Share

บทที่10 ฝึกฝนบทเวทย์

ยอมรับตามตรงว่าก่อนหน้านี้มีหลายครั้งที่นทีได้แต่ครุ่นคิดอยู่ในใจ ว่าเพราะอะไรทำไมเขาถึงได้มาอยู่ในโลกใบนี้ได้กัน หรืออาจเป็นเพราะหนิงอ้ายคนเก่าต้องการให้เขาแก้แค้นอย่างนั้นหรือ? แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่ เพราะตัวเขาไม่เคยสัมผัสได้ถึงความรู้สึกในแง่ลบเหล่านี้เลยสักนิด เจ้าของร่างเดิมยังคงเด็กเกินไปจึงมีแต่ความอ่อนโยนจิตใจดี ซึ่งมันแตกต่างไม่ใช่ตัวเขาเป็นอย่างมากเลยทีเดียว

นทีเมื่อได้รับโอกาสที่ได้มีชีวิตใหม่อีกครั้ง มีเยว่ซินผู้เป็นมารดาที่รักและเป็นห่วงเขาอยู่เสมอ ผู้อาวุโสหวังฮุ่ยที่เสียสละเวลาสั่งสอนความรู้อย่างไม่หวงแหน ลู่ซีที่เปรียบเสมือนเพื่อนสนิท ไหนจะเจ้าเจียวซิ่นที่เขารักเอ็นดูเหมือนลูกน้อยคนหนึ่ง ดังนั้นเขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้นกว่านี้เพื่อที่จะปกป้องคนที่เขารักได้ ในตอนนี้เขาสามารถใช้เคล็ดวิชาย่างก้าวทะยานหมื่นลี้ได้อย่างคล่องแคล่วและมีความคุ้นชินกว่าเดิมมาก ยิ่งเมื่อเขาได้นำมาประสานเข้ากับศิลปะการต่อสู้จากโลกเดิมที่เขาคุ้นเคยแล้ว เวลาได้ฝึกซ้อมกับผู้อาวุโสหวังฮุ่ยกับเหล่าองครักษ์คนอื่น ๆ แม้เขาจะเสียเปรียบในด้านร่างกายแต่ทว่าสิ่งที่เขานำมาพลิกแพลงในตอนนี้กลับสามารถช่วงชิงความได้เปรียบนี้ได้อย่างไม่ยาก จากนั้นเขาตั้งใจว่าหลังจากนี้จะเริ่มฝึกฝนเวทย์พื้นฐานที่เขาได้ซื้อมาจากหอประมูลพยัคฆ์คำรามเสียที

ตลอดหลายเดือนมานี้หนิงอ้ายไม่เคยก้าวเท้าออกจากจวนไปที่ใดทั้งสิ้น เพราะทุ่มได้เทเวลาไปกับการศึกษาตำราต่าง ๆ ที่ได้ซื้อมาจากหอประมูลพยัคฆ์รัตติกาลรวมได้ฝึกฝนวิชาฝ่ามือของตระกูลจาง ความรู้ความเชี่ยวชาญเหล่านี้ล้วนมีสำคัญทั้งสิ้นหากว่าเขาเลือกที่จะยึดมั่นในเส้นทางของผู้ฝึกตนแล้วดังนั้นเขาจึงต้องแข็งแกร่งให้ได้มากที่สุด อีกทั้งหนิงอ้ายยังได้ฝึกใช้อาวุธลับที่สั่งทำจากหอประมูลพยัคฆ์รัตติกาลจนสามารถใช้ได้อย่างเชี่ยวชาญ แม้ว่าจะไม่บางเบาเหมือนในโลกเดิมของเขาแต่มันก็ไม่แย่สักเท่าไหร่เพียงแค่ต้องฝึกใช้ให้ชินมือจนคุ้นชินเท่านั้น

“ท่านลุงฮุ่ยคิดว่าข้าควรเริ่มฝึกฝนบทเวทย์ใดก่อน ระหว่างเวทย์ป้องกันหรือเวทย์เวทโจมตีขอรับ?” หนิงอ้ายถามหวังฮุ่ยด้วยเพราะนับถืออีกฝ่ายไม่ต่างไปจากอาจารย์ของตน อีกฝ่ายย่อมมากไปด้วยประสบการณ์ในเรื่องนี้อยู่ไม่น้อย

“ตอนนี้นายน้อยเชี่ยวชาญเคล็ดวิชาย่างก้าวทะยานหมื่นลี้ สามารถพลิกแพลงใช้หลบหลีกการโจมตีและประสานเข้ากับการต่อสู้ได้อย่างเชี่ยวชาญแล้ว ดังนั้นข้าว่าควรเริ่มเวทย์ป้องกันก่อนดีกว่าขอรับ” หวังฮุ่ยตอบตามที่ตนคิดเห็นสมควร

“บทเวทย์ทั้งสามประเภทคือบทเวทย์โจมตี บทเวทย์ป้องกันและบทเวทย์รักษา แบ่งออกเป็นเจ็ดระดับได้แก่ระดับต่ำ ระดับกลาง ระดับสูง ระดับเทวะ ระดับสวรรค์ ระดับเซียนและระดับบรรพกาล แต่ละระดับจะมีพลังและความแข็งแกร่งที่แตกต่างกันอย่างมาก สำหรับผู้ที่เริ่มฝึกฝนจำเป็นจะต้องเริ่มฝึกฝนบทเวทย์ระดับพื้นฐานขั้นต่ำเสียก่อน...”

“บทเวทย์ที่ควรศึกษาเรียนรู้ควรจะเกี่ยวข้องกับปราณเดียวกัน เนื่องจากร่างกายของผู้ฝึกตนล้วนประกอบไปด้วยสี่ปราณธาตุพื้นฐานซึ่งคือปราณธาตุดิน ปราณธาตุน้ำ ปราณธาตุลมและปราณธาตุไฟซึ่งรวมไปถึงปราณธาตุพิเศษคือปราณธาตุพฤกษา (ไม้) ปราณธาตุทอง (โลหะ) และปราณธาตุในหายากที่คุณชายถือครองอยู่คือปราณสุริยะธาตุ...”

“โดยที่ปราณธาตุพื้นฐานทั้งสี่สามารถเป็นไปได้ทั้งการส่งเสริมซึ่งกันและกันหรือบ้างก็เป็นอริธาตุได้ ซึ่งความแตกต่างในการใช้พลังธาตุของผู้ฝึกตนจะขึ้นอยู่กับว่ามีปราณธาตุใดในร่างกายที่มากกว่าก็จะสามารถใช้ได้อย่างเชี่ยวชาญ สำหรับอริธาตุก็คือน้ำชนะไฟ ไฟชนะไม้ ลมชนะดินและดินชนะน้ำ ซึ่งการใช้พลังปราณธาตุจะหมุนวนพันเกี่ยวซึ่งกันและกันและจะมีความแตกต่างในการใช้พลังเวทย์ เนื่องจากว่าแต่ละบทเวทย์จะมีลักษณะเป็นรูปแบบเฉพาะที่เกิดจากการประสานบทเวทย์กับพลังธาตุของตน” หวังฮุ่ยอธิบายออกมาให้หนิงอ้ายเข้าใจมากขึ้น

‘ดีที่เราศึกษาเคล็ดวิชาสยบอัสนีเมฆาและเคล็ดวิชาย่างก้าวทะยานหมื่นลี้ที่เป็นเคล็ดวิชาระดับเทวะได้อย่างถูกต้องและเข้าใจในรูปแบบการวางบทเวทย์อยู่ไม่น้อย ย่อมสามารถนำมาปรับในการวางรูปแบบบทเวทย์ได้ โดยนำมาจัดเรียงใหม่ตามรูปแบบของบทเวทย์ระดับเทวะ... '

'สำหรับผู้ฝึกตนอื่นอาจเริ่มศึกษาบทเวทย์ระดับต่ำก่อนแล้วค่อยไต่ระดับไปในระดับสูง แต่ด้วยบทเวทย์ที่เริ่มฝึกฝนเป็นบทแรกคือเคล็ดวิชาระดับเทวะทั้งสอง พอได้มาศึกษาบทเวทย์ป้องกันระดับต่ำนี้เลยเข้าใจได้โดยง่ายยิ่ง...’ หนิงอ้ายนั่งเขียนบทเวทย์ที่คัดลอกจากหยกวิชาที่ซื้อมา จากการสังเกตแต่ละบทเวทย์จะมีการไล่จากทางฝั่งซ้ายไปจรดฝั่งขวาหมุนเป็นวงกลมโดยตรงกลางจะเป็นสัญลักษณ์ของธาตุหลักของผู้ฝึกตน ซึ่งเขาตั้งใจว่าจะใช้ปราณธาตุน้ำหลักและปิดความสามารถสุริยะธาตุเอาไว้เสียก่อนในตอนนี้

ผู้ฝึกตนจำเป็นต้องมีการเพิ่มระดับฝึกตนให้ก้าวหน้าอยู่เสมอ อีกทั้งยังต้องจดจำรูปแบบของวงเวทย์และตำแหน่งของสัญลักษณ์ธาตุของแต่ละบทเวทย์ให้ถูกต้องแม่นยำ เพราะพลังของการใช้บทเวทย์ของแต่ละรูปแบบจะมากหรือน้อยล้วนขึ้นอยู่กับความถูกต้องของตำแหน่งในบทเวทย์ที่เรียกใช้

อัญเชิญบทเวทย์ป้องกันปราการวารีอหังการ!

วูบ!

เมื่อจดจำรูปแบบของวงเวทย์และตำแหน่งของสัญลักษณ์ปราณธาตุของบทเวทย์ป้องกันได้แล้ว หนิงอ้ายจึงร่ายเวทย์ป้องกันออกมาพร้อมกางมือออกทันที ทันใดนั้นเกราะป้องกันสีน้ำเงินม่วงขนาดใหญ่ได้ครอบคลุมตัวหนิงอ้ายเอาไว้ โดยรอบของตัวเกาะป้องกันยังปรากฏเป็นคลื่นน้ำสีขาวพริ้วไหวหมุนวนโดยรอบคล้ายกับการระบำสายน้ำที่งดงาม

“สำเร็จแล้ว!!” หนิงอ้ายร้องตะโกนออกมาด้วยความดีใจ

“เป็นการร่ายบทเวทย์ป้องกันที่สมบูรณ์ยิ่ง แต่ข้าสังเกตเห็นว่ารัศมีในขณะที่ใช้บทเวทย์จะมีพลังบางอย่างออกมาแสดงถึงความแข็งแกร่งเกินที่จะเป็นบทเวทย์ป้องกันระดับต่ำได้ใช่หรือไม่ขอรับ??” หวังฮุ่ยชื่นชมเป็นอย่างมากที่นายน้อยของตนสามารถสร้างเกาะป้องกันอย่างไร้ที่ติเช่นนี้ได้ในครั้งแรก แต่สิ่งที่เขาแปลกใจคือโดยปกติแล้วบทเวทย์ป้องกันระดับต่ำแม้ผู้ร่ายบทเวทย์จะเป็นผู้ฝึกในระดับเดียวกัน เเต่ยังมีความอ่อนด้อยกว่าบทเวทย์ที่นายน้อยของตนได้ร่ายออกไปเมื่อครู่มากถึงสองถึงสามเลยทีเดียว

“ท่านลุงฮุ่ยช่างสังเกตนัก จริงอยู่ว่าแต่เดิมบทเวทย์ป้องกันนี้จะเป็นระดับต่ำ เพียงแต่ข้าได้อ้างอิงการสลับตำแหน่งรูปแบบของวงเวทย์และตำแหน่งของสัญลักษณ์ปราณธาตุเลียนแบบมาจากเคล็ดวิชาสยบอัสนีเมฆาอันเป็นบทเวทย์ระดับเทวะ เมื่อนำสัญลักษณ์และรูปแบบของบทเวทย์ป้องกันพื้นฐานมาเรียบเรียงกันใหม่ตามบทเวทย์ระดับเทวะนี้แล้ว ผลลัพธ์ออกมาก็เป็นไปดังนี้ ทีแรกข้าคิดว่าจะไม่สำเร็จด้วยซ้ำ...”

“นายน้อยช่างมีพรสวรรค์ยิ่ง! เพียงแค่เข้าใจตำแหน่งรูปแบบของวงเวทย์และตำแหน่งของสัญลักษณ์ปราณธาตุของบทเวทย์ระดับเทวะก็สามารถนำบทเวทย์ระดับต่ำเข้ามาเรียบเรียงอย่างถูกตำแหน่งจึงเกิดเป็นบทเวทย์ใหม่ที่แข็งแกร่งยิ่งนักขอรับ...” หวังฮุ่ยได้ยินดังนั้นจึงกล่าวชมด้วยความยินดี

“ท่านลุงฮุ่ยชมเกินไปแล้ว ข้าคิดเพียงว่าบทเวทย์แต่ละระดับแม้จะมีเอกลักษณ์เฉพาะแต่ยังคงความคล้ายคลึงกันอยู่หลายส่วนไม่น้อย ดังนั้นหากนำบทเวทย์ในระดับต่ำมาจัดวางตำแหน่งใหม่ตามรูปแบบของบทเวทย์ระดับเทวะย่อมสามารถยกระดับพลังเวทย์นั้นให้ทรงพลังมากกว่าเดิมได้”

“เเล้วข้าจะยกเลิกใช้เวทย์ป้องกันนี้อย่างไรขอรับ?” หนิงอ้ายถามด้วยความสงสัย

“นายน้อยสามารถสั่งให้สลายไปด้วยความคิดหรือเอ่ยออกมาได้...” หวังฮุ่ยตอบกลับไปพร้อมกับยิ้มให้เล็กน้อย

“สลาย!!!” หนิงอ้ายเอ่ยและพยักหน้าด้วยความเข้าใจ ทันใดนั้นบทเวทย์ป้องกันก็ได้สลายไปในทันที

“ยินดีด้วยอีกครั้งในความสำเร็จนะขอรับคุณชาย” ลู่ซีเอ่ยออกมาด้วยความยินดี

“ต้องขอบคุณท่านลุงฮุ่ยที่คอยให้คำแนะนำข้าขอรับ...” หนิงอ้ายเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้มที่มีความสุข เมื่อรู้สึกคุ้นชินในการควบคุมปราณธาตุแล้ว หนิงอ้ายยังคงฝึกฝนบทเวทย์ต่อไปเพื่อให้เกิดความคุ้นชินมากที่สุด

อัญเชิญบทเวทย์โจมตีมหาบุปผชาติเหมันต์จำแลงลักษณ์!!!

ตู้ม!

อัญเชิญบทเวทย์ป้องกันปราการวารีอหังการ!!!

วูบ!

หนิงอ้ายใช้เวลาอย่างคุ้มค่าไปกับการฝึกฝนบทเวทย์ป้องกันและบทเวทย์โจมตีทั้งสองบทที่เขาได้ปรับเปลี่ยนให้เป็นบทเวทย์ระดับเทวะ แม้จะพึ่งปลุกพลังวิญญาณและฝึกฝนได้ไม่ถึงหนึ่งปีแต่ตอนนี้เขานั้นเลื่อนเป็นผู้ฝึกตนระดับขุนพลวิญญาณขั้นสูงเเล้ว อีกทั้งฝีมือในการต่อสู้ไม่เหมือนผู้ใดในแคว้นนี้ทั้งสิ้นตามคำกล่าวของหวังฮุ่ยผู้ที่เป็นดั่งอาจารย์สั่งสอน ไม่ว่าจะเป็นการตั้งรับที่แข็งแกร่งและการโจมตีที่หนักหน่วงแม้อาจดูอ่อนช้อยแต่ยังคงความเฉียบขาดยิ่ง อีกทั้งความเข้าใจในการใช้งานบทเวทย์ราวกับว่าได้ร่ำเรียนมายาวนานหลายปีเสียด้วยซ้ำ

ต้องบอกว่าโดยปกติแล้วการใช้บทเวทย์ของผู้ฝึกตนจำเป็นจะต้องศึกษาและเลือกใช้ตามปราณธาตุประจำตัวเพื่อป้องกันธาตุไฟเข้าแทรกซึ่งจะส่งผลเสียต่อผู้ฝึกตนดังกล่าวไม่มากก็น้อย แต่ไม่ใช่กับหนิงอ้ายที่มีความเข้าใจและเชี่ยวชาญในบทเวทย์นอกจากจะสามารถยกระดับบทเวทย์ขั้นต่ำมาเป็นบทเวทย์ขั้นเทวะแล้วซึ่งจะทำให้ให้บทเวทย์ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นหลากหลายเท่า อีกทั้งในยามว่างสำหรับบทเวทย์ของปราณธาตุต่าง ๆ หนิงอ้ายก็นำมาจัดเรียงบทเวทย์ใหม่โดยที่ว่าแม้ผู้ที่ใช้งานบทเวทย์ดังกล่าวจะมีปราณธาตุต้นกำเนิดที่แตกต่างแต่ยังคงสามารถใช้งานได้โดยที่ไร้ซึ่งผลกระทบใดทั้งสิ้น

''คุณชายวันนี้ถือว่าพักสักวันดีหรือไม่ขอรับ?'' ลู่ซีเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง เพราะว่าหนิงอ้ายมุ่งมั่นฝึกฝนบทเวทย์ต่าง ๆ อยู่เสมอเพื่อใช้ในการประลองแคว้นที่ใกล้จะถึงนี้จนแทบไม่มีเวลาพัก ยิ่งเห็นว่าเหลือเวลาอีกไม่มากแล้วก็ยิ่งหักโหมกว่าเดิม จนมารดาของคุณชายรู้สึกเป็นห่วง จึงได้แนะนำให้ลู่ซีพาหนิงอ้ายออกไปพักผ่อนเสียบ้าง

''เช่นนั้นตามใจเจ้า อย่างไรพักเสียสักวันคงไม่เป็นไร...'' หนิงอ้ายยอมทำตามที่ลู่ซีแนะนำในที่สุดเมื่อคิดว่าช่วงนี้ตนฝึกหนักเกินไป ร่างกายของหนิงอ้ายพื้นฐานก็ไม่ได้แข็งแรงเหมือนร่างเดิมของเขา ด้วยเพราะก่อนหน้านี้เจ้าตัวก็ป่วยอยู่บ่อย ๆ ต่อให้ช่วงนี้เขาจะควบคุมการกินอาหารและออกกำลังกายอย่างเคร่งครัดแล้วก็ไม่อาจที่จะทำให้ร่างกายของหนิงอ้ายมีกล้ามเนื้อสวยงามเฉกเช่นบุรุษทั่วไปได้ แต่ในแง่ของความแข็งแรงนับว่าเขาภูมิใจมาก

นทีโดนปลูกฝังตั้งแต่โลกเดิมว่าผู้ที่แข็งแกร่งจึงจะเป็นผู้ที่ชนะที่แท้จริงสามารถควบคุมได้ทุกอย่างได้ดั่งใจ ดังนั้นหากจะเอาชนะได้มีทางเดียวคือต้องฝึกและฝึกเท่านั้น ยิ่งตอนนี้เขาได้วางเป้าหมายถึงอนาคตข้างหน้าไม่ว่าจะเป็นการเป็นผู้ชนะอันดับหนึ่งในงานประลองของแคว้นที่ใกล้จะถึงนี้เพื่อให้คนจดจำว่าหนิงอ้ายนั้นหาใช่เศษสวะของตระกูลอย่างที่เคยโดนกล่าวหาไม่ ไหนจะการกลับตระกูลเดิมของมารดา อีกทั้งยังต้องเข้าสำนักศึกษาดังนั้นทุกอย่างเขาต้องวางแผนอย่างรอบคอบให้มากที่สุด...

''ข้าว่าวันนี้คุณชายออกไปเที่ยวที่ตลาดดีหรือไม่ขอรับ นอกจากจะได้ผ่อนคลายแล้วเผื่อจะได้สืบข่าวการประลองของแคว้นที่ใกล้จะถึงนี้ด้วยว่ามีอะไรที่เป็นประโยชน์'' ลู่ซีเมื่อได้ยินคำตอบตกลงของคุณชายของตนจึงรีบแนะนำทันที

หนิงอ้ายพยักหน้าเห็นด้วย เมื่อคิดว่าจะซื้ออะไรบ้างจากนั้นจึงให้ลู่ซีไปบอกกับเยว่ซินให้รับรู้ว่าตนจะออกไปตลาดและจะกลับมาให้ทันมื้อเย็น หลังจากลู่ซีกลับมาสองนายบ่าวจึงออกไปตรงทางลับท้ายจวนในทันที โดยที่ครั้งนี้ไม่มีหวังฮุ่ยติดตามไปด้วยเหมือนดังเช่นทุกครั้ง…

''ถังหูลู่ไหมเจ้าคะ พึ่งทำเสร็จเมื่อครู่เลยเจ้าค่ะ....''

''ผัก ผลไม้สดๆ จากสวน กรอบ หวาน ราคาถูกๆ เชิญทางนี้....''

''ข้าวสารของแห้งราคาไม่แพงทางนี้ได้ขอรับ....''

หนิงอ้ายและลู่ซีเข้ามาถึงในตลาดแล้วบรรดาร้านค้าต่างพากันเรียกลูกค้าให้เข้ามาเลือกซื้อสินค้า หนิงอ้ายสังเกตว่าตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นแผงร้านค้า เหลาอาหารน้อยใหญ่ รวมไปถึงโรงเตี๊ยมต่าง ๆ ตอนนี้ได้มีผู้คนเข้าใช้บริการอย่างคึกคัก ตอนเเรกเขาคิดว่าจะไปหาซื้อของเพิ่มเติมจากหอประมูลเสียด้วยซ้ำ แต่เมื่อเห็นจำนวนคนในตลาดแม้จะเป็นเเค่ส่วนหนึ่งแต่เขาผู้ที่ไม่ชอบความวุ่นวายก็ได้แต่ถอนหายใจ

เมื่อถึงช่วงวันประลองของแคว้นผู้คนจากหลากหลายที่คงจะผ่านทางและจะทำให้ยิ่งคึกคักกว่าเดิมเป็นแน่เมื่อไม่ซื้อของอย่างอื่นแล้วนอกจากปิ่นปักผมที่ตั้งใจให้ท่านเเม่ จึงตัดสินใจตรงไปที่แผงร้านเครื่องประดับที่อยู่ด้านข้างของโรงเตี๊ยมตรงหัวมุมตลาด เพราะเขาเห็นว่านอกจากจะมีปิ่นปักผมที่หลากหลายรูปแบบแล้วจากลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์ของสินค้าแต่ละชิ้นนั้นช่างโดดเด่นสวยงามแปลกตา มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นงานฝีมือที่มีเพียงเเค่ชิ้นเดียวเท่านั้น

''ท่านลุงปิ่นในร้านท่านงดงามยิ่ง ไม่ทราบว่าราคาชิ้นละเท่าใด?'' หนิงอ้ายถามขึ้นพร้อมกับหยิบปิ่นปักผมลวดลายเหมยกุ้ยขึ้นมาพินิจดูเมื่อเห็นเป็นลวดลายที่งดงามแปลกตาก็ยิ่งถูกใจ

''ปิ่นทุกชิ้นในร้านข้าราคาเพียงแค่ชิ้นละหนึ่งตำลึงเงินเท่านั้นขอรับ...'' เมื่อตอบเสร็จชายวัยกลางคนเจ้าของแผงได้แต่ลอบมองคุณชายที่อยู่ด้านหน้าของตนพลางขบคิดอยู่ในใจ

ด้วยรูปลักษณ์ที่ดูบอบบางกลิ่นอายความสูงศักดิ์ที่แผ่ออกมาถึงแม้ว่าเสื้อผ้าที่สวมจะเป็นผ้าเนื้อดีแม้ดูเก่าซีดแต่ก็ไม่อาจปกปิดชาติตระกูลได้ราวกับบุตรของขุนนางสักคนที่แอบหนีเที่ยวออกจากจวน คราเเรกตนคิดว่าคงเป็นสตรีหรือคุณหนูแต่ด้วยคำลงท้ายเป็นบุรุษแต่ก็สามารถคาดเดาได้ว่าใบหน้าที่ถูกปิดด้วยการสวมหมวกคลุมปีกกว้างคงจะเป็นคุณชายรูปงามอย่างแน่นอนอีกทั้งนิ้วเรียวยาวเรียบดั่งหยกเนื้อดีที่หยิบจับนั่นอีกช่างดูเพลินตายิ่ง

''ปิ่นร้านท่านงดงามแปลกตาเช่นนี้ ข้าเดาว่าน่าจะเป็นงานฝีมือที่ทำขึ้นชิ้นทั้งหมดซึ่งแต่ละชิ้นคงใช้เวลาสลักลายไปไม่น้อยเหตุใดจึงราคาถูกยิ่ง??'' หนิงอ้ายเมื่อได้ยินราคาของปิ่นก็พลันตกใจไม่น้อยปิ่นปักผมทุกชิ้นในร้านต่างมีลวดลายที่งดงามเช่นนี้เหตุใดจึงถูกยิ่งนักหากว่าขโมยมาขายก็คงไม่ทำในที่แจ้งเปิดเผยเช่นนี้หรือว่ามีเหตุผลอื่นกันแน่

''เรียนคุณชายตามตรงข้าเป็นพ่อค้าจากเมืองอื่นที่บังเอิญผ่านมาแคว้นเมืองนี้ ด้วยเห็นว่าอีกไม่นานจะมีงานประลองของแคว้นใกล้เคียงกันนี้ข้าจึงตั้งใจมาขายสินค้าแต่ด้วยฮูหยินของข้าป่วยหนักอีกทั้งข้าไม่มีใบรับรองว่าเป็นคนในแคว้นนี้จึงไม่สามารถให้หมอไปรักษาจึงทำได้เพียงซื้อยาที่โรงโอสถเพื่อบรรเทาอาการผ่านไปหลายหม้อแล้วก็ยังไม่ดีขึ้น"

"เมื่อเงินที่ได้ก่อนหน้าถูกนำมาใช้ในการซื้อยาหลายครั้งจนเกือบหมด ข้าจึงตัดใจนำปิ่นปักผมที่มีอยู่นำมาขายในราคาไม่แพงเพื่อนำเงินไปรักษาฮูหยินข้าก่อนขอรับ'' เจ้าของแผงเล่าด้วยดวงตาที่แดงกล่ำเมื่อคิดถึงอาการของฮูหยินของตนที่ป่วยในตอนนี้

ฮูหยินของเขายอมออกจากตระกูลเดิมของนางเพราะถูกบังคับให้ถูกแต่งเข้าไปเป็นอนุของขุนนางผู้หนึ่งนางจึงตัดสินใจออกเดินทางหนีมาอยู่กับเขาที่นางรักแม้จะพบเจอความยากลำบากเพียงใดนางไม่เคยบ่นสักนิดเมื่อนางป่วยและอาการไม่ดีขึ้นเขาจึงไม่เสียดายเงินทองที่มีสักนิดหากว่ามันจะทำให้ภรรยาของตนหายได้

''ข้าจะให้ลู่ซีเชิญหมอไปรักษาฮูหยินของท่านแล้วกันอีกทั้งปิ่นปักผมทั้งหมดนี้ข้าเหมาทั้งหมดรบกวนท่านช่วยคิดราคาจริง ๆ ไม่ต้องคิดราคาพิเศษให้แก่ข้า…''

''ข้าจางปินขอบคุณท่านบุญคุณในครั้งนี้ หากว่าฮูหยินข้าหายดีแล้วจักขอติดตามรับใช้คุณชายไปตลอดขอรับ...'' เมื่อได้ยินดังนั้นเจ้าของแผงหรือจางปินจึงคุกเข่าและกล่าวเสียงดังและหมายมาดเอาไว้ว่าตนจะรับใช้คุณชายท่านนี้จนกว่าชีวิตตนจะหาไม่ถึงแม้อาจจะดูว่าความช่วยเหลือที่ได้รับเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้นแต่สำหรับตนแล้วท่ามกลางความมืดมิดสิ้นหวังกลับมีคุณชายท่านนี้มาเป็นแสงสว่างนำทางช่วยเหลือฮูหยินของตนหากต้องแลกด้วยชีวิตเขาก็ไม่เสียดาย

''ข้าให้เงินท่านสิบตำลึงทองสำหรับค่าปิ่นปักผมทั้งหมดนี้ และเผื่อสำหรับค่าหมอที่จะไปรักษาฮูหยินท่านไม่ต้องกังวลสิ่งใดข้าจะให้บ่าวของข้าพาท่านไปแล้วกัน''

''เจ้าพาท่านลุงจางปินไปยังโรงหมอที่ดีที่สุดและซื้อยาที่จำเป็นข้าฝากทางนี้ด้วยเจ้าไม่ต้องเป็นห่วงข้าจะกลับจวนเลยอย่างไรเสร็จธุระเเล้วเจ้าก็รีบกลับจวนด้วยเล่า?'' แม้ว่าลู่ซีจะไม่ค่อยเข้าใจว่าคุณชายของตนเหตุใดจึงกระตือรือร้นในการช่วยเหลือพ่อค้าคนนี้แต่ตนไม่ได้เอ่ยถามสิ่งใดออกไปเพราะเชื่อมั่นในการตัดสินใจว่าหนิงอ้ายนั้นคิดทุกอย่างมาอย่างดีแล้ว

เมื่อตกลงกันเรียบร้อยหนิงอ้ายจึงเดินแยกออกมาเพื่อกลับไปยังจวนเพราะท่านแม่กำลังรออยู่ส่วนลู่ซีก็เดินนำจางปินไปยังโรงหมอและจัดการตามที่หนิงอ้ายได้ฝากตนไว้

หลังจากที่เขากลับมาจากตลาดและได้เล่าท่านแม่ได้รับรู้ว่าได้ฝากให้ลู่ซีไปจัดการธุระให้ ท่านแม่ได้แต่ยิ้มและกล่าวว่าทำถูกต้องแล้ว หลังจากนั้นลู่ซีก็คอยเป็นธุระให้จนท่านน้าหรันหรูหายเป็นปกติหนิงอ้ายจึงให้ลู่ซีพาทั้งสองมายังเรือนเล็กหลังนี้ซึ่งด้วยความที่ท่านน้าหรันหรูเคยเป็นสหายของมารดาเขามาก่อนแต่เมื่อมารดาเขาได้แต่งงานและออกจากแคว้นเดิมจึงไม่ได้ติดต่อกันอีกครั้นเมื่อได้เจอก็พลันจดจำกันได้ทั้งสองจึงได้พูดคุยแลกเปลี่ยนสิ่งที่แต่ละคนพบเจอมา ทำให้มารดาของเขาคลายความเหงาไปไม่น้อยส่วนท่านลุงจางปินตอนนี้ก็รับหน้าที่เป็นพ่อบ้านคอยดูแลความเรียบร้อยต่าง ๆ ในเรือนเล็กหลังนี้...

Related chapters

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่​11 ความเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดคิด

    เป็นเวลาเกือบหนึ่งปีที่นทีได้ใช้ชีวิตในนามของจางหนิงอ้าย อีกเพียงไม่กี่วันอายุของร่างนี้ก็ใกล้ครบสิบห้าปีแล้ว แต่จางเลี่ยงหวงผู้เป็นบิดากลับไม่สนใจในสิ่งเหล่านี้ราวกับว่าเด็กหนุ่มไม่มีตัวตนในตระกูลเสียอย่างนั้น แต่แล้วอย่างไรเล่า? เพราะตัวของนทีเองก็ไม่ได้ยอมรับอีกฝ่ายในฐานะบิดาของเจ้าของร่างเช่นกัน…“อีกสามเดือนข้างหน้าจะมีงานประลองที่ทางแคว้นเต่าดำรับเป็นเจ้าภาพในครั้งนี้ จากนั้นอีกเพียงหนึ่งเดือนแต่ละสำนักศึกษาจะเปิดรับศิษย์ใหม่เข้าสังกัด ข้าจึงขออนุญาตจากท่านแม่ในการเข้าร่วมลงประลองครั้งนี้เพื่อลบล้างคำครหาที่ว่าเป็นเพียงสวะของตระกูลซึ่งนั่นหาใช่ความจริงไม่ อีกทั้งข้ายังอยากเข้าทดสอบของสำนักศึกษาด้วยขอรับ!!” หนิงอ้ายบอกกับเยว่ซินถึงความต้องการของตน“มารดาล้วนตามใจเจ้าทั้งสิ้น เรื่องเข้าสำนักศึกษาเอาไว้เจ้าขอคำแนะนำจากท่านตาดีหรือไม่ ว่าสุดท้ายแล้วจะเลือกเข้าทดสอบสำนักศึกษาใดจึงจะเหมาะสมกับเจ้ามากที่สุด...” เยว่ซินตอบรับคำขอนี้ พร้อมกับลูบหัวของอีกฝ่ายด้วยความรักใคร่“เจ้าจะเข้าร่วมงานประลองนี้กับข้าด้วยใช่หรือไม่??” หนิงอ้ายลู่ซีขึ้น“เป็นเช่นนั้นขอรับ...” ลู่ซีที่สามารถตัดผ่านเป็

    Last Updated : 2025-02-07
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่​12 ออกเดินทางล่าสัตว์อสูร

    เนตรแห่งสวรรค์ของหนิงอ้ายหลังจากได้รับแรงกระตุ้นจากการดูดซับกระดูกวิญญาณของอสรพิษเหมันต์บรรพกาลไป หนิงอ้ายพบว่าความสามารถในการมองเห็นและการรับรู้ของเขาในตอนนี้อยู่เหนือกว่าผู้ฝึกตนในเขตขั้นเดียวกันอย่างชัดเจน รายละเอียดเล็กน้อย ข้อมูลต่าง ๆ รวมไปถึงทุกการเคลื่อนไหวในรัศมีหนึ่งลี้ไม่อาจถูกปกปิดจากสายตาหรือการรับรู้ของเขาได้ คล้ายกับว่าความสามารถทั้งหมดในโลกเดิมของเขาที่เคยใช้ได้จะถูกยกระดับเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว“หนิงเอ๋อร์ เจ้าแน่ใจใช่หรือไม่ที่จะเดินทางไปกับผู้อาวุโสหวังฮุ่ยไปยังเทือกเขาหมื่นอสูรวิญญาณในครั้งนี้?” เยว่ซินถามหนิงอ้ายอีกครั้ง แม้นางจะรู้ดีว่าด้วยระดับขุนนางวิญญาณของเด็กหนุ่มย่อมสามารถเอาตัวรอดได้อย่างไม่ยาก แต่นางยังรู้สึกเป็นกังวลเพราะอีกฝ่ายไม่เคยออกจากเขตพื้นที่เมืองหลวงนี้เสียด้วยซ้ำ“ขอรับท่านแม่ ข้ากับลู่ซีจะติดตามท่านลุงฮุ่ยไปยังเทือกเขาหมื่นอสูรวิญญาณเพื่อฝึกฝนประสบการณ์และเสาะหากระดูกวิญญาณแรกด้วยขอรับ!!” หนิงอ้ายตอบไปด้วยความมั่นใจ“เช่นนั้นแล้วแต่เจ้า รบกวนผู้อาวุโสหวังฮุ่ยดูแลทั้งสองคนด้วยนะเจ้าคะ...” เยว่ซินพูดออกมา“คุณหนูอย่าได้กังวลข้าจะดูแลคุณชายหนิงอ้าย

    Last Updated : 2025-02-07
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่13 ปะทะราชสีห์สัตตะโลหิตสีคราม

    เช้าวันใหม่มาถึงคณะเดินทางของหนิงอ้ายทั้งสี่คนต่างรีบเร่งออกเดินทางกันแต่เช้าตรู่ จุดหมายคือเขตป่าชั้นกลางของเทือกเขาหมื่นอสูรวิญญาณ เนื่องจากบริเวณป่าชั้นนอกจะมีเพียงสัตว์อสูรทั่วไปหรือสัตว์อสูรปฐพีเท่านั้น หากเข้าสู่เขตป่าชั้นกลางเป็นต้นไปจึงจะพบเจอสัตว์อสูรนภาขั้นต่ำหรือขั้นกลางและหากโชคดีมากพออาจได้พบเจอสัตว์อสูรนภาขั้นสูงก็เป็นไปได้เช่นกัน สำหรับสัตว์อสูรมายาขั้นต่ำเป็นต้นไป สัตว์อสูรเหล่านี้จัดได้ว่าเป็นสัตว์อสูรระดับสูงที่มีความนึกคิด อีกทั้งยังเปี่ยมไปด้วยพละกำลังที่แข็งแกร่ง สามารถใช้ปราณธาตุของตนโจมตีผู้บุกรุกในอาณาเขตของตน อาจพบเห็นได้บ้างตามแนวรอยต่อของป่าชั้นกลางติดกับเขตป่าชั้นในกระจัดกระจายกันไปทั่วทั้งพื้นที่แห่งนี้ ระหว่างทางพวกเขาต่างพบเจอกับสัตว์อสูรไปไม่น้อย แต่เพราะยังมีอายุที่ไม่เหมาะสม อีกครั้งความสามารถยังเข้าไม่ได้กับวิญญาณยุทธ์ของพวกเขาทั้งสอง เห็นได้ว่าการเสาะหากระดูกวิญญาณนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด อายุของสัตว์อสูรจะสังเกตได้จากสีของพลังวิญญาณที่แผ่ซ่านออกมา จะเป็นสีเดียวกันกับพลังวิญญาณ แม้จะเป็นเผ่าพันธ์เดียวกันแต่มีอายุต่างก

    Last Updated : 2025-02-07
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่​14 อสูรราชินีแมงป่องแปดขามัจจุราช

    การเสาะหากระดูกวิญญาณได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้งในช่วงบ่ายของวันนี้ คณะเดินทางของหนิงอ้ายทั้งสี่คนต่างเดินทางกันไปเรื่อย ๆ ไม่รีบเร่ง แม้ว่าระหว่างทางจะพบเจอสัตว์อสูรจำนวนไม่น้อย แต่เพราะกลิ่นอายของผู้ฝึกตนระดับเทวะขั้นสูงที่หวังฮุ่ยปลดปล่อยออกมาในระยะสองลี้ย่อมไม่ต่างไปจากคำเตือนให้เหล่าสัตว์อสูรระดับต่ำจงหลบหลีกไปเสีย เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วจึงถือว่าการเสาะหาสัตว์อสูรที่เหมาะสมจึงเป็นไปอย่างราบรื่นยิ่งก่อนหน้านี้หนิงอ้ายได้ประสานร่างกายเข้ากับกระดูกวิญญาณล้านปีของอสรพิษเหมันต์บรรพกาล นอกจากกระดูกวิญญาณชิ้นนี้จะแปรเปลี่ยนเป็นทักษะวิญญาณยุทธ์ที่สามให้แก่เขาแล้ว ยังคงมีเงื่อนไขสำคัญคือการเสาะหากระดูกวิญญาณจากสัตว์อสูรสังกัดปราณธาตุพิษดูดซับประสานเข้ากับร่างกายเพื่อให้กระดูกวิญญาณชิ้นแรกนี้มีความสมบูรณ์พร้อมด้วยทักษะตามที่ควรจะเป็นหนิงอ้ายตั้งใจดูดซับกระดูกวิญญาณให้กับวิญญาณยุทธ์ที่สองอันเป็นปราณธาตุน้ำนี้เสียก่อน สำหรับวิญญาณยุทธ์ปราณธาตุไฟรวมไปถึงวิญญาณยุทธ์ที่สามเขาไม่จำเป็นต้องสังหารสัตว์อสูรเป็นจำนวนมากเพื่อเติมเต็มให้กระดูกวิญญาณของทั้งสามวิญญาณยุทธ์ในตอนนี้ เพราะนอกจากกระดูกวิญญาณล้าน

    Last Updated : 2025-02-07
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่​15 แขกที่ไม่ได้รับเชิญ

    หนิงอ้ายหลับตาลงพร้อมกับกำหนดลมหายใจเข้าออก พลังลมปราณฟ้าดินอันบริสุทธิ์โดยรอบที่ถูกชักนำโดยจี้หยกโลหิตส่งผลให้มวลลมปราณบริเวณนี้ต่างถูกชักนำเข้าตามจุดชีพจรไปทั่วทั้งร่างกายตามสุดยอดเคล็ดวิถี ลมปราณอันอบอุ่นวิ่งวนเข้าสู่จุดใจกลางตันเถียรไม่จบสิ้น พลังลมปราณในร่างกายที่ผ่านการเคี่ยวกรำนับสิบกว่ารอบต่างถูกอัดแน่นเป็นรากฐานบ่มเพาะที่แข็งแกร่ง วันเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนผันไปเรื่อย ๆ วันนี้ถือได้ว่าเป็นวันครบรอบอายุสิบห้าปีของจางหนิงอ้าย แน่นอนว่าทางฝั่งของนทีก็นับว่าเขาเองได้อาศัยอยู่ในร่างนี้เป็นเวลาหนึ่งปีแล้วเช่นกันหนิงอ้ายใช้เวลาไม่นานกับการจัดการตัวเอง วันนี้เขาเลือกใส่เสื้อตัวในสีขาวล้วนและเสื้อตัวนอกเป็นสีเขียวอ่อนที่ปักด้วยลวดลายใบไผ่สีเขียวมรกต เมื่อไปถึงบริเวณห้องโถงรับรองที่ตอนนี้ถูกเปลี่ยนให้เป็นงานเลี้ยงเล็ก ๆ มีท่านแม่เยว่ซิน ท่านลุงหวังฮุ่ย ท่านลุงจางปิน ท่านน้าหรันหรูที่นั่งรออยู่ แม้จะไร้เงาบิดาสารเลวในงานเลี้ยงดังกล่าวนี้ เเต่หนิงอ้ายไม่สนใจเลยสักนิดเพราะทุกคนในที่นี้ล้วนเป็นผู้ที่เขาสนิทใจทั้งสิ้น''หนิงเอ๋อร์ปีนี้เจ้าอายุครบสิบห้าปีแล้ว ตามกฎของตระกูลจางที่ปฏิบัติสืบทอดก

    Last Updated : 2025-02-07
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่​16 โชคชะตา ฟ้าลิขิต

    กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วทั้งห้อง ร่างไร้วิญญาณที่ถูกชโลมด้วยโลหิตสีแดงฉานมากมายชวนให้รู้สึกคลื่นเหียนอยู่ไม่น้อยแก่ผู้พบเห็น แต่ด้วยทุกคนในที่นี้ต่างโลดแล่นอยู่ในเส้นทางของผู้ฝึกตนเป็นเวลาหลายปี ดังนั้นย่อมเคยพบเจอเหตุการณ์ฆ่าฟันเช่นนี้ทั้งสิ้น ที่น่าแปลกใจคือหนิงอ้ายที่เป็นผู้ลงมือกระทำนั้นกลับไร้ความตกใจราวกับว่านี่เป็นสิ่งที่คุ้นชินเสียอย่างนั้น''นักฆ่าเหล่านี้แม้จะเป็นร่างไร้วิญญาณไปแล้วก็จริง แต่อย่างไรขึ้นชื่อว่าผู้ฝึกตนย่อมมีพลังลมปราณไหลเวียนอยู่ในจุดชีพจรทั่วทั้งร่างกายที่ไม่แตกต่างไปจากสัตว์อสูร หากปล่อยทิ้งเอาไว้เช่นนี้คงเสียเปล่าเป็นแน่ เช่นนั้นข้าจะนำร่างไร้วิญญาณของนักฆ่าเหล่านี้ให้กับเจียวซิ่นขอรับ...''แม้ว่าสิ่งที่หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นมาจะชวนให้ตกตะลึงในความรู้สึก เพราะการที่สัตว์อสูรในพันธะสามารถดูดซับลมปราณจากร่างไร้วิญญาณของสัตว์อสูรนั้นไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน แล้วยิ่งกับร่างไร้วิญญาณของผู้ฝึกตนเช่นนี้ย่อมไม่เคยมีผู้ใดกระทำทั้งสิ้น แต่ถึงอย่างไรคำกล่าวของหนิงอ้ายก็ไม่มีผิดถูกเช่นกันหวังฮุ่ยได้สั่งการองครักษ์ทั้งสามให้แยกย้ายกันไปเก็บกวาดร่างไร้วิญญาณของนักฆ่าสังหารที

    Last Updated : 2025-02-07
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่​17 หย่า

    ทางฝั่งเยว่ซินหลังจากที่มีนักฆ่าเข้ามาลอบสังหารบุตรชายของนางในช่วงกลางคืนที่ผ่านมา โชคดีที่ไม่เกิดเหตุการณ์ความสูญเสียดังกล่าวขึ้น ที่น่าแปลกใจคือหนังสือจ้างวานฆ่านี้ได้ชี้ชัดว่าเป็นฝีมือของหวงลู่เอินหรือฮูหยินรองคนรักของจางเลี่ยงหวง เยว่ซินนั้นไม่มีเรื่องราวข้องเกี่ยวกับอีกฝ่ายเท่าไหร่นัก แต่หากว่าแรงจูงใจของการกระทำนี้คือนางต้องการผลักดันบุตรชายของนางขึ้นเป็นผู้สืบทอดของตระกูลแทนจางหนิงอ้ายผู้เป็นคุณชายใหญ่ของตระกูลจางสายหลักแล้วย่อมเป็นไปได้เช่นกันทั้งสิ้นแต่แล้วอย่างไรเล่า? จางเลี่ยงหวงสามีของนางก็คงไม่เชื่อต่อหลักฐานที่มีอยู่และคงเข้าข้างคนรักของตนเฉกเช่นทุกครั้ง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หนิงอ้ายถูกรังแกและโดนทำร้าย ต่อให้นางมีหลักฐานเพียงใดสามีของนางไม่เคยลงโทษหรือเอาผิดเลยซักครั้ง เยว่ซินหยิบสมุดบันทึกเล่มเก่าของตนที่อยู่ในช่องลับบนหัวเตียงขึ้นมาพร้อมกับเปิดอ่านอีกครั้งพลันย้อนคิดไปถึงอดีตเมื่อครั้งก่อนที่นางเข้ามาเป็นฮูหยินเอกของตระกูลชื่อเสียงของจางหนิงอ้ายบุตรชายของนาง ผู้คนทั้งที่อยู่ในเหตุการณ์ในพิธีปลุกพลังวิญญาณเมื่อเจ็ดปีก่อนต่างมีการร่ำลือไปอย่างเสียหาย บ้างว่าคุณชายใหญ่ห

    Last Updated : 2025-02-07
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่​18 สิ้นสุดกันเพียงเท่านี้

    ด้านหลังของหนิงอ้ายปรากฏเป็นวงแหวนเวทย์สีน้ำเงินเข้มแสดงถึงผู้ฝึกตนปราณธาตุน้ำระดับสาม ในตอนนี้เขากำลังเร่งทำการยกระดับพลังวิญญาณให้ข้ามผ่านขั้นย่อยให้ได้ในเร็ววัน เพราะหากยิ่งมีระดับพลังวิญญาณเพิ่มขึ้นมากเท่าใด เขาก็จะสามารถปกป้องตัวเองและท่านแม่เพิ่มขึ้นได้เท่านั้นสำหรับราชทินนามจักรพรรดิวิญญาณขั้นสามัญกับระยะเวลาเพียงหนึ่งปีเช่นนี้ นับได้ว่าหนิงอ้ายไม่ต่างไปจากอัจฉริยะคงไม่เกินจริงไปนัก ต้องบอกว่าเด็กหนุ่มโชคดีอย่างมากที่ได้ศึกษาเคล็ดวิชาลับตระกูลหวัง จึงทำให้สามารถขยายจุดตันเถียรได้รองรับและขยายเส้นปราณทั่วร่างกายเพิ่มการดูดซับพลังปราณมากกว่าคนอื่นหลายเท่าจึงทำให้เขาสามารถดูดซับพลังปราณฟ้าดินได้โดยตรง ยิ่งได้รับแรงหนุนจากจี้หยกโลหิตแล้วความสามารถในการดูดซับปราณฟ้าดินของหนิงอ้ายจึงไม่ต่างไปจากพยัคฆ์ติดปีกเสียแล้วในตอนนี้บทเวทย์โจมตีมหาบุปผชาติเหมันต์จำแลงลักษณ์!ตู้ม!สภาพอากาศโดยรอบของเขตของบทเวทย์อากาศลดลงโดยฉับพลัน ปรากฎเป็นดอกบัวเหมันต์สีขาวบริสุทธิ์ดอกใหญ่แผ่อายความเย็นจาง ๆ ไปทั่วบริเวณ ตรงด้านบนเห็นเป็นเกล็ดบัวเหมันต์หิมะที่มีไอเย็นลอยตกลงไปทั่วเขตของบทเวทย์ เมื่อตกลงถึงพื

    Last Updated : 2025-02-07

Latest chapter

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่20 ตระกูลหวัง

    ขบวนรถม้าเดินทางยังคงดำเนินไปอย่างไม่รีบร้อน จุดหมายปลายทางคือจวนตระกูลหวังที่ตั้งอยู่ในมหานครแคว้นเต่าดำแห่งนี้ ตลอดเส้นทางเดินรถม้าได้ตัดผ่านหมู่บ้านน้อยใหญ่มากมาย สิ่งหนึ่งที่หนิงอ้ายสังเกตคือยิ่งเข้าใกล้ใจกลางมหานครแคว้นเต่าดำมากเท่าใดความเจริญรุ่งเรืองของบ้านเมืองรวมไปถึงความคึกคักของตลาดเเลกเปลี่ยนสินค้าก็จะเพิ่มขึ้นไปเท่านั้น''ตรงด้านหน้าจะเป็นตลาดเมืองหลวงก่อนถึงจวนตระกูลหวัง หนิงอ้าย ลู่ซี เจ้าทั้งสองจะแวะก่อนหรือไม่?'' เยว่ซินเอ่ยถามเด็กหนุ่มทั้งสอง เพราะหากพ้นเขตตลาดเมืองหลวงนี้ไปอีกเพียงไม่ถึงเค่อก็จะถึงจวนตระกูลหวังเเล้ว''แวะขอรับท่านเเม่ ข้าจะหาซื้อของฝากติดไม้ติดมือให้ท่านตาและท่านยายด้วยขอรับ!'' หนิงอ้ายตอบมารดาไปในทันที ในโลกเดิมของเขาสำหรับการเข้าพบปะผู้อาวุโสที่มีอายุมากกว่า ตามมารยาทที่พึงกระทำแล้วผู้น้อยควรมีของฝากติดมือไปฝากเสมอ เป็นการเเสดงถึงความเคารพให้เกียรตินั่นเองนับว่าผิดจากหนิงอ้ายเคยคิดไว้ไปเสียมาก มหานครแคว้นเต่าดำนี้มีพื้นที่กว้างขวางใหญ่โตเป็นอย่างมาก อาคารบ้านเรือนสองข้างทางดูโอ่อ่าอลังการดูเเล้วเจริญหูเจริญตาเป็นอย่างมาก ถนนหนทางจากทุกมุมเมืองที่

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่​19 ลอบสังหาร

    ตระกูลหวังเป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของแคว้นเต่าดำซึ่งถือได้ว่าเป็นอีกแคว้นใหญ่ที่มีความสำคัญเป็นอย่างมากเนื่องจากตั้งอยู่บริเวณใจกลางของมหาทวีปบูรพา จึงทำให้รอบด้านทั้งสี่ทิศของแคว้นมีอาณาเขตติดกับอีกสามแคว้นใหญ่ที่เหลือ แคว้นเต่าดำมีรูปแบบการปกครองที่ชัดเจนโดยเเบ่งออกเป็นสิบมณฑลใหญ่มีเมืองสาขาหรือเมืองในการปกครองในเเต่ละมณฑลมากกว่าสิบเมืองในการดูเเล ทั้งสิบมณฑลใหญ่อยู่ในการปกครองส่วนกลางของแคว้นเรียกว่ามหานครแคว้นเต่าดำหากกล่าวให้เข้าใจด้วยง่ายคือแคว้นเต่าดำประกอบไปด้วยเมืองน้อยใหญ่นับร้อยเมือง มีหมู่บ้านอย่างมากมายกระจายกันไปทั่วทั้งแคว้น ต้องบอกว่าเเต่ละเมืองหาได้มีความเจริญเทียบเท่ากันไม่ เพราะบางเมืองมีอาณาเขตติดกับแคว้นอื่นมักจะเป็นเมืองที่ขึ้นชื่อเป็นจุดเเลกเปลี่ยนสินค้า หรือบางเมืองยังคงรักษาขนบธรรมเนียมปฏิบัติกันมาอย่างช้านานนับว่าเป็นเสน่ห์ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน เเต่กับสิบมณฑลใหญ่ที่มีการปกครองดูเเลเมืองในรับผิดชอบของตนมักจะมีความเจริญและมีพื้นที่กว้างขวางเป็นอย่างมาก ด้วยเพราะผู้ปกครองมณฑลดังกล่าวมักจะเป็นเหล่าบรรดาผู้มีศักดิ์เป็นอ๋องเป็นเชื้อพระวงศ์นั่นเองคณะเดินทางของหนิงอ้

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่​18 สิ้นสุดกันเพียงเท่านี้

    ด้านหลังของหนิงอ้ายปรากฏเป็นวงแหวนเวทย์สีน้ำเงินเข้มแสดงถึงผู้ฝึกตนปราณธาตุน้ำระดับสาม ในตอนนี้เขากำลังเร่งทำการยกระดับพลังวิญญาณให้ข้ามผ่านขั้นย่อยให้ได้ในเร็ววัน เพราะหากยิ่งมีระดับพลังวิญญาณเพิ่มขึ้นมากเท่าใด เขาก็จะสามารถปกป้องตัวเองและท่านแม่เพิ่มขึ้นได้เท่านั้นสำหรับราชทินนามจักรพรรดิวิญญาณขั้นสามัญกับระยะเวลาเพียงหนึ่งปีเช่นนี้ นับได้ว่าหนิงอ้ายไม่ต่างไปจากอัจฉริยะคงไม่เกินจริงไปนัก ต้องบอกว่าเด็กหนุ่มโชคดีอย่างมากที่ได้ศึกษาเคล็ดวิชาลับตระกูลหวัง จึงทำให้สามารถขยายจุดตันเถียรได้รองรับและขยายเส้นปราณทั่วร่างกายเพิ่มการดูดซับพลังปราณมากกว่าคนอื่นหลายเท่าจึงทำให้เขาสามารถดูดซับพลังปราณฟ้าดินได้โดยตรง ยิ่งได้รับแรงหนุนจากจี้หยกโลหิตแล้วความสามารถในการดูดซับปราณฟ้าดินของหนิงอ้ายจึงไม่ต่างไปจากพยัคฆ์ติดปีกเสียแล้วในตอนนี้บทเวทย์โจมตีมหาบุปผชาติเหมันต์จำแลงลักษณ์!ตู้ม!สภาพอากาศโดยรอบของเขตของบทเวทย์อากาศลดลงโดยฉับพลัน ปรากฎเป็นดอกบัวเหมันต์สีขาวบริสุทธิ์ดอกใหญ่แผ่อายความเย็นจาง ๆ ไปทั่วบริเวณ ตรงด้านบนเห็นเป็นเกล็ดบัวเหมันต์หิมะที่มีไอเย็นลอยตกลงไปทั่วเขตของบทเวทย์ เมื่อตกลงถึงพื

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่​17 หย่า

    ทางฝั่งเยว่ซินหลังจากที่มีนักฆ่าเข้ามาลอบสังหารบุตรชายของนางในช่วงกลางคืนที่ผ่านมา โชคดีที่ไม่เกิดเหตุการณ์ความสูญเสียดังกล่าวขึ้น ที่น่าแปลกใจคือหนังสือจ้างวานฆ่านี้ได้ชี้ชัดว่าเป็นฝีมือของหวงลู่เอินหรือฮูหยินรองคนรักของจางเลี่ยงหวง เยว่ซินนั้นไม่มีเรื่องราวข้องเกี่ยวกับอีกฝ่ายเท่าไหร่นัก แต่หากว่าแรงจูงใจของการกระทำนี้คือนางต้องการผลักดันบุตรชายของนางขึ้นเป็นผู้สืบทอดของตระกูลแทนจางหนิงอ้ายผู้เป็นคุณชายใหญ่ของตระกูลจางสายหลักแล้วย่อมเป็นไปได้เช่นกันทั้งสิ้นแต่แล้วอย่างไรเล่า? จางเลี่ยงหวงสามีของนางก็คงไม่เชื่อต่อหลักฐานที่มีอยู่และคงเข้าข้างคนรักของตนเฉกเช่นทุกครั้ง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หนิงอ้ายถูกรังแกและโดนทำร้าย ต่อให้นางมีหลักฐานเพียงใดสามีของนางไม่เคยลงโทษหรือเอาผิดเลยซักครั้ง เยว่ซินหยิบสมุดบันทึกเล่มเก่าของตนที่อยู่ในช่องลับบนหัวเตียงขึ้นมาพร้อมกับเปิดอ่านอีกครั้งพลันย้อนคิดไปถึงอดีตเมื่อครั้งก่อนที่นางเข้ามาเป็นฮูหยินเอกของตระกูลชื่อเสียงของจางหนิงอ้ายบุตรชายของนาง ผู้คนทั้งที่อยู่ในเหตุการณ์ในพิธีปลุกพลังวิญญาณเมื่อเจ็ดปีก่อนต่างมีการร่ำลือไปอย่างเสียหาย บ้างว่าคุณชายใหญ่ห

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่​16 โชคชะตา ฟ้าลิขิต

    กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วทั้งห้อง ร่างไร้วิญญาณที่ถูกชโลมด้วยโลหิตสีแดงฉานมากมายชวนให้รู้สึกคลื่นเหียนอยู่ไม่น้อยแก่ผู้พบเห็น แต่ด้วยทุกคนในที่นี้ต่างโลดแล่นอยู่ในเส้นทางของผู้ฝึกตนเป็นเวลาหลายปี ดังนั้นย่อมเคยพบเจอเหตุการณ์ฆ่าฟันเช่นนี้ทั้งสิ้น ที่น่าแปลกใจคือหนิงอ้ายที่เป็นผู้ลงมือกระทำนั้นกลับไร้ความตกใจราวกับว่านี่เป็นสิ่งที่คุ้นชินเสียอย่างนั้น''นักฆ่าเหล่านี้แม้จะเป็นร่างไร้วิญญาณไปแล้วก็จริง แต่อย่างไรขึ้นชื่อว่าผู้ฝึกตนย่อมมีพลังลมปราณไหลเวียนอยู่ในจุดชีพจรทั่วทั้งร่างกายที่ไม่แตกต่างไปจากสัตว์อสูร หากปล่อยทิ้งเอาไว้เช่นนี้คงเสียเปล่าเป็นแน่ เช่นนั้นข้าจะนำร่างไร้วิญญาณของนักฆ่าเหล่านี้ให้กับเจียวซิ่นขอรับ...''แม้ว่าสิ่งที่หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นมาจะชวนให้ตกตะลึงในความรู้สึก เพราะการที่สัตว์อสูรในพันธะสามารถดูดซับลมปราณจากร่างไร้วิญญาณของสัตว์อสูรนั้นไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน แล้วยิ่งกับร่างไร้วิญญาณของผู้ฝึกตนเช่นนี้ย่อมไม่เคยมีผู้ใดกระทำทั้งสิ้น แต่ถึงอย่างไรคำกล่าวของหนิงอ้ายก็ไม่มีผิดถูกเช่นกันหวังฮุ่ยได้สั่งการองครักษ์ทั้งสามให้แยกย้ายกันไปเก็บกวาดร่างไร้วิญญาณของนักฆ่าสังหารที

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่​15 แขกที่ไม่ได้รับเชิญ

    หนิงอ้ายหลับตาลงพร้อมกับกำหนดลมหายใจเข้าออก พลังลมปราณฟ้าดินอันบริสุทธิ์โดยรอบที่ถูกชักนำโดยจี้หยกโลหิตส่งผลให้มวลลมปราณบริเวณนี้ต่างถูกชักนำเข้าตามจุดชีพจรไปทั่วทั้งร่างกายตามสุดยอดเคล็ดวิถี ลมปราณอันอบอุ่นวิ่งวนเข้าสู่จุดใจกลางตันเถียรไม่จบสิ้น พลังลมปราณในร่างกายที่ผ่านการเคี่ยวกรำนับสิบกว่ารอบต่างถูกอัดแน่นเป็นรากฐานบ่มเพาะที่แข็งแกร่ง วันเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนผันไปเรื่อย ๆ วันนี้ถือได้ว่าเป็นวันครบรอบอายุสิบห้าปีของจางหนิงอ้าย แน่นอนว่าทางฝั่งของนทีก็นับว่าเขาเองได้อาศัยอยู่ในร่างนี้เป็นเวลาหนึ่งปีแล้วเช่นกันหนิงอ้ายใช้เวลาไม่นานกับการจัดการตัวเอง วันนี้เขาเลือกใส่เสื้อตัวในสีขาวล้วนและเสื้อตัวนอกเป็นสีเขียวอ่อนที่ปักด้วยลวดลายใบไผ่สีเขียวมรกต เมื่อไปถึงบริเวณห้องโถงรับรองที่ตอนนี้ถูกเปลี่ยนให้เป็นงานเลี้ยงเล็ก ๆ มีท่านแม่เยว่ซิน ท่านลุงหวังฮุ่ย ท่านลุงจางปิน ท่านน้าหรันหรูที่นั่งรออยู่ แม้จะไร้เงาบิดาสารเลวในงานเลี้ยงดังกล่าวนี้ เเต่หนิงอ้ายไม่สนใจเลยสักนิดเพราะทุกคนในที่นี้ล้วนเป็นผู้ที่เขาสนิทใจทั้งสิ้น''หนิงเอ๋อร์ปีนี้เจ้าอายุครบสิบห้าปีแล้ว ตามกฎของตระกูลจางที่ปฏิบัติสืบทอดก

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่​14 อสูรราชินีแมงป่องแปดขามัจจุราช

    การเสาะหากระดูกวิญญาณได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้งในช่วงบ่ายของวันนี้ คณะเดินทางของหนิงอ้ายทั้งสี่คนต่างเดินทางกันไปเรื่อย ๆ ไม่รีบเร่ง แม้ว่าระหว่างทางจะพบเจอสัตว์อสูรจำนวนไม่น้อย แต่เพราะกลิ่นอายของผู้ฝึกตนระดับเทวะขั้นสูงที่หวังฮุ่ยปลดปล่อยออกมาในระยะสองลี้ย่อมไม่ต่างไปจากคำเตือนให้เหล่าสัตว์อสูรระดับต่ำจงหลบหลีกไปเสีย เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วจึงถือว่าการเสาะหาสัตว์อสูรที่เหมาะสมจึงเป็นไปอย่างราบรื่นยิ่งก่อนหน้านี้หนิงอ้ายได้ประสานร่างกายเข้ากับกระดูกวิญญาณล้านปีของอสรพิษเหมันต์บรรพกาล นอกจากกระดูกวิญญาณชิ้นนี้จะแปรเปลี่ยนเป็นทักษะวิญญาณยุทธ์ที่สามให้แก่เขาแล้ว ยังคงมีเงื่อนไขสำคัญคือการเสาะหากระดูกวิญญาณจากสัตว์อสูรสังกัดปราณธาตุพิษดูดซับประสานเข้ากับร่างกายเพื่อให้กระดูกวิญญาณชิ้นแรกนี้มีความสมบูรณ์พร้อมด้วยทักษะตามที่ควรจะเป็นหนิงอ้ายตั้งใจดูดซับกระดูกวิญญาณให้กับวิญญาณยุทธ์ที่สองอันเป็นปราณธาตุน้ำนี้เสียก่อน สำหรับวิญญาณยุทธ์ปราณธาตุไฟรวมไปถึงวิญญาณยุทธ์ที่สามเขาไม่จำเป็นต้องสังหารสัตว์อสูรเป็นจำนวนมากเพื่อเติมเต็มให้กระดูกวิญญาณของทั้งสามวิญญาณยุทธ์ในตอนนี้ เพราะนอกจากกระดูกวิญญาณล้าน

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่13 ปะทะราชสีห์สัตตะโลหิตสีคราม

    เช้าวันใหม่มาถึงคณะเดินทางของหนิงอ้ายทั้งสี่คนต่างรีบเร่งออกเดินทางกันแต่เช้าตรู่ จุดหมายคือเขตป่าชั้นกลางของเทือกเขาหมื่นอสูรวิญญาณ เนื่องจากบริเวณป่าชั้นนอกจะมีเพียงสัตว์อสูรทั่วไปหรือสัตว์อสูรปฐพีเท่านั้น หากเข้าสู่เขตป่าชั้นกลางเป็นต้นไปจึงจะพบเจอสัตว์อสูรนภาขั้นต่ำหรือขั้นกลางและหากโชคดีมากพออาจได้พบเจอสัตว์อสูรนภาขั้นสูงก็เป็นไปได้เช่นกัน สำหรับสัตว์อสูรมายาขั้นต่ำเป็นต้นไป สัตว์อสูรเหล่านี้จัดได้ว่าเป็นสัตว์อสูรระดับสูงที่มีความนึกคิด อีกทั้งยังเปี่ยมไปด้วยพละกำลังที่แข็งแกร่ง สามารถใช้ปราณธาตุของตนโจมตีผู้บุกรุกในอาณาเขตของตน อาจพบเห็นได้บ้างตามแนวรอยต่อของป่าชั้นกลางติดกับเขตป่าชั้นในกระจัดกระจายกันไปทั่วทั้งพื้นที่แห่งนี้ ระหว่างทางพวกเขาต่างพบเจอกับสัตว์อสูรไปไม่น้อย แต่เพราะยังมีอายุที่ไม่เหมาะสม อีกครั้งความสามารถยังเข้าไม่ได้กับวิญญาณยุทธ์ของพวกเขาทั้งสอง เห็นได้ว่าการเสาะหากระดูกวิญญาณนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด อายุของสัตว์อสูรจะสังเกตได้จากสีของพลังวิญญาณที่แผ่ซ่านออกมา จะเป็นสีเดียวกันกับพลังวิญญาณ แม้จะเป็นเผ่าพันธ์เดียวกันแต่มีอายุต่างก

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่​12 ออกเดินทางล่าสัตว์อสูร

    เนตรแห่งสวรรค์ของหนิงอ้ายหลังจากได้รับแรงกระตุ้นจากการดูดซับกระดูกวิญญาณของอสรพิษเหมันต์บรรพกาลไป หนิงอ้ายพบว่าความสามารถในการมองเห็นและการรับรู้ของเขาในตอนนี้อยู่เหนือกว่าผู้ฝึกตนในเขตขั้นเดียวกันอย่างชัดเจน รายละเอียดเล็กน้อย ข้อมูลต่าง ๆ รวมไปถึงทุกการเคลื่อนไหวในรัศมีหนึ่งลี้ไม่อาจถูกปกปิดจากสายตาหรือการรับรู้ของเขาได้ คล้ายกับว่าความสามารถทั้งหมดในโลกเดิมของเขาที่เคยใช้ได้จะถูกยกระดับเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว“หนิงเอ๋อร์ เจ้าแน่ใจใช่หรือไม่ที่จะเดินทางไปกับผู้อาวุโสหวังฮุ่ยไปยังเทือกเขาหมื่นอสูรวิญญาณในครั้งนี้?” เยว่ซินถามหนิงอ้ายอีกครั้ง แม้นางจะรู้ดีว่าด้วยระดับขุนนางวิญญาณของเด็กหนุ่มย่อมสามารถเอาตัวรอดได้อย่างไม่ยาก แต่นางยังรู้สึกเป็นกังวลเพราะอีกฝ่ายไม่เคยออกจากเขตพื้นที่เมืองหลวงนี้เสียด้วยซ้ำ“ขอรับท่านแม่ ข้ากับลู่ซีจะติดตามท่านลุงฮุ่ยไปยังเทือกเขาหมื่นอสูรวิญญาณเพื่อฝึกฝนประสบการณ์และเสาะหากระดูกวิญญาณแรกด้วยขอรับ!!” หนิงอ้ายตอบไปด้วยความมั่นใจ“เช่นนั้นแล้วแต่เจ้า รบกวนผู้อาวุโสหวังฮุ่ยดูแลทั้งสองคนด้วยนะเจ้าคะ...” เยว่ซินพูดออกมา“คุณหนูอย่าได้กังวลข้าจะดูแลคุณชายหนิงอ้าย

Scan code to read on App
DMCA.com Protection Status