งรออยู่ แม้จะไร้เงาบิดาสารเลวในงานเลี้ยงดังกล่าวนี้ เเต่หนิงอ้ายไม่สนใจเลยสักนิดเพราะทุกคนในที่นี้ล้วนเป็นผู้ที่เขาสนิทใจทั้งสิ้น''หนิงเอ๋อร์ปีนี้เจ้าอายุครบสิบห้าปีแล้ว ตามกฎของตระกูลจางที่ปฏิบัติสืบทอดก
การเสาะหากระดูกวิญญาณได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้งในช่วงบ่ายของวันนี้ คณะเดินทางของหนิงอ้ายทั้งสี่คนต่างเดินทางกันไปเรื่อย ๆ ไม่รีบเร่ง แม้ว่าระหว่างทางจะพบเจอสัตว์อสูรจำนวนไม่น้อย แต่เพราะกลิ่นอายของผู้ฝึกตนระดับเทวะขั้นสูงที่หวังฮุ่ยปลดปล่อยออกมาในระยะสองลี้ย่อมไม่ต่างไปจากคำเตือนให้เหล่าสัตว์อสูรระดับต่ำจงหลบหลีกไปเสีย เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วจึงถือว่าการเสาะหาสัตว์อสูรที่เหมาะสมจึงเป็นไปอย่างราบรื่นยิ่งก่อนหน้านี้หนิงอ้ายได้ประสานร่างกายเข้ากับกระดูกวิญญาณล้านปีของอสรพิษเหมันต์บรรพกาล นอกจากกระดูกวิญญาณชิ้นนี้จะแปรเปลี่ยนเป็นทักษะวิญญาณยุทธ์ที่สามให้แก่เขาแล้ว ยังคงมีเงื่อนไขสำคัญคือการเสาะหากระดูกวิญญาณจากสัตว์อสูรสังกัดปราณธาตุพิษดูดซับประสานเข้ากับร่างกายเพื่อให้กระดูกวิญญาณชิ้นแรกนี้มีความสมบูรณ์พร้อมด้วยทักษะตามที่ควรจะเป็นหนิงอ้ายตั้งใจดูดซับกระดูกวิญญาณให้กับวิญญาณยุทธ์ที่สองอันเป็นปราณธาตุน้ำนี้เสียก่อน สำหรับวิญญาณยุทธ์ปราณธาตุไฟรวมไปถึงวิญญาณยุทธ์ที่สามเขาไม่จำเป็นต้องสังหารสัตว์อสูรเป็นจำนวนมากเพื่อเติมเต็มให้กระดูกวิญญาณของทั้งสามวิญญาณยุทธ์ในตอนนี้ เพราะนอกจากกระดูกวิญญาณล้าน
เช้าวันใหม่มาถึงคณะเดินทางของหนิงอ้ายทั้งสี่คนต่างรีบเร่งออกเดินทางกันแต่เช้าตรู่ จุดหมายคือเขตป่าชั้นกลางของเทือกเขาหมื่นอสูรวิญญาณ เนื่องจากบริเวณป่าชั้นนอกจะมีเพียงสัตว์อสูรทั่วไปหรือสัตว์อสูรปฐพีเท่านั้น หากเข้าสู่เขตป่าชั้นกลางเป็นต้นไปจึงจะพบเจอสัตว์อสูรนภาขั้นต่ำหรือขั้นกลางและหากโชคดีมากพออาจได้พบเจอสัตว์อสูรนภาขั้นสูงก็เป็นไปได้เช่นกัน สำหรับสัตว์อสูรมายาขั้นต่ำเป็นต้นไป สัตว์อสูรเหล่านี้จัดได้ว่าเป็นสัตว์อสูรระดับสูงที่มีความนึกคิด อีกทั้งยังเปี่ยมไปด้วยพละกำลังที่แข็งแกร่ง สามารถใช้ปราณธาตุของตนโจมตีผู้บุกรุกในอาณาเขตของตน อาจพบเห็นได้บ้างตามแนวรอยต่อของป่าชั้นกลางติดกับเขตป่าชั้นในกระจัดกระจายกันไปทั่วทั้งพื้นที่แห่งนี้ ระหว่างทางพวกเขาต่างพบเจอกับสัตว์อสูรไปไม่น้อย แต่เพราะยังมีอายุที่ไม่เหมาะสม อีกครั้งความสามารถยังเข้าไม่ได้กับวิญญาณยุทธ์ของพวกเขาทั้งสอง เห็นได้ว่าการเสาะหากระดูกวิญญาณนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด อายุของสัตว์อสูรจะสังเกตได้จากสีของพลังวิญญาณที่แผ่ซ่านออกมา จะเป็นสีเดียวกันกับพลังวิญญาณ แม้จะเป็นเผ่าพันธ์เดียวกันแต่มีอายุต่างก
เนตรแห่งสวรรค์ของหนิงอ้ายหลังจากได้รับแรงกระตุ้นจากการดูดซับกระดูกวิญญาณของอสรพิษเหมันต์บรรพกาลไป หนิงอ้ายพบว่าความสามารถในการมองเห็นและการรับรู้ของเขาในตอนนี้อยู่เหนือกว่าผู้ฝึกตนในเขตขั้นเดียวกันอย่างชัดเจน รายละเอียดเล็กน้อย ข้อมูลต่าง ๆ รวมไปถึงทุกการเคลื่อนไหวในรัศมีหนึ่งลี้ไม่อาจถูกปกปิดจากสายตาหรือการรับรู้ของเขาได้ คล้ายกับว่าความสามารถทั้งหมดในโลกเดิมของเขาที่เคยใช้ได้จะถูกยกระดับเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว“หนิงเอ๋อร์ เจ้าแน่ใจใช่หรือไม่ที่จะเดินทางไปกับผู้อาวุโสหวังฮุ่ยไปยังเทือกเขาหมื่นอสูรวิญญาณในครั้งนี้?” เยว่ซินถามหนิงอ้ายอีกครั้ง แม้นางจะรู้ดีว่าด้วยระดับขุนนางวิญญาณของเด็กหนุ่มย่อมสามารถเอาตัวรอดได้อย่างไม่ยาก แต่นางยังรู้สึกเป็นกังวลเพราะอีกฝ่ายไม่เคยออกจากเขตพื้นที่เมืองหลวงนี้เสียด้วยซ้ำ“ขอรับท่านแม่ ข้ากับลู่ซีจะติดตามท่านลุงฮุ่ยไปยังเทือกเขาหมื่นอสูรวิญญาณเพื่อฝึกฝนประสบการณ์และเสาะหากระดูกวิญญาณแรกด้วยขอรับ!!” หนิงอ้ายตอบไปด้วยความมั่นใจ“เช่นนั้นแล้วแต่เจ้า รบกวนผู้อาวุโสหวังฮุ่ยดูแลทั้งสองคนด้วยนะเจ้าคะ...” เยว่ซินพูดออกมา“คุณหนูอย่าได้กังวลข้าจะดูแลคุณชายหนิงอ้าย