กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วทั้งห้อง ร่างไร้วิญญาณที่ถูกชโลมด้วยโลหิตสีแดงฉานมากมายชวนให้รู้สึกคลื่นเหียนอยู่ไม่น้อยแก่ผู้พบเห็น แต่ด้วยทุกคนในที่นี้ต่างโลดแล่นอยู่ในเส้นทางของผู้ฝึกตนเป็นเวลาหลายปี ดังนั้นย่อมเคยพบเจอเหตุการณ์ฆ่าฟันเช่นนี้ทั้งสิ้น ที่น่าแปลกใจคือหนิงอ้ายที่เป็นผู้ลงมือกระทำนั้นกลับไร้ความตกใจราวกับว่านี่เป็นสิ่งที่คุ้นชินเสียอย่างนั้น
''นักฆ่าเหล่านี้แม้จะเป็นร่างไร้วิญญาณไปแล้วก็จริง แต่อย่างไรขึ้นชื่อว่าผู้ฝึกตนย่อมมีพลังลมปราณไหลเวียนอยู่ในจุดชีพจรทั่วทั้งร่างกายที่ไม่แตกต่างไปจากสัตว์อสูร หากปล่อยทิ้งเอาไว้เช่นนี้คงเสียเปล่าเป็นแน่ เช่นนั้นข้าจะนำร่างไร้วิญญาณของนักฆ่าเหล่านี้ให้กับเจียวซิ่นขอรับ...''
แม้ว่าสิ่งที่หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นมาจะชวนให้ตกตะลึงในความรู้สึก เพราะการที่สัตว์อสูรในพันธะสามารถดูดซับลมปราณจากร่างไร้วิญญาณของสัตว์อสูรนั้นไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน แล้วยิ่งกับร่างไร้วิญญาณของผู้ฝึกตนเช่นนี้ย่อมไม่เคยมีผู้ใดกระทำทั้งสิ้น แต่ถึงอย่างไรคำกล่าวของหนิงอ้ายก็ไม่มีผิดถูกเช่นกัน
หวังฮุ่ยได้สั่งการองครักษ์ทั้งสามให้แยกย้ายกันไปเก็บกวาดร่างไร้วิญญาณของนักฆ่าสังหารที่นับดูแล้วมีจำนวนมากถึงสิบร่างเลยทีเดียวก่อนที่จะรวบรวมไว้ตรงบริเวณด้านข้างของเรือน บ่าวรับใช้ที่เหลือต่างรีบเร่งทำความสะอาดและสำรวจความเสียหายที่เกิดขึ้น เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นเรียบร้อยจึงได้แยกย้ายกันไปพักผ่อนเพราะล่วงเลยเวลามามากแล้ว
''คุณชายจะจัดการร่างไร้วิญญาณของนักฆ่าสังหารเหล่านี้อย่างไรดีขอรับ?'' ลู่ซีถามออกมา
วูบ!
มหาพฤกษารัตนะทมิฬสัตว์อสูรในพันธะของหนิงอ้ายได้ปรากฏขึ้นอีกครั้ง ด้วยตอนนี้หนิงอ้ายเป็นถึงราชทินนามจักรพรรดิวิญญาณขั้นสามัญแล้ว ดังนั้นเจียวซิ่นที่เป็นสัตว์อสูรในพันธะจึงถือได้ว่าเป็นสัตว์อสูรที่นับว่าเป็นการพัฒนาก้าวกระโดดเลยทีเดียว รูปลักษณ์จำแลงของอีกฝ่ายตอนนี้ไม่ต่างไปจากต้นไม้โบราณที่ยังคงไร้ซึ่งใบเช่นเดิมเพียงแต่มีลวดลายสีแดงคล้ำสีเขียวเข้มสลับไปมา เมื่อเทียบกับครั้งแรกที่ได้พบเจอกันในตอนนี้ผิวส่วนเปลือกด้านนอกเป็นสีน้ำตาลดำสนิทหาได้เหมือนตอนนี้ไม่
''จัดการได้เลยนะเจียวซิ่น...''
สิ้นเสียงของหนิงอ้าย บริเวณโดยรอบส่วนโคนต้นของอสูรมหาพฤกษารัตนะทมิฬได้ปรากฏเป็นกับดักบุปผามรณะสีแดงเลือดนี้มีรูปลักษณ์คล้ายกับแจกันทรงสูงมีฝาปิด รยางค์สีเขียวเข้มยืดยาวทำหน้าที่ไม่ต่างแขนขาที่จับร่างไร้วิญญาณเข้าไปยังส่วนด้านในที่มีของเหลวไว้สำหรับดูดซึมโดยเฉพาะ ใช้เวลาเพียงไม่นานร่างไร้วิญญาณนับสิบร่างได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยไร้ซึ่งเสียงใดให้รับรู้ราวกับเป็นความตายอันสงบยิ่ง ไม่คาดคิดว่าอสูรสังกัดปราณธาตุไม้ที่เกิดการกลายพันธ์จะสามารถทำเช่นนี้ได้
''ขอบใจมากนะเจียวซิ่น เจ้ากลับเข้าไปพักผ่อนเสียเถอะ!'' หนิงอ้ายลูบอีกฝ่ายไปเบา ๆ ก่อนที่ร่างจำแลงนี้จะหายเข้าไปในมิติจิต
วูบ!
''ข้าว่าคุณชายกลับเข้าเรือนไปอาบน้ำชำระร่างกายก่อนดีกว่าขอรับ นี่ก็เป็นเวลาดึกมากแล้ว...''
''เช่นนั้นรบกวนท่านลุงฮุ่ยเฝ้าระวังในคืนนี้ด้วยนะขอรับ เผื่อพวกมันอีกกลุ่มจะย้อนกลับมา'' หนิงอ้ายหันหน้าบอกกับหวังฮุ่ยที่ยืนอยู่ด้านข้าง ก่อนที่จะเดินตามลู่ซีกลับเข้าไปในเรือนไปในทันที...
แสงแดดสะท้อนเป็นประกายระยิบระยับ สายลมอ่อนพัดเฉื่อยตลบอบอวนไปด้วยกลิ่นหอมจากดอกไม้นานาชนิด เสียงนกและแมลงตัวเล็ก ๆ ต่างขับขานเป็นท่วงทำนองไพเราะเสนาะหู เขาสัมผัสได้ว่าเยว่ซินผู้เป็นมารดามีเรื่องราวอึดอัดอยู่ภายในใจเป็นอย่างมากเเต่นางเลือกที่จะไม่เอ่ยอันใดออกมา หลังจากทานมื้อเช้าเสร็จสิ้นหนิงอ้ายจึงชวนลู่ซีไปยังลานฝึกตรงป่าไผ่หลังเรือน ด้วยเพราะรับรู้ได้ว่ามารดาคงมีเรื่องพูดคุยปรึกษาที่เขาไม่อาจอยู่รับฟังได้ตอนนี้
หนิงอ้ายมุ่งตรงไปยังบริเวณส่วนด้านของหลังเรือนเล็ก ที่ตอนนี้ถูกปรับเปลี่ยนเป็นลานกว้างสำหรับฝึกฝนวรยุทธ ด้วยสภาพโดยรอบโอบล้อมไปด้วยป่าไผ่เรียงรายเป็นซุ้มสวยงามร่มรื่น อากาศเต็มไปด้วยพลังลมปราณฟ้าดินอันบริสุทธิ์ไหลเวียนหนาแน่นกว่าบริเวณอื่นในจวนตระกูลจางด้วยเพราะแรงหนุนจากจี้หยกโลหิตที่หนิงอ้ายสวมใส่อยู่ตลอดเวลานั่นเอง
นอกจากนี้หนิงอ้ายยังทำที่ออกกำลังเองโดยเลียนแบบจากโลกเดิม ทางซ้ายมือของลานฝึกเขาได้จัดการขุดหลุมฝังเสาไม้ที่มีความสูงลดหลั่นกันมาวางเรียงเป็นทางยาว ด้านบนพาดด้วยไม้เนื้อดียาวไปตามแนวเสา ทางขวางได้วางไม้ลักษณะคล้ายกับบันไดไว้สำหรับการออกกำลังแขนคล้ายกับบาร์โหนเพื่อเพิ่มความแข็งแรงและยืดหยุ่น อีกด้านหนึ่งได้ทำการปักเสาขนาดใหญ่ข้างลานฝึกด้านขวาหลายต้นโดยด้านบนจะถูกเจาะรูเพื่อเสียบไม้เนื้อดีทนทานและแขวนถุงผ้าที่ห่อหุ้มหนาหลายชั้นด้านในถูกยัดนุ่นของแต่ละชั้นผ้าเช่นเดียวกันซึ่งเขาเอาไว้สำหรับการซ้อมท่าทางมวยไทยตามที่เขาได้ฝึกมาก่อนหน้านี้
ตรงกลางของลานฝึกได้ปรับหน้าดินให้เรียบไว้สำหรับฝึกฝนการต่อสู้โดยเฉพาะ ก่อนหน้านี้ทั้งเขาและลู่ซีมักจะทำการประลองกันในทุกสามวันอยู่เสมอ เพื่อทดสอบฝีมือรวมไปถึงการใช้บทเวทย์ต่างเพื่อให้ร่างกายคุ้นชินกับสิ่งเหล่านี้มากที่สุดยามที่ต้องลงการประลอง โดยแต่ละครั้งจะมีกฎข้อห้ามในการประลองฝีมือซึ่งจะเปลี่ยนไปในทุกครั้งไม่เหมือนเดิม บางครั้งใช้ได้เพียงแค่วรยุทธ์ บางครั้งงดใช้ปราณธาตุในการต่อสู้ บางครั้งห้ามใช้บทเวทย์หรือแม้กระทั่งมีการกำหนดพื้นที่เล็ก ๆ หากถูกผลักออกจากเขตดังกล่าวก็จะเป็นผู้แพ้ไป ข้อดีของการฝึกแบบนี้ก็คือยิ่งมีข้อจำกัดหรือกฎข้อห้ามในการประลองเท่าใดก็จะยิ่งท้าทายความสามารถมากยิ่งขึ้นตามไปด้วย
สำหรับหนิงอ้ายแล้วต่อให้เขาออกกำลังและฝึกฝนวรยุทธ์ได้คล่องแคล่ว รวมไปถึงการใช้บทเวทย์ในการต่อสู้หรือสถานการณ์ต่าง ๆ ร่างกายของหนิงอ้ายในตอนนี้ก็ยังคงรูปลักษณ์บอบบางเช่นเดิมแทบไม่เปลี่ยน มีเพียงความสูงเท่านั้นที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย แม้รูปร่างของเขาจะดูสูงโปร่งกว่าสตรีในวัยเดียวกันหรือกับท่านแม่แล้วด้วยความสูงถึงร้อยเจ็ดสิบห้า แต่เมื่อเทียบกับบุรุษทั่วไปหนิงอ้ายก็ยังสูงน้อยกว่าถึงครึ่งศรีษะ
บรรดาพี่น้องร่วมบิดาที่เป็นบุรุษอีกสองคนต่างมีร่างกายที่สูงใหญ่แม้จะอายุน้อยกว่าเขาก็ตาม หนิงอ้ายได้แต่ปลอบใจว่าตอนนี้เขาเป็นเพียงแค่อายุสิบห้าปีเท่านั้นยังมีเวลาให้ร่างกายได้เติบโตมากกว่านี้อีก แต่ถึงอย่างไรก็ตามพละกำลังของเขานั้นพูดได้ว่าเกือบเทียบเท่ากับร่างเดิมในโลกเก่าของเขาเสียด้วยซ้ำ เมื่อชั่งใจดูและหาเหตุผลปลอบใจได้แล้วเขาก็พอทำใจยอมรับได้อยู่บ้าง
''ตอนนี้เจียวซิ่นเป็นอย่างไรบ้างขอรับหลังจากกินร่างไร้วิญญาณของพวกนักฆ่าเมื่อคืนที่ผ่านมามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นหรือไม่ขอรับ?'' ลู่ซีเอ่ยถามขึ้น จริงอยู่ที่ว่าสัตว์อสูรของหนิงอ้ายสามารถจะดูดซับลมปราณจากร่างไร้วิญญาณของสัตว์อสูรเพื่อยกระดับพลังวิญญาณ เเต่กับร่างของผู้ฝึกตนนั้นทั้งเขาและคุณชายต่างไม่แน่ใจเท่าใดนักว่าจะเกิดผลดีหรือผลเสียต่อมันเท่าใดเมื่อคิดอย่างนี้จึงเป็นกังวลใจอยู่บ้างด้วยความเป็นห่วง
''ข้าลองเรียกเเล้วเเต่เจียวซิ่นไม่มีการตอบกลับ คงต้องใช้เวลาในการปรับสมดุลอยู่เป็นแน่เพราะเหล่าบรรดาร่างไร้วิญญาณของนักฆ่าเหล่านั้นต่างมีระดับสูงไม่น้อย...'' หนิงอ้ายเอ่ยตอบกลับลู่ซีไป เเต่เขาเชื่อว่าสิ่งนี้ย่อมส่งผลดีแก่เจียวซิ่นมากกว่าผลเสีย เพราะหากสามารถดูดซับพลังปราณจากร่างของสัตว์อสูรได้แล้ว สำหรับร่างไร้วิญญาณของผู้ฝึกตนก็คงให้ผลลัพธ์ที่ไม่แตกต่าง
''คุณชายอยู่คนเดียวได้ใช่หรือไม่? ข้าต้องขอตัวไปจัดการความเรียบร้อยที่เรือนช่วยบ่าวรับใช้คนอื่น ๆ ขอรับ''
''เจ้าไปเถอะไม่ต้องห่วงข้า อย่างไรโดยรอบนี้ต่างอยู่ในเขตแดนที่ท่านลุงฮุ่ยได้เสริมความแข็งแกร่งแล้ว อีกทั้งบรรดาองครักษ์ก็อยู่ไม่ไกลจากจุดนี้อีกด้วย...'' เมื่อลู่ซีเห็นว่าทุกอย่างเป็นไปตามที่คุณชายของตนได้กล่าว เขาจึงสบายใจขึ้นไม่น้อยก่อนที่จะแยกตัวกลับไปทางเรือนพัก
สองเท้าของหนิงอ้ายก้าวเดินอย่างมั่นคงไปยังบริเวณส่วนกลางป่าไผ่อันเป็นที่ประจำในการดูดซับลมปราณฟ้าดิน สถานที่ลับแห่งนั้นเต็มไปด้วยความสงบร่มรื่น เวลาที่ลมพัดมาบรรดาต้นไผ่สีเขียวสบายตาต่างเอนไปตามเเรงลมส่งเสียงเสียงเบา ๆ ราวกับต้องการปลอบประโลม เมื่อไปถึงใจกลางของป่าไผ่เเล้วหนิงอ้ายจึงทรุดตัวนั่งลงครุ่นคิดในบางสิ่ง
กลางคืนที่ผ่านมาหนิงอ้ายรู้สึกตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าทุกสิ่งที่อยู่รอบตัวของเขานั้นว่างเปล่าไร้ซึ่งสรรพสิ่งหันมองไปทางใดมีเเต่ความมืดมิดสุดลูกหูลูกตา…
'นี่มันที่ใดกัน?' หนิงอ้ายเอ่ยพร้อมมองไปโดยรอบสังเกตทุกอย่างอย่างระมัดระวัง
วูบ!
ขณะที่หนิงอ้ายเดินสำรวจไปพื้นที่โดยรอบนั้นพลันปรากฏเเสงสีขาวรัศมีเจิดจ้าขึ้นบริเวณตรงหน้า เมื่อรัศมีเเสงสีขาวหายไปจึงปรากฏเป็นเงาร่างบางเบา ใบหน้างามนั้นประดับด้วยรอยยิ้ม ดวงตากลมโตสีดำบริสุทธิ์ชวนให้หลงไหล เส้นผมสีปีกกายาวสยายไปถึงกลางหลังที่ถูกมัดเพียงครึ่ง ปิ่นหยกแกะสลักเนื้องามที่ปักอยู่ดูคุ้นตายิ่ง ไม่ต้องเรียกใช้เนตรแห่งสวรรค์ก็รับรู้ได้ทันทีว่าเงาของร่างกายดังกล่าวที่มีรูปร่างหน้าตาที่เหมือนกับเขาราวกับแกะแตกต่างกันเพียงสีผม หนิงอ้ายมั่นใจว่าร่างที่ปรากฏตรงหน้าจางหนิงอ้ายเจ้าของร่างตัวจริง
'เจ้าต้องการร่างกายของเจ้าคืนใช่หรือไม่? จางหนิงอ้าย...' หนิงอ้ายถามออกไปอย่างคาดเดา
'ในที่สุดเราก็เจอกันเสียทีนะขอรับ...พี่ชาย' ร่างวิญญาณของเด็กหนุ่มไม่เลือกที่จะตอบคำถาม
'พี่ชาย? เจ้าหมายถึงอย่างไรกัน...' นทีถามกลับไปด้วยความสงสัย
'ความจริงแล้วท่านแม่เยว่ซินได้ให้กำเนิดบุตรชายถึงสองคนในคืนนั้น แต่ด้วยเพราะโชคชะตาสวรรค์ลิขิตท่านจึงได้จากโลกใบนี้ไปอย่างน่าเสียดายและได้เกิดใหม่ในโลกที่ท่านจากมา...'
'เมื่อถึงคราวที่ข้าสิ้นวาสนาแล้ว ประจวบเหมาะกับท่านในโลกนั้นได้สิ้นใจเช่นกัน ด้วยสายใยแห่งพันธะที่พันผูกจึงได้หนุนนำให้ท่านเข้ามาอยู่ในร่างกายของข้าเช่นนี้ขอรับ...'
'เจ้ามาพบข้าเพื่ออะไรหรือต้องการเอาร่างนี้คืนใช่หรือไม่?'
'ไม่เลยขอรับเวลาของข้าได้หมดลงแล้ว... '
'เช่นนี้ไม่ต่างไปจากข้าเป็นฝ่ายที่แย่งร่างกายของเจ้าคงไม่ผิดไปนัก'
'หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ ยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่ข้ายังไม่อาจบอกท่านได้ในตอนนี้ แต่อยากให้ท่านระลึกไว้เสมอว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ล้วนมีเหตุผลทั้งสิ้นขอรับ...'
'ข้าก็ได้เเค่คิดอยู่เช่นกันว่าจะได้เจอเจ้าบ้างหรือไม่ แล้วที่นี่เป็นที่ใดโลกแห่งวิญญาณอย่างนั้นรึ?' นทีเปลี่ยนเรื่องคุยพร้อมกับสังเกตไปโดยรอบ
'ใช้คำนั้นได้เช่นกันขอรับ สถานที่เเห่งนี้มีเพียงจิตวิญญาณที่ได้รับการยอมรับเท่านั้นจึงจะเข้ามาได้…' ร่างโปร่งเเสงของเด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นพร้อมกับยกยิ้มเล็กน้อย
'เจ้าเสียใจหรือไม่?' หนิงอ้ายถามกลับไป
'เสียใจ? ข้าเพียงเสียใจที่หลังจากนี้จะไม่ได้รับการโอบกอดจากท่านแม่แล้วเพียงเท่านั้น อย่างไรข้าฝากท่านดูเเลมารดาของเราให้ดีที่สุดและขอฝากลู่ซีบ่าวรับใช้คนสนิทที่คอยอยู่เคียงข้างข้าเสมอด้วยนะขอรับ...' หนิงอ้ายรู้สึกราวกับว่าถูกฝากฝังสิ่งที่สำคัญที่สุดของอีกฝ่ายไว้ สิ่งที่วิญญาณเด็กหนุ่มเรียกร้องนั้นไม่ได้หนักหนาเลยสักนิด แม้เขาจะอยู่ในร่างนี้ได้ไม่นานเเต่ก็สัมผัสได้ถึงความรักที่ตนได้รับจากมารดาและการดูเเลที่ได้รับโดยเฉพาะลู่ซีนั้นไม่ใช่เป็นเเค่บ่าวคนสนิทเเต่เป็นเพื่อนสนิทคนเเรกในโลกนี้ของเขาเสียด้วยซ้ำ
'จากนี้เจ้าไม่ต้องเป็นกังวลสิ่งใด สัญญาว่าจะทำให้ดีที่สุดไว้ใจข้าได้อย่างแน่นอน...' หนิงอ้ายตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงมั่นคง เป็นดั่งคำสัตย์สัญญาระหว่างทั้งสอง
'ถึงเวลาที่ข้าต้องไปในที่ที่สมควรเเล้ว หวังว่าซักวันหนึ่งเราทั้งสองจะได้พบกันอีกนะขอรับ...' ทันทีที่กล่าวจบ ใบหน้างดงามเผยยิ้มออกมาราวกับว่าได้ปลดค้างสิ่งที่อยู่ในใจไปเสียสิ้น
'จากนี้ไปร่างกายนี้เป็นของท่านแล้วอย่างสมบูรณ์...' เสียงของเด็กหนุ่มดังขึ้นก่อนที่สติของหนิงอ้ายจะดับวูบไปโดยไม่ทันตั้งตัว
ร่างวิญญาณของเด็กหนุ่มได้สลายกลายเป็นรัศมีแสงสีขาวนวลเลือนรางเป็นกลุ่มหมอกควันลอยไปทั่วบริเวณ บางส่วนล่องลอยโอบล้อมไปทั่วทั้งตัวของหนิงอ้ายและร่างวิญญาณของเด็กหนุ่มตรงหน้า ไม่ถึงชั่วจิบชาก็พลันเลือนหายไปสิ้น บริเวณพื้นดังกล่าวเหลือเพียงเเต่สถานที่อันมืดมิดสุดสายตาไร้ที่สิ้นสุดราวกับว่าเหตุการณ์เมื่อครู่นี้ไม่เกิดขึ้น ต่อไปนับจากนี้ หนทางจะเป็นอย่างไรล้วนขึ้นอยู่กับว่าหนิงอ้ายผู้นี้จะขีดเขียนเส้นทางเดินใหม่อย่างไร?
ทางฝั่งเยว่ซินหลังจากที่มีนักฆ่าเข้ามาลอบสังหารบุตรชายของนางในช่วงกลางคืนที่ผ่านมา โชคดีที่ไม่เกิดเหตุการณ์ความสูญเสียดังกล่าวขึ้น ที่น่าแปลกใจคือหนังสือจ้างวานฆ่านี้ได้ชี้ชัดว่าเป็นฝีมือของหวงลู่เอินหรือฮูหยินรองคนรักของจางเลี่ยงหวง เยว่ซินนั้นไม่มีเรื่องราวข้องเกี่ยวกับอีกฝ่ายเท่าไหร่นัก แต่หากว่าแรงจูงใจของการกระทำนี้คือนางต้องการผลักดันบุตรชายของนางขึ้นเป็นผู้สืบทอดของตระกูลแทนจางหนิงอ้ายผู้เป็นคุณชายใหญ่ของตระกูลจางสายหลักแล้วย่อมเป็นไปได้เช่นกันทั้งสิ้นแต่แล้วอย่างไรเล่า? จางเลี่ยงหวงสามีของนางก็คงไม่เชื่อต่อหลักฐานที่มีอยู่และคงเข้าข้างคนรักของตนเฉกเช่นทุกครั้ง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หนิงอ้ายถูกรังแกและโดนทำร้าย ต่อให้นางมีหลักฐานเพียงใดสามีของนางไม่เคยลงโทษหรือเอาผิดเลยซักครั้ง เยว่ซินหยิบสมุดบันทึกเล่มเก่าของตนที่อยู่ในช่องลับบนหัวเตียงขึ้นมาพร้อมกับเปิดอ่านอีกครั้งพลันย้อนคิดไปถึงอดีตเมื่อครั้งก่อนที่นางเข้ามาเป็นฮูหยินเอกของตระกูลชื่อเสียงของจางหนิงอ้ายบุตรชายของนาง ผู้คนทั้งที่อยู่ในเหตุการณ์ในพิธีปลุกพลังวิญญาณเมื่อเจ็ดปีก่อนต่างมีการร่ำลือไปอย่างเสียหาย บ้างว่าคุณชายใหญ่ห
ด้านหลังของหนิงอ้ายปรากฏเป็นวงแหวนเวทย์สีน้ำเงินเข้มแสดงถึงผู้ฝึกตนปราณธาตุน้ำระดับสาม ในตอนนี้เขากำลังเร่งทำการยกระดับพลังวิญญาณให้ข้ามผ่านขั้นย่อยให้ได้ในเร็ววัน เพราะหากยิ่งมีระดับพลังวิญญาณเพิ่มขึ้นมากเท่าใด เขาก็จะสามารถปกป้องตัวเองและท่านแม่เพิ่มขึ้นได้เท่านั้นสำหรับราชทินนามจักรพรรดิวิญญาณขั้นสามัญกับระยะเวลาเพียงหนึ่งปีเช่นนี้ นับได้ว่าหนิงอ้ายไม่ต่างไปจากอัจฉริยะคงไม่เกินจริงไปนัก ต้องบอกว่าเด็กหนุ่มโชคดีอย่างมากที่ได้ศึกษาเคล็ดวิชาลับตระกูลหวัง จึงทำให้สามารถขยายจุดตันเถียรได้รองรับและขยายเส้นปราณทั่วร่างกายเพิ่มการดูดซับพลังปราณมากกว่าคนอื่นหลายเท่าจึงทำให้เขาสามารถดูดซับพลังปราณฟ้าดินได้โดยตรง ยิ่งได้รับแรงหนุนจากจี้หยกโลหิตแล้วความสามารถในการดูดซับปราณฟ้าดินของหนิงอ้ายจึงไม่ต่างไปจากพยัคฆ์ติดปีกเสียแล้วในตอนนี้บทเวทย์โจมตีมหาบุปผชาติเหมันต์จำแลงลักษณ์!ตู้ม!สภาพอากาศโดยรอบของเขตของบทเวทย์อากาศลดลงโดยฉับพลัน ปรากฎเป็นดอกบัวเหมันต์สีขาวบริสุทธิ์ดอกใหญ่แผ่อายความเย็นจาง ๆ ไปทั่วบริเวณ ตรงด้านบนเห็นเป็นเกล็ดบัวเหมันต์หิมะที่มีไอเย็นลอยตกลงไปทั่วเขตของบทเวทย์ เมื่อตกลงถึงพื
ตระกูลหวังเป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของแคว้นเต่าดำซึ่งถือได้ว่าเป็นอีกแคว้นใหญ่ที่มีความสำคัญเป็นอย่างมากเนื่องจากตั้งอยู่บริเวณใจกลางของมหาทวีปบูรพา จึงทำให้รอบด้านทั้งสี่ทิศของแคว้นมีอาณาเขตติดกับอีกสามแคว้นใหญ่ที่เหลือ แคว้นเต่าดำมีรูปแบบการปกครองที่ชัดเจนโดยเเบ่งออกเป็นสิบมณฑลใหญ่มีเมืองสาขาหรือเมืองในการปกครองในเเต่ละมณฑลมากกว่าสิบเมืองในการดูเเล ทั้งสิบมณฑลใหญ่อยู่ในการปกครองส่วนกลางของแคว้นเรียกว่ามหานครแคว้นเต่าดำหากกล่าวให้เข้าใจด้วยง่ายคือแคว้นเต่าดำประกอบไปด้วยเมืองน้อยใหญ่นับร้อยเมือง มีหมู่บ้านอย่างมากมายกระจายกันไปทั่วทั้งแคว้น ต้องบอกว่าเเต่ละเมืองหาได้มีความเจริญเทียบเท่ากันไม่ เพราะบางเมืองมีอาณาเขตติดกับแคว้นอื่นมักจะเป็นเมืองที่ขึ้นชื่อเป็นจุดเเลกเปลี่ยนสินค้า หรือบางเมืองยังคงรักษาขนบธรรมเนียมปฏิบัติกันมาอย่างช้านานนับว่าเป็นเสน่ห์ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน เเต่กับสิบมณฑลใหญ่ที่มีการปกครองดูเเลเมืองในรับผิดชอบของตนมักจะมีความเจริญและมีพื้นที่กว้างขวางเป็นอย่างมาก ด้วยเพราะผู้ปกครองมณฑลดังกล่าวมักจะเป็นเหล่าบรรดาผู้มีศักดิ์เป็นอ๋องเป็นเชื้อพระวงศ์นั่นเองคณะเดินทางของหนิงอ้
ขบวนรถม้าเดินทางยังคงดำเนินไปอย่างไม่รีบร้อน จุดหมายปลายทางคือจวนตระกูลหวังที่ตั้งอยู่ในมหานครแคว้นเต่าดำแห่งนี้ ตลอดเส้นทางเดินรถม้าได้ตัดผ่านหมู่บ้านน้อยใหญ่มากมาย สิ่งหนึ่งที่หนิงอ้ายสังเกตคือยิ่งเข้าใกล้ใจกลางมหานครแคว้นเต่าดำมากเท่าใดความเจริญรุ่งเรืองของบ้านเมืองรวมไปถึงความคึกคักของตลาดเเลกเปลี่ยนสินค้าก็จะเพิ่มขึ้นไปเท่านั้น''ตรงด้านหน้าจะเป็นตลาดเมืองหลวงก่อนถึงจวนตระกูลหวัง หนิงอ้าย ลู่ซี เจ้าทั้งสองจะแวะก่อนหรือไม่?'' เยว่ซินเอ่ยถามเด็กหนุ่มทั้งสอง เพราะหากพ้นเขตตลาดเมืองหลวงนี้ไปอีกเพียงไม่ถึงเค่อก็จะถึงจวนตระกูลหวังเเล้ว''แวะขอรับท่านเเม่ ข้าจะหาซื้อของฝากติดไม้ติดมือให้ท่านตาและท่านยายด้วยขอรับ!'' หนิงอ้ายตอบมารดาไปในทันที ในโลกเดิมของเขาสำหรับการเข้าพบปะผู้อาวุโสที่มีอายุมากกว่า ตามมารยาทที่พึงกระทำแล้วผู้น้อยควรมีของฝากติดมือไปฝากเสมอ เป็นการเเสดงถึงความเคารพให้เกียรตินั่นเองนับว่าผิดจากหนิงอ้ายเคยคิดไว้ไปเสียมาก มหานครแคว้นเต่าดำนี้มีพื้นที่กว้างขวางใหญ่โตเป็นอย่างมาก อาคารบ้านเรือนสองข้างทางดูโอ่อ่าอลังการดูเเล้วเจริญหูเจริญตาเป็นอย่างมาก ถนนหนทางจากทุกมุมเมืองที่
หนิงอ้ายปลดผ้าคลุมที่ปกปิดออกเผยให้เห็นใบหน้างดงามประหนึ่งนางเซียนในเรื่องเล่า สิ่งที่ปรากฏให้เห็นอยู่ตรงหน้าของทุกคนราวกับว่ามีมนต์สะกดบางอย่างที่ทำให้ทุกสิ่งในรอบตัวหยุดนิ่งไปชั่วขณะ ความงดงามเช่นนี้เพียงแค่ได้มองก็ทำให้ผู้คนต่างลุ่มหลงไม่อาจละสายตา ความงามของหนิงอ้ายได้ฉายชัดเหมาะสมไปตามช่วงวัยอายุสิบห้าปีที่ว่ากันว่าเป็นช่วงผันผ่านเข้าสู่การเป็นผู้ใหญ่ หากคิดว่าใบหน้ายามเด็กนั้นฉายแววความงดงามน่าเอ็นดููแล้ว เเต่ในตอนนี้ยิ่งปรากฏเค้าโครงความงดงามกว่าเดิมหลายเท่ายิ่ง ใบหน้ายาวเรียวรูปไข่รับกับคิ้วที่เรียงเส้นโก่งดั่งคันศรสีปีกกาส่งเสริมให้ดวงตากลมโตเปล่งประกายสดใสผิวกายของหนิงอ้ายกระจ่างใสไร้ซึ่งมลทินใดทั้งสิ้น นอกจากนั้นแล้วกลิ่นอายของร่างบางที่แผ่ออกมาให้ความรู้สึกสูงศักดิ์ไม่ธรรมดาสามัญ ดวงตาเรียวงามสีฟ้าราวกับอัญมณีล้ำค่าที่ดึงดูดสายตาแก่ผู้พบเห็นได้โดยง่าย เมื่อพินิจเลื่อนลงมาก็จะพบริมฝีปากที่บางเรียวเป็นรูปกระจับสีชมพูระเรื่อน่าหลงไหล เส้นผมสีขาวเงินที่ถูกปล่อยยาวสยายไปกลางหลังนั่นยิ่งทำให้สัมผัสได้ว่าเป็นความงามที่ไม่มีจริงในโลกใบนี้ทางฝั่งของหวังจิ่งหลงกับเหมยฮวาเมื่อหายตก
หลังจากในคืนที่ผ่านมาหนิงอ้ายได้พักผ่อนอย่างเต็มที่แล้วจึงตื่นขึ้นด้วยความรู้สึกตื่นตัวไม่มีร่องรอยความเมื่อยล้าจากการเดินทางเมื่อวานปรากฏให้เห็น หลังจากจัดการล้างหน้าเเปรงฟันเสร็จแล้วตัวเขาจึงออกกำลังฝึกฝนวรยุทธตามความคุ้นชินตั้งเเต่ยามอยู่เรือนเล็กท้ายจวนตระกูลจาง แม้ว่าในยามปกตินั้นเขาจะวิ่งรอบจวนสักสิบรอบเสียก่อนจึงจะฝึกฝนวรยุทธการต่อสู้ต่าง ๆสำหรับเช้าของวันนี้ท่านตาหวังจิ่งหลงจะทำการสั่งสอนอีกทั้งถ่ายทอดบทเวทย์ที่เป็นเคล็ดวิชาลับของตระกูลหวังให้แก่เขากับลู่ซี พวกเขาทั้งสองขึ้นชื่อว่าเป็นลูกหลานของตระกูลหวังสายหลักของแคว้นเต่าดำเเล้ว เหลือเพียงกระทำให้ถูกต้องตามประเพณีที่ศาลบรรพชนของตระกูล อันเป็นสถานที่ต้องข้ามที่จะต้องมีวาระสำคัญเท่านั้นจึงจะมีการจัดทำพิธีที่ศาลบรรพชนดังกล่าวได้''หนิงอ้าย ก่อนหน้านี้หลานได้ศึกษาบทเวทย์โดยที่ยังไม่ได้เรียนรู้อักษรเวทย์พื้นฐานใช่หรือไม่?'' หวังจิ่งหลงเอ่ยขึ้น โดยที่พวกเขาทั้งสามคนได้ปลีกตัวกันมายังศาลากลางจวน โดยที่ที่นั่งด้านข้างหนิงอ้ายมีลู่ซีนั่งอยู่ติดกันไม่ห่างไปนัก''ขอรับท่านตา ก่อนหน้านี้ข้าได้ศึกษาเคล็ดวิชาสยบอัสนีเมฆาเป็นบทเวทย์เเรก ก
หนิงอ้ายได้ชวนลู่ซีเดินเที่ยวตลาดเมืองหลวงที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากจวนตระกูลหวังมากนัก ด้วยระยะทางที่สั้นเพียงนี้ในตอนแรกหนิงอ้ายตั้งใจว่าจะเดินเท้าไปเพื่อที่จะได้ซึมซับเอาบรรยากาศต่าง ๆ ของมหานครแคว้นเต่าดำ เเต่ลูซีเห็นต่างไปว่าหากนั่งรถม้าไปย่อมสามารถที่จะเลือกจับจ่ายซื้อของได้โดยไม่ต้องกังวลว่าจะเอากลับจวนตระกูลหวังอย่างไรอีกไม่กี่วันก็จะถึงงานประลองของแคว้นแล้ว คาดการณ์ว่าคงมีผู้ฝึกตนจากทั่วสารทิศเข้ามาร่วมงานประลองมากเป็นแน่เนื่องจากว่าของรางวัลสำหรับผู้ชนะในครั้งนี้ ทางแคว้นเต่าดำที่รับเป็นเจ้าภาพจัดงานค่อนข้างที่จะทุ่มงบประมาณอย่างมหาศาลเลยทีเดียว ของรางวัลสำหรับผู้ชนะทั้งสิบอันดับเป็นไปดังนี้ผู้ชนะอันดับหนึ่งการประลองจะได้รับบทเวทย์ป้องกันและบทเวทย์โจมตีระดับเทวะอย่างละหนึ่งบทเวทย์ และบทเวทย์ระดับสูงอีกสามบทเวทย์ อีกทั้งยังได้เงินรางวัลจำนวนสองหมื่นเหรียญทองผู้ชนะอันดับที่สองจะได้รับบทเวทย์ป้องกันและบทเวทย์โจมตีระดับเทวะอย่างละหนึ่งบทเวทย์ บทเวทย์ป้องกันและบทเวทย์โจมตีระดับสูงอย่างละหนึ่งบทเวทย์ อีกทั้งยังได้เงินรางวัลทั้งสิ้นจำนวนหนึ่งหมื่นเหรียญทองผู้ชนะอันดับที่สามจะได้รับบท
ช่วงเวลาที่เหลืออีกไม่กี่วันนี้หนิงอ้ายได้ฝึกฝนเข้มงวดอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มทักษะการต่อสู้และวรยุทธต่าง ๆ รวมไปถึงการใช้บทเวทย์ให้คุ้นชินมากที่สุด ทุกสิ่งที่เขาได้ลงแรงทำไปไม่ใช่เพียงเพื่อให้มารดาของเขาได้ภูมิใจเท่านั้น เเต่สิ่งที่ตัวของหนิงอ้ายกำลังทำอยู่ในตอนนี้ย่อมเป็นตัวเขาเองเช่นกันที่ได้รับประโยชน์นี้ไปในที่สุดสำหรับโลกใบนี้หลังจากที่เขาได้ลืมตาฟื้นขึ้นมาจากความตายครั้งนั้น ทำให้เขาคิดได้ว่าสุดท้ายแล้วจะมีเพียงผู้ที่เเข็งแกร่งที่สุดเท่านั้นที่จะไม่ถูกรังแก และเป็นผู้ที่สามารถควบคุมทุกสิ่งอย่าง พลังอำนาจเองก็ยังคงเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ผลักดันให้สามารถอยู่จุดสูงสุดได้เสมอ เพราะโลกของชาวยุทธภพนี้ทุกคนย่อมให้ความเคารพมีความอ่อนน้อมแก่ผู้ที่เเข็งแกร่งอีกทั้งยังยำเกรงต่อผู้มีอำนาจนั่นเองหนิงอ้ายมองดูกระบี่สีขาวในมือที่ถูกแกะสลักกลวดลายงดงามแปลกตา นี่เป็นกระบี่ที่เขาตัดสินใจซื้อมาจากร้านค้าอาวุธวิเศษเมื่อตอนที่ได้ไปตลาดในช่วงเย็นวันนี้ที่ผ่านมากระบี่หมอกรุ้งพิสุทธิ์เหมันต์เล่มนี้ที่คนแนะนำประจำตรงบริเวณอาวุธวิเศษ ได้บอกแก่หนิงอ้ายว่ากระบี่เล่มนี้อยู่ในร้านค้านี้มานานแล้ว ทว่า
ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู
ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง
คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต
การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์
หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร
ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต
มหาพิภพพิสดารแห่งนี้ประกอบไปด้วยสามพิภพ สี่มหาสมุทร แปดมหาทวีป โดยที่สามพิภพนั้นจะแบ่งเป็นดินแดนพิภพระดับสูง ดินแดนพิภพระดับกลางและพิภพระดับล่าง โดยมีสี่ทะเลมหาสมุทรตั้งอยู่ 4 ทิศล้อมรอบที่เชื่อว่าเป็นที่พักพิงของเทพบรรพกาลสูงสุดทั้งสาม และแปดมหาทวีปที่ได้มีการแบ่งการปกครองตามทิศทั้งแปดของดินแดนพิภพระดับกลาง ด้วยเพราะต่างมีผู้ปกครองดินแดนอันเป็นตัวตนที่ไม่ธรรมดาสามัญทั้งสิ้น ดังนั้นการเดินทางข้ามผ่านแต่ละเขตดินแดนจึงจำเป็นต้องมีเงื่อนไขกฎเกณฑ์ที่แตกต่างกันไปสำหรับการเดินทางข้ามเขตแดนทั้งสามพิภพโดยเฉพาะดินแดนพิภพระดับสูงและดินแดนพิภพระดับกลางนั้น เงื่อนไขสำคัญคือผู้ฝึกตนที่บ่มเพาะพลังปราณในดินแดนพิภพระดับกลาง หากไม่สามารถเลื่อนระดับเป็นราชทินนามอัครพรหมยุทธ์วิญญาณหรือครอบครองพลังวิญญาณในระดับที่101ได้ย่อมไม่อาจก้าวล้ำมายังดินแดนพิภพระดับสูงนี้ได้ด้วยขีดจำกัดของกายเนื้อที่ไม่สามารถรองรับพลังปราณฟ้าดินบริสุทธิ์เข้มข้นที่ไหลเวียนหล่อเลี้ยงทั่วทั้งมหาพิภพ เพราะหากไร้ซึ่งความแข็งแกร่งของสายโลหิตและพลังปราณที่ล้ำลึกที่เพียงพอ ไม่กี่ชั่วลมหายใจร่างกายและจิตวิญญาณย่อมถูกบดขยี้ไปสิ้นแต่ในทางก
ไม่น่าเชื่อว่าเพียงหนึ่งราตรีที่ผ่านพ้น สำนักหมาป่าทมิฬจะถูกฆ่าล้างสำนักจนไม่เหลือแม้แต่ผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว การจู่โจมโดยไม่อาจตั้งตัวนั้นได้ส่งผลให้เหล่าสมาชิกในสำนักต้องสังเวยชีวิตอย่างน่าสลดใจ สิ่งนี้กล่าวว่าได้สร้างความตื่นตะลึงแก่กลุ่มอิทธิพลมืดในยุทธภพอยู่ไม่น้อย แม้ว่าสำนักหมาป่าทมิฬจะเป็นสำนักที่พึ่งก่อตั้งได้ไม่กี่สิบปีแต่ก็มีชื่อเสียงโด่งดังในด้านความโหดเหี้ยมและไร้ความปรานี การล่มสลายของสำนักในครั้งนี้จึงกลายเป็นปริศนาที่ยากจะคาดเดาได้ว่าจะเกิดขึ้นสิ่งที่น่าตื่นตะลึงนั่นคืออดีตผู้ก่อตั้งสำนักนั้นเป็นถึงราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณที่มีรากฐานบ่มเพาะไม่ธรรมดาสามัญรวมไปถึงเจ้าสำนักคนปัจจุบันนั้นก็เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นสูงที่มากไปด้วยความสามารถไม่อ่อนด้อยแม้จะขึ้นชื่อในเรื่องของความวิปริตมากกว่าก็ตาม ไม่นับรวมถึงบรรดาผู้อาวุโสที่ล้วนต่างเป็นราชทินนามระดับสูงที่ไม่อาจดูแคลนได้ทั้งสถานที่ตั้งยังรายล้อมไปด้วยมหาค่ายกลเขตแดนธรรมชาติที่ใช่ว่าจะสามารถบุกฝ่าทะลวงไปได้โดยง่าย ข่าวการกวาดล้างสำนักหมาป่าทมิฬได้แพร่สะพัดออกไปราวกับไฟลามทุ่ง ไม่รู้ว่าทางสำนักได้ไปรับภารกิจหรือได้ล
ท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดและเศษซากร่างไร้วิญญาณของศัตรูที่พ่ายแพ้ หนิงอ้ายเรียกใช้พลังปราณตวัดเอาแหวนมิติและสมบัติวิเศษประจำตัวของผู้ตกตายทั้งหมดย้ายเข้ามาในแหวนมิติของตนอย่างไรสิ่งเหล่านี้ย่อมสามารถทำประโยชน์ได้อยู่ไม่น้อย ในใจเขาไม่นึกรังเกียจเลยเพียงนิด การเข่นฆ่าสังหารแล้วช่วงชิงสิ่งของของผู้ที่ตกตายไปนั้นเป็นสิ่งที่พบเจอได้ทั่วไปในยุทธภพจากนั้นหนิงอ้ายได้ระดมเรียกเปลวเพลิงบริสุทธิ์จากปราณทิวาธาตุเข้าแผดเผาเศษซากชิ้นเนื้อรวมไปถึงจิตวิญญาณของบรรดานักฆ่าเหล่านี้ให้สูญสลายโดยไม่อาจหวนคืนในวัฏจักรสังขารได้อีก จากเศษเสี้ยวความทรงจำที่เขาสัมผัสได้นั้นคนกลุ่มนี้หาใช่เป็นคนดีแต่อย่างใด ตลอดช่วงอายุที่ผ่านมาก็ล้วนแต่กระทำต่ำช้า สังหารผู้บริสุทธิ์มาไม่น้อย เพียงเท่านี้ย่อมไม่อาจชดเชยได้เสียด้วยซ้ำไม่ถึงครึ่งเค่อให้หลัง ห้วงมิติที่ถูกผนึกไว้เมื่อไร้ซึ่งผู้บัญชาการยามนี้ม่านพลังประหลาดดังกล่าวจึงได้ซ่านสลายไปในที่สุด เผยให้เห็นหมู่เมฆาที่ล่องลอยประดับเหนือท้องฟ้า เสียงแมลงน้อยใหญ่ดังขึ้นทั่วทั้งผืนป่าโดยรอบขับขานบรรเลงสอดประสานเป็นท่วงทำนองเสนาะหู แสงไฟเวทย์จากอาคารบ้านเรือน เสียงโหวกเหวกโวยวาย