Home / แฟนตาซี / บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ / บทที่​11 ความเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดคิด

Share

บทที่​11 ความเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดคิด

เป็นเวลาเกือบหนึ่งปีที่นทีได้ใช้ชีวิตในนามของจางหนิงอ้าย อีกเพียงไม่กี่วันอายุของร่างนี้ก็ใกล้ครบสิบห้าปีแล้ว แต่จางเลี่ยงหวงผู้เป็นบิดากลับไม่สนใจในสิ่งเหล่านี้ราวกับว่าเด็กหนุ่มไม่มีตัวตนในตระกูลเสียอย่างนั้น แต่แล้วอย่างไรเล่า? เพราะตัวของนทีเองก็ไม่ได้ยอมรับอีกฝ่ายในฐานะบิดาของเจ้าของร่างเช่นกัน…

“อีกสามเดือนข้างหน้าจะมีงานประลองที่ทางแคว้นเต่าดำรับเป็นเจ้าภาพในครั้งนี้ จากนั้นอีกเพียงหนึ่งเดือนแต่ละสำนักศึกษาจะเปิดรับศิษย์ใหม่เข้าสังกัด ข้าจึงขออนุญาตจากท่านแม่ในการเข้าร่วมลงประลองครั้งนี้เพื่อลบล้างคำครหาที่ว่าเป็นเพียงสวะของตระกูลซึ่งนั่นหาใช่ความจริงไม่ อีกทั้งข้ายังอยากเข้าทดสอบของสำนักศึกษาด้วยขอรับ!!” หนิงอ้ายบอกกับเยว่ซินถึงความต้องการของตน

“มารดาล้วนตามใจเจ้าทั้งสิ้น เรื่องเข้าสำนักศึกษาเอาไว้เจ้าขอคำแนะนำจากท่านตาดีหรือไม่ ว่าสุดท้ายแล้วจะเลือกเข้าทดสอบสำนักศึกษาใดจึงจะเหมาะสมกับเจ้ามากที่สุด...” เยว่ซินตอบรับคำขอนี้ พร้อมกับลูบหัวของอีกฝ่ายด้วยความรักใคร่

“เจ้าจะเข้าร่วมงานประลองนี้กับข้าด้วยใช่หรือไม่??” หนิงอ้ายลู่ซีขึ้น

“เป็นเช่นนั้นขอรับ...” ลู่ซีที่สามารถตัดผ่านเป็นผู้ฝึกตนราชทินนามขุนนางวิญญาณได้สำเร็จ อีกทั้งยังได้รับการสั่งสอนเพิ่มเติมศาสตร์ต่าง ๆ จากหวังฮุ่ยไปไม่น้อยด้วยหวังว่าเขาจะสามารถเป็นอีกหนึ่งกำลังให้กับหนิงอ้ายได้

"ตอนนี้ข้าจะสามารถควบคุมปราณธาตุน้ำได้มากขึ้นก็จริง เเต่เหตุใดกับปราณสุริยะธาตุจึงไม่สามารถยึดกุมได้เท่าที่ควรกัน?” หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นด้วยความสงสัย

เพราะเขาได้ดูดซับลมปราณฟ้าดินอย่างน้อยวันละหนึ่งชั่วยามเป็นอย่างต่ำ รวมไปถึงการดูดซับผลึกปราณธาตุน้ำและผลึกปราณธาตุไฟที่ได้รับจากตระกูลหวังตลอดระยะเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา จากการกระทำเช่นนี้ย่อมส่งผลให้ปราณธาตุทั้งสองของเขามีความแข็งแกร่งที่เพิ่มมากยิ่งขึ้น แต่เหตุใดกลับไม่เป็นเช่นนั้นกัน

“ที่ผ่านมานายน้อยได้ดูดซับผลึกปราณธาตุน้ำไปเป็นจำนวนมากจึงสามารถใช้ได้อย่างเชี่ยวชาญ สำหรับปราณสุริยะธาตุแม้ระยะเวลาที่เท่ากันจะถูกเติมเต็มด้วยผลึกปราณธาตุไฟไปไม่น้อย แต่ทว่ายังไม่มีความเข้มข้นบริสุทธิ์ที่มากเพียงพอก็เป็นไปได้ ดังนั้นการหล่อเลี้ยงปราณสุริยะธาตุที่ควบคู่ไปกับการดูดซับพลังลมปราณฟ้าดินในการหล่อเลี้ยงจึงไม่อาจพัฒนาได้อย่างรวดเร็วเทียบเท่ากับปราณธาตุน้ำในยามนี้ขอรับ...” หวังฮุ่ยบอกกับหนิงอ้ายถึงความเป็นไปได้เนื่องจากปราณสุริยะธาตุของอีกฝ่ายย่อมมีความลึกล้ำพิเศษเหนือกว่าปราณธาตุทั่วไปหลายเท่า

“ด้วยระดับพลังวิญญาณของเจ้าในตอนนี้ หากอาศัยแรงหนุนจากการดูดซับปราณฟ้าดินในการตัดผ่านไปสู่ระดับขุนนางวิญญาณขั้นย่อยถัดไปเจ้าอาจใช้เวลาหลายเดือน เช่นนั้นกระดูกวิญญาณที่ได้รับจากกล่อมสมบัติก่อนหน้าคงสมควรแก่เวลาแล้วในการประสานเข้ากับร่างกายของเจ้าเสียแล้วกระมัง...” เมื่อคิดอย่างถี่ถ้วนดีแล้วเยว่ซินจึงแนะนำบุตรชายของนางไป

การประสานร่างกายเข้ากับกระดูกวิญญาณจะทำให้ผู้ฝึกตนมีความเเข็งแกร่งขึ้น และหากกระดูกวิญญาณชิ้นนั้นมีพลังลมปราณแฝงเร้นที่มากเพียงพอ ย่อมสามารถส่งผลให้ผู้ที่ทำการประสานเข้ากับร่างกายสามารถเลื่อนระดับตัดผ่านจุดคอขวดหรือเลื่อนในระดับย่อยได้เช่นกัน

“โดยปกติแล้ว กระดูกวิญญาณที่ควรดูดซับประสานเข้ากับร่างกายควรเป็นอย่างไรหรือขอรับ?" หนิงอ้ายถามด้วยความสงสัย

“สำหรับมารดาแล้วกระดูกวิญญาณนับว่าอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญมากเช่นกัน จริงอยู่ที่ว่าผู้ฝึกตนสามารถสลับสับเปลี่ยนกระดูกวิญญาณได้ตามปรารถนา แต่นั่นไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะครอบครองกระดูกวิญญาณที่ส่งเสริมวิญญาณยุทธ์ต้นกำเนิดเพราะอย่างไรแล้วควรมุ่งเน้นกระดูกวิญญาณที่ช่วยให้ร่างกายมีความทนทาน มีความรวดเร็วที่เพิ่มขึ้น หรืออาจเสริมแรงโจมตีก็ได้เช่นกัน..."

“ผู้ฝึกตนสามารถดูดซับกระดูกวิญญาณได้สูงสุดเจ็ดส่วนสำคัญในร่างกาย แต่กับเจ้าที่เป็นผู้มีวิญญาณยุทธ์มากกว่าหนึ่ง ดังนั้นย่อมหมายความว่าร่างกายของเจ้าสามารถดูดซับกระดูกวิญญาณได้มากกว่านั้น..."

“มารดายังไม่แนะนำให้เจ้าประสานกระดูกวิญญาณเข้ากับวิญญาณยุทธ์ปราณสุริยะธาตุในตอนนี้ ไว้รอให้ร่างกายของเจ้าสามารถรองรับกระดูกวิญญาณอายุหมื่นปีได้เสียก่อนก็ยังไม่สาย เข้าใจหรือไม่?"

“ท่านเเม่หมายถึงต้องการให้วิญญาณยุทธ์ปราณสุริยะธาตุของข้าดูดซับประสานเพียงแต่กระดูกวิญญาณอายุหมื่นปีเป็นต้นไปใช่หรือไม่ขอรับ?"

“เจ้าเข้าใจถูกต้องแล้ว..."

“เช่นนั้นในคืนนี้ข้าจะทำการประสานกระดูกวิญญาณที่ได้รับมาเข้ากับวิญญาณยุทธ์ปราณธาตุน้ำนะขอรับ...” สิ่งที่มารดาได้แนะนำหนิงอ้ายล้วนยินดีทำตามทั้งสิ้น เมื่อเขาได้เลือกเข้าสู่เส้นทางการเป็นผู้ฝึกตนแล้ว การเป็นผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งย่อมเป็นใหญ่เหนือทุกสรรพสิ่ง ดังนั้นเขาจึงต้องทำทุกวิถีทางเพื่อเพิ่มระดับพลังวิญญาณให้เพิ่มขึ้นโดยเร็วที่สุด

“หนิงเอ๋อร์ เคล็ดวิชาฝ่ามือตระกูลจางที่เจ้าได้รับไปมารดาว่าเจ้าจงเร่งศึกษาให้สำเร็จเสีย เพราะเจ้าสามารถใช้วิชาฝ่ามือนี้ในงานประลองได้เช่นกัน..." เยว่ซินบอกกับหนิงอ้ายด้วยน้ำเสียงจริงจัง

แม้ว่าบุตรของนางพึ่งจะเข้าสู่วิถีผู้ฝึกตนมาไม่ถึงหนึ่งปี แต่ทว่าพลังวิญญาณกลับก้าวหน้าขึ้นอย่างรวดเร็วอย่างก้าวกระโดด อาจด้วยเพราะเคล็ดวิชาตระกูลหวังอันเลื่องชื่อในการดูดซับลมปราณฟ้าดิน อีกทั้งพื้นฐานที่เจ้าตัวหมั่นศึกษาตำราตั้งแต่เด็กและมีความทรงจำเป็นเลิศจึงไม่ใช่สิ่งที่ต้องกังวลมากนัก

“ขอรับท่านเเม่..." เด็กหนุ่มตอบกลับมารดาของตนไปอย่างเชื่อฟัง

การประสานกระดูกวิญญาณเข้ากับร่างกายไม่ได้เป็นเรื่องยากอย่างที่คิดไว้ หนิงอ้ายได้สอบถามเกี่ยวกับวิธีประสานกระดูกวิญญาณกับผู้อาวุโสหวังฮุ่ย เขาจึงได้รู้ว่าการดูดซับนี้ไม่ต่างไปจากการดูดซับผลึกปราณธาตุไม่มีขั้นตอนซับซ้อนทั้งสิ้น

หนิงอ้ายใช้เวลาเล็กน้อยไปกับการอาบน้ำ เมื่อมีความพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจเเล้วก็ถึงเวลาเสียที หนิงอ้ายบัญชาการลมปราณโดยการชักนำกระดูกวิญญาณชิ้นนี้ออกจากกล่องสมบัติตรงหน้าให้เข้าสู่ระยะดูดซับ โดยไม่ลืมใช้เคล็ดวิชาสยบอัสนีเมฆาเพื่อช่วยไหลเวียนพลังปราณในร่างกายให้เป็นไปตามที่ควรจะเป็นโดยปล่อยให้พลังลมปราณในร่างกายหล่อหลอมกระดูกวิญญาณชิ้นนี้ให้ประสานเข้ากับร่างกายโดยสมบูรณ์

หวังว่าการดูดซับกระดูกวิญญาณในครั้งนี้ ข้าจะสามารถตัดผ่านเลื่อนระดับเป็นผู้ฝึกตนขุนนางวิญญาณได้สำเร็จ…

วูบ!

โดยที่ไม่ทันได้ตั้งตัวหนิงอ้ายก็ถูกดึงไปยังอีกสถานที่เต็มไปด้วยรัศมีแสงสีขาวของหิมะสุดสายตาราวกับไม่มีที่สิ้นสุด กระแสลมอ่อน ๆ วนเวียนพัดหมุนโดยรอบแผ่วเบา ร่องรอยความเย็นยะเยือกล่องลอยไปทั่ว ทำให้อากาศลดลงอย่างเห็นได้ชัด พื้นที่ของรอยแยกได้ค่อย ๆ ขยายใหญ่ขึ้น ดวงตาของหนิงอ้ายได้แปรเปลี่ยนเป็นสีทองสว่าง ภายใต้รัศมี1ลี้ล้วนตกอยู่ในการรับรู้ของเนตรแห่งสวรรค์ของเขาทั้งสิ้น ไม่คาดคิดว่าในพื้นที่พิเศษแห่งนี้กระแสลมปราณฟ้าดินล้วนบริสุทธิ์กว่าที่เขาเคยได้สัมผัสไม่รู้กี่ร้อยพันเท่า

สิ่งที่ปรากฎขึ้นตรงหน้าชวนให้รู้สึกสงสัย นี่คงเป็นจิตวิญญาณของสัตว์อสูรเจ้าของกระดูกวิญญาณที่เขากำลังดูดซับอยู่เป็นแน่ หนิงอ้ายยังคงสามารถควบคุมสติได้อย่างมั่นคงไม่หวั่นไหว เพราะในขณะที่ร่างกายค่อย ๆ หล่อหลอมให้เป็นหนึ่งเดียวกันกับกระดูกวิญญาณนั้น บางครั้งจิตวิญญาณของสัตว์อสูรจะปรากฏขึ้นเพื่อเป็นการทดสอบว่าคนผู้นั้นเหมาะสมที่จะครอบครองกระดูกวิญญาณนี้หรือไม่

'ในที่สุด ข้าก็ได้พบกับลูกหลานของตระกูลหวัง ไม่คิดว่าจะเจอรุ่นเยาว์ที่เปี่ยมไปด้วยความเข้มข้นของสายเลือดตระกูลหวังเช่นนี้ ไม่ธรรมดา ไม่ธรรมดา...’ เสียงปริศนาดังขึ้นเป็นเสียงสะท้อนดังก้องไปทั่ว ก่อนที่จะปรากฏชายหนุ่มวัยกลางคนที่สวมใส่ชุดสีดำทอง ทั่วทั้งร่างกายส่งกลิ่นอายอันไม่ธรรมดาออกมาอย่างปิดไม่มิด ดวงตาสีแดงกล่ำราวกับอสรพิษร้าย เส้นผมสีขาวเงินบริสุทธิ์นั้นพริ้วไหวไปตามแรงลม บุรุษท่านนี้ช่างหล่อเหล่ามากไปด้วยเสน่ห์อันเหลือร้ายโดยแท้จริง

หนิงอ้ายผงะตกใจ ไม่คาดคิดว่าเขาจะเจอกับสิ่งที่เหนือความคาดหมายไปได้เช่นนี้

‘หนิงอ้ายคำนับผู้อาวุโสขอรับ...’ สองมือเรียวงามยังคงประสานยกขึ้นทำความเคารพตามมารยาทของผู้ฝึกตนที่พึงกระทำ

‘นี่คือเสี้ยวดวงจิตสุดท้ายของข้า อสรพิษเหมันต์บรรพกาล สัตว์อสูรระดับบรรพกาลอายุล้านปี ราชันย์แห่งพิษทั้งปวง เจ้าสามารถเรียกว่าผู้อาวุโสซีซวน เฮ้อ!! ไม่คาดคิดว่าผู้ที่ได้ครอบครองกระดูกวิญญาณของข้าจะมีอายุน้อยถึงเพียงนี้...’ ชายวัยกลางคนพยักหน้าตอบ เสียงของเขาที่เอ่ยขึ้นได้ดังไปทั่วทั้งบริเวณสะท้อนไปมายิ่งนัก

‘แต่ช่างเถอะสิ่งที่เกิดขึ้นนี้อาจเป็นโชควาสนาของเจ้าก็เป็นได้...’

'สัตว์อสูรอายุล้านปี??' หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นเบา ๆ

"แล้วท่านต้องการอะไรหรือไม่ขอรับ?"

หนิงอ้ายยืนฟังบุรุษท่านนี้เอ่ยถึงเรื่องราวสิ่งต่าง ๆ มากมาย ทำให้เขาได้รับรู้ถึงความเป็นมาของตระกูลหวังมากยิ่งขึ้น ไม่คิดว่าในครั้งหนึ่งท่านบรรพชนตระกูลหวังจะสามารถครอบครองสัตว์อสูรระดับบรรพกาลอันเป็นตัวตนสูงสุดของสัตว์ทั้งปวง อีกทั้งไม่คาดคิดว่าตัวเขาจะได้ครอบครองกระดูกวิญญาณอายุล้านปีเช่นนี้ได้

‘อนุชนตระกูลหวังเจ้าสัญญากับข้า หากเจ้าได้รับกระดูกวิญญาณนี้ของข้าแล้วจะยอมทำตามคำร้องขอจากข้าหนึ่งประการ...’

‘ไม่ว่าท่านจะปรารถนาสิ่งใด หากว่าไม่เป็นเรื่องที่เลวร้ายและไม่เป็นภัยต่อตระกูลหวัง ต่อให้ใช้เวลาทั้งชีวิตข้าหนิงอ้ายผู้นี้ย่อมจะทำให้สำเร็จขอรับ...’ หนิงอ้ายตอบกลับไปอย่างมั่นคงหนักแน่น

‘ดี ดียิ่งนัก...’

‘ในฐานะผู้สืบทอดเผ่าพันธุ์อสูรอสรพิษเหมันต์บรรพกาล ข้าขอสังเวยกระดูกวิญญาณอายุล้านปีนี้แก่เด็กหนุ่มผู้มีนามว่าหวังหนิงอ้ายด้วยความยินยอมพร้อมใจ หากวันใดที่เขาพร้อมไปด้วยพลังวิญญาณที่คู่ควรแล้วความสามารถทั้งหมดของข้าย่อมล้วนสามารถนำใช้ได้ทั้งสิ้น...’

‘กระดูกวิญญาณนี้จะแปรเปลี่ยนเป็นวิญญาณยุทธ์ที่สามให้แก่เจ้า และด้วยระดับพลังขุนนางวิญญาณในตอนนี้อายุของกระดูกวิญญาณที่เจ้าสามารถดูดซับได้จึงมีอายุได้เพียง2,000ปีเท่านั้น และหากว่าสามารถเลื่อนระดับในขั้นถัดไปอายุของกระดูกวิญญาณแรกนี้ก็จะเพิ่มขึ้นตามขั้นสูงสุดที่ร่างกายเจ้าสามารถรองรับได้ด้วยแรงหนุนจากกระดูกวิญญาณของข้า’

‘เมื่อใดที่เจ้าทะลุถึงเขตขั้นจักรพรรดิวิญาณได้สำเร็จ วิญญาณยุทธ์ที่สามของเจ้าจะปรากฏขึ้นนามของวิญญาณยุทธ์นี้คือ ‘จักรพรรดิหมื่นพิษปลิดวิญญาณ’ ผู้เป็นนายแห่งพิษทั้งปวง...’

‘นี่เป็นสิ่งเล็กน้อยที่ข้าสามารถมอบให้กับเจ้าได้ สำหรับความต้องการเพียงหนึ่งเดียวของข้า เมื่อวิญญาณยุทธ์ที่สามของเจ้าปรากฏขึ้นเจ้าจึงได้รับรู้ได้ในที่สุด...’

"ผู้อาวุโส ข้ายังไม่เข้าใจในบางอย่าง ด้วยเพราะท่านเป็นสัตว์อสูรบรรพกาลอายุล้านปี และท่านต้องผนึกพลังตบะบำเพ็ญเพียรแปรเปลี่ยนเป็นวิญญาณยุทธ์ที่สามของข้า แล้ววิญญาณยุทธ์นี้ข้ายังสามารถดูดซับกระดูกวิญญาณชิ้นอื่นได้อีกหรือไม่ขอรับ?" 

"เจ้าอย่าได้เป็นกังวลไป ข้าได้วางแผนและเตรียมการทุกอย่างที่เหมาะสมแก่เจ้าแล้ว ผนึกที่ข้าได้สรรสร้างขึ้นจะปลดพันธนาการทุกครั้งที่เจ้าเลื่อนขั้นราชทินนามที่สูงขึ้น..."

"แม้ว่ากระดูกวิญญาณชิ้นแรกนี้ของข้าที่เต้าได้ดูดซับไปจะมีอายุล้านปีก็จริง ร่างกายของเจ้าในตอนนี้สามารถรองรับพลังจากกระดูกวิญญาณที่ไม่เกินสี่พันปี หลังจากที่เจ้าทะลุเขตขั้นต่อไปได้กระดูกวิญญาณชิ้นนี้จะแปรเปลี่ยนเป็นอายุแปดพันปีในทันที แน่นอนว่ากระดูกวิญาณชิ้นอื่นหลังจากนี้ที่เจ้าได้ดูดซับก็จะได้รับแรงหนุนเหล่านี้เช่นกัน..."

"ยิ่งเจ้าได้รับการดูดซับกระดูกวิญญาณที่แข็งแกร่งมากขึ้นเท่าใดในวันข้างหน้า ด้วยพลังตบะของข้าที่ถูกผนึกไว้ในร่างกายของเจ้าก็จะสามารถช่วยส่งเสริมให้กระดูกวิญญาณทุกชิ้นที่เจ้าได้ดูดซับไป สามารถพัฒนาไปได้ถึงอายุล้านปีเฉกเช่นเดียวกัน!!"

สิ้นคำกล่าวของชายวัยกลางคนตรงหน้า ได้สร้างความตกตะลึงเป็นอย่างมาก ฟังว่ากระดูกวิญญาณสามารถพัฒนาเพิ่มอายุขึ้นไปตามระดับพลังวิญญาณนับว่าเป็นเรื่องน่ายินดีแล้ว นี่ถึงกับกระดูกวิญญาณทุกชิ้นสามารถพัฒนาไปได้ไกลถึงอายุล้านปี นี่จึงกล่าวว่าเป็นเรื่องที่ไม่อาจมีคำกล่าวใดจะเปรียบเทียบได้

"ในฐานะของกระดูกวิญญาณอายุล้านปี แม้ว่าข้าจะสามารถช่วยพัฒนากระดูกวิญญาณชิ้นอื่นของเจ้าได้ก็จริง แต่อย่างไรแต่ละวิญญาณยุทธ์เจ้ายังคงต้องดูดซับกระดูกวิญญาณ เพื่อที่จะสามารถเรียกใช้ทักษะวิญญาณได้ เข้าใจหรือไม่?"

สิ้นเสียงผู้อาวุโสซีซวนกล่าวจบลง เงาร่างได้สลายไปเป็นดวงแสงสีขาวบริสุทธิ์ก่อนจะพุ่งเข้าส่วนหน้าผากก่อนที่หนิงอ้ายจะหมดสติไปในทันทีกระแสลมปราณฟ้าดินอันบริสุทธิ์จากทุกทิศต่างไหลเวียนเข้าสู่เส้นลมปราณในร่างกายอย่างเห็นได้ชัดก่อนที่จะก่อตัวขึ้นเป็นผนึกสีทองสิบห้าวงแหวนที่เต็มไปด้วยอักขระเวทย์โบราณก่อนที่รูปลักษณ์ภายนอกของหนิงอ้ายจะแปรเปลี่ยนไปในที่สุด

หนิงอ้ายไม่รู้เลยว่าตอนที่เขาหมดสติไป ร่างกายนี้ได้ประสานเข้ากับกระดูกวิญญาณอายุล้านปีนีอย่างไร้ซึ่งอุปสรรคใด นอกจากนั้นแล้วกระดูกวิญญาณชิ้นนี้จะมอบทักษะวิญญาณที่ไม่มีใครเทียบได้อย่างแท้จริง...

ยามเช้าของวันใหม่มาถึงหลังจากตื่นลืมตาเเล้ว หนิงอ้ายได้ล้างหน้าอาบน้ำเป็นปกติโดยที่ไม่ต้องมีลู่ซีมาช่วยในการแต่งตัว ต้องบอกว่าพื้นฐานของตัวหนิงอ้ายไม่ว่าจะเป็นในโลกเดิมหรือในโลกนี้ต่างชอบที่จะทำอะไรด้วยตนเองเสียเป็นส่วนใหญ่ จากนั้นจึงมุ่งตรงไปยังห้องรับรองที่คาดว่าในตอนนี้ทุกคนคงรออยู่ด้านในแล้ว และเป็นไปตามที่คาดการณ์เอาไว้เมื่อทุกคนได้เห็นรูปลักษณ์ของหนิงอ้ายในยามนี้ล้วนต่างตกตะลึงทั้งสิ้น

“ทำไมเส้นผมของคุณชายใหญ่ถึงกลายเป็นสีขาวได้เล่าเมื่อวานยังเป็นสีดำอยู่แท้ ๆ” เสียงของลู่ซีร้องดังขึ้นด้วยความประหลาดใจ

คุณชายใหญ่จางหนิงอ้ายนั้นจัดได้ว่าเป็นผู้ที่มีหน้าตางดงามล่มเมืองรูปร่างบอบบางน่าทะนุถนอมคนหนึ่ง หากกล่าวว่าความงามนี้เป็นที่สองแล้วทั่วทั้งแคว้นคงไม่มีใครกล้ายกตนเป็นที่หนึ่ง แม้จะมีข่าวลือว่าอัปลักษณ์เพียงใดแต่หาใช่สำคัญไม่เพราะไม่ใช่ความจริงแม้แต่น้อย หากก่อนหน้าคิดว่าภาพลักษณ์ก่อนหน้านี้ทั้งงดงามและสูงส่งแล้ว ในตอนนี้เส้นผมของเขาได้แปรเปลี่ยนเป็นสีขาวเงินเปล่งประกายงดงามหยอกล้อกับแสงของอาทิตย์ ผิวพรรณขาวผ่องดุจดั่งหิมะเเรกของฤดูหนาว ดวงตากลมโตสีฟ้าราวกับอัญมณีอันล้ำค่า พวงแก้มสองข้างเป็นสีแดงระเรื่ออย่างคนสุขภาพดี ริมฝีบางบางกระจับเป็นสีชมพูสวย กลิ่นอายความงามอันสูงศักดิ์ได้แผ่กำจายไปโดยทั่ว หนิงอ้ายในรูปลักษณ์เช่นนี้ช่างดูงดงามและสูงส่งในเวลาเดียวกัน

“หนิงเอ๋อร์!! รูปลักษณ์ของเจ้า??” เยว่ซินเอ่ยขึ้นด้วยความประหลาดใจ

“รูปลักษณ์ของข้าที่เปลี่ยนไปเกิดจากการประสานกระดูกวิญญาณของ ‘อสรพิษเหมันต์บรรพกาล’ ซึ่งเป็นสัตว์อสูรระดับบรรพกาลอายุล้านปี สัตว์อสูรเผ่าพันธ์นี้ได้อาศัยอยู่ในเขตหิมะพิเศษทางแดนเหนือ อีกทั้งยังมีพิษอยู่ในเลือดมากกว่าหนึ่งพันชนิด ผู้ฝึกตนหรือสัตว์อสูรหากได้ถูกพิษของมันเพียงแค่ไม่กี่ลมหายใจ หากว่าไม่ได้รับการถอนพิษร่างกายของผู้ถูกพิษจะถูกย่อยสลายจนไม่เหลือแม้แต่กระดูกขอรับ และด้วยความพิเศษอันโดดเด่นนี้จึงส่งผลให้ปราณธาตุน้ำของข้ายังสามารถแฝงไปด้วยธาตุพิษและร่างกายยังสามารถต้านพิษนานาชนิดได้...”

“กระดูกวิญญาณนี้ได้แปรเปลี่ยนเป็นวิญญาณยุทธ์ที่สามให้แก่ข้า นอกจากนั้นแล้วด้วยแรงหนุนนี้จะส่งผลให้อายุของกระดูกวิญญาณที่ข้าได้ดูดซับจะเพิ่มขึ้นตามขีดจำกัดสูงสุดที่ร่างกายของข้าสามารถรองรับได้ หรือกล่าวได้ว่ากระดูกวิญญาณของทุกวิญญาณยุทธ์ของข้าล้วนสามารถพัฒนาได้ตลอดเวลา เช่นในตอนนี้ข้าเป็นผู้ฝึกตนขุนนางวิญญาณดังนั้นอายุของกระดูกวิญญาณในตอนนี้คือ2,000 ปี และหากข้าเลื่อนระดับในขั้นถัดไปอายุของกระดูกวิญญาณแรกนี้ก็จะเพิ่มขึ้นเป็น4,000 ปีหรือ8,000ตามลำดับพลังวิญญาณ...” เมื่อหนิงอ้ายพูดจบทุกคนในที่นี้ต่างตื่นตะลึงเป็นอย่างมาก

“กระดูกวิญญาณที่แปรเปลี่ยนเป็นวิญญาณยุทธ์และสามารถพัฒนาอายุของกระดูกวิญญาณที่ดูดซับไปได้เช่นนี้ ช่างสมกับเป็นของสัตว์อสูรระดับบรรพกาลอายุล้านปียิ่งนัก!!” เยว่ซินเอ่ยขึ้นด้วยความชื่นชม แม้ว่านางพอที่จะคาดเดาได้ว่ากระดูกวิญญาณอายุล้านปีย่อมเป็นประโยชน์เป็นอย่างมากมายมหาศาล แต่นางไม่คาดคิดว่าจะมากถึงเพียงนี้เสียด้วยซ้ำ ด้วยแรงหนุนนี้กระดูกวิญญาณที่ได้ดูดซับไปย่อมพัฒนาได้อย่างไร้ขีดจำกัด

“เป็นเช่นนั้นขอรับท่านแม่...” หนิงอ้ายตอบกลับไป

“แต่ที่มารดาแปลกใจคือ ‘อสรพิษเหมันต์บรรพกาล’ อายุมากกว่าหนึ่งล้านปี หากสังเกตจากตัวกระดูกวิญญาณที่มีสีดำทองและกลิ่นอายความแข็งแกร่งที่แผ่ซ่านออกมา ด้วยระดับพลังวิญญาณของเจ้าในตอนนี้ที่อยู่เพียงระดับขุนนางวิญญาณขั้นสามัญ กระดูกวิญญาณที่เหมาะสมในการประสานกับร่างกายควรมีอายุไม่เกินสองพันปีเท่านั้น แต่เจ้าสามารถประสานกระดูกวิญญาณที่ข้ามระดับเช่นนี้เป็นเรื่องที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน...ตอนนี้เจ้ารู้สึกผิดปกติในที่ใดบ้างหรือไม่??” เย่วซินถามหนิงอ้ายด้วยกังวลว่าบัตรชายของนางจะได้รับผลกระทบที่ไม่คาดคิดก็เป็นไปได้

“ข้ารู้สึกปกติขอรับท่านแม่...” หนิงอ้ายสัมผัสได้ว่าพลังวิญญาณและพลังปราณธาตุน้ำของเขาตอนนี้มันแข็งแกร่งขึ้นมากกว่าเดิมหลายเท่านัก

“มากไปกว่านั้นปราณธาตุน้ำของข้าย่อมสามารถแฝงปราณธาตุพิษได้เช่นกัน จากการประสานกระดูกวิญญาณของ ‘อสรพิษบรรพกาล’ นี้ไปขอรับ...” หนิงอ้ายตอบกลับมารดาไปด้วยความยินดี เพราะเขาเองก็ไม่คิดว่าการประสานร่างกายเข้ากับกระดูกวิญญาณครั้งนี้จะทำให้เขาสามารถปราณธาตุพิษได้เช่นนี้

กระดูกวิญญาณคือส่วนที่อยู่ในบริเวณส่วนศรีษะของสัตว์อสูรที่มีความพิเศษทางสายเลือด สามารถดูดซับประสานกับร่างกายของผู้ฝึกตนเพื่อความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้น สำหรับการประสานกระดูกวิญญาณเข้ากับร่างกายสามารถทำได้ทั้งหมดเจ็ดส่วนดังนี้ ศรีษะ 1 ส่วน ดวงตาซ้าย/ขวา 2 ส่วน เเขนซ้าย/ขวา 2 ส่วน ขาซ้าย/ขวา 2 ส่วน และเชื่อกันว่ายิ่งประสานกระดูกวิญญาณมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งเเข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกตนในระดับเดียวกัน อีกทั้งยังสามารถสลับปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสมไปตามระดับพลังวิญญาณที่เพิ่มขึ้นได้เช่นกัน

“กระดูกวิญญาณนี้แม้จะเปี่ยมไปด้วยอานุภาพที่ไม่ธรรมดาสามัญก็จริง แต่ยังคงต้องดูดซับกระดูกวิญญาณจากสัตว์อสูรปราณธาตุพิษเพื่อเรียกใช้ความสามารถได้อย่างเต็มที่ ข้าต้องขอรบกวนท่านลุงฮุ่ยด้วยนะขอรับ...” หวังฮุ่ยพยักหน้ารับคำจากนายน้อยของตน

สำหรับพิธีสวมกวานในวัยสิบห้าปีของเขาในอีกไม่กี่วันนี้ที่ได้ข้อตกลงว่าจะจัดเป็นงานพิธีเล็ก ๆ ในเรือนเพียงเท่านั้น หนิงอ้ายที่ไม่ชอบความวุ่นวายจึงสนับสนุนความคิดนี้ของมารดาตนอย่างเต็มที่ ทางฝั่งของหวังฮุ่ยเมื่อรู้ว่านายน้อยของตนต้องการวงแหวนวิญญาณที่เหมาะสมที่สุดในการประสานเข้ากับร่างกาย ดังนั้นจึงไม่รอช้าติดต่อไปยังประมุขตระกูลหวังหรือท่านตาของเด็กหนุ่ม เพื่อที่วางแผนในการเข้าป่าอสูรเพื่อตามล่าหากระดูกวิญญาณที่เหมาะสมที่สุด...

Related chapters

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่​12 ออกเดินทางล่าสัตว์อสูร

    เนตรแห่งสวรรค์ของหนิงอ้ายหลังจากได้รับแรงกระตุ้นจากการดูดซับกระดูกวิญญาณของอสรพิษเหมันต์บรรพกาลไป หนิงอ้ายพบว่าความสามารถในการมองเห็นและการรับรู้ของเขาในตอนนี้อยู่เหนือกว่าผู้ฝึกตนในเขตขั้นเดียวกันอย่างชัดเจน รายละเอียดเล็กน้อย ข้อมูลต่าง ๆ รวมไปถึงทุกการเคลื่อนไหวในรัศมีหนึ่งลี้ไม่อาจถูกปกปิดจากสายตาหรือการรับรู้ของเขาได้ คล้ายกับว่าความสามารถทั้งหมดในโลกเดิมของเขาที่เคยใช้ได้จะถูกยกระดับเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว“หนิงเอ๋อร์ เจ้าแน่ใจใช่หรือไม่ที่จะเดินทางไปกับผู้อาวุโสหวังฮุ่ยไปยังเทือกเขาหมื่นอสูรวิญญาณในครั้งนี้?” เยว่ซินถามหนิงอ้ายอีกครั้ง แม้นางจะรู้ดีว่าด้วยระดับขุนนางวิญญาณของเด็กหนุ่มย่อมสามารถเอาตัวรอดได้อย่างไม่ยาก แต่นางยังรู้สึกเป็นกังวลเพราะอีกฝ่ายไม่เคยออกจากเขตพื้นที่เมืองหลวงนี้เสียด้วยซ้ำ“ขอรับท่านแม่ ข้ากับลู่ซีจะติดตามท่านลุงฮุ่ยไปยังเทือกเขาหมื่นอสูรวิญญาณเพื่อฝึกฝนประสบการณ์และเสาะหากระดูกวิญญาณแรกด้วยขอรับ!!” หนิงอ้ายตอบไปด้วยความมั่นใจ“เช่นนั้นแล้วแต่เจ้า รบกวนผู้อาวุโสหวังฮุ่ยดูแลทั้งสองคนด้วยนะเจ้าคะ...” เยว่ซินพูดออกมา“คุณหนูอย่าได้กังวลข้าจะดูแลคุณชายหนิงอ้าย

    Last Updated : 2025-02-07
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่13 ปะทะราชสีห์สัตตะโลหิตสีคราม

    เช้าวันใหม่มาถึงคณะเดินทางของหนิงอ้ายทั้งสี่คนต่างรีบเร่งออกเดินทางกันแต่เช้าตรู่ จุดหมายคือเขตป่าชั้นกลางของเทือกเขาหมื่นอสูรวิญญาณ เนื่องจากบริเวณป่าชั้นนอกจะมีเพียงสัตว์อสูรทั่วไปหรือสัตว์อสูรปฐพีเท่านั้น หากเข้าสู่เขตป่าชั้นกลางเป็นต้นไปจึงจะพบเจอสัตว์อสูรนภาขั้นต่ำหรือขั้นกลางและหากโชคดีมากพออาจได้พบเจอสัตว์อสูรนภาขั้นสูงก็เป็นไปได้เช่นกัน สำหรับสัตว์อสูรมายาขั้นต่ำเป็นต้นไป สัตว์อสูรเหล่านี้จัดได้ว่าเป็นสัตว์อสูรระดับสูงที่มีความนึกคิด อีกทั้งยังเปี่ยมไปด้วยพละกำลังที่แข็งแกร่ง สามารถใช้ปราณธาตุของตนโจมตีผู้บุกรุกในอาณาเขตของตน อาจพบเห็นได้บ้างตามแนวรอยต่อของป่าชั้นกลางติดกับเขตป่าชั้นในกระจัดกระจายกันไปทั่วทั้งพื้นที่แห่งนี้ ระหว่างทางพวกเขาต่างพบเจอกับสัตว์อสูรไปไม่น้อย แต่เพราะยังมีอายุที่ไม่เหมาะสม อีกครั้งความสามารถยังเข้าไม่ได้กับวิญญาณยุทธ์ของพวกเขาทั้งสอง เห็นได้ว่าการเสาะหากระดูกวิญญาณนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด อายุของสัตว์อสูรจะสังเกตได้จากสีของพลังวิญญาณที่แผ่ซ่านออกมา จะเป็นสีเดียวกันกับพลังวิญญาณ แม้จะเป็นเผ่าพันธ์เดียวกันแต่มีอายุต่างก

    Last Updated : 2025-02-07
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่​14 อสูรราชินีแมงป่องแปดขามัจจุราช

    การเสาะหากระดูกวิญญาณได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้งในช่วงบ่ายของวันนี้ คณะเดินทางของหนิงอ้ายทั้งสี่คนต่างเดินทางกันไปเรื่อย ๆ ไม่รีบเร่ง แม้ว่าระหว่างทางจะพบเจอสัตว์อสูรจำนวนไม่น้อย แต่เพราะกลิ่นอายของผู้ฝึกตนระดับเทวะขั้นสูงที่หวังฮุ่ยปลดปล่อยออกมาในระยะสองลี้ย่อมไม่ต่างไปจากคำเตือนให้เหล่าสัตว์อสูรระดับต่ำจงหลบหลีกไปเสีย เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วจึงถือว่าการเสาะหาสัตว์อสูรที่เหมาะสมจึงเป็นไปอย่างราบรื่นยิ่งก่อนหน้านี้หนิงอ้ายได้ประสานร่างกายเข้ากับกระดูกวิญญาณล้านปีของอสรพิษเหมันต์บรรพกาล นอกจากกระดูกวิญญาณชิ้นนี้จะแปรเปลี่ยนเป็นทักษะวิญญาณยุทธ์ที่สามให้แก่เขาแล้ว ยังคงมีเงื่อนไขสำคัญคือการเสาะหากระดูกวิญญาณจากสัตว์อสูรสังกัดปราณธาตุพิษดูดซับประสานเข้ากับร่างกายเพื่อให้กระดูกวิญญาณชิ้นแรกนี้มีความสมบูรณ์พร้อมด้วยทักษะตามที่ควรจะเป็นหนิงอ้ายตั้งใจดูดซับกระดูกวิญญาณให้กับวิญญาณยุทธ์ที่สองอันเป็นปราณธาตุน้ำนี้เสียก่อน สำหรับวิญญาณยุทธ์ปราณธาตุไฟรวมไปถึงวิญญาณยุทธ์ที่สามเขาไม่จำเป็นต้องสังหารสัตว์อสูรเป็นจำนวนมากเพื่อเติมเต็มให้กระดูกวิญญาณของทั้งสามวิญญาณยุทธ์ในตอนนี้ เพราะนอกจากกระดูกวิญญาณล้าน

    Last Updated : 2025-02-07
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่​15 แขกที่ไม่ได้รับเชิญ

    หนิงอ้ายหลับตาลงพร้อมกับกำหนดลมหายใจเข้าออก พลังลมปราณฟ้าดินอันบริสุทธิ์โดยรอบที่ถูกชักนำโดยจี้หยกโลหิตส่งผลให้มวลลมปราณบริเวณนี้ต่างถูกชักนำเข้าตามจุดชีพจรไปทั่วทั้งร่างกายตามสุดยอดเคล็ดวิถี ลมปราณอันอบอุ่นวิ่งวนเข้าสู่จุดใจกลางตันเถียรไม่จบสิ้น พลังลมปราณในร่างกายที่ผ่านการเคี่ยวกรำนับสิบกว่ารอบต่างถูกอัดแน่นเป็นรากฐานบ่มเพาะที่แข็งแกร่ง วันเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนผันไปเรื่อย ๆ วันนี้ถือได้ว่าเป็นวันครบรอบอายุสิบห้าปีของจางหนิงอ้าย แน่นอนว่าทางฝั่งของนทีก็นับว่าเขาเองได้อาศัยอยู่ในร่างนี้เป็นเวลาหนึ่งปีแล้วเช่นกันหนิงอ้ายใช้เวลาไม่นานกับการจัดการตัวเอง วันนี้เขาเลือกใส่เสื้อตัวในสีขาวล้วนและเสื้อตัวนอกเป็นสีเขียวอ่อนที่ปักด้วยลวดลายใบไผ่สีเขียวมรกต เมื่อไปถึงบริเวณห้องโถงรับรองที่ตอนนี้ถูกเปลี่ยนให้เป็นงานเลี้ยงเล็ก ๆ มีท่านแม่เยว่ซิน ท่านลุงหวังฮุ่ย ท่านลุงจางปิน ท่านน้าหรันหรูที่นั่งรออยู่ แม้จะไร้เงาบิดาสารเลวในงานเลี้ยงดังกล่าวนี้ เเต่หนิงอ้ายไม่สนใจเลยสักนิดเพราะทุกคนในที่นี้ล้วนเป็นผู้ที่เขาสนิทใจทั้งสิ้น''หนิงเอ๋อร์ปีนี้เจ้าอายุครบสิบห้าปีแล้ว ตามกฎของตระกูลจางที่ปฏิบัติสืบทอดก

    Last Updated : 2025-02-07
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่​16 โชคชะตา ฟ้าลิขิต

    กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วทั้งห้อง ร่างไร้วิญญาณที่ถูกชโลมด้วยโลหิตสีแดงฉานมากมายชวนให้รู้สึกคลื่นเหียนอยู่ไม่น้อยแก่ผู้พบเห็น แต่ด้วยทุกคนในที่นี้ต่างโลดแล่นอยู่ในเส้นทางของผู้ฝึกตนเป็นเวลาหลายปี ดังนั้นย่อมเคยพบเจอเหตุการณ์ฆ่าฟันเช่นนี้ทั้งสิ้น ที่น่าแปลกใจคือหนิงอ้ายที่เป็นผู้ลงมือกระทำนั้นกลับไร้ความตกใจราวกับว่านี่เป็นสิ่งที่คุ้นชินเสียอย่างนั้น''นักฆ่าเหล่านี้แม้จะเป็นร่างไร้วิญญาณไปแล้วก็จริง แต่อย่างไรขึ้นชื่อว่าผู้ฝึกตนย่อมมีพลังลมปราณไหลเวียนอยู่ในจุดชีพจรทั่วทั้งร่างกายที่ไม่แตกต่างไปจากสัตว์อสูร หากปล่อยทิ้งเอาไว้เช่นนี้คงเสียเปล่าเป็นแน่ เช่นนั้นข้าจะนำร่างไร้วิญญาณของนักฆ่าเหล่านี้ให้กับเจียวซิ่นขอรับ...''แม้ว่าสิ่งที่หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นมาจะชวนให้ตกตะลึงในความรู้สึก เพราะการที่สัตว์อสูรในพันธะสามารถดูดซับลมปราณจากร่างไร้วิญญาณของสัตว์อสูรนั้นไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน แล้วยิ่งกับร่างไร้วิญญาณของผู้ฝึกตนเช่นนี้ย่อมไม่เคยมีผู้ใดกระทำทั้งสิ้น แต่ถึงอย่างไรคำกล่าวของหนิงอ้ายก็ไม่มีผิดถูกเช่นกันหวังฮุ่ยได้สั่งการองครักษ์ทั้งสามให้แยกย้ายกันไปเก็บกวาดร่างไร้วิญญาณของนักฆ่าสังหารที

    Last Updated : 2025-02-07
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่​17 หย่า

    ทางฝั่งเยว่ซินหลังจากที่มีนักฆ่าเข้ามาลอบสังหารบุตรชายของนางในช่วงกลางคืนที่ผ่านมา โชคดีที่ไม่เกิดเหตุการณ์ความสูญเสียดังกล่าวขึ้น ที่น่าแปลกใจคือหนังสือจ้างวานฆ่านี้ได้ชี้ชัดว่าเป็นฝีมือของหวงลู่เอินหรือฮูหยินรองคนรักของจางเลี่ยงหวง เยว่ซินนั้นไม่มีเรื่องราวข้องเกี่ยวกับอีกฝ่ายเท่าไหร่นัก แต่หากว่าแรงจูงใจของการกระทำนี้คือนางต้องการผลักดันบุตรชายของนางขึ้นเป็นผู้สืบทอดของตระกูลแทนจางหนิงอ้ายผู้เป็นคุณชายใหญ่ของตระกูลจางสายหลักแล้วย่อมเป็นไปได้เช่นกันทั้งสิ้นแต่แล้วอย่างไรเล่า? จางเลี่ยงหวงสามีของนางก็คงไม่เชื่อต่อหลักฐานที่มีอยู่และคงเข้าข้างคนรักของตนเฉกเช่นทุกครั้ง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หนิงอ้ายถูกรังแกและโดนทำร้าย ต่อให้นางมีหลักฐานเพียงใดสามีของนางไม่เคยลงโทษหรือเอาผิดเลยซักครั้ง เยว่ซินหยิบสมุดบันทึกเล่มเก่าของตนที่อยู่ในช่องลับบนหัวเตียงขึ้นมาพร้อมกับเปิดอ่านอีกครั้งพลันย้อนคิดไปถึงอดีตเมื่อครั้งก่อนที่นางเข้ามาเป็นฮูหยินเอกของตระกูลชื่อเสียงของจางหนิงอ้ายบุตรชายของนาง ผู้คนทั้งที่อยู่ในเหตุการณ์ในพิธีปลุกพลังวิญญาณเมื่อเจ็ดปีก่อนต่างมีการร่ำลือไปอย่างเสียหาย บ้างว่าคุณชายใหญ่ห

    Last Updated : 2025-02-07
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่​18 สิ้นสุดกันเพียงเท่านี้

    ด้านหลังของหนิงอ้ายปรากฏเป็นวงแหวนเวทย์สีน้ำเงินเข้มแสดงถึงผู้ฝึกตนปราณธาตุน้ำระดับสาม ในตอนนี้เขากำลังเร่งทำการยกระดับพลังวิญญาณให้ข้ามผ่านขั้นย่อยให้ได้ในเร็ววัน เพราะหากยิ่งมีระดับพลังวิญญาณเพิ่มขึ้นมากเท่าใด เขาก็จะสามารถปกป้องตัวเองและท่านแม่เพิ่มขึ้นได้เท่านั้นสำหรับราชทินนามจักรพรรดิวิญญาณขั้นสามัญกับระยะเวลาเพียงหนึ่งปีเช่นนี้ นับได้ว่าหนิงอ้ายไม่ต่างไปจากอัจฉริยะคงไม่เกินจริงไปนัก ต้องบอกว่าเด็กหนุ่มโชคดีอย่างมากที่ได้ศึกษาเคล็ดวิชาลับตระกูลหวัง จึงทำให้สามารถขยายจุดตันเถียรได้รองรับและขยายเส้นปราณทั่วร่างกายเพิ่มการดูดซับพลังปราณมากกว่าคนอื่นหลายเท่าจึงทำให้เขาสามารถดูดซับพลังปราณฟ้าดินได้โดยตรง ยิ่งได้รับแรงหนุนจากจี้หยกโลหิตแล้วความสามารถในการดูดซับปราณฟ้าดินของหนิงอ้ายจึงไม่ต่างไปจากพยัคฆ์ติดปีกเสียแล้วในตอนนี้บทเวทย์โจมตีมหาบุปผชาติเหมันต์จำแลงลักษณ์!ตู้ม!สภาพอากาศโดยรอบของเขตของบทเวทย์อากาศลดลงโดยฉับพลัน ปรากฎเป็นดอกบัวเหมันต์สีขาวบริสุทธิ์ดอกใหญ่แผ่อายความเย็นจาง ๆ ไปทั่วบริเวณ ตรงด้านบนเห็นเป็นเกล็ดบัวเหมันต์หิมะที่มีไอเย็นลอยตกลงไปทั่วเขตของบทเวทย์ เมื่อตกลงถึงพื

    Last Updated : 2025-02-07
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่​19 ลอบสังหาร

    ตระกูลหวังเป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของแคว้นเต่าดำซึ่งถือได้ว่าเป็นอีกแคว้นใหญ่ที่มีความสำคัญเป็นอย่างมากเนื่องจากตั้งอยู่บริเวณใจกลางของมหาทวีปบูรพา จึงทำให้รอบด้านทั้งสี่ทิศของแคว้นมีอาณาเขตติดกับอีกสามแคว้นใหญ่ที่เหลือ แคว้นเต่าดำมีรูปแบบการปกครองที่ชัดเจนโดยเเบ่งออกเป็นสิบมณฑลใหญ่มีเมืองสาขาหรือเมืองในการปกครองในเเต่ละมณฑลมากกว่าสิบเมืองในการดูเเล ทั้งสิบมณฑลใหญ่อยู่ในการปกครองส่วนกลางของแคว้นเรียกว่ามหานครแคว้นเต่าดำหากกล่าวให้เข้าใจด้วยง่ายคือแคว้นเต่าดำประกอบไปด้วยเมืองน้อยใหญ่นับร้อยเมือง มีหมู่บ้านอย่างมากมายกระจายกันไปทั่วทั้งแคว้น ต้องบอกว่าเเต่ละเมืองหาได้มีความเจริญเทียบเท่ากันไม่ เพราะบางเมืองมีอาณาเขตติดกับแคว้นอื่นมักจะเป็นเมืองที่ขึ้นชื่อเป็นจุดเเลกเปลี่ยนสินค้า หรือบางเมืองยังคงรักษาขนบธรรมเนียมปฏิบัติกันมาอย่างช้านานนับว่าเป็นเสน่ห์ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน เเต่กับสิบมณฑลใหญ่ที่มีการปกครองดูเเลเมืองในรับผิดชอบของตนมักจะมีความเจริญและมีพื้นที่กว้างขวางเป็นอย่างมาก ด้วยเพราะผู้ปกครองมณฑลดังกล่าวมักจะเป็นเหล่าบรรดาผู้มีศักดิ์เป็นอ๋องเป็นเชื้อพระวงศ์นั่นเองคณะเดินทางของหนิงอ้

    Last Updated : 2025-02-07

Latest chapter

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่20 ตระกูลหวัง

    ขบวนรถม้าเดินทางยังคงดำเนินไปอย่างไม่รีบร้อน จุดหมายปลายทางคือจวนตระกูลหวังที่ตั้งอยู่ในมหานครแคว้นเต่าดำแห่งนี้ ตลอดเส้นทางเดินรถม้าได้ตัดผ่านหมู่บ้านน้อยใหญ่มากมาย สิ่งหนึ่งที่หนิงอ้ายสังเกตคือยิ่งเข้าใกล้ใจกลางมหานครแคว้นเต่าดำมากเท่าใดความเจริญรุ่งเรืองของบ้านเมืองรวมไปถึงความคึกคักของตลาดเเลกเปลี่ยนสินค้าก็จะเพิ่มขึ้นไปเท่านั้น''ตรงด้านหน้าจะเป็นตลาดเมืองหลวงก่อนถึงจวนตระกูลหวัง หนิงอ้าย ลู่ซี เจ้าทั้งสองจะแวะก่อนหรือไม่?'' เยว่ซินเอ่ยถามเด็กหนุ่มทั้งสอง เพราะหากพ้นเขตตลาดเมืองหลวงนี้ไปอีกเพียงไม่ถึงเค่อก็จะถึงจวนตระกูลหวังเเล้ว''แวะขอรับท่านเเม่ ข้าจะหาซื้อของฝากติดไม้ติดมือให้ท่านตาและท่านยายด้วยขอรับ!'' หนิงอ้ายตอบมารดาไปในทันที ในโลกเดิมของเขาสำหรับการเข้าพบปะผู้อาวุโสที่มีอายุมากกว่า ตามมารยาทที่พึงกระทำแล้วผู้น้อยควรมีของฝากติดมือไปฝากเสมอ เป็นการเเสดงถึงความเคารพให้เกียรตินั่นเองนับว่าผิดจากหนิงอ้ายเคยคิดไว้ไปเสียมาก มหานครแคว้นเต่าดำนี้มีพื้นที่กว้างขวางใหญ่โตเป็นอย่างมาก อาคารบ้านเรือนสองข้างทางดูโอ่อ่าอลังการดูเเล้วเจริญหูเจริญตาเป็นอย่างมาก ถนนหนทางจากทุกมุมเมืองที่

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่​19 ลอบสังหาร

    ตระกูลหวังเป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของแคว้นเต่าดำซึ่งถือได้ว่าเป็นอีกแคว้นใหญ่ที่มีความสำคัญเป็นอย่างมากเนื่องจากตั้งอยู่บริเวณใจกลางของมหาทวีปบูรพา จึงทำให้รอบด้านทั้งสี่ทิศของแคว้นมีอาณาเขตติดกับอีกสามแคว้นใหญ่ที่เหลือ แคว้นเต่าดำมีรูปแบบการปกครองที่ชัดเจนโดยเเบ่งออกเป็นสิบมณฑลใหญ่มีเมืองสาขาหรือเมืองในการปกครองในเเต่ละมณฑลมากกว่าสิบเมืองในการดูเเล ทั้งสิบมณฑลใหญ่อยู่ในการปกครองส่วนกลางของแคว้นเรียกว่ามหานครแคว้นเต่าดำหากกล่าวให้เข้าใจด้วยง่ายคือแคว้นเต่าดำประกอบไปด้วยเมืองน้อยใหญ่นับร้อยเมือง มีหมู่บ้านอย่างมากมายกระจายกันไปทั่วทั้งแคว้น ต้องบอกว่าเเต่ละเมืองหาได้มีความเจริญเทียบเท่ากันไม่ เพราะบางเมืองมีอาณาเขตติดกับแคว้นอื่นมักจะเป็นเมืองที่ขึ้นชื่อเป็นจุดเเลกเปลี่ยนสินค้า หรือบางเมืองยังคงรักษาขนบธรรมเนียมปฏิบัติกันมาอย่างช้านานนับว่าเป็นเสน่ห์ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน เเต่กับสิบมณฑลใหญ่ที่มีการปกครองดูเเลเมืองในรับผิดชอบของตนมักจะมีความเจริญและมีพื้นที่กว้างขวางเป็นอย่างมาก ด้วยเพราะผู้ปกครองมณฑลดังกล่าวมักจะเป็นเหล่าบรรดาผู้มีศักดิ์เป็นอ๋องเป็นเชื้อพระวงศ์นั่นเองคณะเดินทางของหนิงอ้

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่​18 สิ้นสุดกันเพียงเท่านี้

    ด้านหลังของหนิงอ้ายปรากฏเป็นวงแหวนเวทย์สีน้ำเงินเข้มแสดงถึงผู้ฝึกตนปราณธาตุน้ำระดับสาม ในตอนนี้เขากำลังเร่งทำการยกระดับพลังวิญญาณให้ข้ามผ่านขั้นย่อยให้ได้ในเร็ววัน เพราะหากยิ่งมีระดับพลังวิญญาณเพิ่มขึ้นมากเท่าใด เขาก็จะสามารถปกป้องตัวเองและท่านแม่เพิ่มขึ้นได้เท่านั้นสำหรับราชทินนามจักรพรรดิวิญญาณขั้นสามัญกับระยะเวลาเพียงหนึ่งปีเช่นนี้ นับได้ว่าหนิงอ้ายไม่ต่างไปจากอัจฉริยะคงไม่เกินจริงไปนัก ต้องบอกว่าเด็กหนุ่มโชคดีอย่างมากที่ได้ศึกษาเคล็ดวิชาลับตระกูลหวัง จึงทำให้สามารถขยายจุดตันเถียรได้รองรับและขยายเส้นปราณทั่วร่างกายเพิ่มการดูดซับพลังปราณมากกว่าคนอื่นหลายเท่าจึงทำให้เขาสามารถดูดซับพลังปราณฟ้าดินได้โดยตรง ยิ่งได้รับแรงหนุนจากจี้หยกโลหิตแล้วความสามารถในการดูดซับปราณฟ้าดินของหนิงอ้ายจึงไม่ต่างไปจากพยัคฆ์ติดปีกเสียแล้วในตอนนี้บทเวทย์โจมตีมหาบุปผชาติเหมันต์จำแลงลักษณ์!ตู้ม!สภาพอากาศโดยรอบของเขตของบทเวทย์อากาศลดลงโดยฉับพลัน ปรากฎเป็นดอกบัวเหมันต์สีขาวบริสุทธิ์ดอกใหญ่แผ่อายความเย็นจาง ๆ ไปทั่วบริเวณ ตรงด้านบนเห็นเป็นเกล็ดบัวเหมันต์หิมะที่มีไอเย็นลอยตกลงไปทั่วเขตของบทเวทย์ เมื่อตกลงถึงพื

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่​17 หย่า

    ทางฝั่งเยว่ซินหลังจากที่มีนักฆ่าเข้ามาลอบสังหารบุตรชายของนางในช่วงกลางคืนที่ผ่านมา โชคดีที่ไม่เกิดเหตุการณ์ความสูญเสียดังกล่าวขึ้น ที่น่าแปลกใจคือหนังสือจ้างวานฆ่านี้ได้ชี้ชัดว่าเป็นฝีมือของหวงลู่เอินหรือฮูหยินรองคนรักของจางเลี่ยงหวง เยว่ซินนั้นไม่มีเรื่องราวข้องเกี่ยวกับอีกฝ่ายเท่าไหร่นัก แต่หากว่าแรงจูงใจของการกระทำนี้คือนางต้องการผลักดันบุตรชายของนางขึ้นเป็นผู้สืบทอดของตระกูลแทนจางหนิงอ้ายผู้เป็นคุณชายใหญ่ของตระกูลจางสายหลักแล้วย่อมเป็นไปได้เช่นกันทั้งสิ้นแต่แล้วอย่างไรเล่า? จางเลี่ยงหวงสามีของนางก็คงไม่เชื่อต่อหลักฐานที่มีอยู่และคงเข้าข้างคนรักของตนเฉกเช่นทุกครั้ง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หนิงอ้ายถูกรังแกและโดนทำร้าย ต่อให้นางมีหลักฐานเพียงใดสามีของนางไม่เคยลงโทษหรือเอาผิดเลยซักครั้ง เยว่ซินหยิบสมุดบันทึกเล่มเก่าของตนที่อยู่ในช่องลับบนหัวเตียงขึ้นมาพร้อมกับเปิดอ่านอีกครั้งพลันย้อนคิดไปถึงอดีตเมื่อครั้งก่อนที่นางเข้ามาเป็นฮูหยินเอกของตระกูลชื่อเสียงของจางหนิงอ้ายบุตรชายของนาง ผู้คนทั้งที่อยู่ในเหตุการณ์ในพิธีปลุกพลังวิญญาณเมื่อเจ็ดปีก่อนต่างมีการร่ำลือไปอย่างเสียหาย บ้างว่าคุณชายใหญ่ห

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่​16 โชคชะตา ฟ้าลิขิต

    กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วทั้งห้อง ร่างไร้วิญญาณที่ถูกชโลมด้วยโลหิตสีแดงฉานมากมายชวนให้รู้สึกคลื่นเหียนอยู่ไม่น้อยแก่ผู้พบเห็น แต่ด้วยทุกคนในที่นี้ต่างโลดแล่นอยู่ในเส้นทางของผู้ฝึกตนเป็นเวลาหลายปี ดังนั้นย่อมเคยพบเจอเหตุการณ์ฆ่าฟันเช่นนี้ทั้งสิ้น ที่น่าแปลกใจคือหนิงอ้ายที่เป็นผู้ลงมือกระทำนั้นกลับไร้ความตกใจราวกับว่านี่เป็นสิ่งที่คุ้นชินเสียอย่างนั้น''นักฆ่าเหล่านี้แม้จะเป็นร่างไร้วิญญาณไปแล้วก็จริง แต่อย่างไรขึ้นชื่อว่าผู้ฝึกตนย่อมมีพลังลมปราณไหลเวียนอยู่ในจุดชีพจรทั่วทั้งร่างกายที่ไม่แตกต่างไปจากสัตว์อสูร หากปล่อยทิ้งเอาไว้เช่นนี้คงเสียเปล่าเป็นแน่ เช่นนั้นข้าจะนำร่างไร้วิญญาณของนักฆ่าเหล่านี้ให้กับเจียวซิ่นขอรับ...''แม้ว่าสิ่งที่หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นมาจะชวนให้ตกตะลึงในความรู้สึก เพราะการที่สัตว์อสูรในพันธะสามารถดูดซับลมปราณจากร่างไร้วิญญาณของสัตว์อสูรนั้นไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน แล้วยิ่งกับร่างไร้วิญญาณของผู้ฝึกตนเช่นนี้ย่อมไม่เคยมีผู้ใดกระทำทั้งสิ้น แต่ถึงอย่างไรคำกล่าวของหนิงอ้ายก็ไม่มีผิดถูกเช่นกันหวังฮุ่ยได้สั่งการองครักษ์ทั้งสามให้แยกย้ายกันไปเก็บกวาดร่างไร้วิญญาณของนักฆ่าสังหารที

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่​15 แขกที่ไม่ได้รับเชิญ

    หนิงอ้ายหลับตาลงพร้อมกับกำหนดลมหายใจเข้าออก พลังลมปราณฟ้าดินอันบริสุทธิ์โดยรอบที่ถูกชักนำโดยจี้หยกโลหิตส่งผลให้มวลลมปราณบริเวณนี้ต่างถูกชักนำเข้าตามจุดชีพจรไปทั่วทั้งร่างกายตามสุดยอดเคล็ดวิถี ลมปราณอันอบอุ่นวิ่งวนเข้าสู่จุดใจกลางตันเถียรไม่จบสิ้น พลังลมปราณในร่างกายที่ผ่านการเคี่ยวกรำนับสิบกว่ารอบต่างถูกอัดแน่นเป็นรากฐานบ่มเพาะที่แข็งแกร่ง วันเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนผันไปเรื่อย ๆ วันนี้ถือได้ว่าเป็นวันครบรอบอายุสิบห้าปีของจางหนิงอ้าย แน่นอนว่าทางฝั่งของนทีก็นับว่าเขาเองได้อาศัยอยู่ในร่างนี้เป็นเวลาหนึ่งปีแล้วเช่นกันหนิงอ้ายใช้เวลาไม่นานกับการจัดการตัวเอง วันนี้เขาเลือกใส่เสื้อตัวในสีขาวล้วนและเสื้อตัวนอกเป็นสีเขียวอ่อนที่ปักด้วยลวดลายใบไผ่สีเขียวมรกต เมื่อไปถึงบริเวณห้องโถงรับรองที่ตอนนี้ถูกเปลี่ยนให้เป็นงานเลี้ยงเล็ก ๆ มีท่านแม่เยว่ซิน ท่านลุงหวังฮุ่ย ท่านลุงจางปิน ท่านน้าหรันหรูที่นั่งรออยู่ แม้จะไร้เงาบิดาสารเลวในงานเลี้ยงดังกล่าวนี้ เเต่หนิงอ้ายไม่สนใจเลยสักนิดเพราะทุกคนในที่นี้ล้วนเป็นผู้ที่เขาสนิทใจทั้งสิ้น''หนิงเอ๋อร์ปีนี้เจ้าอายุครบสิบห้าปีแล้ว ตามกฎของตระกูลจางที่ปฏิบัติสืบทอดก

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่​14 อสูรราชินีแมงป่องแปดขามัจจุราช

    การเสาะหากระดูกวิญญาณได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้งในช่วงบ่ายของวันนี้ คณะเดินทางของหนิงอ้ายทั้งสี่คนต่างเดินทางกันไปเรื่อย ๆ ไม่รีบเร่ง แม้ว่าระหว่างทางจะพบเจอสัตว์อสูรจำนวนไม่น้อย แต่เพราะกลิ่นอายของผู้ฝึกตนระดับเทวะขั้นสูงที่หวังฮุ่ยปลดปล่อยออกมาในระยะสองลี้ย่อมไม่ต่างไปจากคำเตือนให้เหล่าสัตว์อสูรระดับต่ำจงหลบหลีกไปเสีย เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วจึงถือว่าการเสาะหาสัตว์อสูรที่เหมาะสมจึงเป็นไปอย่างราบรื่นยิ่งก่อนหน้านี้หนิงอ้ายได้ประสานร่างกายเข้ากับกระดูกวิญญาณล้านปีของอสรพิษเหมันต์บรรพกาล นอกจากกระดูกวิญญาณชิ้นนี้จะแปรเปลี่ยนเป็นทักษะวิญญาณยุทธ์ที่สามให้แก่เขาแล้ว ยังคงมีเงื่อนไขสำคัญคือการเสาะหากระดูกวิญญาณจากสัตว์อสูรสังกัดปราณธาตุพิษดูดซับประสานเข้ากับร่างกายเพื่อให้กระดูกวิญญาณชิ้นแรกนี้มีความสมบูรณ์พร้อมด้วยทักษะตามที่ควรจะเป็นหนิงอ้ายตั้งใจดูดซับกระดูกวิญญาณให้กับวิญญาณยุทธ์ที่สองอันเป็นปราณธาตุน้ำนี้เสียก่อน สำหรับวิญญาณยุทธ์ปราณธาตุไฟรวมไปถึงวิญญาณยุทธ์ที่สามเขาไม่จำเป็นต้องสังหารสัตว์อสูรเป็นจำนวนมากเพื่อเติมเต็มให้กระดูกวิญญาณของทั้งสามวิญญาณยุทธ์ในตอนนี้ เพราะนอกจากกระดูกวิญญาณล้าน

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่13 ปะทะราชสีห์สัตตะโลหิตสีคราม

    เช้าวันใหม่มาถึงคณะเดินทางของหนิงอ้ายทั้งสี่คนต่างรีบเร่งออกเดินทางกันแต่เช้าตรู่ จุดหมายคือเขตป่าชั้นกลางของเทือกเขาหมื่นอสูรวิญญาณ เนื่องจากบริเวณป่าชั้นนอกจะมีเพียงสัตว์อสูรทั่วไปหรือสัตว์อสูรปฐพีเท่านั้น หากเข้าสู่เขตป่าชั้นกลางเป็นต้นไปจึงจะพบเจอสัตว์อสูรนภาขั้นต่ำหรือขั้นกลางและหากโชคดีมากพออาจได้พบเจอสัตว์อสูรนภาขั้นสูงก็เป็นไปได้เช่นกัน สำหรับสัตว์อสูรมายาขั้นต่ำเป็นต้นไป สัตว์อสูรเหล่านี้จัดได้ว่าเป็นสัตว์อสูรระดับสูงที่มีความนึกคิด อีกทั้งยังเปี่ยมไปด้วยพละกำลังที่แข็งแกร่ง สามารถใช้ปราณธาตุของตนโจมตีผู้บุกรุกในอาณาเขตของตน อาจพบเห็นได้บ้างตามแนวรอยต่อของป่าชั้นกลางติดกับเขตป่าชั้นในกระจัดกระจายกันไปทั่วทั้งพื้นที่แห่งนี้ ระหว่างทางพวกเขาต่างพบเจอกับสัตว์อสูรไปไม่น้อย แต่เพราะยังมีอายุที่ไม่เหมาะสม อีกครั้งความสามารถยังเข้าไม่ได้กับวิญญาณยุทธ์ของพวกเขาทั้งสอง เห็นได้ว่าการเสาะหากระดูกวิญญาณนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด อายุของสัตว์อสูรจะสังเกตได้จากสีของพลังวิญญาณที่แผ่ซ่านออกมา จะเป็นสีเดียวกันกับพลังวิญญาณ แม้จะเป็นเผ่าพันธ์เดียวกันแต่มีอายุต่างก

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่​12 ออกเดินทางล่าสัตว์อสูร

    เนตรแห่งสวรรค์ของหนิงอ้ายหลังจากได้รับแรงกระตุ้นจากการดูดซับกระดูกวิญญาณของอสรพิษเหมันต์บรรพกาลไป หนิงอ้ายพบว่าความสามารถในการมองเห็นและการรับรู้ของเขาในตอนนี้อยู่เหนือกว่าผู้ฝึกตนในเขตขั้นเดียวกันอย่างชัดเจน รายละเอียดเล็กน้อย ข้อมูลต่าง ๆ รวมไปถึงทุกการเคลื่อนไหวในรัศมีหนึ่งลี้ไม่อาจถูกปกปิดจากสายตาหรือการรับรู้ของเขาได้ คล้ายกับว่าความสามารถทั้งหมดในโลกเดิมของเขาที่เคยใช้ได้จะถูกยกระดับเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว“หนิงเอ๋อร์ เจ้าแน่ใจใช่หรือไม่ที่จะเดินทางไปกับผู้อาวุโสหวังฮุ่ยไปยังเทือกเขาหมื่นอสูรวิญญาณในครั้งนี้?” เยว่ซินถามหนิงอ้ายอีกครั้ง แม้นางจะรู้ดีว่าด้วยระดับขุนนางวิญญาณของเด็กหนุ่มย่อมสามารถเอาตัวรอดได้อย่างไม่ยาก แต่นางยังรู้สึกเป็นกังวลเพราะอีกฝ่ายไม่เคยออกจากเขตพื้นที่เมืองหลวงนี้เสียด้วยซ้ำ“ขอรับท่านแม่ ข้ากับลู่ซีจะติดตามท่านลุงฮุ่ยไปยังเทือกเขาหมื่นอสูรวิญญาณเพื่อฝึกฝนประสบการณ์และเสาะหากระดูกวิญญาณแรกด้วยขอรับ!!” หนิงอ้ายตอบไปด้วยความมั่นใจ“เช่นนั้นแล้วแต่เจ้า รบกวนผู้อาวุโสหวังฮุ่ยดูแลทั้งสองคนด้วยนะเจ้าคะ...” เยว่ซินพูดออกมา“คุณหนูอย่าได้กังวลข้าจะดูแลคุณชายหนิงอ้าย

Scan code to read on App
DMCA.com Protection Status