Home / แฟนตาซี / บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ / บทที่​15 แขกที่ไม่ได้รับเชิญ

Share

บทที่​15 แขกที่ไม่ได้รับเชิญ

หนิงอ้ายหลับตาลงพร้อมกับกำหนดลมหายใจเข้าออก พลังลมปราณฟ้าดินอันบริสุทธิ์โดยรอบที่ถูกชักนำโดยจี้หยกโลหิตส่งผลให้มวลลมปราณบริเวณนี้ต่างถูกชักนำเข้าตามจุดชีพจรไปทั่วทั้งร่างกายตามสุดยอดเคล็ดวิถี ลมปราณอันอบอุ่นวิ่งวนเข้าสู่จุดใจกลางตันเถียรไม่จบสิ้น พลังลมปราณในร่างกายที่ผ่านการเคี่ยวกรำนับสิบกว่ารอบต่างถูกอัดแน่นเป็นรากฐานบ่มเพาะที่แข็งแกร่ง วันเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนผันไปเรื่อย ๆ วันนี้ถือได้ว่าเป็นวันครบรอบอายุสิบห้าปีของจางหนิงอ้าย แน่นอนว่าทางฝั่งของนทีก็นับว่าเขาเองได้อาศัยอยู่ในร่างนี้เป็นเวลาหนึ่งปีแล้วเช่นกัน

หนิงอ้ายใช้เวลาไม่นานกับการจัดการตัวเอง วันนี้เขาเลือกใส่เสื้อตัวในสีขาวล้วนและเสื้อตัวนอกเป็นสีเขียวอ่อนที่ปักด้วยลวดลายใบไผ่สีเขียวมรกต เมื่อไปถึงบริเวณห้องโถงรับรองที่ตอนนี้ถูกเปลี่ยนให้เป็นงานเลี้ยงเล็ก ๆ มีท่านแม่เยว่ซิน ท่านลุงหวังฮุ่ย ท่านลุงจางปิน ท่านน้าหรันหรูที่นั่งรออยู่ แม้จะไร้เงาบิดาสารเลวในงานเลี้ยงดังกล่าวนี้ เเต่หนิงอ้ายไม่สนใจเลยสักนิดเพราะทุกคนในที่นี้ล้วนเป็นผู้ที่เขาสนิทใจทั้งสิ้น

''หนิงเอ๋อร์ปีนี้เจ้าอายุครบสิบห้าปีแล้ว ตามกฎของตระกูลจางที่ปฏิบัติสืบทอดกันมา เมื่อคุณชายใหญ่ของตระกูลสายหลักมีอายุครบสิบห้าปีจะต้องเข้ารับการสืบทอดตำแหน่งของตระกูลจางและรับตำแหน่งรองเจ้าสำนักศึกษาผิงอาน มารดาขอถามตามตรงเจ้าต้องการให้เป็นไปตามนี้หรือไม่?'' เย่วซินถามหนิงอ้ายขึ้นเมื่อทุกคนจัดการอาหารมื้อนี้กันเสร็จแล้ว

''ไม่เลยขอรับ บิดาไม่เคยสนใจหรือให้ความเป็นธรรมแก่ข้าเลยสักครั้ง แม้แต่บรรดาพี่น้องร่วมบิดาแลพวกบ่าวรับใช้ในจวนต่างคิดว่าข้าเป็นเพียงแค่เศษสวะของตระกูลคงไม่เกินจริงไปนัก...''

''ในวันนี้ที่ข้ามุ่งมั่นฝึกฝนอย่างหนักไม่ใช่เพื่อต้องการเข้ารับตำแหน่งผู้สืบทอดตระกูลจาง ข้าต้องการเพียงแข็งแกร่งขึ้นเพื่อสามารถปกป้องท่านแม่และสามารถปกป้องคนที่ข้ารักเพียงเท่านั้น!'' หนิงอ้ายเมื่อเรียบเรียงคำตอบในใจของตนดีแล้วจึงบอกมารดาตนไปด้วยความแน่วแน่ เย่วซินได้ยินดังนั้นจึงดึงบุตรชายของตนเข้ามากอดพร้อมกับรับปากว่านางจะจัดการในเรื่องนี้ให้ตามความต้องการ…

ในกลางดึกหลังจากจบงานเลี้ยงวันเกิดของหนิงอ้าย ด้วยความที่ตอนนี้เป็นฤดูหนาวจึงทำให้บรรยากาศเย็นสบายชวนให้ผ่อนคลายยิ่ง ทว่าได้มีเงาตระคุ่มแฝงตัวเข้ามาเคลื่อนไหวด้วยความรวดเร็วได้มุ่งตรงไปยังห้องหนึ่ง เมื่อเข้าไปก็พบว่าบนเตียงนั้นเป็นหนิงอ้ายที่นอนหลับท่าทางดูสบาย เส้นผมสีขาวเงินเป็นประกายแปลกตารับเข้ากับใบหน้าได้รูปชวนหวั่นไหว ข่าวลือว่าคุณชายใหญ่ตระกูลจางช่างอัปลักษณ์ใบหน้าถูกผีกัดกินเเล้วที่พบเห็นตรงหน้าคืออันใดกัน?

ในใจนั้นมันนึกเสียดายคุณชายรูปงามท่านนี้เสียจริง หากว่ามันไม่ได้รับคำสั่งให้ฆ่าและทำให้ใบหน้างามนี้เสียโฉมแล้ว คงจะนำไปเล่นกับเพื่อนฝูงเพื่อผ่อนคลายอารมณ์กำหนัดแล้วค่อยฆ่าทิ้ง เเต่ก่อนที่ลงมือแทงมีดแทงที่หัวใจของเป้าหมายในคืนนี้ เด็กหนุ่มที่นอนอยู่บนเตียงกลับลุกขึ้นอย่างรวดเร็วโดยไม่ทันตั้งตัว 

เกิดเสียงดังขึ้นแม้จะไม่มากนักแต่ก็ถือเป็นการปลุกทุกคนในเรือนให้ตื่นขึ้นโดยทันที พร้อมกับอีกหนึ่งเงาด้านนอกได้รีบเข้ามาทันที  แต่ก่อนจะทำอะไรไปมากกว่านี้ชายชุดดำนั้นสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง เมื่อหันหลังกลับจึงเห็นเป็นคุณชายผู้หนึ่งที่งดงามราวกับเทพเซียนบนสวรรค์ มือเรียวบางได้ถือกระบี่ด้ามยาวเข้าฟันด้วยความรวดเร็วยิ่ง

ชิ้ง! 

ฟิ้ว!

''ผู้คนต่างเล่าลือว่าคุณชายใหญ่ตระกูลจางมีหน้าตาอัปลักษณ์ อีกทั้งเป็นสวะของตระกูลไม่สามารถปลุกพลังวิญญาณได้ เหตุใดข้าไม่เห็นเป็นเช่นนั้นเล่า?'' ชายชุดดำเอ่ยขึ้นคล้ายกับจะยั่วโทสะ

ชิ้ง!

ฟิ้ว!

หนิงอ้ายเลือกที่จะไม่ตอบ มือเรียวบางได้กระชับด้ามกระบี่ให้มั่นแล้วเข้าต่อสู้อย่างไม่กลัวเกรง

หวังฮุ่ยรับมือชายชุดดำสามคนพร้อมกัน จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะสามารถปลีกตัวช่วยหนิงอ้ายได้ในขณะนี้ อีกทั้งทุกคนที่เหลือต่างเข้าคู่รับมือเหมือนกันทั้งสิ้นเพราะชายชุดดำที่เหลือต่างบุกเข้ามาในเรือนอย่างต่อเนื่องเช่นกัน

ชายชุดดำรับมือกับหนิงอ้ายได้แต่ก่นด่าสาบแช่งผู้ที่ว่าจ้างยิ่ง ข้อมูลระบุว่าเป้าหมายครั้งนี้มีเพียงเเค่คุณชายใหญ่จางหนิงอ้ายผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอไม่เป็นวรยุทธเพราะไม่สามารถปลุกพลังวิญญาณเป็นผู้ฝึกตนได้

แต่ที่เห็นตรงหน้านี้คือสิ่งใดกัน? ยิ่งต่อสู้ไปตามร่างกายมันมีแต่รอยแผลและเลือดเต็มไปหมด แม้ไม่ใช่จุดที่อันตรายแต่ก็ชวนให้หงุดหงิดใจไม่น้อย เมื่อไตร่ตรองแล้วว่าภารกิจครั้งนี้น่าจะไม่สำเร็จจึงตัดสินใจส่งสัญญาณให้ถอยกลับไปตั้งหลักเสียก่อน

หวี้ด!

เสียงสัญญาณดังขึ้น ส่งผลให้ชายชุดดำที่เหลือต่างถอยกลับออกจากเรือนหลังนี้ ด้วยร่างกายที่มีบาดแผลไม่น้อยเช่นกัน

''คิดเข้าถ้ำเสือแล้วออกไปง่าย ๆ เช่นนั้นรึ?'' หนิงอ้ายพูดออกมาด้วยความโมโหและกระโดดจากหน้าต่างตามออกไป

''เจียวซิ่นจับพวกมันมาตรงนี้ให้หมด!'' หนิงอ้ายเอ่ยพร้อมกับเรียกเจียวซิ่นออกมาจากห้วงมิติจิตของตนในทันที

ปึก!

พรึบ!

ทันทีที่สองขาของเจียวซิ่นปักลงพื้นนั้นพลันปรากฏเป็นรยางค์สีเขียวแดงเข้มหลายสายพุ่งไปจับพวกชายชุดดำโดยที่ไม่ทันตั้งตัว พวกมันพยายามใช้กระบี่รวมไปถึงไฟจากบทเวทย์เพื่อจะเผารยางค์เหล่านี้แต่ไม่สามารถทำได้

รยางค์ไม้เหล่านี้ได้ประสานก่อตัวขึ้นเป็นกรงขังพฤกษาขนาดใหญ่กักขังชายชุดดำทั้งหมดอยู่ภายใน ก่อนที่จะปรากฏบุปผาสีแดงที่ส่งกลิ่นหอมยั่วยวนออกมาทั่วทั้งบริเวณส่วนนั้น บรรดาชายชุดดำทั้งหมดคล้ายกับตกอยู่ในภวังค์ไร้สตินึกคิด บ้างก็กรีดร้องส่งเสียงทรมาน บ้างก็ละเมอเพ้อพูดคุยกับอากาศ

สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ได้สร้างความแปลกใจกับทุกคนในเรือนกันทั้งสิ้น ยกเว้นหนิงอ้ายที่รู้ว่านี่คืออีกหนึ่งความสามารถของเจียวซิ่นที่เป็นสัตว์อสูรปราณธาตุไม้สายควบคุม ไม่กี่ชั่วจิบชาชายชุดดำทั้งหมดต่างล้มตัวแน่นิ่งลงไปในที่สุด 

''หนิงเอ๋อร์ เจ้าบาดเจ็บตรงที่ใดบ้างหรือไม่?'' เสียงของเย่วซินดังขึ้นด้วยความเป็นห่วง ก่อนที่จะเข้าประชิดตัวเด็กหนุ่มพร้อมกับหมุนตัวของอีกฝ่ายคล้ายกับเสาะหาร่องรอยบาดแผลที่อาจเล็ดรอดไปจากสายตาได้

''ข้าไม่ได้รับบาดเจ็บตรงที่ใดเลยขอรับท่านแม่...'' 

เมื่อทุกคนในเรือนรวมไปถึงบ่าวรับใช้ได้รวมตัวอยู่ในห้องโถงรับรองกันครบถ้วน หนิงอ้ายได้ตรวจสอบแล้วพบว่าไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บร้ายแรง มีเพียงรอยฟกช้ำเล็กน้อยจึงรู้ลึกโล่งใจไปไม่น้อย แสดงว่าเป้าหมายสำคัญครั้งนี้คือเขาคนเดียวเท่านั้น

''หากพวกมันตายหมดแล้วจะรู้ว่าใครเป็นคนจ้างวานมันเล่าขอรับ?'' ลู่ซีเอ่ยถามขึ้นด้วยความเป็นกังวล

''ในห้อยังมีอีกคนหนึ่งที่โดนข้าสกัดจุดไว้...'' ทุกคนพยักหน้าเข้าใจพร้อมกับเดินตามเด็กหนุ่มเข้าไป

''ฝากเจ้าค้นตัวพวกมันด้วยนะลู่ซี เผื่อมีหลักฐานสำคัญติดตัวพอใช้เป็นหลักฐานได้ อย่าลืมให้เจียวซิ่นดูดพิษพวกมันออกมาทั้งหมดก่อนเล่า'' หนิงอ้ายเมื่อมอบหมายหน้าที่ให้กับลู่ซีแล้วจึงเดินนำทุกคนไปยังห้องนอนของตน...

''ตรงมุมห้องขอรับท่านแม่'' หนิงอ้ายบอกมารดาของตน ในขณะที่เขาเดินเข้ามาในห้องเป็นคนสุดท้าย

เห็นสภาพภายในห้องนอนของหนิงอ้ายที่ตอนนี้เต็มไปด้วยคราบเลือด รวมไปถึงข้าวของเครื่องใช้เสียหายไปเกินครึ่ง สิ่งนี้สามารถคาดเดาได้ว่าสถานการณ์ต่อสู้เมื่อครู่นั้นมีความรุนแรงมากเพียงใด ร่างกายของหนิงอ้ายหากไม่นับคราบเลือดต่าง ๆ บนชุดที่สวมใส่แล้วถือได้ว่าเด็กหนุ่มไม่มีบาดแผลเลยแม้แต่น้อย เยว่ซินได้แต่มองบุตรของตนที่ตอนนี้กำลังเข้าไปปลดการสะกดจุดของนักฆ่าคนนั้นเพื่อที่จะทำการสอบถามถึงผู้ที่จ้างวานในการลอบฆ่าครั้งนี้

''นี่มันนักฆ่าระดับพลังวิญญาณขั้นใดกัน จึงไม่สามารถตรวจสอบได้?'' จางปินตรวจสอบนักฆ่าตรงด้านหน้า แต่ไม่สามารถสัมผัสพลังวิญญาณได้แม้แต่น้อยจึงเอ่ยออกมาด้วยความสงสัย

''นักฆ่าคนนี้เป็นผู้ฝึกตนจักรพรรดิวิญญาณขั้นสูงระดับที่38ขอรับ''

''ไม่แปลกที่ท่านลุงจางปินไม่สามารถตรวจสอบทราบได้ เพราะนักฆ่าเหล่านี้ล้วนใช้ของวิเศษหรือบทเวทย์ระดับสูงที่สามารถทำการปลอมแปลงหรือปกปิดพลังวิญญาณเพื่อสำหรับภารกิจลอบฆ่าโดยเฉพาะ...'' หนิงอ้ายตอบข้อสงสัยให้ทุกคนได้รับรู้

''แล้วคุณชายรู้ได้อย่างไร?'' จางปินถามกลับไปด้วยความสงสัย เพราะระดับพลังวิญญาณของเขาสูงกว่าเด็กหนุ่มถึงสองสามขั้นย่อย แต่ทว่าหนิงอ้ายกลับสามารถตรวจสอบระดับวิญญาณของนักฆ่าคนตรงหน้านี้ได้

''หลังจากที่ข้าได้ประสานร่างกายเข้ากับกระดูกวิญญาณอายุล้านปีของอสรพิษบรรพกาล เนื่องจากเป็นการประสานกระดูกวิญญาณเข้ากับส่วนบริเวณศรีษะหลังจากที่ข้าทะลุเขตขั้นเป็นผู้ฝึกตนจักรพรรดิวิญญาณ อีกหนึ่งทักษะที่เพิ่มขึ้นคือดวงตาของข้านั้นสามารถตรวจสอบมองทะลุการปลอมแปลงทุกชนิดรวมไปถึงการใช้ของวิเศษหรือบทเวทย์ปลอมแปลงต่าง ๆ สำหรับของวิเศษและบทเวทย์ที่ถูกใช้ในการปลอมแปลง หากว่าไม่ได้อยู่ในระดับราชันขึ้นไปในตอนนี้ข้าล้วนรับรู้ได้ทั้งสิ้น และข้าให้ชื่อมันว่าเนตรแห่งสวรรค์ขอรับ...''

"..."

"..."

"..."

''ความจริงแล้วเนตรแห่งสวรรค์นี้จะมีความแข็งแกร่งและมองทะลุการปลอมแปลงมากกว่านี้หลายเท่า แต่ด้วยเพราะหัวใจหลักคือระดับพลังวิญญาณของของข้า กล่าวได้ว่ายิ่งมีระดับพลังวิญญาณสูงเท่าใดประสิทธิภาพของเนตรแห่งสวรรค์นี้จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน...'' หนิงอ้ายเอ่ยออกมาให้เข้าใจมากยิ่งขึ้น

''นี่ถึงขั้นจ้างนักฆ่าระดับจักรพรรดิขั้นสูงเชียวรึ?'' เย่วซินเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเจ็บปวดใจ ดวงตาคู่งามมองไปยังเด็กหนุ่มคลอไปด้วยน้ำตาที่นางพยายามห้ามไม่ให้ไหลออกมา หากว่าบุตรของนางยังเป็นเด็กหนุ่มที่อ่อนแอเหมือนเมื่อก่อนตอนที่ยังไม่สามารถปลุกพลังวิญญาณได้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ย่อมจะเป็นวันที่นางต้องเสียบุตรชายไปตลอดกาลอย่างแน่นอน

หนิงอ้ายเห็นเย่วซินร้องไห้จึงดึงมารดาเข้ามากอดทันที จริงอยู่ว่าเขาอาจไม่ได้บุตรชายแท้ ๆ ของนาง แต่ด้วยระยะหนึ่งปีที่เขาได้ทะลุมิติมายังโลกแห่งนี้ เขาย่อมสัมผัสคำว่าครอบครัวได้รับอ้อมกอดที่อบอุ่นที่เขาโหยหามาโดยตลอด เหตุการณ์วันนี้เกือบจะพรากความสุขของเขาไปเสียแล้ว เขาอยากจะฆ่าคนที่มันบงการเรื่องเลวทรามเหล่านี้ยิ่งนักที่เป็นต้นเหตุที่ทำให้มารดาของตนร้องไห้ เอาเถอะแค้นนี้ต้องได้สะสางในสักวัน

''ท่านแม่อย่าร้องไห้เลยนะขอรับ ข้าสัญญาว่าจะฝึกฝนให้หนักขึ้นแข็งแกร่งขึ้นมากกว่านี้เพื่อที่จะสามารถปกป้องตัวเองและท่านแม่ได้ ข้าว่าเรามาถามมันดีกว่าว่าพวกมันสังกัดสำนักใดและคนที่จ้างวานคือใครกัน?'' หนิงอ้ายเอ่ยออกมาพร้อมก้าวเท้าไปยังนักฆ่าที่เหลืออยู่เพียงแค่คนเดียวทันที

''ข้าให้โอกาสเพียงแค่สามครั้งเท่านั้น ตอบข้ามาว่าพวกเจ้าอยู่สำนักไหนใครเป็นคนจ้างวานพวกเจ้า?'' หนิงอ้ายเอ่ยออกมาด้วยอารมณ์ที่ไม่สามารถคาดเดาได้

''คุณชายใหญ่จางหนิงอ้ายที่ผู้คนเขาต่างร่ำลือว่าเป็นสวะของตระกูลจางไม่สามารถปลุกพลังวิญญาณได้ อีกทั้งร่างกายยังเจ็บป่วยอ่อนแอไม่สามารถฝึกฝนการต่อสู้ได้ แต่เหตุใดที่ข้าเห็นในวันนี้หาเป็นอย่างนั้นไม่เล่า?'' ชายชุดดำเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงยียวนดวงตาเป็นประกาย เพราะว่ามันถูกใจคุณชายตรงหน้านี้ยิ่ง

เสียงเล่าลือที่คนทั่วแคว้นรู้เช่นเดียวกันว่าคุณชายใหญ่ของตระกูลจางมีหน้าตาอัปลักษณ์เป็นสวะของตระกูล? หากมีคนกล่าวว่าความงามเช่นคุณชายใหญ่จางหนิงอ้ายเป็นที่สองคงไม่มีผู้ใดในทุกแคว้นกล้าเทียบขึ้นเป็นที่หนึ่งแน่...

หนิงอ้ายเมินเฉยสายตาที่น่ารังเกียจนั่น พร้อมกับถามออกไปอีกครั้ง ''โอกาสครั้งที่สองข้าถามว่าพวกเจ้าอยู่สำนักใดใครเป็นผู้จ้างวานพวกเจ้า?''

''หากข้าตอบไป คุณชายใหญ่จางหนิงอ้ายจักยอมอยู่ใต้ร่างข้าหรือไม่?'' ชายชุดดำไม่ตอบพลางเอ่ยออกมาด้วยคำพูดที่น่ารังเกียจ

''จะล้ำเส้นเกินไปแล้ว!'' หวังฮุ่ยเอ่ยขึ้นเสียงดังด้วยความไม่พอใจ ในขณะที่หนิงอ้ายนั้นยังยืนอยู่ใบหน้าไร้อารมณ์เช่นเดิม

''โอกาสครั้งสุดท้ายแล้ว จงบอกมาว่าผู้ใดเป็นผู้จ้างวานพวกเจ้า?'' 

''ข้าไม่มีทางบอกให้เจ้ารู้หรอก หากพวกพี่ใหญ่ไม่เห็นว่าพวกข้าไม่กลับตามกำหนดเวลาไม่แคล้วคงจะจัดการพวก...''

ฉึบ!

ไม่ทันชายชุดดำได้กล่าวจบทันใดนั้นก็มีเสียงกระบี่ดังขึ้นคล้ายกับตัดบางสิ่งบางอย่างเพียงเเค่ดาบเดียวแสดงถึงความเฉียบขาดและแม่นยำ หนิงอ้ายตวัดกระบี่ของอีกฝ่ายที่อยู่ในมือตัดผ่านลำคอของนักฆ่าตรงหน้าอย่างไม่ลังเล

''...'' 

''...''

''...''

ทุกคนที่อยู่ในห้องตอนนี้ได้แต่สูดหายใจเสียงดัง จริงอยู่ที่ว่ากระบี่นั้นจะมีความบางและคมอยู่มากแต่ถึงอย่างไรแล้วก็ต้องออกแรงในการใช้ จากรอยแผลของชายชุดดำนักฆ่าตรงหน้าที่นอนแน่นิ่งไปแล้วนั้นได้สร้างความตกใจแก่คนที่อยู่ในเหตุการณ์ไม่น้อย

''ข้าให้โอกาสแล้วแต่ในเมื่อไม่ตอบก็ไม่มีประโยชน์ขอรับ...'' หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นด้วยเสียงราบเรียบ ใบหน้างามไม่ปรากฏอารมณ์ใดทั้งสิ้น 

''จากฝีมือของพวกมันแล้ว ท่านลุงฮุ่ยพอทราบไหมขอรับ ว่ากลุ่มนักฆ่าเหล่านี้เป็นสังกัดใด?'' 

''กลุ่มนักฆ่าเหล่านี้ล้วนมีที่มาที่ไม่แน่ชัด ที่สำคุญคือพวกมันต่างถูกฝึกมาโดยไม่อาจแพร่งพรายว่าผู้ใดเป็นผู้จ้างวานขอรับ...'' หนิงอ้ายพยักหน้าอย่างเข้าใจ

''คุณชาย! ข้าเจอหลักฐานการจ้างวานฆ่าตรงช่องลับในแขนเสื้อ อีกทั้งตรงบริเวณต้นคอด้านหลังของชายคนนั้นปรากฏเป็นรอยสักโครงกระดูกลายเสือสีดำหากไม่สังเกตก็ไม่อาจเจอโดยง่าย คนอื่น ๆ ก็มีรอยสักเช่นนี้เหมือนกันขอรับ...'' ลู่ซีเมื่อจัดการเหล่าบรรดาศพนักฆ่าที่ตรงบริเวณด้านหน้าลานของเรือนตามที่คุณชายของตนให้จัดการสำเร็จแล้วจึงรีบเข้ามารายงานทันที

''เป็นอย่างที่คิดจริงด้วย'' หนิงอ้ายเมื่อดูเสร็จจึงส่งต่อให้มารดาของตน

''นี่มันฝีมือของพวกสำนักเหรินซวง! ไม่คิดว่าฉากหน้าที่เป็นผู้ผดุงยุติธรรมจะรับงานต่ำทรามเช่นนี้ด้วย'' เย่วซินแม้จะคาดเดาได้ว่าเป็นฝีมือของสำนักใด เพราะนางคุ้นเคยท่าทางการต่อสู้ที่คล้ายคลึงกับเคล็ดวิชาของสำนักเหรินซวงในความทรงจำเมื่อนานมาแล้ว ตอนนั้นนางได้เข้าร่วมงานประลองยุทธ์ของแคว้นและไม่ได้ต่อสู้กับคนสำนักนี้โดยตรงแต่ก็พอจดจำเคล็ดวิชาที่ถูกใช้ในงานประลองได้

''ดูเหมือนฮูหยินรองจะเห็นว่าข้าอายุครบสิบห้าปีแล้ว ถึงแม้จะไม่สามารถปลุกพลังวิญญาณได้แต่ก็ยังมีสิทธิ์เป็นผู้สืบทอดของตระกูลจางและสำนักศึกษาผิงอานอยู่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงด้วยศักดิ์ฐานะของบุตรชายคนโตของตระกูล...''

''ถึงตอนนั้นบุตรของนางก็จะมีหน้าที่เพียงแค่เป็นผู้อาวุโสประจำตระกูล แต่หากข้าตายตกไปเนื่องจากปัญหาสุขภาพหรือถูกลอบฆ่าต่อให้จะเป็นเหตุผลอะไรก็ตามบิดาสารเลวนั่นคงไม่สนใจและไม่สืบหาความจริงเสียด้วยซ้ำ บุตรของนางก็จะขึ้นมาเป็นผู้สืบทอดของตระกูลอย่างถูกต้อง เพราะตระกูลจางสายหลักมีเพียงข้าและบุตรของนาง ถึงแม้จะมีคุณชายสามเเต่หากเทียบกับคุณชายรองแล้วคงยากที่จะรับตำแหน่งใหญ่โตของตระกูลได้ในวันข้างหน้า...'' ทุกคำที่หนิงอ้ายเอ่ยออกมาล้วนเป็นความจริงที่เป็นไปได้อย่างมาก

''ข้าไม่ต้องการเป็นผู้สืบทอดตระกูลจางนี้เลยแม้แต่น้อย พวกเรากลับไปหาท่านตาท่านยายที่ตระกูลหวังกันนะขอรับ'' หนิงอ้ายเอ่ยบอกมารดาของตนด้วยน้ำเสียงจริงจังคล้ายกับตัดสินใจแล้วอย่างถี่ถ้วนอย่างดีแล้ว...

Related chapters

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่​16 โชคชะตา ฟ้าลิขิต

    กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วทั้งห้อง ร่างไร้วิญญาณที่ถูกชโลมด้วยโลหิตสีแดงฉานมากมายชวนให้รู้สึกคลื่นเหียนอยู่ไม่น้อยแก่ผู้พบเห็น แต่ด้วยทุกคนในที่นี้ต่างโลดแล่นอยู่ในเส้นทางของผู้ฝึกตนเป็นเวลาหลายปี ดังนั้นย่อมเคยพบเจอเหตุการณ์ฆ่าฟันเช่นนี้ทั้งสิ้น ที่น่าแปลกใจคือหนิงอ้ายที่เป็นผู้ลงมือกระทำนั้นกลับไร้ความตกใจราวกับว่านี่เป็นสิ่งที่คุ้นชินเสียอย่างนั้น''นักฆ่าเหล่านี้แม้จะเป็นร่างไร้วิญญาณไปแล้วก็จริง แต่อย่างไรขึ้นชื่อว่าผู้ฝึกตนย่อมมีพลังลมปราณไหลเวียนอยู่ในจุดชีพจรทั่วทั้งร่างกายที่ไม่แตกต่างไปจากสัตว์อสูร หากปล่อยทิ้งเอาไว้เช่นนี้คงเสียเปล่าเป็นแน่ เช่นนั้นข้าจะนำร่างไร้วิญญาณของนักฆ่าเหล่านี้ให้กับเจียวซิ่นขอรับ...''แม้ว่าสิ่งที่หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นมาจะชวนให้ตกตะลึงในความรู้สึก เพราะการที่สัตว์อสูรในพันธะสามารถดูดซับลมปราณจากร่างไร้วิญญาณของสัตว์อสูรนั้นไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน แล้วยิ่งกับร่างไร้วิญญาณของผู้ฝึกตนเช่นนี้ย่อมไม่เคยมีผู้ใดกระทำทั้งสิ้น แต่ถึงอย่างไรคำกล่าวของหนิงอ้ายก็ไม่มีผิดถูกเช่นกันหวังฮุ่ยได้สั่งการองครักษ์ทั้งสามให้แยกย้ายกันไปเก็บกวาดร่างไร้วิญญาณของนักฆ่าสังหารที

    Last Updated : 2025-02-07
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่​17 หย่า

    ทางฝั่งเยว่ซินหลังจากที่มีนักฆ่าเข้ามาลอบสังหารบุตรชายของนางในช่วงกลางคืนที่ผ่านมา โชคดีที่ไม่เกิดเหตุการณ์ความสูญเสียดังกล่าวขึ้น ที่น่าแปลกใจคือหนังสือจ้างวานฆ่านี้ได้ชี้ชัดว่าเป็นฝีมือของหวงลู่เอินหรือฮูหยินรองคนรักของจางเลี่ยงหวง เยว่ซินนั้นไม่มีเรื่องราวข้องเกี่ยวกับอีกฝ่ายเท่าไหร่นัก แต่หากว่าแรงจูงใจของการกระทำนี้คือนางต้องการผลักดันบุตรชายของนางขึ้นเป็นผู้สืบทอดของตระกูลแทนจางหนิงอ้ายผู้เป็นคุณชายใหญ่ของตระกูลจางสายหลักแล้วย่อมเป็นไปได้เช่นกันทั้งสิ้นแต่แล้วอย่างไรเล่า? จางเลี่ยงหวงสามีของนางก็คงไม่เชื่อต่อหลักฐานที่มีอยู่และคงเข้าข้างคนรักของตนเฉกเช่นทุกครั้ง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หนิงอ้ายถูกรังแกและโดนทำร้าย ต่อให้นางมีหลักฐานเพียงใดสามีของนางไม่เคยลงโทษหรือเอาผิดเลยซักครั้ง เยว่ซินหยิบสมุดบันทึกเล่มเก่าของตนที่อยู่ในช่องลับบนหัวเตียงขึ้นมาพร้อมกับเปิดอ่านอีกครั้งพลันย้อนคิดไปถึงอดีตเมื่อครั้งก่อนที่นางเข้ามาเป็นฮูหยินเอกของตระกูลชื่อเสียงของจางหนิงอ้ายบุตรชายของนาง ผู้คนทั้งที่อยู่ในเหตุการณ์ในพิธีปลุกพลังวิญญาณเมื่อเจ็ดปีก่อนต่างมีการร่ำลือไปอย่างเสียหาย บ้างว่าคุณชายใหญ่ห

    Last Updated : 2025-02-07
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่​18 สิ้นสุดกันเพียงเท่านี้

    ด้านหลังของหนิงอ้ายปรากฏเป็นวงแหวนเวทย์สีน้ำเงินเข้มแสดงถึงผู้ฝึกตนปราณธาตุน้ำระดับสาม ในตอนนี้เขากำลังเร่งทำการยกระดับพลังวิญญาณให้ข้ามผ่านขั้นย่อยให้ได้ในเร็ววัน เพราะหากยิ่งมีระดับพลังวิญญาณเพิ่มขึ้นมากเท่าใด เขาก็จะสามารถปกป้องตัวเองและท่านแม่เพิ่มขึ้นได้เท่านั้นสำหรับราชทินนามจักรพรรดิวิญญาณขั้นสามัญกับระยะเวลาเพียงหนึ่งปีเช่นนี้ นับได้ว่าหนิงอ้ายไม่ต่างไปจากอัจฉริยะคงไม่เกินจริงไปนัก ต้องบอกว่าเด็กหนุ่มโชคดีอย่างมากที่ได้ศึกษาเคล็ดวิชาลับตระกูลหวัง จึงทำให้สามารถขยายจุดตันเถียรได้รองรับและขยายเส้นปราณทั่วร่างกายเพิ่มการดูดซับพลังปราณมากกว่าคนอื่นหลายเท่าจึงทำให้เขาสามารถดูดซับพลังปราณฟ้าดินได้โดยตรง ยิ่งได้รับแรงหนุนจากจี้หยกโลหิตแล้วความสามารถในการดูดซับปราณฟ้าดินของหนิงอ้ายจึงไม่ต่างไปจากพยัคฆ์ติดปีกเสียแล้วในตอนนี้บทเวทย์โจมตีมหาบุปผชาติเหมันต์จำแลงลักษณ์!ตู้ม!สภาพอากาศโดยรอบของเขตของบทเวทย์อากาศลดลงโดยฉับพลัน ปรากฎเป็นดอกบัวเหมันต์สีขาวบริสุทธิ์ดอกใหญ่แผ่อายความเย็นจาง ๆ ไปทั่วบริเวณ ตรงด้านบนเห็นเป็นเกล็ดบัวเหมันต์หิมะที่มีไอเย็นลอยตกลงไปทั่วเขตของบทเวทย์ เมื่อตกลงถึงพื

    Last Updated : 2025-02-07
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่​19 ลอบสังหาร

    ตระกูลหวังเป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของแคว้นเต่าดำซึ่งถือได้ว่าเป็นอีกแคว้นใหญ่ที่มีความสำคัญเป็นอย่างมากเนื่องจากตั้งอยู่บริเวณใจกลางของมหาทวีปบูรพา จึงทำให้รอบด้านทั้งสี่ทิศของแคว้นมีอาณาเขตติดกับอีกสามแคว้นใหญ่ที่เหลือ แคว้นเต่าดำมีรูปแบบการปกครองที่ชัดเจนโดยเเบ่งออกเป็นสิบมณฑลใหญ่มีเมืองสาขาหรือเมืองในการปกครองในเเต่ละมณฑลมากกว่าสิบเมืองในการดูเเล ทั้งสิบมณฑลใหญ่อยู่ในการปกครองส่วนกลางของแคว้นเรียกว่ามหานครแคว้นเต่าดำหากกล่าวให้เข้าใจด้วยง่ายคือแคว้นเต่าดำประกอบไปด้วยเมืองน้อยใหญ่นับร้อยเมือง มีหมู่บ้านอย่างมากมายกระจายกันไปทั่วทั้งแคว้น ต้องบอกว่าเเต่ละเมืองหาได้มีความเจริญเทียบเท่ากันไม่ เพราะบางเมืองมีอาณาเขตติดกับแคว้นอื่นมักจะเป็นเมืองที่ขึ้นชื่อเป็นจุดเเลกเปลี่ยนสินค้า หรือบางเมืองยังคงรักษาขนบธรรมเนียมปฏิบัติกันมาอย่างช้านานนับว่าเป็นเสน่ห์ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน เเต่กับสิบมณฑลใหญ่ที่มีการปกครองดูเเลเมืองในรับผิดชอบของตนมักจะมีความเจริญและมีพื้นที่กว้างขวางเป็นอย่างมาก ด้วยเพราะผู้ปกครองมณฑลดังกล่าวมักจะเป็นเหล่าบรรดาผู้มีศักดิ์เป็นอ๋องเป็นเชื้อพระวงศ์นั่นเองคณะเดินทางของหนิงอ้

    Last Updated : 2025-02-07
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่20 ตระกูลหวัง

    ขบวนรถม้าเดินทางยังคงดำเนินไปอย่างไม่รีบร้อน จุดหมายปลายทางคือจวนตระกูลหวังที่ตั้งอยู่ในมหานครแคว้นเต่าดำแห่งนี้ ตลอดเส้นทางเดินรถม้าได้ตัดผ่านหมู่บ้านน้อยใหญ่มากมาย สิ่งหนึ่งที่หนิงอ้ายสังเกตคือยิ่งเข้าใกล้ใจกลางมหานครแคว้นเต่าดำมากเท่าใดความเจริญรุ่งเรืองของบ้านเมืองรวมไปถึงความคึกคักของตลาดเเลกเปลี่ยนสินค้าก็จะเพิ่มขึ้นไปเท่านั้น''ตรงด้านหน้าจะเป็นตลาดเมืองหลวงก่อนถึงจวนตระกูลหวัง หนิงอ้าย ลู่ซี เจ้าทั้งสองจะแวะก่อนหรือไม่?'' เยว่ซินเอ่ยถามเด็กหนุ่มทั้งสอง เพราะหากพ้นเขตตลาดเมืองหลวงนี้ไปอีกเพียงไม่ถึงเค่อก็จะถึงจวนตระกูลหวังเเล้ว''แวะขอรับท่านเเม่ ข้าจะหาซื้อของฝากติดไม้ติดมือให้ท่านตาและท่านยายด้วยขอรับ!'' หนิงอ้ายตอบมารดาไปในทันที ในโลกเดิมของเขาสำหรับการเข้าพบปะผู้อาวุโสที่มีอายุมากกว่า ตามมารยาทที่พึงกระทำแล้วผู้น้อยควรมีของฝากติดมือไปฝากเสมอ เป็นการเเสดงถึงความเคารพให้เกียรตินั่นเองนับว่าผิดจากหนิงอ้ายเคยคิดไว้ไปเสียมาก มหานครแคว้นเต่าดำนี้มีพื้นที่กว้างขวางใหญ่โตเป็นอย่างมาก อาคารบ้านเรือนสองข้างทางดูโอ่อ่าอลังการดูเเล้วเจริญหูเจริญตาเป็นอย่างมาก ถนนหนทางจากทุกมุมเมืองที่

    Last Updated : 2025-02-07
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   ข้อมูลเบื้องต้น

    ระดับพลังวิญญาณ**พลังวิญญาณคือพลังลมปราณภายในร่างกายของผู้ฝึกตน เกี่ยวข้องกับความเหมาะสมในการประสานกระดูกวิญญาณเข้ากับร่างกายอีกด้วย ระดับพลังวิญญาณของผู้ฝึกตนจะเเบ่งออกเป็นสิบห้าระดับ แต่ละระดับแบ่งเป็นสิบขั้นย่อย**แต่ละขั้นย่อยของระดับพลังวิญญาณจะปรากฏเป็นสัญลักษณ์ดังนี้ระดับ 1-3 ขั้นต้น หนึ่งวงแหวนเวทย์ระดับ 4-6 ขั้นกลาง สองวงแหวนเวทย์ระดับ 7-9 ขั้นสูง สามวงแหวนเวทย์1.ก่อเกิดวิญญาณระดับ1-10 ไม่มีวงแหวนเวทย์2.ขุนพลวิญญาณระดับ11-19 สัญลักษณ์แทนวงแหวนเวทย์สีขาว-กระดูกวิญญาณที่เหมาะสมในการดูดซับอายุไม่เกิน 1,000 ปี3.ขุนนางวิญญาณระดับ20-29 สัญลักษณ์แทนวงแหวนเวทย์สีเขียว-กระดูกวิญญาณที่เหมาะสมในการดูดซับอายุไม่เกิน 2,000 ปี4.จักรพรรดิวิญญาณระดับ30-39 สัญลักษณ์แทนวงแหวนเวทย์สีเหลือง-กระดูกวิญญาณที่เหมาะสมในการดูดซับอายุไม่เกิน 4,000 ปี5.เทวะวิญญาณระดับ40-49 สัญลักษณ์แทนวงแหวนเวทย์สีส้ม-กระดูกวิญญาณที่เหมาะสมในการดูดซับอายุไม่เกิน 8,000 ปี6.ราชันวิญญาณระดับ50-59 สัญลักษณ์แทนวงแหวนเวทย์สีชมพู-กระดูกวิญญาณที่เหมาะสมในการดูดซับอายุไม่เกิน 10,000 ปี7.เทพยุทธ์วิญญาณระ

    Last Updated : 2025-02-07
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทนำ

    หากมีการจัดอันดับนักธุรกิจรุ่นใหม่ไฟแรงที่อายุไม่เกิน30ปี เชื่อว่าต้องมี นที พัชรวงศ์เศวต อยู่ในรายชื่อเหล่านี้อย่างแน่นอน เพราะชายหนุ่มถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งนักธุรกิจที่มีความคิดนอกกรอบในการแก้ปัญหา ทั้งความเป็นผู้นำของอีกฝ่ายที่ฉายชัดออกมาแม้อายุยังน้อยเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เขามีความแตกต่างจากนักธุรกิจคนอื่นในช่วงวัยใกล้เคียงกันเป็นอย่างมากสิ่งเหล่านี้ได้ส่งผลให้ในระยะเวลาเพียงไม่กี่ปีชื่อของเขาได้กลายเป็นอีกหนึ่งนักธุรกิจหนุ่มผู้ประสบความสำเร็จที่โดดเด่นและน่าจับตามองเป็นอย่างมากคนหนึ่งที่ไม่เพียงได้รับการยอมรับจากพันธมิตรแวดวงนักธุรกิจเพราะทางด้านเทคโนโลยีชายหนุ่มก็สามารถพัฒนาระบบความมั่นคงของรัฐให้มีความเสถียรภาพมากขึ้นจนกลายเป็นแม่แบบโปรแกรมจนถูกนำไปใช้กันอย่างแพร่หลาย รวมไปถึงผลงานในด้านต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์อย่างมหาศาลต่อผู้คนหลายล้านชีวิตล้วนได้สร้างชื่อเสียงของเขาให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้นหลายเท่านอกจากนั้นแล้วนทียังเป็นชายหนุ่มที่มีรูปลักษณ์น่าดึงดูดและมีเสน่ห์เป็นอย่างมาก ร่างกายสูงโปร่งสวมชุดสูทตัดเย็บอย่างดีเน้นให้เห็นรูปร่างท่าทางที่แสดงออกถึงความมั่นใจ ดวงตาเฉียบค

    Last Updated : 2025-02-07
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่1 ชีวิตใหม่ที่เปลี่ยนไป

    สัมผัสแรกที่รู้สึกคือความเจ็บปวดไปทั่วทั้งร่างกายในสัญชาตญาณการรับรู้ แต่ก่อนที่นทีจะตั้งสติมากกว่านี้ก็ได้ยินเสียงเรียกชื่อที่คุ้นหูจนต้องฝืนลืมตาขึ้นด้วยความลำบาก เมื่อปรับสายตาให้มองเห็นชัดแล้วจึงเห็นเป็นสตรีผู้หนึ่งที่นั่งอยู่ข้างเตียงที่เขานอนอยู่ สายตาของนางที่มองมาเต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกที่หลากหลายชวนให้รู้สึกอุ่นใจและคุ้นเคยอยู่ไม่น้อย“หนิงเอ๋อร์ หนิงเอ๋อร์ ได้ยินเสียงของมารดาหรือไม่?” เสียงของสตรีเอ่ยขึ้นด้วยความเป็นห่วงเพราะเด็กหนุ่มสลบไปไม่ได้สติถึงเจ็ดวันเต็ม“ท่านแม่...” นทีเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้งไปตามความคิดแรกที่ปรากฎขึ้น ก่อนที่จะขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความมึนงง เมื่อเห็นเช่นนั้นสตรีคนดังกล่าวจึงรีบป้อนน้ำให้กับเขาในทันที“หนิงเอ๋อร์ ในที่สุดเจ้าก็ฟื้นขึ้นเสียที...” สตรีคนเดิมเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงกังวลพร้อมกับขยับเข้าใกล้มองสำรวจด้วยความเป็นห่วง นางใช้หลังมือลูบไล้ใบหน้าและลำคอของเด็กหนุ่มด้วยความกังวลที่ลดลงไปบ้างเล็กน้อยแม้ว่าภายนอกของเด็กหนุ่มในตอนนี้ดูเหมือนปกติแล้วก็จริงแต่นางยังคงไม่วางใจสักเท่าไหร่ เพราะเดิมทีแล้วร่างกายของอีกฝ่ายไม่ได้แข็งแรงมาก ในระยะหลังม

    Last Updated : 2025-02-07

Latest chapter

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่20 ตระกูลหวัง

    ขบวนรถม้าเดินทางยังคงดำเนินไปอย่างไม่รีบร้อน จุดหมายปลายทางคือจวนตระกูลหวังที่ตั้งอยู่ในมหานครแคว้นเต่าดำแห่งนี้ ตลอดเส้นทางเดินรถม้าได้ตัดผ่านหมู่บ้านน้อยใหญ่มากมาย สิ่งหนึ่งที่หนิงอ้ายสังเกตคือยิ่งเข้าใกล้ใจกลางมหานครแคว้นเต่าดำมากเท่าใดความเจริญรุ่งเรืองของบ้านเมืองรวมไปถึงความคึกคักของตลาดเเลกเปลี่ยนสินค้าก็จะเพิ่มขึ้นไปเท่านั้น''ตรงด้านหน้าจะเป็นตลาดเมืองหลวงก่อนถึงจวนตระกูลหวัง หนิงอ้าย ลู่ซี เจ้าทั้งสองจะแวะก่อนหรือไม่?'' เยว่ซินเอ่ยถามเด็กหนุ่มทั้งสอง เพราะหากพ้นเขตตลาดเมืองหลวงนี้ไปอีกเพียงไม่ถึงเค่อก็จะถึงจวนตระกูลหวังเเล้ว''แวะขอรับท่านเเม่ ข้าจะหาซื้อของฝากติดไม้ติดมือให้ท่านตาและท่านยายด้วยขอรับ!'' หนิงอ้ายตอบมารดาไปในทันที ในโลกเดิมของเขาสำหรับการเข้าพบปะผู้อาวุโสที่มีอายุมากกว่า ตามมารยาทที่พึงกระทำแล้วผู้น้อยควรมีของฝากติดมือไปฝากเสมอ เป็นการเเสดงถึงความเคารพให้เกียรตินั่นเองนับว่าผิดจากหนิงอ้ายเคยคิดไว้ไปเสียมาก มหานครแคว้นเต่าดำนี้มีพื้นที่กว้างขวางใหญ่โตเป็นอย่างมาก อาคารบ้านเรือนสองข้างทางดูโอ่อ่าอลังการดูเเล้วเจริญหูเจริญตาเป็นอย่างมาก ถนนหนทางจากทุกมุมเมืองที่

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่​19 ลอบสังหาร

    ตระกูลหวังเป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของแคว้นเต่าดำซึ่งถือได้ว่าเป็นอีกแคว้นใหญ่ที่มีความสำคัญเป็นอย่างมากเนื่องจากตั้งอยู่บริเวณใจกลางของมหาทวีปบูรพา จึงทำให้รอบด้านทั้งสี่ทิศของแคว้นมีอาณาเขตติดกับอีกสามแคว้นใหญ่ที่เหลือ แคว้นเต่าดำมีรูปแบบการปกครองที่ชัดเจนโดยเเบ่งออกเป็นสิบมณฑลใหญ่มีเมืองสาขาหรือเมืองในการปกครองในเเต่ละมณฑลมากกว่าสิบเมืองในการดูเเล ทั้งสิบมณฑลใหญ่อยู่ในการปกครองส่วนกลางของแคว้นเรียกว่ามหานครแคว้นเต่าดำหากกล่าวให้เข้าใจด้วยง่ายคือแคว้นเต่าดำประกอบไปด้วยเมืองน้อยใหญ่นับร้อยเมือง มีหมู่บ้านอย่างมากมายกระจายกันไปทั่วทั้งแคว้น ต้องบอกว่าเเต่ละเมืองหาได้มีความเจริญเทียบเท่ากันไม่ เพราะบางเมืองมีอาณาเขตติดกับแคว้นอื่นมักจะเป็นเมืองที่ขึ้นชื่อเป็นจุดเเลกเปลี่ยนสินค้า หรือบางเมืองยังคงรักษาขนบธรรมเนียมปฏิบัติกันมาอย่างช้านานนับว่าเป็นเสน่ห์ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน เเต่กับสิบมณฑลใหญ่ที่มีการปกครองดูเเลเมืองในรับผิดชอบของตนมักจะมีความเจริญและมีพื้นที่กว้างขวางเป็นอย่างมาก ด้วยเพราะผู้ปกครองมณฑลดังกล่าวมักจะเป็นเหล่าบรรดาผู้มีศักดิ์เป็นอ๋องเป็นเชื้อพระวงศ์นั่นเองคณะเดินทางของหนิงอ้

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่​18 สิ้นสุดกันเพียงเท่านี้

    ด้านหลังของหนิงอ้ายปรากฏเป็นวงแหวนเวทย์สีน้ำเงินเข้มแสดงถึงผู้ฝึกตนปราณธาตุน้ำระดับสาม ในตอนนี้เขากำลังเร่งทำการยกระดับพลังวิญญาณให้ข้ามผ่านขั้นย่อยให้ได้ในเร็ววัน เพราะหากยิ่งมีระดับพลังวิญญาณเพิ่มขึ้นมากเท่าใด เขาก็จะสามารถปกป้องตัวเองและท่านแม่เพิ่มขึ้นได้เท่านั้นสำหรับราชทินนามจักรพรรดิวิญญาณขั้นสามัญกับระยะเวลาเพียงหนึ่งปีเช่นนี้ นับได้ว่าหนิงอ้ายไม่ต่างไปจากอัจฉริยะคงไม่เกินจริงไปนัก ต้องบอกว่าเด็กหนุ่มโชคดีอย่างมากที่ได้ศึกษาเคล็ดวิชาลับตระกูลหวัง จึงทำให้สามารถขยายจุดตันเถียรได้รองรับและขยายเส้นปราณทั่วร่างกายเพิ่มการดูดซับพลังปราณมากกว่าคนอื่นหลายเท่าจึงทำให้เขาสามารถดูดซับพลังปราณฟ้าดินได้โดยตรง ยิ่งได้รับแรงหนุนจากจี้หยกโลหิตแล้วความสามารถในการดูดซับปราณฟ้าดินของหนิงอ้ายจึงไม่ต่างไปจากพยัคฆ์ติดปีกเสียแล้วในตอนนี้บทเวทย์โจมตีมหาบุปผชาติเหมันต์จำแลงลักษณ์!ตู้ม!สภาพอากาศโดยรอบของเขตของบทเวทย์อากาศลดลงโดยฉับพลัน ปรากฎเป็นดอกบัวเหมันต์สีขาวบริสุทธิ์ดอกใหญ่แผ่อายความเย็นจาง ๆ ไปทั่วบริเวณ ตรงด้านบนเห็นเป็นเกล็ดบัวเหมันต์หิมะที่มีไอเย็นลอยตกลงไปทั่วเขตของบทเวทย์ เมื่อตกลงถึงพื

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่​17 หย่า

    ทางฝั่งเยว่ซินหลังจากที่มีนักฆ่าเข้ามาลอบสังหารบุตรชายของนางในช่วงกลางคืนที่ผ่านมา โชคดีที่ไม่เกิดเหตุการณ์ความสูญเสียดังกล่าวขึ้น ที่น่าแปลกใจคือหนังสือจ้างวานฆ่านี้ได้ชี้ชัดว่าเป็นฝีมือของหวงลู่เอินหรือฮูหยินรองคนรักของจางเลี่ยงหวง เยว่ซินนั้นไม่มีเรื่องราวข้องเกี่ยวกับอีกฝ่ายเท่าไหร่นัก แต่หากว่าแรงจูงใจของการกระทำนี้คือนางต้องการผลักดันบุตรชายของนางขึ้นเป็นผู้สืบทอดของตระกูลแทนจางหนิงอ้ายผู้เป็นคุณชายใหญ่ของตระกูลจางสายหลักแล้วย่อมเป็นไปได้เช่นกันทั้งสิ้นแต่แล้วอย่างไรเล่า? จางเลี่ยงหวงสามีของนางก็คงไม่เชื่อต่อหลักฐานที่มีอยู่และคงเข้าข้างคนรักของตนเฉกเช่นทุกครั้ง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หนิงอ้ายถูกรังแกและโดนทำร้าย ต่อให้นางมีหลักฐานเพียงใดสามีของนางไม่เคยลงโทษหรือเอาผิดเลยซักครั้ง เยว่ซินหยิบสมุดบันทึกเล่มเก่าของตนที่อยู่ในช่องลับบนหัวเตียงขึ้นมาพร้อมกับเปิดอ่านอีกครั้งพลันย้อนคิดไปถึงอดีตเมื่อครั้งก่อนที่นางเข้ามาเป็นฮูหยินเอกของตระกูลชื่อเสียงของจางหนิงอ้ายบุตรชายของนาง ผู้คนทั้งที่อยู่ในเหตุการณ์ในพิธีปลุกพลังวิญญาณเมื่อเจ็ดปีก่อนต่างมีการร่ำลือไปอย่างเสียหาย บ้างว่าคุณชายใหญ่ห

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่​16 โชคชะตา ฟ้าลิขิต

    กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วทั้งห้อง ร่างไร้วิญญาณที่ถูกชโลมด้วยโลหิตสีแดงฉานมากมายชวนให้รู้สึกคลื่นเหียนอยู่ไม่น้อยแก่ผู้พบเห็น แต่ด้วยทุกคนในที่นี้ต่างโลดแล่นอยู่ในเส้นทางของผู้ฝึกตนเป็นเวลาหลายปี ดังนั้นย่อมเคยพบเจอเหตุการณ์ฆ่าฟันเช่นนี้ทั้งสิ้น ที่น่าแปลกใจคือหนิงอ้ายที่เป็นผู้ลงมือกระทำนั้นกลับไร้ความตกใจราวกับว่านี่เป็นสิ่งที่คุ้นชินเสียอย่างนั้น''นักฆ่าเหล่านี้แม้จะเป็นร่างไร้วิญญาณไปแล้วก็จริง แต่อย่างไรขึ้นชื่อว่าผู้ฝึกตนย่อมมีพลังลมปราณไหลเวียนอยู่ในจุดชีพจรทั่วทั้งร่างกายที่ไม่แตกต่างไปจากสัตว์อสูร หากปล่อยทิ้งเอาไว้เช่นนี้คงเสียเปล่าเป็นแน่ เช่นนั้นข้าจะนำร่างไร้วิญญาณของนักฆ่าเหล่านี้ให้กับเจียวซิ่นขอรับ...''แม้ว่าสิ่งที่หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นมาจะชวนให้ตกตะลึงในความรู้สึก เพราะการที่สัตว์อสูรในพันธะสามารถดูดซับลมปราณจากร่างไร้วิญญาณของสัตว์อสูรนั้นไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน แล้วยิ่งกับร่างไร้วิญญาณของผู้ฝึกตนเช่นนี้ย่อมไม่เคยมีผู้ใดกระทำทั้งสิ้น แต่ถึงอย่างไรคำกล่าวของหนิงอ้ายก็ไม่มีผิดถูกเช่นกันหวังฮุ่ยได้สั่งการองครักษ์ทั้งสามให้แยกย้ายกันไปเก็บกวาดร่างไร้วิญญาณของนักฆ่าสังหารที

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่​15 แขกที่ไม่ได้รับเชิญ

    หนิงอ้ายหลับตาลงพร้อมกับกำหนดลมหายใจเข้าออก พลังลมปราณฟ้าดินอันบริสุทธิ์โดยรอบที่ถูกชักนำโดยจี้หยกโลหิตส่งผลให้มวลลมปราณบริเวณนี้ต่างถูกชักนำเข้าตามจุดชีพจรไปทั่วทั้งร่างกายตามสุดยอดเคล็ดวิถี ลมปราณอันอบอุ่นวิ่งวนเข้าสู่จุดใจกลางตันเถียรไม่จบสิ้น พลังลมปราณในร่างกายที่ผ่านการเคี่ยวกรำนับสิบกว่ารอบต่างถูกอัดแน่นเป็นรากฐานบ่มเพาะที่แข็งแกร่ง วันเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนผันไปเรื่อย ๆ วันนี้ถือได้ว่าเป็นวันครบรอบอายุสิบห้าปีของจางหนิงอ้าย แน่นอนว่าทางฝั่งของนทีก็นับว่าเขาเองได้อาศัยอยู่ในร่างนี้เป็นเวลาหนึ่งปีแล้วเช่นกันหนิงอ้ายใช้เวลาไม่นานกับการจัดการตัวเอง วันนี้เขาเลือกใส่เสื้อตัวในสีขาวล้วนและเสื้อตัวนอกเป็นสีเขียวอ่อนที่ปักด้วยลวดลายใบไผ่สีเขียวมรกต เมื่อไปถึงบริเวณห้องโถงรับรองที่ตอนนี้ถูกเปลี่ยนให้เป็นงานเลี้ยงเล็ก ๆ มีท่านแม่เยว่ซิน ท่านลุงหวังฮุ่ย ท่านลุงจางปิน ท่านน้าหรันหรูที่นั่งรออยู่ แม้จะไร้เงาบิดาสารเลวในงานเลี้ยงดังกล่าวนี้ เเต่หนิงอ้ายไม่สนใจเลยสักนิดเพราะทุกคนในที่นี้ล้วนเป็นผู้ที่เขาสนิทใจทั้งสิ้น''หนิงเอ๋อร์ปีนี้เจ้าอายุครบสิบห้าปีแล้ว ตามกฎของตระกูลจางที่ปฏิบัติสืบทอดก

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่​14 อสูรราชินีแมงป่องแปดขามัจจุราช

    การเสาะหากระดูกวิญญาณได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้งในช่วงบ่ายของวันนี้ คณะเดินทางของหนิงอ้ายทั้งสี่คนต่างเดินทางกันไปเรื่อย ๆ ไม่รีบเร่ง แม้ว่าระหว่างทางจะพบเจอสัตว์อสูรจำนวนไม่น้อย แต่เพราะกลิ่นอายของผู้ฝึกตนระดับเทวะขั้นสูงที่หวังฮุ่ยปลดปล่อยออกมาในระยะสองลี้ย่อมไม่ต่างไปจากคำเตือนให้เหล่าสัตว์อสูรระดับต่ำจงหลบหลีกไปเสีย เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วจึงถือว่าการเสาะหาสัตว์อสูรที่เหมาะสมจึงเป็นไปอย่างราบรื่นยิ่งก่อนหน้านี้หนิงอ้ายได้ประสานร่างกายเข้ากับกระดูกวิญญาณล้านปีของอสรพิษเหมันต์บรรพกาล นอกจากกระดูกวิญญาณชิ้นนี้จะแปรเปลี่ยนเป็นทักษะวิญญาณยุทธ์ที่สามให้แก่เขาแล้ว ยังคงมีเงื่อนไขสำคัญคือการเสาะหากระดูกวิญญาณจากสัตว์อสูรสังกัดปราณธาตุพิษดูดซับประสานเข้ากับร่างกายเพื่อให้กระดูกวิญญาณชิ้นแรกนี้มีความสมบูรณ์พร้อมด้วยทักษะตามที่ควรจะเป็นหนิงอ้ายตั้งใจดูดซับกระดูกวิญญาณให้กับวิญญาณยุทธ์ที่สองอันเป็นปราณธาตุน้ำนี้เสียก่อน สำหรับวิญญาณยุทธ์ปราณธาตุไฟรวมไปถึงวิญญาณยุทธ์ที่สามเขาไม่จำเป็นต้องสังหารสัตว์อสูรเป็นจำนวนมากเพื่อเติมเต็มให้กระดูกวิญญาณของทั้งสามวิญญาณยุทธ์ในตอนนี้ เพราะนอกจากกระดูกวิญญาณล้าน

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่13 ปะทะราชสีห์สัตตะโลหิตสีคราม

    เช้าวันใหม่มาถึงคณะเดินทางของหนิงอ้ายทั้งสี่คนต่างรีบเร่งออกเดินทางกันแต่เช้าตรู่ จุดหมายคือเขตป่าชั้นกลางของเทือกเขาหมื่นอสูรวิญญาณ เนื่องจากบริเวณป่าชั้นนอกจะมีเพียงสัตว์อสูรทั่วไปหรือสัตว์อสูรปฐพีเท่านั้น หากเข้าสู่เขตป่าชั้นกลางเป็นต้นไปจึงจะพบเจอสัตว์อสูรนภาขั้นต่ำหรือขั้นกลางและหากโชคดีมากพออาจได้พบเจอสัตว์อสูรนภาขั้นสูงก็เป็นไปได้เช่นกัน สำหรับสัตว์อสูรมายาขั้นต่ำเป็นต้นไป สัตว์อสูรเหล่านี้จัดได้ว่าเป็นสัตว์อสูรระดับสูงที่มีความนึกคิด อีกทั้งยังเปี่ยมไปด้วยพละกำลังที่แข็งแกร่ง สามารถใช้ปราณธาตุของตนโจมตีผู้บุกรุกในอาณาเขตของตน อาจพบเห็นได้บ้างตามแนวรอยต่อของป่าชั้นกลางติดกับเขตป่าชั้นในกระจัดกระจายกันไปทั่วทั้งพื้นที่แห่งนี้ ระหว่างทางพวกเขาต่างพบเจอกับสัตว์อสูรไปไม่น้อย แต่เพราะยังมีอายุที่ไม่เหมาะสม อีกครั้งความสามารถยังเข้าไม่ได้กับวิญญาณยุทธ์ของพวกเขาทั้งสอง เห็นได้ว่าการเสาะหากระดูกวิญญาณนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด อายุของสัตว์อสูรจะสังเกตได้จากสีของพลังวิญญาณที่แผ่ซ่านออกมา จะเป็นสีเดียวกันกับพลังวิญญาณ แม้จะเป็นเผ่าพันธ์เดียวกันแต่มีอายุต่างก

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่​12 ออกเดินทางล่าสัตว์อสูร

    เนตรแห่งสวรรค์ของหนิงอ้ายหลังจากได้รับแรงกระตุ้นจากการดูดซับกระดูกวิญญาณของอสรพิษเหมันต์บรรพกาลไป หนิงอ้ายพบว่าความสามารถในการมองเห็นและการรับรู้ของเขาในตอนนี้อยู่เหนือกว่าผู้ฝึกตนในเขตขั้นเดียวกันอย่างชัดเจน รายละเอียดเล็กน้อย ข้อมูลต่าง ๆ รวมไปถึงทุกการเคลื่อนไหวในรัศมีหนึ่งลี้ไม่อาจถูกปกปิดจากสายตาหรือการรับรู้ของเขาได้ คล้ายกับว่าความสามารถทั้งหมดในโลกเดิมของเขาที่เคยใช้ได้จะถูกยกระดับเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว“หนิงเอ๋อร์ เจ้าแน่ใจใช่หรือไม่ที่จะเดินทางไปกับผู้อาวุโสหวังฮุ่ยไปยังเทือกเขาหมื่นอสูรวิญญาณในครั้งนี้?” เยว่ซินถามหนิงอ้ายอีกครั้ง แม้นางจะรู้ดีว่าด้วยระดับขุนนางวิญญาณของเด็กหนุ่มย่อมสามารถเอาตัวรอดได้อย่างไม่ยาก แต่นางยังรู้สึกเป็นกังวลเพราะอีกฝ่ายไม่เคยออกจากเขตพื้นที่เมืองหลวงนี้เสียด้วยซ้ำ“ขอรับท่านแม่ ข้ากับลู่ซีจะติดตามท่านลุงฮุ่ยไปยังเทือกเขาหมื่นอสูรวิญญาณเพื่อฝึกฝนประสบการณ์และเสาะหากระดูกวิญญาณแรกด้วยขอรับ!!” หนิงอ้ายตอบไปด้วยความมั่นใจ“เช่นนั้นแล้วแต่เจ้า รบกวนผู้อาวุโสหวังฮุ่ยดูแลทั้งสองคนด้วยนะเจ้าคะ...” เยว่ซินพูดออกมา“คุณหนูอย่าได้กังวลข้าจะดูแลคุณชายหนิงอ้าย

Scan code to read on App
DMCA.com Protection Status