Home / แฟนตาซี / บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ / บทที่13 ปะทะราชสีห์สัตตะโลหิตสีคราม

Share

บทที่13 ปะทะราชสีห์สัตตะโลหิตสีคราม

เช้าวันใหม่มาถึงคณะเดินทางของหนิงอ้ายทั้งสี่คนต่างรีบเร่งออกเดินทางกันแต่เช้าตรู่ จุดหมายคือเขตป่าชั้นกลางของเทือกเขาหมื่นอสูรวิญญาณ เนื่องจากบริเวณป่าชั้นนอกจะมีเพียงสัตว์อสูรทั่วไปหรือสัตว์อสูรปฐพีเท่านั้น หากเข้าสู่เขตป่าชั้นกลางเป็นต้นไปจึงจะพบเจอสัตว์อสูรนภาขั้นต่ำหรือขั้นกลางและหากโชคดีมากพออาจได้พบเจอสัตว์อสูรนภาขั้นสูงก็เป็นไปได้เช่นกัน

            สำหรับสัตว์อสูรมายาขั้นต่ำเป็นต้นไป สัตว์อสูรเหล่านี้จัดได้ว่าเป็นสัตว์อสูรระดับสูงที่มีความนึกคิด อีกทั้งยังเปี่ยมไปด้วยพละกำลังที่แข็งแกร่ง สามารถใช้ปราณธาตุของตนโจมตีผู้บุกรุกในอาณาเขตของตน อาจพบเห็นได้บ้างตามแนวรอยต่อของป่าชั้นกลางติดกับเขตป่าชั้นในกระจัดกระจายกันไปทั่วทั้งพื้นที่แห่งนี้ ระหว่างทางพวกเขาต่างพบเจอกับสัตว์อสูรไปไม่น้อย แต่เพราะยังมีอายุที่ไม่เหมาะสม อีกครั้งความสามารถยังเข้าไม่ได้กับวิญญาณยุทธ์ของพวกเขาทั้งสอง เห็นได้ว่าการเสาะหากระดูกวิญญาณนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด

               อายุของสัตว์อสูรจะสังเกตได้จากสีของพลังวิญญาณที่แผ่ซ่านออกมา จะเป็นสีเดียวกันกับพลังวิญญาณ แม้จะเป็นเผ่าพันธ์เดียวกันแต่มีอายุต่างกันไม่กี่ร้อยปี ย่อมส่งผลให้มีช่องว่างของคุณสมบัติที่โดดเด่นแตกต่างกันลิบลับ ดังนั้นจึงควรระวังในการเลือกกระดูกวิญญาณเป็นพิเศษ

           สำหรับเป้าหมายในการตามล่าสัตว์อสูรที่เทือกเขาหมื่นอสูรวิญญาณครั้งนี้ เป็นเพียงการเสาะหากระดูกวิญญาณของสัตว์อสูรนภาที่มีอายุไม่เกินสองพันปี ถือว่าเป็นการฝึกฝนสร้างประสบการณ์แก่เด็กหนุ่มทั้งสองคนในเส้นทางวิถีของผู้ฝึกตน ดังนั้นหวังฮุ่ยจึงเลือกที่จะไม่ถึงเขตพื้นที่ส่วนชั้นกลางของเทือกเขาก็เพียงพอแล้ว

            การดูดซับกระดูกวิญญาณเพื่อได้มาซึ่งความแข็งแกร่งและความสามารถของสัตว์อสูรย่อมมีกฎเกณฑ์ที่ผู้ฝึกตนต้องรับทราบและควรปฏิบัติตาม นั่นคือผู้ฝึกตนในแต่ละระดับขั้นพลังวิญญาณจะสามารถดูดซับกระดูกวิญญาณจากสัตว์อสูรในช่วงอายุที่แตกต่างกันออกไป เนื่องจากร่างกายและพลังวิญญาณสามารถรองรับได้เพียงเท่านี้ในขณะนั้น

“สัตว์อสูรที่เราต้องการไม่ใช่สัตว์อสูรทั่วไประดับต่ำ โดยปกติแล้วการดูดซับกระดูกวิญญาณจะต้องผันแปรไปในทิศทางเดียวกันกับพลังวิญญาณ”

“ดังนั้นด้วยระดับขุนนางวิญญาณของทั้งสอง จำเป็นต้องดูดซับกระดูกวิญญาณแรกนี้ที่มีอายุไม่เกินสองพันปี ยิ่งสัตว์อสูรใช้เวลาในการบำเพ็ญตบะยิ่งนาน พลังที่แท้จริงก็ยิ่งแข็งแกร่ง ความสามารถจากกระดูกวิญญาณก็จะยิ่งสมบูรณ์…”

“แล้วความแข็งแกร่ง ความสามารถที่ผู้ฝึกตนได้รับจากกระดูกวิญญาณจะปรากฎให้เห็นเป็นอย่างไรหรือขอรับ?” หนิงอ้ายแม้จะศึกษาเรื่องราวเหล่านี้มาไม่น้อย แต่ยังมีบางจุดที่ยังสงสัยอยู่บ้าง

“กระดูกวิญญาณสามารถเพิ่มคุณสมบัติหรือพิเศษของวิญญาณยุทธ์ให้แก่ผู้ฝึกตนได้ อย่างเช่นวิญญาณยุทธ์ของคุณชายเป็นพัดหยกมีดบินปราณธาตุน้ำ หากประสานเข้ากับกระดูกวิญญาณของสัตว์อสูรปราณธาตุน้ำไป การควบคุมบัญชาการก็จะมั่นคงขึ้นโดยไม่สิ้นเปลืองพลังลมปราณอีกด้วย…”

“ความแข็งแกร่งของสัตว์อสูร หากไม่นับรวมไปถึงความพิเศษที่สืบทอดผ่านสายเลือดหรือเผ่าพันธ์ แน่นอนว่าจำนวนปีที่สัตว์อสูรบำเพ็ญตบะที่แตกต่างกันย่อมส่งผลไปถึงความแข็งแกร่งทั้งสิ้น…”

“กระดูกวิญญาณของสัตว์อสูรสี่พันปี ย่อมมีความแข็งแกร่งที่มากกว่ากระดูกวิญญาณอายุสองพันปี อย่างเห็นได้ชัดแม้จะเป็นสัตว์อสูรเผ่าพันธ์เดียวกันนั่นเอง...” หวังฮุ่ยอธิบายให้ได้เข้าใจมากขึ้น

“มากไปกว่านั้น สัตว์อสูรที่ถูกสังหารจิตสุดท้ายย่อมมีความรู้สึกโกรธแค้นไม่ยินยอม หากมีพลังมากพอมันย่อมสามารถเลือกที่จะปลิดชีพตนเองเพื่อไม่ให้ถูกช่วงชิงกระดูกวิญญาณไปได้…”

“…”

“ดังนั้นในการดูดซับกระดูกวิญญาณประสานเข้ากับร่างกาย ผู้ฝึกตนจึงควรพร้อมไปด้วยสติและพลังวิญญาณที่มากพอ สิ่งที่พึงกระทำคือไม่ควรดูดซับกระดูกวิญญาณข้ามขั้นระดับของตน เพราะหากกระทำโดยไม่คิดผลที่ตามหลังเช่นนี้ ร่างกายของผู้ฝึกตนย่อมไม่อาจรองรับพลังของกระดูกวิญญาณ บทสรุปสุดท้ายจะเป็นเช่นไรสุดจะหยั่งรู้ได้…”

“เข้าใจแล้วขอรับ!!” หนิงอ้ายกับลู่ซีพยักหน้ารับคำของหวังฮุ่ย

         หวังฮุ่ยตั้งใจพาหนิงอ้ายกับลู่ซีเสาะหากระดูกวิญญาณจากสัตว์อสูรที่เหมาะสมกับทั้งสองคนมากที่สุด ด้วยระดับขุนนางวิญญาณของทั้งสองคนแล้วสัตว์อสูรที่เหมาะสมคืออสูรนภาขั้นกลางหรือขั้นสูงที่มีอายุไม่เกินสองพันปี เมื่อสังหารสัตว์อสูรแล้วกระดูกวิญญาณจะปรากฎขึ้นรอบ ๆ ร่างไร้วิญญาณ หากไม่ถูกดูดซับหรือนำไปใช้ประโยชน์สิ่งอื่นเมื่อครบกำหนดเวลาก็จะซ่านสลายหายไปหลอมรวมเข้ากับปราณฟ้าดินอีกครั้งเป็นวัฏจักรหมุนเวียนไม่จบสิ้น…

             การเดินทางยังคงเป็นไปด้วยความระมัดระวัง หลังจากเดินเท้ามาได้เกือบหนึ่งชั่วยาม พวกเขาทั้งสี่คนได้เข้าสู่เขตป่าชั้นกลางของเทือกเขาหมื่นอสูรวิญญาณแล้ว สังเกตได้ว่ามีความหนาแน่นของลมปราณฟ้าดินบริสุทธิ์ที่เพิ่มขึ้นจากเขตป่าชั้นนอกหลายเท่า ต้นไม้สูงใหญ่ที่คาดว่ามีอายุหลายร้อยปีต่างปรากฏให้เห็นไปสุดสายตา กลุ่มหมอกสีขาวฟุ้งลอยละล่องหยอกล้อไปกับเถาวัลย์ที่ห้อยระย้าลงมา ให้ความรู้สึกที่งดงามแต่ทว่ายังคงแปลกตาในความรู้สึก แต่ถึงอย่างไรด้วยสัญญาติญาณอันลึกล้ำของผู้ฝึกตนพวกเขาต่างเฝ้าระวังอย่างเต็มที่ไม่อาจประมาทได้เลยแม้แต่น้อย

หนิงอ้ายเก็บเกี่ยวสมุนไพรไปหลายชนิดไม่ว่าจะเป็นสมุนไพรระดับต้นที่เก็บได้ตั้งแต่เขตป่าชั้นนอกแล้ว ยังได้สมุนไพรระดับกลางรวมไปถึงสมุนไพรระดับสูงอีกจำนวนไม่น้อยที่ขึ้นอยู่มากมายในเขตป่าชั้นกลางเช่นกัน กล่าวได้ว่าเทือกเขาหมื่นอสูรวิญญาณนอกจากจะเต็มไปด้วยสัตว์อสูรหลากหลายเผ่าพันธุ์แล้ว ยังมีความอุดมสมบูรณ์ที่ส่งผลให้มีสมุนไพรระดับต่าง ๆ ขึ้นอยู่อย่างมากมาย ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสมุนไพรล้วนเป็นหนิงอ้ายคนเก่าที่ชื่นชอบในการศึกษาตำราที่เกี่ยวข้องเหล่านี้ทั้งสิ้น

ในฐานะที่หนิงอ้ายครอบครองความสามารถประเภทจิตวิญญาณหยั่งรู้ที่หาได้ยากดังเช่นเนตรแห่งสวรรค์แล้ว ประสาทสัมผัสการรับรู้จึงมีความแข็งแกร่งในการสัมผัสถึงอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นได้อย่างไม่ยากนัก เขาที่ฝึกหนักตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานี้เพียงเพื่อใช้ประโยชน์วันนี้

ตู้ม!

โฮก!

              เสียงของการต่อสู้และเสียงคำรามที่ดังขึ้นของสัตว์อสูรได้เรียกความสนใจของทุกคนในที่นี้ หวังฮุ่ยส่งสัญญาณให้รีบติดตามไปยังจุดดังกล่าวเนื่องจากว่าอยู่ไม่ไกลไปจากพวกเขามากนัก หนิงอ้ายรู้สึกได้ว่าเลือดกำลังเดือดพล่านพร้อมกับสัญชาติญาณที่ถูกเร่งเร้าออกมาอย่างเต็มที่ พวกเขาทั้งหมดต่างเร่งฝีเท้ามุ่งตรงไปในทันที

“ระวังตัวด้วย!!” หวังฮุ่ยเอ่ยเตือนด้วยความเป็นห่วง ด้วยเพราะไม่รู้ว่าสัตว์อสูรตรงหน้าเป็นเผ่าพันธ์ใด

“วิญญาณยุทธ์จอมราชันย์หมาป่าเดียวดาย สถิตร่าง!!!”

หวังฮุ่ยเอ่ยขึ้นพร้อมกับเรียกวิญญาณยุทธ์ของตนออกมา ปรากฎเป็นวงแหวนสีเขียวน้ำตาลอันเป็นสัญลักษณ์ของผู้ฝึกตนปราณธาตุลม ก่อนจะปรากฎบางสิ่งที่ถูกเรียกออกมาที่มีรูปร่างคล้ายกับหมาป่าขนสีเทาเงินรูปร่างขนาดใหญ่สองถึงสามเมตร ก่อนที่ชั่วครู่จะหดตัวจนมีขนาดตามปกติ ดวงตาสีเขียวหม่นรับกับขนสีเทาดำสลับลวดลายที่เข้ากันอย่างน่าประหลาด จากนั้นกลิ่นอายของสัตว์อสูรได้แผ่ปกคลุมร่างของพวกเข้าทั้งสี่คนในที่สุด

“นี่คือวิญญาณยุทธ์ของข้า เป็นประเภทสัตว์อสูรสังกัดปราณธาตุลม คุณสมบัติพิเศษอีกอย่างของมันคือการลบตัวตน…”

“นำทางพวกข้าไปได้แล้ว!!” ทันทีที่ได้ยินคำสั่ง หมาป่าขนสีเงินเทาตรงหน้าได้มุ่งตรงไปยังทิศทางของเสียงเมื่อครู่อย่างไม่รีรอ

เมื่อไปถึงก็เห็นเป็นราชสีห์สีน้ำตาลครามสองตัวที่มีขนาดสูงใหญ่ประมาณสองเมตร ลำตัวมีขนปกคลุมไปทั่ว ดวงตาสีดำขลับ พร้อมกับกรงเล็บที่แหลมคม เขี้ยวของสัตว์อสูรทั้งสองต่างโผล่พ้นจากปากกว้างที่เปียกชุ่มไปด้วยของเหลวสีแดง ก่อนที่จะส่งเสียงคำรามต่ำพร้อมกับกระทืบขาหลังอย่างแรง และกระโจนเข้าหาต่อสู้กันอยู่อย่างดุเดือด บริเวณโดยรอบในรัศมี1ลี้ล้วนถูกทำลายไปสิ้น

เนตรแห่งสวรรค์!

เพียงแค่บัญชาการในใจพร้อมกับถ่ายเทพลังวิญญาณไป ข้อมูลเกี่ยวกับสัตว์อสูรตรงหน้าล้วนปรากฏให้หนิงอ้ายรับรู้ทั้งสิ้น ในสภาวะการสัมผัสสองลี้ของเขา ทำให้ทุกสิ่งล้วนตกอยู่ภายใต้การควบคุมอย่างเบ็ดเสร็จ 

“นี่คือสัตว์อสูรนภาขั้นกลางที่มีนามว่าราชสีห์สัตตะโลหิตสีคราม ขึ้นชื่อถึงความว่องไวในการโจมตีรวมไปถึงกรงเล็บที่แหลมคมไม่ต่างไปจากศาสตรวุธระดับสูง เส้นขนที่ปกคลุมตัวก็มีความทนทานเป็นอย่างมาก ดูไปแล้วน่าจะมีอายุราว ๆ เกือบสองพันปีได้...”

“สังเกตจากร่องรอยของการต่อสู้นี้พอรู้ได้ว่านี่คงเป็นการแย่งชิงพื้นที่ปกครองของเป็นแน่ อสูรราชสีห์สัตตะโลหิตสีครามขึ้นชื่อในเรื่องการหวงถิ่นเป็นอย่างมาก อีกไม่นานการต่อสู้นี้คงจบลงด้วยผลที่ว่าสัตว์ทั้งสองล้วนตกตายไปทั้งคู่อย่างแน่นอน...” หวังฮุ่ยเอ่ยเสริมออกมา

พรึบ!

“ข้าจะช่วยให้เรื่องราวจบลงอย่างไม่ยุ่งยากเองขอรับ!!” หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นพร้อมกับทะยานตัวเข้าไปในการต่อสู้ของสัตว์อสูรทั้งสองในทันที

“ผู้อาวุโสข้าขอไปช่วยคุณชายนะขอรับ!” ลู่ซีพูดออกมาพร้อมกับพุ่งทะยานตามหนิงอ้ายมาด้วยความรวดเร็ว

ปัง!

โฮก!

        ฝ่ามือที่เต็มไปด้วยความรุนแรงมากกว่าห้าส่วนของลู่ซีได้ฟาดไปยังส่วนลำตัวของอสูรราชสีห์สัตตะโลหิตสีครามอย่างแม่นยำจนมันร้องเสียงดังออกมาด้วยความเจ็บปวด เนื่องจากการเสริมพลังปราณของลู่ซีเมื่อครู่จึงทำให้ฝ่ามือที่ฟาดไปเกิดเป็นการโจมตีที่แรงมาก

         แต่ถึงอย่างไรอสูรราชสีห์สัตตะโลหิตสีครามก็หาใช่เป็นลูกพลับนิ่มที่สามารถบีบเล่นได้โดยง่าย ตรงลำตัวที่ถูกฝ่ามือฟาดไปนั้นเกิดเป็นรอยยุบลงไปพียงเล็กน้อยเห็นได้ว่าความทนทานของขนที่ปกคลุมตัวนั้นคือเรื่องจริง จากนั้นอสูรราชสีห์สัตตะโลหิตสีครามตัวดังกล่าวได้พุ่งเข้าโจมตีกลับลู่ซีด้วยความรวดเร็ว

หลังจากที่ราชาราชสีห์พลาดการโจมตีไปถึงสองครั้งติดกัน ดูเหมือนว่ามันจะโกรธจัดเข้าเสียแล้ว ร่างกายใหญ่โตที่เต็มไปด้วยมวลกล้ามเนื้อที่แข็งแก่รง พร้อมกับส่งการโจมตีออกไปอีกครั้ง เกิดเป็นลูกไฟสีขาวพุ่งตรงไปจุดที่ลู่ซียืนอยู่ด้วยความรวดเร็ว

            หวังฮุ่ยแม้ว่าจะเป็นห่วงลู่ซีไม่น้อย แต่ทว่าประสบการณ์จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้หากคนผู้นั้นไม่ได้ลงมือกระทำด้วยตนเอง ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะไม่เข้าไปยุ่งการสังหารครั้งนี้ ด้วยเพราะเชื่อว่าด้วยพลังลมปราณของขุนนางวิญญาณระดับที่25 ย่อมไม่ตกเป็นรองอสูรราชสีห์สัตตะโลหิตสีครามที่เป็นเพียงสัตว์อสูรระดับนภาขั้นกลาง เพราะก่อนหน้ามันก็ได้รับบาดเจ็บไปไม่น้อย

ลู่ซีใช้จังหวะนี้เคลื่อนไหวด้วยเคล็ดวิชาย่างก้าวทะยานหมื่นลี้เบี่ยงตัวหลบการโจมตีดังกล่าว ก่อนที่จะส่งพุ่งทะยานลักลอบเข้าฟาดช่วงลำคอจากทางด้านหลังทันที การโจมตีทีเผลอนี้ส่งผลให้ร่างใหญ่โตของมันกระแทกพื้นไปไกล แต่นั่นยังคงไม่อาจจะหยุดยั้งมันได้ เมื่อตั้งตัวได้และเร่งเร้าความเร็วถึงขีดสุด มันก็พุ่งกระโจนเข้าโจมตีลู่ซีอีกครั้ง

โฮก!

ตู้ม!

     หลังจากที่ลู่ซีได้ดึงความสนใจสัตว์อสูรราชสีห์สัตตะโลหิตสีครามให้เข้าโจมตีตัวเองแล้ว ทางฝั่งของหนิงอ้ายได้ตั้งท่ารับมือด้วยความไม่ประมาท เนตรแห่งสวรรค์ทำให้รู้ได้ว่าสัตว์อสูรที่อยู่ตรงหน้านเป็นอส๔รนภาขั้นกลางที่อีกเพียงก้าวเดียวก็จะเลื่อนขั้นเป็นขั้นสูงแล้ว

ด้วยพลังลมปราณขุนนางวิญญาณระดับที่29 ของหนิงอ้ายในตอนนี้ถือได้ว่าเป็นผู้ฝึกตนขุนนางวิญญาณขั้นสูงคนหนึ่ง จึงไม่เกิดความเสียเปรียบใดกับอสูรราชสีห์สัตตะโลหิตสีครามที่มีพลังเทียบเท่าระดับขุนนางวิญญาณขั้นสูงเช่นเดียวกัน ในช่วงเวลาที่สำคัญนี้ แม้ว่าบรรยากาศจะเต็มไปด้วยกลิ่นอายสังหารอันเข้มข้นของสัตว์อสูรตรงหน้า แต่หนิงอ้ายยังจ้องมองอีกฝ่ายไร้ซึ่งความหวั่นไหว และมองดูการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายด้วยความสนใจ

โฮก!

ฟิ้ว!

            อสูรราชสีห์สัตตะโลหิตสีครามไม่รอช้าพุ่งเข้าโจมตีหนิงอ้ายด้วยความเร็ว แน่นอนว่าทุกการคลื่อนไหวทุกสรรพสิ่งในรัศมีสองลี้ล้วนตกอยู่ในการรับรู้ของหนิงอ้ายทั้งสิ้น เด็กหนุ่มสามารถหลบหลีกได้อย่างเชี่ยวชาญพร้อมกับส่งการโจมตีทางร่างกายกลับไปไม่น้อย เนตรแห่งสวรรค์ถูกเรียกใช้ออกมาด้วยความรวดเร็วด้วยความแข็งแกร่งของจิตวิญญาณ

ดวงตาสีฟ้าดุจอัญมณีในยามปกติได้แปรเปลี่ยนเป็นสีทองไปชั่ววูบ ก่อนที่จะหยุดการเคลื่อนไหวของอสูรราชสีห์สัตตะโลหิตให้สูญเสียจังหวะ เพราะในตอนนี้เนตรแห่งสวรรค์ของเขาสามารถหยุดการเคลื่อนไหวหรือสิ่งมีชีวิตหรือไร้ชีวิตได้ หากว่าสิ่งนั้นมีพลังจิตที่อ่อนด้อยไปมากกว่าตน ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นนี้จึงไม่ใช่เรื่องยากเลยแม้เพียงนิด

      เพียงเสี้ยววินาทีสั้น ๆ หนิงอ้ายสามารถช่วงชิงความได้เปรียบนี้มาอย่างง่ายดาย อาวุธลับเข็มเงินไร้เงาจำนวนทั้งหมดเก้าเล่มได้ถูกพลังลมปราณของหนิงอ้ายควบคุมให้เคลื่อนไหวไปทั่วด้วยความรวดเร็ว ก่อนจะถูกบัญชาการพุ่งเข้าโจมตีสัตว์อสูรตรงหน้าโดยไร้ซึ่งความปราณีโดยไม่ลืมแฝงปราณธาตุน้ำที่มีพิษไปด้วย เข็มเงินพิษทั้งเก้าได้พุ่งเข้าตรงจุดชีพจรสำคัญด้วยความแม่นยำก่อนจะทะลุร่างที่ถูกปกคลุมด้วยขนที่แข็งแรงทนทานไปได้อย่างง่ายดาย เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นแสดงให้เห็นถึงความเจ็บปวดที่ได้รับถึงขีดสุดจะพรรณณา

       อสูรราชสีห์สัตตะโลหิตสีครามล้มตัวนอนดิ้นกับพื้นแต่ยังไม่ตายในทันที เพราะหนิงอ้ายใช้ปริมาณของพิษไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ดวงตาสีแดงฉานของมันมองไปยังเด็กหนุ่มด้วยความโกรธเกรี้ยวที่อีกฝ่ายเป็นเพียงผู้ฝึกตนตัวน้อยแต่กลับสามารถทำให้มันอยู่ในสภาพเช่นนี้ได้

     หนิงอ้ายไม่รู้สึกเห็นใจหรือสงสารเลยแม้แต่น้อย ในโลกยุทธภพทุกคนต่างล้วนทราบกันดีอยู่แล้วถึงกฎเกณฑ์ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ดังนั้นหนิงอ้ายจึงใช้โอกาสนี้ฟาดเข้าซ้ำตรงไปส่วนหัวของสัตว์อสูรจนในที่สุดก็แน่นิ่งไร้ซึ่งลมหายใจไปในที่สุด เหนือร่างไร้วิญญาณของอสูรราชสีห์สัตตะโลหิตสีครามไร้ซึ่งวงแหวนวิญญาณปรากฎ นั่นหมายความว่าแม้สัตว์อสูรตัวนี้จะถึงระดับนภาขั้นกลางแล้วก็จริง แต่ไม่อาจมีความพิเศษจนสามารถมีวงแหวนวิญญาณได้ นี่เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่หนิงอ้ายเคยได้ศึกษาเรียนรู้ในก่อนหน้า

         เพราะใช้ว่าการสังหารสัตว์อสูรทุกครั้งจะสามารถพบเจอวงแหวนวิญญาณได้ แต่ถึงอย่างไรแล้วก็สามารถเก็บเกี่ยวผลประโยชน์อื่นเพิ่มเติมได้ เพราะร่างกายของสัตว์อสูรล้วนใช้ประโยชน์ได้ทุกส่วน เมื่อเห็นว่าสัตว์อสูรตรงหน้าไร้ซึ่งกระดูกวิญญาณแล้ว หนิงอ้ายจึงเก็บซากร่างดังกล่าวไว้ในแหวนมิติของตนเนื่องจากสามารถนำไปให้เจียวซิ่นภายหลัง

            จากนั้นไม่ลืมเรียกเก็บเข็มเงินทั้งเก้าของตนที่พุ่งเข้าปักต้นไม้ด้านหลัง ก่อนที่จะใช้พลังวิญญาณสลายพิษที่แฝงอยู่ก่อนจะเก็บไว้ในช่องลับของตน ก่อนที่หนิงอ้ายจะกลับไปรวมตัวกับหวังฮุ่ยโดยไร้ซึ่งรอยบาดแผลใดทั้งสิ้น

         เห็นได้ว่าในเวลาไล่เลี่ยกันลู่ซีก็สามารถจัดการอสูรราชสีห์สัตตะโลหิตสีครามได้ในที่สุด แต่นั่นก็แลกมาด้วยบาดแผลตามตัวเล็กน้อยเพราะลู่ซีถึงกับต้องเรียกใช้กระบี่ออกมาเลยทีเดียวในการสังหาร ท้ายที่สุดก็เป็นลู่ซีที่เป็นฝ่ายชนะในครั้งนี้ ร่างไร้วิญญาณที่นอนแน่นิ่งได้ปรากฎเป็นกระดูกวิญญาณสีเขียวที่บ่งบอกได้ถึงอายุของกระดูกวิญญาณสองพันปี

กระดูกวิญญาณเป็นสิ่งที่จำเป็นไม่น้อยที่เป็นส่วนสำคัญในการเลื่อนระดับเขตขั้นต่อไปสำหรับผู้ฝึกตน แต่ถึงอย่างไรกระดูกวิญญาณบางชิ้นก็ไม่เหมาะสมที่จะดูดซับประสานเข้ากับร่างกาย มีเพียงกระดูกวิญาณที่มีความเข้ากันได้สูงกับวิญญาณยุทธ์ของผู้ฝึกตนแต่ละราชทินนามเท่านั้นที่จะสามารถดูดซับเพื่อให้ได้มาถึงทักษะความสามารถที่เพิ่มขึ้นในที่สุด

ความแข็งแกร่งของกระดูกวิญญาณขึ้นอยู่กับจำนวนปีที่สัตว์อสูรได้ฝึกฝนมา ยิ่งกระดูกวิญญาณมีความล้ำค่าเท่าไหร่ ทักษะวิญญาณที่ผู้ฝึกตนได้มาจะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น

กระดูกวิญญาณสีเขียวที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าย่อมเกิดจากสัตว์อสูรที่มีอายุไม่เกินสองพันปีเป็นแน่

“น่าเสียดายที่สัตว์อสูรที่คุณชายได้ไปไม่มีกระดูกวิญญาณนะขอรับ...” หวังฮุ่ยเอ่ยขึ้น

“แต่นับว่าการลงแรงครั้งนี้ไม่ไร้ประโยชน์ เพราะกระดูกวิญญาณยังปรากฏเหนือร่างสัตว์อสูรที่ลู่ซีสังหารนะขอรับ…” หนิงอ้ายตอบกลับไป

“คุณชายได้รับบาดเจ็บตรงที่ใดบ้างหรือไม่?” ลู่ซีที่เก็บกระดูกวิญญาณพร้อมกับร่างของสัตว์อสูรแล้ว จึงเดินเข้ามารวมกลุ่มพร้อมกับถามหนิงอ้ายไปด้วยความเป็นห่วง

“เจ้าไม่ห่วงข้าหรอก ท่านลุงฮุ่ยมีโอสถรักษามาด้วยหรือไม่ขอรับ??” หนิงอ้ายตอบกลับลู่ซีไปพร้อมกับหันไปถามหวังฮุ่ย ก่อนที่อีกฝ่ายจะมอบโอสถให้กับลู่ซีทันที

"ลู่ซีเจ้ารีบกินโอสถรักษานี้เสีย การต่อสู้เมื่อครู่รวมไปถึงกลิ่นคาวเลือดของสัตว์อสูรนภาเช่นนี้อาจจะเรียกสัตว์อสูรระดับสูงมาที่ได้ เจ้ารีบเก็บกระดูกวิญญาณนี้เสีย แล้วค่อยหาเวลาดูดซับประสานเข้ากับร่างกายอีกครั้ง" หวังฮุ่ยเอ่ยแนะนำขึ้น

หลังจากที่ทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว คณะเดินทางของหนิงอ้ายทั้งสี่คนจึงพุ่งทะยานออกไปจากบริเวณนี้ทันที ก่อนที่ผ่านไปหนึ่งชั่วยามจึงเลือกพักตรงใต้ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ติดลำธาร เพื่อให้ลู่ซีได้จัดการกับกระดูกวิญญาณที่ได้มาเสียที

"กระดูกวิญญาณของราชสีห์สัตตะโลหิตสีครามที่ลู่ซีได้มานั้นมีอายุราว ๆ เกือบสองพันปี และเป็นสัตว์อสูรสังกัดปราณธาตุลมที่แข็งแกร่งอีกเผ่าพันธ์หนึ่ง ไม่รู้ว่าเมื่อประสานเข้ากับร่างกายแล้วจะเกิดเป็นทักษะวิญญาณแบบใด?" หวังฮุ่ยนั่งคุยกับหนิงอ้าย โดยที่ไม่ไกลไปนั้นลู่ซีกำลังจัดการกับกระดูกวิญญาณ

"หากได้รับทักษะการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วคงจะดีไม่น้อยนะขอรับ..." หนิงอ้ายตอบกลับไป ก่อนที่จะพูดคุยในเรื่องอื่น

เป็นเวลาเกือบสองชั่วยามที่ลู่ซีใช้ไปกับการดูดซับประสานกระดูกวิญญาณอายุสองพันปีนี้เข้ากับร่างกายของตน ทันใดนั้นกระดูกวิญญาณสีเขียวได้ปรากฏขึ้นตรงด้านหลังของลู่ซี เป็นดั่งสัญลักษณ์ให้รับรู้ได้ว่าในตอนนี้เขาเป็นราชทินนามขุนนางวิญญาณ ที่มีกระดูกวิญญาณวงแรกอายุสองพันปีนั่นเอง

"สำเร็จแล้ว" หวังฮุ่ยเอ่ยขึ้นเบา ๆ ด้วยความโล่งใจ

"ขอบคุณทุกท่านในที่นี้ขอรับ..." ลู่ซีลืมตาขึ้นพร้อมกับประสานมือคำนับขอบคุณทุกคน หลังจากที่เขาได้ดูดซับกระดูกวิญญาณนี้ไปรู้สึกว่าร่างกายนี้แข็งแรงเป็นอย่างมาก

"เจ้าได้ทักษะวิญญาณใดมาอย่างนั้นรึ?" หวังฮุ่ยถามกลับเด็กหนุ่มไป

ลู่ซีไม่ได้ตอบกลับคำถามนี้ ก่อนที่เขาจะแสดงให้เห็นถึงสิ่งที่ได้รับมาเมื่อครู่ กระดูกสีเขียวเรืองแสงเป็นประกายตรงด้านหลัง นับว่าเป็นภาพที่งดงามยิ่ง

"ทักษะวิญญาณที่หนึ่งของข้ามีนามว่า มหาวังวนราชสีห์คลั่ง ความสามารถคือทักษะวิญญาณนี้จะเพิ่มความรวดเร็วในการเคลื่อนไหวยามใช้ทักษะนี้สองสามเท่า อีกทั้งยังส่งพายุกระบี่นับสิบเล่มเข้าโจมตีโดยพร้อมกันได้"

"ดูเหมือนว่าทักษะวิญญาณนี้ได้เสริมความรุนแรงในการโจมตีของเจ้าด้วยใช่หรือไม่?"

"เป็นเช่นนั้นขอรับผู้อาวุโส..." ลู่ซีตอบกลับไป

"เรายังเหลือเวลาอีกหนึ่งวันในการเสาะหากระดูกวิญญาณให้กับคุณชาย เนื่องจากวันมะรืนนี้จะเป็นวันครบรอบสวมกวานแล้ว อีกหนึ่งชั่วยามพวกเราจะเดินทางต่อในทันที!!" หวังฮุ่ยเอ่ยย้ำอีกครั้ง ทุกคนต่างพยักหน้าเห็นด้วยในความคิดนี้ก่อนที่จะแยกย้ายกันนั่งดูดซับปราณฟ้าดินเพื่อเตรียมความพร้อมให้ได้มากที่สุด...

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Related chapters

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่​14 อสูรราชินีแมงป่องแปดขามัจจุราช

    การเสาะหากระดูกวิญญาณได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้งในช่วงบ่ายของวันนี้ คณะเดินทางของหนิงอ้ายทั้งสี่คนต่างเดินทางกันไปเรื่อย ๆ ไม่รีบเร่ง แม้ว่าระหว่างทางจะพบเจอสัตว์อสูรจำนวนไม่น้อย แต่เพราะกลิ่นอายของผู้ฝึกตนระดับเทวะขั้นสูงที่หวังฮุ่ยปลดปล่อยออกมาในระยะสองลี้ย่อมไม่ต่างไปจากคำเตือนให้เหล่าสัตว์อสูรระดับต่ำจงหลบหลีกไปเสีย เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วจึงถือว่าการเสาะหาสัตว์อสูรที่เหมาะสมจึงเป็นไปอย่างราบรื่นยิ่งก่อนหน้านี้หนิงอ้ายได้ประสานร่างกายเข้ากับกระดูกวิญญาณล้านปีของอสรพิษเหมันต์บรรพกาล นอกจากกระดูกวิญญาณชิ้นนี้จะแปรเปลี่ยนเป็นทักษะวิญญาณยุทธ์ที่สามให้แก่เขาแล้ว ยังคงมีเงื่อนไขสำคัญคือการเสาะหากระดูกวิญญาณจากสัตว์อสูรสังกัดปราณธาตุพิษดูดซับประสานเข้ากับร่างกายเพื่อให้กระดูกวิญญาณชิ้นแรกนี้มีความสมบูรณ์พร้อมด้วยทักษะตามที่ควรจะเป็นหนิงอ้ายตั้งใจดูดซับกระดูกวิญญาณให้กับวิญญาณยุทธ์ที่สองอันเป็นปราณธาตุน้ำนี้เสียก่อน สำหรับวิญญาณยุทธ์ปราณธาตุไฟรวมไปถึงวิญญาณยุทธ์ที่สามเขาไม่จำเป็นต้องสังหารสัตว์อสูรเป็นจำนวนมากเพื่อเติมเต็มให้กระดูกวิญญาณของทั้งสามวิญญาณยุทธ์ในตอนนี้ เพราะนอกจากกระดูกวิญญาณล้าน

    Last Updated : 2025-02-07
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่​15 แขกที่ไม่ได้รับเชิญ

    หนิงอ้ายหลับตาลงพร้อมกับกำหนดลมหายใจเข้าออก พลังลมปราณฟ้าดินอันบริสุทธิ์โดยรอบที่ถูกชักนำโดยจี้หยกโลหิตส่งผลให้มวลลมปราณบริเวณนี้ต่างถูกชักนำเข้าตามจุดชีพจรไปทั่วทั้งร่างกายตามสุดยอดเคล็ดวิถี ลมปราณอันอบอุ่นวิ่งวนเข้าสู่จุดใจกลางตันเถียรไม่จบสิ้น พลังลมปราณในร่างกายที่ผ่านการเคี่ยวกรำนับสิบกว่ารอบต่างถูกอัดแน่นเป็นรากฐานบ่มเพาะที่แข็งแกร่ง วันเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนผันไปเรื่อย ๆ วันนี้ถือได้ว่าเป็นวันครบรอบอายุสิบห้าปีของจางหนิงอ้าย แน่นอนว่าทางฝั่งของนทีก็นับว่าเขาเองได้อาศัยอยู่ในร่างนี้เป็นเวลาหนึ่งปีแล้วเช่นกันหนิงอ้ายใช้เวลาไม่นานกับการจัดการตัวเอง วันนี้เขาเลือกใส่เสื้อตัวในสีขาวล้วนและเสื้อตัวนอกเป็นสีเขียวอ่อนที่ปักด้วยลวดลายใบไผ่สีเขียวมรกต เมื่อไปถึงบริเวณห้องโถงรับรองที่ตอนนี้ถูกเปลี่ยนให้เป็นงานเลี้ยงเล็ก ๆ มีท่านแม่เยว่ซิน ท่านลุงหวังฮุ่ย ท่านลุงจางปิน ท่านน้าหรันหรูที่นั่งรออยู่ แม้จะไร้เงาบิดาสารเลวในงานเลี้ยงดังกล่าวนี้ เเต่หนิงอ้ายไม่สนใจเลยสักนิดเพราะทุกคนในที่นี้ล้วนเป็นผู้ที่เขาสนิทใจทั้งสิ้น''หนิงเอ๋อร์ปีนี้เจ้าอายุครบสิบห้าปีแล้ว ตามกฎของตระกูลจางที่ปฏิบัติสืบทอดก

    Last Updated : 2025-02-07
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่​16 โชคชะตา ฟ้าลิขิต

    กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วทั้งห้อง ร่างไร้วิญญาณที่ถูกชโลมด้วยโลหิตสีแดงฉานมากมายชวนให้รู้สึกคลื่นเหียนอยู่ไม่น้อยแก่ผู้พบเห็น แต่ด้วยทุกคนในที่นี้ต่างโลดแล่นอยู่ในเส้นทางของผู้ฝึกตนเป็นเวลาหลายปี ดังนั้นย่อมเคยพบเจอเหตุการณ์ฆ่าฟันเช่นนี้ทั้งสิ้น ที่น่าแปลกใจคือหนิงอ้ายที่เป็นผู้ลงมือกระทำนั้นกลับไร้ความตกใจราวกับว่านี่เป็นสิ่งที่คุ้นชินเสียอย่างนั้น''นักฆ่าเหล่านี้แม้จะเป็นร่างไร้วิญญาณไปแล้วก็จริง แต่อย่างไรขึ้นชื่อว่าผู้ฝึกตนย่อมมีพลังลมปราณไหลเวียนอยู่ในจุดชีพจรทั่วทั้งร่างกายที่ไม่แตกต่างไปจากสัตว์อสูร หากปล่อยทิ้งเอาไว้เช่นนี้คงเสียเปล่าเป็นแน่ เช่นนั้นข้าจะนำร่างไร้วิญญาณของนักฆ่าเหล่านี้ให้กับเจียวซิ่นขอรับ...''แม้ว่าสิ่งที่หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นมาจะชวนให้ตกตะลึงในความรู้สึก เพราะการที่สัตว์อสูรในพันธะสามารถดูดซับลมปราณจากร่างไร้วิญญาณของสัตว์อสูรนั้นไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน แล้วยิ่งกับร่างไร้วิญญาณของผู้ฝึกตนเช่นนี้ย่อมไม่เคยมีผู้ใดกระทำทั้งสิ้น แต่ถึงอย่างไรคำกล่าวของหนิงอ้ายก็ไม่มีผิดถูกเช่นกันหวังฮุ่ยได้สั่งการองครักษ์ทั้งสามให้แยกย้ายกันไปเก็บกวาดร่างไร้วิญญาณของนักฆ่าสังหารที

    Last Updated : 2025-02-07
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่​17 หย่า

    ทางฝั่งเยว่ซินหลังจากที่มีนักฆ่าเข้ามาลอบสังหารบุตรชายของนางในช่วงกลางคืนที่ผ่านมา โชคดีที่ไม่เกิดเหตุการณ์ความสูญเสียดังกล่าวขึ้น ที่น่าแปลกใจคือหนังสือจ้างวานฆ่านี้ได้ชี้ชัดว่าเป็นฝีมือของหวงลู่เอินหรือฮูหยินรองคนรักของจางเลี่ยงหวง เยว่ซินนั้นไม่มีเรื่องราวข้องเกี่ยวกับอีกฝ่ายเท่าไหร่นัก แต่หากว่าแรงจูงใจของการกระทำนี้คือนางต้องการผลักดันบุตรชายของนางขึ้นเป็นผู้สืบทอดของตระกูลแทนจางหนิงอ้ายผู้เป็นคุณชายใหญ่ของตระกูลจางสายหลักแล้วย่อมเป็นไปได้เช่นกันทั้งสิ้นแต่แล้วอย่างไรเล่า? จางเลี่ยงหวงสามีของนางก็คงไม่เชื่อต่อหลักฐานที่มีอยู่และคงเข้าข้างคนรักของตนเฉกเช่นทุกครั้ง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หนิงอ้ายถูกรังแกและโดนทำร้าย ต่อให้นางมีหลักฐานเพียงใดสามีของนางไม่เคยลงโทษหรือเอาผิดเลยซักครั้ง เยว่ซินหยิบสมุดบันทึกเล่มเก่าของตนที่อยู่ในช่องลับบนหัวเตียงขึ้นมาพร้อมกับเปิดอ่านอีกครั้งพลันย้อนคิดไปถึงอดีตเมื่อครั้งก่อนที่นางเข้ามาเป็นฮูหยินเอกของตระกูลชื่อเสียงของจางหนิงอ้ายบุตรชายของนาง ผู้คนทั้งที่อยู่ในเหตุการณ์ในพิธีปลุกพลังวิญญาณเมื่อเจ็ดปีก่อนต่างมีการร่ำลือไปอย่างเสียหาย บ้างว่าคุณชายใหญ่ห

    Last Updated : 2025-02-07
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่​18 สิ้นสุดกันเพียงเท่านี้

    ด้านหลังของหนิงอ้ายปรากฏเป็นวงแหวนเวทย์สีน้ำเงินเข้มแสดงถึงผู้ฝึกตนปราณธาตุน้ำระดับสาม ในตอนนี้เขากำลังเร่งทำการยกระดับพลังวิญญาณให้ข้ามผ่านขั้นย่อยให้ได้ในเร็ววัน เพราะหากยิ่งมีระดับพลังวิญญาณเพิ่มขึ้นมากเท่าใด เขาก็จะสามารถปกป้องตัวเองและท่านแม่เพิ่มขึ้นได้เท่านั้นสำหรับราชทินนามจักรพรรดิวิญญาณขั้นสามัญกับระยะเวลาเพียงหนึ่งปีเช่นนี้ นับได้ว่าหนิงอ้ายไม่ต่างไปจากอัจฉริยะคงไม่เกินจริงไปนัก ต้องบอกว่าเด็กหนุ่มโชคดีอย่างมากที่ได้ศึกษาเคล็ดวิชาลับตระกูลหวัง จึงทำให้สามารถขยายจุดตันเถียรได้รองรับและขยายเส้นปราณทั่วร่างกายเพิ่มการดูดซับพลังปราณมากกว่าคนอื่นหลายเท่าจึงทำให้เขาสามารถดูดซับพลังปราณฟ้าดินได้โดยตรง ยิ่งได้รับแรงหนุนจากจี้หยกโลหิตแล้วความสามารถในการดูดซับปราณฟ้าดินของหนิงอ้ายจึงไม่ต่างไปจากพยัคฆ์ติดปีกเสียแล้วในตอนนี้บทเวทย์โจมตีมหาบุปผชาติเหมันต์จำแลงลักษณ์!ตู้ม!สภาพอากาศโดยรอบของเขตของบทเวทย์อากาศลดลงโดยฉับพลัน ปรากฎเป็นดอกบัวเหมันต์สีขาวบริสุทธิ์ดอกใหญ่แผ่อายความเย็นจาง ๆ ไปทั่วบริเวณ ตรงด้านบนเห็นเป็นเกล็ดบัวเหมันต์หิมะที่มีไอเย็นลอยตกลงไปทั่วเขตของบทเวทย์ เมื่อตกลงถึงพื

    Last Updated : 2025-02-07
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่​19 ลอบสังหาร

    ตระกูลหวังเป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของแคว้นเต่าดำซึ่งถือได้ว่าเป็นอีกแคว้นใหญ่ที่มีความสำคัญเป็นอย่างมากเนื่องจากตั้งอยู่บริเวณใจกลางของมหาทวีปบูรพา จึงทำให้รอบด้านทั้งสี่ทิศของแคว้นมีอาณาเขตติดกับอีกสามแคว้นใหญ่ที่เหลือ แคว้นเต่าดำมีรูปแบบการปกครองที่ชัดเจนโดยเเบ่งออกเป็นสิบมณฑลใหญ่มีเมืองสาขาหรือเมืองในการปกครองในเเต่ละมณฑลมากกว่าสิบเมืองในการดูเเล ทั้งสิบมณฑลใหญ่อยู่ในการปกครองส่วนกลางของแคว้นเรียกว่ามหานครแคว้นเต่าดำหากกล่าวให้เข้าใจด้วยง่ายคือแคว้นเต่าดำประกอบไปด้วยเมืองน้อยใหญ่นับร้อยเมือง มีหมู่บ้านอย่างมากมายกระจายกันไปทั่วทั้งแคว้น ต้องบอกว่าเเต่ละเมืองหาได้มีความเจริญเทียบเท่ากันไม่ เพราะบางเมืองมีอาณาเขตติดกับแคว้นอื่นมักจะเป็นเมืองที่ขึ้นชื่อเป็นจุดเเลกเปลี่ยนสินค้า หรือบางเมืองยังคงรักษาขนบธรรมเนียมปฏิบัติกันมาอย่างช้านานนับว่าเป็นเสน่ห์ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน เเต่กับสิบมณฑลใหญ่ที่มีการปกครองดูเเลเมืองในรับผิดชอบของตนมักจะมีความเจริญและมีพื้นที่กว้างขวางเป็นอย่างมาก ด้วยเพราะผู้ปกครองมณฑลดังกล่าวมักจะเป็นเหล่าบรรดาผู้มีศักดิ์เป็นอ๋องเป็นเชื้อพระวงศ์นั่นเองคณะเดินทางของหนิงอ้

    Last Updated : 2025-02-07
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่20 ตระกูลหวัง

    ขบวนรถม้าเดินทางยังคงดำเนินไปอย่างไม่รีบร้อน จุดหมายปลายทางคือจวนตระกูลหวังที่ตั้งอยู่ในมหานครแคว้นเต่าดำแห่งนี้ ตลอดเส้นทางเดินรถม้าได้ตัดผ่านหมู่บ้านน้อยใหญ่มากมาย สิ่งหนึ่งที่หนิงอ้ายสังเกตคือยิ่งเข้าใกล้ใจกลางมหานครแคว้นเต่าดำมากเท่าใดความเจริญรุ่งเรืองของบ้านเมืองรวมไปถึงความคึกคักของตลาดเเลกเปลี่ยนสินค้าก็จะเพิ่มขึ้นไปเท่านั้น''ตรงด้านหน้าจะเป็นตลาดเมืองหลวงก่อนถึงจวนตระกูลหวัง หนิงอ้าย ลู่ซี เจ้าทั้งสองจะแวะก่อนหรือไม่?'' เยว่ซินเอ่ยถามเด็กหนุ่มทั้งสอง เพราะหากพ้นเขตตลาดเมืองหลวงนี้ไปอีกเพียงไม่ถึงเค่อก็จะถึงจวนตระกูลหวังเเล้ว''แวะขอรับท่านเเม่ ข้าจะหาซื้อของฝากติดไม้ติดมือให้ท่านตาและท่านยายด้วยขอรับ!'' หนิงอ้ายตอบมารดาไปในทันที ในโลกเดิมของเขาสำหรับการเข้าพบปะผู้อาวุโสที่มีอายุมากกว่า ตามมารยาทที่พึงกระทำแล้วผู้น้อยควรมีของฝากติดมือไปฝากเสมอ เป็นการเเสดงถึงความเคารพให้เกียรตินั่นเองนับว่าผิดจากหนิงอ้ายเคยคิดไว้ไปเสียมาก มหานครแคว้นเต่าดำนี้มีพื้นที่กว้างขวางใหญ่โตเป็นอย่างมาก อาคารบ้านเรือนสองข้างทางดูโอ่อ่าอลังการดูเเล้วเจริญหูเจริญตาเป็นอย่างมาก ถนนหนทางจากทุกมุมเมืองที่

    Last Updated : 2025-02-07
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่21 รูปลักษณ์ที่แท้จริง

    หนิงอ้ายปลดผ้าคลุมที่ปกปิดออกเผยให้เห็นใบหน้างดงามประหนึ่งนางเซียนในเรื่องเล่า สิ่งที่ปรากฏให้เห็นอยู่ตรงหน้าของทุกคนราวกับว่ามีมนต์สะกดบางอย่างที่ทำให้ทุกสิ่งในรอบตัวหยุดนิ่งไปชั่วขณะ ความงดงามเช่นนี้เพียงแค่ได้มองก็ทำให้ผู้คนต่างลุ่มหลงไม่อาจละสายตา ความงามของหนิงอ้ายได้ฉายชัดเหมาะสมไปตามช่วงวัยอายุสิบห้าปีที่ว่ากันว่าเป็นช่วงผันผ่านเข้าสู่การเป็นผู้ใหญ่ หากคิดว่าใบหน้ายามเด็กนั้นฉายแววความงดงามน่าเอ็นดููแล้ว เเต่ในตอนนี้ยิ่งปรากฏเค้าโครงความงดงามกว่าเดิมหลายเท่ายิ่ง ใบหน้ายาวเรียวรูปไข่รับกับคิ้วที่เรียงเส้นโก่งดั่งคันศรสีปีกกาส่งเสริมให้ดวงตากลมโตเปล่งประกายสดใสผิวกายของหนิงอ้ายกระจ่างใสไร้ซึ่งมลทินใดทั้งสิ้น นอกจากนั้นแล้วกลิ่นอายของร่างบางที่แผ่ออกมาให้ความรู้สึกสูงศักดิ์ไม่ธรรมดาสามัญ ดวงตาเรียวงามสีฟ้าราวกับอัญมณีล้ำค่าที่ดึงดูดสายตาแก่ผู้พบเห็นได้โดยง่าย เมื่อพินิจเลื่อนลงมาก็จะพบริมฝีปากที่บางเรียวเป็นรูปกระจับสีชมพูระเรื่อน่าหลงไหล เส้นผมสีขาวเงินที่ถูกปล่อยยาวสยายไปกลางหลังนั่นยิ่งทำให้สัมผัสได้ว่าเป็นความงามที่ไม่มีจริงในโลกใบนี้ทางฝั่งของหวังจิ่งหลงกับเหมยฮวาเมื่อหายตก

    Last Updated : 2025-02-26

Latest chapter

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   ( -จบเล่ม ปฐมบท 3.2- ) บทที่ 174 ความวุ่นวายที่สิ้นสุดลง

    ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 173 สมบัติเทพมารจุติ

    ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 172 การปรากฎตัวของผู้ขายวิญญาณ

    คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 171 ผู้ท้าทายที่กล้าหาญ

    การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 170 กฎเกณฑ์ที่เปลี่ยนแปลงไป

    หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 169 ผู้ผ่านการทดสอบ

    ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 168 เดินทางกลับสำนักศึกษา

    มหาพิภพพิสดารแห่งนี้ประกอบไปด้วยสามพิภพ สี่มหาสมุทร แปดมหาทวีป โดยที่สามพิภพนั้นจะแบ่งเป็นดินแดนพิภพระดับสูง ดินแดนพิภพระดับกลางและพิภพระดับล่าง โดยมีสี่ทะเลมหาสมุทรตั้งอยู่ 4 ทิศล้อมรอบที่เชื่อว่าเป็นที่พักพิงของเทพบรรพกาลสูงสุดทั้งสาม และแปดมหาทวีปที่ได้มีการแบ่งการปกครองตามทิศทั้งแปดของดินแดนพิภพระดับกลาง ด้วยเพราะต่างมีผู้ปกครองดินแดนอันเป็นตัวตนที่ไม่ธรรมดาสามัญทั้งสิ้น ดังนั้นการเดินทางข้ามผ่านแต่ละเขตดินแดนจึงจำเป็นต้องมีเงื่อนไขกฎเกณฑ์ที่แตกต่างกันไปสำหรับการเดินทางข้ามเขตแดนทั้งสามพิภพโดยเฉพาะดินแดนพิภพระดับสูงและดินแดนพิภพระดับกลางนั้น เงื่อนไขสำคัญคือผู้ฝึกตนที่บ่มเพาะพลังปราณในดินแดนพิภพระดับกลาง หากไม่สามารถเลื่อนระดับเป็นราชทินนามอัครพรหมยุทธ์วิญญาณหรือครอบครองพลังวิญญาณในระดับที่101ได้ย่อมไม่อาจก้าวล้ำมายังดินแดนพิภพระดับสูงนี้ได้ด้วยขีดจำกัดของกายเนื้อที่ไม่สามารถรองรับพลังปราณฟ้าดินบริสุทธิ์เข้มข้นที่ไหลเวียนหล่อเลี้ยงทั่วทั้งมหาพิภพ เพราะหากไร้ซึ่งความแข็งแกร่งของสายโลหิตและพลังปราณที่ล้ำลึกที่เพียงพอ ไม่กี่ชั่วลมหายใจร่างกายและจิตวิญญาณย่อมถูกบดขยี้ไปสิ้นแต่ในทางก

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 167 การเลื่อนระดับที่เหนือล้ำ

    ไม่น่าเชื่อว่าเพียงหนึ่งราตรีที่ผ่านพ้น สำนักหมาป่าทมิฬจะถูกฆ่าล้างสำนักจนไม่เหลือแม้แต่ผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว การจู่โจมโดยไม่อาจตั้งตัวนั้นได้ส่งผลให้เหล่าสมาชิกในสำนักต้องสังเวยชีวิตอย่างน่าสลดใจ สิ่งนี้กล่าวว่าได้สร้างความตื่นตะลึงแก่กลุ่มอิทธิพลมืดในยุทธภพอยู่ไม่น้อย แม้ว่าสำนักหมาป่าทมิฬจะเป็นสำนักที่พึ่งก่อตั้งได้ไม่กี่สิบปีแต่ก็มีชื่อเสียงโด่งดังในด้านความโหดเหี้ยมและไร้ความปรานี การล่มสลายของสำนักในครั้งนี้จึงกลายเป็นปริศนาที่ยากจะคาดเดาได้ว่าจะเกิดขึ้นสิ่งที่น่าตื่นตะลึงนั่นคืออดีตผู้ก่อตั้งสำนักนั้นเป็นถึงราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณที่มีรากฐานบ่มเพาะไม่ธรรมดาสามัญรวมไปถึงเจ้าสำนักคนปัจจุบันนั้นก็เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นสูงที่มากไปด้วยความสามารถไม่อ่อนด้อยแม้จะขึ้นชื่อในเรื่องของความวิปริตมากกว่าก็ตาม ไม่นับรวมถึงบรรดาผู้อาวุโสที่ล้วนต่างเป็นราชทินนามระดับสูงที่ไม่อาจดูแคลนได้ทั้งสถานที่ตั้งยังรายล้อมไปด้วยมหาค่ายกลเขตแดนธรรมชาติที่ใช่ว่าจะสามารถบุกฝ่าทะลวงไปได้โดยง่าย ข่าวการกวาดล้างสำนักหมาป่าทมิฬได้แพร่สะพัดออกไปราวกับไฟลามทุ่ง ไม่รู้ว่าทางสำนักได้ไปรับภารกิจหรือได้ล

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 166 ความร่วมมือ

    ท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดและเศษซากร่างไร้วิญญาณของศัตรูที่พ่ายแพ้ หนิงอ้ายเรียกใช้พลังปราณตวัดเอาแหวนมิติและสมบัติวิเศษประจำตัวของผู้ตกตายทั้งหมดย้ายเข้ามาในแหวนมิติของตนอย่างไรสิ่งเหล่านี้ย่อมสามารถทำประโยชน์ได้อยู่ไม่น้อย ในใจเขาไม่นึกรังเกียจเลยเพียงนิด การเข่นฆ่าสังหารแล้วช่วงชิงสิ่งของของผู้ที่ตกตายไปนั้นเป็นสิ่งที่พบเจอได้ทั่วไปในยุทธภพจากนั้นหนิงอ้ายได้ระดมเรียกเปลวเพลิงบริสุทธิ์จากปราณทิวาธาตุเข้าแผดเผาเศษซากชิ้นเนื้อรวมไปถึงจิตวิญญาณของบรรดานักฆ่าเหล่านี้ให้สูญสลายโดยไม่อาจหวนคืนในวัฏจักรสังขารได้อีก จากเศษเสี้ยวความทรงจำที่เขาสัมผัสได้นั้นคนกลุ่มนี้หาใช่เป็นคนดีแต่อย่างใด ตลอดช่วงอายุที่ผ่านมาก็ล้วนแต่กระทำต่ำช้า สังหารผู้บริสุทธิ์มาไม่น้อย เพียงเท่านี้ย่อมไม่อาจชดเชยได้เสียด้วยซ้ำไม่ถึงครึ่งเค่อให้หลัง ห้วงมิติที่ถูกผนึกไว้เมื่อไร้ซึ่งผู้บัญชาการยามนี้ม่านพลังประหลาดดังกล่าวจึงได้ซ่านสลายไปในที่สุด เผยให้เห็นหมู่เมฆาที่ล่องลอยประดับเหนือท้องฟ้า เสียงแมลงน้อยใหญ่ดังขึ้นทั่วทั้งผืนป่าโดยรอบขับขานบรรเลงสอดประสานเป็นท่วงทำนองเสนาะหู แสงไฟเวทย์จากอาคารบ้านเรือน เสียงโหวกเหวกโวยวาย

Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status