มองจากด้านนอกของหอประมูลพยัคฆ์รัตติกาลว่ามีพื้นที่กว้างขวางแล้ว ชั้นใต้ดินด้านล่างก็มีพื้นที่มากมายไปไม่แตกต่างกันเสียด้วยซ้ำ เพราะตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามาในบริเวณหนิงอ้ายก็พบว่าทั้งชั้นใต้ดินนี้มีที่คุมขังสัตว์อสูรมากมาย แน่นอนว่ากรงขังต่าง ๆ เหล่านี้ต่างถูกกำกับด้วยบทเวทย์ป้องกันและบทเวทย์ที่ใช้ข่มพลังของสัตว์อสูรโดยเฉพาะ
นอกจากนั้นยังมีกรงเหล็กขนาดน้อยใหญ่แตกต่างกันไปที่มีการจำแนกสัตว์อสูรเป็นประเภทของแต่ละปราณธาตุสังกัด ด้วยความที่ผู้ฝึกตนสามารถทำการผูกพันธะกับสัตว์อสูรซึ่งอาจจะเพียงแค่หนึ่งครั้งในชีวิต ดังนั้นการเลือกสัตว์อสูรรับใช้ดังกล่าวผู้ฝึกตนจะเลือกโดยการอิงตามปราณธาตุที่ตนเองถนัดเพื่อจะเป็นประโยชน์ในการต่อสู้ของตนเองมากที่สุด
“แล้วต้องมีพลังวิญญาณระดับใดกันจึงจะสามารถทำการผูกพันธะกับสัตว์อสูรได้?” หนิงอ้ายถามกลับลู่ซีไปอีกครั้ง
“ความจริงแล้วผู้ฝึกตนระดับแรกเริ่มหรือระดับก่อเกิดวิญญาณก็สามารถทำการผูกพันธะกับสัตว์อสูรได้แล้วขอรับ แต่เงื่อนไขคือสามารถทำได้เพียงหนึ่งครั้งเท่านั้นจนกว่าจะมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งซึ่งคือผู้ผูกพันธะหรือสัตว์อสูรได้ตายลงไป ที่สำคัญคือขึ้นอยู่กับสัตว์อสูรว่าจะยินยอมให้ผูกพันธะหรือไม่? แต่ก็มีไม่น้อยที่ผู้ฝึกตนระดับสูงจะบังคับสัตว์อสูรระดับที่ด้อยกว่าให้ยินยอมผูกพันธะกับตนก็มีให้เห็นขอรับ...” ลู่ซีเอ่ยตอบข้อสงสัย
“ท่านผู้ดูแล ไม่ทราบว่าที่นี่มีสัตว์อสูรระดับมายาหรือไม่ขอรับ?” หนิงอ้ายคิดว่าเพื่อไม่เป็นการเสียเวลาในการหาสัตว์อสูรรับใช้อย่างคาดเดาก็ควรสอบถามไปให้รู้เสียเลยดีกว่า
“…” บุรุษชุดดำที่ถูกหนิงอ้ายถามนั้นหาได้ตอบสิ่งใด ร่างกายสูงใหญ่ได้หันประจันหน้ามองเด็กหนุ่มอย่างไม่ละสายตา
“ท่านผู้ดูแล คุณชายของข้าถามว่าที่นี่มีสัตว์อสูรระดับมายาหรือไม่?” ลู่ซีถามย้ำชายหนุ่มตรงหน้าไป เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมัวแต่จดจ้องคุณชายของตน
“ไม่มี...สำหรับสัตว์อสูรระดับมายาแม้จะเป็นระดับต่ำก็ยังไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะคร่ากุมได้ นาน ๆ ครั้งเมื่อพบเจอจึงจะเปิดการประมูลสัตว์อสูรระดับนี้...” ชายหนุ่มคนดังกล่าวตอบไป โดยที่ไม่ละลายตาไปจากหนิงอ้าย ในใจคิดว่าคนผู้นี้น่าสนใจยิ่งนัก กริยาท่าทางคล้ายดั่งคุณชายน้อยที่ได้รับการอบรมจากตระกูลใหญ่ แต่กลับไม่ใช้อำนาจข่มขู่ผู้คนที่มีฐานะด้อยกว่าและให้เกียรติผู้อื่นอีกด้วย แม้จะเข้าใจฐานะของเขาผิดไปก็ตาม...
“ขอบคุณท่านขอรับ...” ลู่ซีเป็นฝ่ายตอบกลับและพยักหน้าด้วยความเข้าใจ ก่อนที่จะเดินนำหนิงอ้ายไปยังกรงขังอสูรในสังกัดปราณธาตุน้ำ เนื่องจากว่าท่านเยว่ซินมารดาของคุณชายไม่ต้องการให้ความสามารถเกี่ยวกับปราณสุริยะธาตุของคุณชายได้รับรู้โดยทั่วไป ดังนั้นการเลือกอสูรรับใช้ในสังกัดปราณธาตุน้ำจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
“สงสัยข้าต้องกลับเรือนมือเปล่าเป็นแน่...” หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นกับลู่ซีด้วยความอ่อนใจ เพราะผ่านไปนับชั่วยามแล้วเขายังไม่ถูกใจสัตว์อสูรตัวไหนเลย
“อย่าพึ่งถอดใจ ตรงด้านในสุดยังมีสัตว์อสูรอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่ปรากฏทราบถึงประเภทและไม่รู้ว่าอยู่สังกัดปราณธาตุ ดังนั้นสัตว์อสูรเหล่านี้จึงรอเพียงวันเวลาที่จะขายไปทั้งสำหรับการนำไปใช้แรงงานหรือถูกขายไปยังเหลาอาหารต่างๆ ที่ต้องการเนื้อสัตว์อสูร สนใจลองไปดูก่อนดีหรือไม่?” ชายหนุ่มที่เดินตามติดมานั้นเอ่ยขึ้นราวกับต้องการหาทางออกในปัญหานี้ พร้อมกับเดินนำไปยังบริเวณกรงขังดังกล่าวที่อยู่ไปไม่ไกล
“นั่นเป็นสัตว์อสูรเช่นกันนั้นรึ?” หนิงอ้ายเอ่ยถามชายหนุ่มที่คิดว่าเป็นผู้ดูแลในส่วนนี้ไปอย่างสงสัย เนื่องจากว่าตรงด้านหน้าเขามีกรงขังในนั้นมีอะไรบางอย่างยืนต้นอยู่ไม่คล้ายกับสัตว์อสูรเลยแม้เเต่น้อย
“เป็นเช่นนั้น ทางผู้เชี่ยวชาญของทางหอประมูลไม่สามารถที่จะระบุได้ว่าเป็นสัตว์อสูรหรือไม่...”
หนิงอ้ายมองเข้าไปก็เห็นเป็นสิ่งที่คล้ายคลึงกับต้นไม้ยืนต้นไร้ใบที่มีลำต้นสูงใหญ่กว่าตัวเขาไปอีกช่วงตัว เมื่อมองไปยังจุดตรงกลางคล้ายกับว่าเห็นดวงตาของมันที่มองมาที่ตนด้วยความสิ้นหวังโดดเดี่ยวคล้ายกับยอมรับในโชคชะตาของตน เมื่อคิดเช่นนี้หนิงอ้ายพลันรู้สึกเจ็บปวดอยู่ในใจอย่างบอกไม่ถูก
“ข้าตัดสินใจได้แล้ว ข้าต้องการซื้อสัตว์อสูรตัวนี้!!” หนิงอ้ายขอเชื่อในความรู้สึกของตนเอง พร้อมกับบอกชายหนุ่มที่ย้ายฝั่งมายืนข้างตนโดยที่ไม่ทันสังเกต
“คุณชายขอรับ! ข้าว่า...” เสียงของลู่ซีดังขึ้นด้วยความตกใจ
“ข้าตัดสินใจดีแล้ว ต่อให้มันไม่ใช่สัตว์อสูรหรือเป็นเพียงต้นไม้ธรรมดาข้าก็จะดูแลมันให้ดีที่สุด...” หนิงอ้ายยกยิ้มเล็กน้อย เพราะเนตรแห่งสวรรค์ได้ส่งข้อมูลบางอย่างให้เขารับรู้
“หากเจ้าต้องการสัตว์อสูรตัวนี้ เช่นนั้นข้ามอบให้โดยไม่คิดเงิน...” ชายหนุ่มคนเดิมเอ่ยขึ้นพร้อมกับจ้องมองใบหน้าของหนิงอ้าย ได้ยินคำตอบอันมุ่งมั่นเขายิ่งถูกใจเด็กหนุ่มมากยิ่งขึ้นและต้องการที่จะยกเจ้าสิ่งนี้ให้โดยไม่คิดเงิน เพราะอย่างไรเขาก็ไม่ได้สนใจเจ้าตัวนี้อยู่แล้ว
“ได้อย่างไรเล่าของซื้อของขายเช่นนี้ ท่านโปรดคิดเงินตามปกติเป็นการดีที่สุด” หนิงอ้ายตอบกลับไปด้วยความเกรงใจ
หลังจากที่เด็กหนุ่มทั้งสองคนพร้อมกับสัตว์อสูรได้ออกไปจากหอประมูลพยัคฆ์คำรามแล้ว ใบหน้าเรียบนิ่งของชายหนุ่มได้ยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย พร้อมกับเอ่ยออกมาเบา ๆ
เสี่ยวไป๋ทู่ตัวน้อย ช่างน่าสนใจเสียจริง...
“นายท่าน!!” ชายหนุ่มชุดดำหันไปด้านหลังตามเสียงเรียก เห็นเป็นชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง พินิจจากเสื้อผ้าที่สวมใส่แล้วคล้ายคลึงกับกับผู้ดูแลประจำหอประมูลแห่งนี้ เพียงแต่เนื้อผ้าที่สวมใส่เป็นผ้าเนื้อดีหายาก บ่งบอกได้ถึงฐานะไม่ธรรมดา
“ขออภัยนายท่านขอรับ ไม่ทราบว่าท่านเดินทางมาถึงแล้วจึงไม่ได้ให้การต้อนรับอย่างเหมาะสม!” ชายวัยกลางคนดังกล่าว ยกมือประสานโค้งตัวลงด้วยความนอบน้อม นายท่านผู้นี้หาใช่ผู้ที่ล่วงเกินได้
“ช่างเถอะ ข้าเพียงผ่านมาเจอสิ่งที่น่าสนใจแถวนี้เพียงเท่านั้น ของที่ข้าให้เตรียมไว้เรียบร้อยหรือไม่?” ชายหนุ่มถามกลับไป
“ทุกอย่างเรียบร้อยครบถ้วนตามที่นายท่านต้องการ เชิญนายท่านขึ้นไปพักผ่อนที่ชั้นห้าก่อนขอรับ” ไม่รอให้อีกฝ่ายเชื้อเชิญไปมากกว่านี้ ชายหนุ่มมุ่งตรงไปยังชั้นดังกล่าวทันที ในใจยังคงครุ่นคิดถึงเด็กหนุ่มที่พึ่งจากไปเมื่อครู่...
ใช้เวลาไม่นานจากหอประมูลพยัคฆ์รัตติกาลก็เข้าสู่เขตพื้นที่ของตระกูลจาง เมื่อมาถึงเรือนท้ายจวนก็พบว่าเยว่ซินกำลังยืนรออยู่โดยที่ใบหน้างามของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความเป็นห่วง แต่เมื่อเห็นว่าทุกคนปลอดภัยไร้ซึ่งรอยขีดข่วนนางจึงโล่งใจในที่สุด จากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้มารดาของตนได้ฟังว่าวันนี้เขาได้เลือกซื้อสิ่งใดมาบ้าง เมื่อพูดถึงสัตว์อสูรที่ได้ซื้อมาจากหอประมูล ในตอนแรกเยว่ซินก็มีท่าทีที่ไม่เห็นด้วยและต้องการให้หนิงอ้ายกลับไปซื้อสัตว์อสูรตัวใหม่แทนเสีย
หนิงอ้ายได้เอ่ยปฏิเสธไปพร้อมกับให้เหตุผลไปว่าเขารู้สึกถูกชะตากับสัตว์อสูรตัวนี้และเชื่อมั่นในการตัดสินใจของตน แม้ว่าท้ายที่สุดแล้วอาจไม่สามารถผูกพันธะได้ ถึงอย่างไรเขาก็เต็มใจที่จะดูแลอีกฝ่ายให้ดีที่สุด และหนิงอ้ายจึงขอให้หวังฮุ่ยสอนตนผูกพันธะกับสัตว์อสูรโดยที่มีเยว่ซินกับลู่ซียืนให้กำลังใจอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก
“แล้วการผูกพันธะกับสัตว์อสูรต้องทำอย่างไรหรือขอรับท่านลุงฮุ่ย??”
“นายน้อยจะต้องร่ายบทเวทย์ผูกพันธะสัตว์อสูรออกมาเสียก่อน จากนั้นจึงใช้เลือดของนายน้อยและสัตว์อสูรนำมาหยดในวงเวทย์ที่ได้ร่ายขึ้น แม้ไม่ได้ซับซ้อนแต่ก็ไม่ได้ง่ายดายเนื่องจากมีอักขระเวทย์เฉพาะที่ต้องออกพลังลมปราณเป็นจำนวนมากในคราวเดียว แต่ข้าเชื่อว่านายน้อยสามารถจดจำและร่ายบทเวทย์นี้ออกมาได้อย่างแน่นอน”
“เช่นนั้นรบกวนท่านลุงฮุ่ยสอนข้าด้วยขอรับ...”
หนิงอ้ายใช้เวลาประมาณเกือบครึ่งชั่วยามในการศึกษาและลองร่ายบทเวทย์ผูกพันธะสัตว์อสูรนี้ และด้วยไม่รู้ว่าสัตว์อสูรที่ได้ซื้อมาเป็นอสูรระดับใด ดังนั้นหวังฮุ่ยจึงต้องการให้หนิงอ้ายจดจำและร่ายบทเวทย์ผูกพันธะสัตว์อสูรให้ออกมาสมบูรณ์แบบที่สุดเพื่อป้องการความผิดพลาดที่ไม่ควรเกิดขึ้นมาได้ ซึ่งหนิงอ้ายคิดว่าบทเวทย์ผูกพันธะสัตว์อสูรนี้ไม่ได้มีความยุ่งยากหรือซับซ้อนมากเท่าที่คิดไว้
“ท่านลุงฮุ่ย ข้าจำบทเวทย์ผูกพันธะได้แล้วขอรับ!”
แม้จะตกตะลึงในพรสวรรค์นายน้อยของตนเพราะว่าหนิงอ้ายสามารถจดจำรูปแบบของวงเวทย์นี้ได้โดยใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยามเสียด้วยซ้ำอย่างไรหวังฮุ่ยยังคงแนะนำต่อไป “เช่นนั้นนายน้อยปล่อยพลังวิญญาณออกมาพร้อมกับร่ายบทเวทย์ขอรับ...”
“เข้าใจแล้ว!” หนิงอ้ายพยักหน้าตอบกลับจากนั้นจึงทำการปล่อยพลังวิญญาณออกมาในที่สุด
พรึบ!
รัศมีแสงสีน้ำเงินเข้มประกายได้ปรากฏตรงด้านหลังของหนิงอ้ายแสดงให้เห็นถึงระดับสูงสุดของผู้ใช้ปราณธาตุน้ำก่อนที่จะสลายหายไป ไม่รอช้าให้เสียเวลาไปมากกว่านี้หนิงอ้ายได้เริ่มร่ายบทเวทย์ผูกพันธะสัตว์อสูรออกมาด้วยสมาธิที่ตั้งมั่น เมื่อวงแหวนเวทย์ผูกพันธะได้ปรากฎขึ้นตรงพื้นยืนเป็นรัศมีแสงสีทองน้ำเงินที่ล้อมรอบด้วยอักขระเวทย์ที่เปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายของความศักดิ์สิทธิ์โบราณ
จากนั้นหนิงอ้ายจึงใช้พลังลมปราณเปลี่ยนให้มีความคมดั่งมีดแล้วกรีดลงเกิดเป็นหยดเลือดตรงปลายนิ้วแล้วหยดลงไปในวงแหวนเวทย์ดังกล่าว ก่อนที่ตรงด้านหน้าของหนิงอ้ายปรากฏเป็นสัตว์อสูรรูปลักษณ์ภายนอกคล้ายกับต้นไม้โบราณไร้ซึ่งก้านใบ ความสูงในตอนนี้ถูกปรับลดลงมาเหลือขนาดประมาณสองเมตรเพียงเท่านั้น สำหรับบาดแผลต่าง ๆ ที่เขาเห็นว่าได้รับบาดเจ็บก่อนหน้า ในตอนนี้ถูกรักษาจนหายดีแล้วเนื่องจากหนิงอ้ายสามารถประทับตราผูกพันธะได้สำเร็จตามขั้นตอนที่ถูกต้อง
ข้อมูลของสัตว์อสูรที่ปรากฏในห้วงของการรับรู้ทำให้หนิงอ้ายเข้าใจแล้วว่าเหตุใดก่อนหน้านี้ทางหอประมูลพยัคฆ์รัตติกาลหรือแม้กระทั่งผู้ฝึกตนระดับสูงที่เชี่ยวชาญยังไม่สามารถตรวจสอบสิ่งใดได้ เนื่องจากเป็นเพราะความพิเศษของเผ่าพันธุ์สัตว์อสูร มหาพฤกษารัตนะทมิฬ ที่เป็นสัตว์อสูรปราณธาตุไม้ที่เชี่ยวชาญในการปกป้องควบคุมเป็นอย่างยิ่ง ถึงแม้ว่าสัตว์อสูรปราณธาตุไม้จะไม่นิยมนำมาผูกพันธะเนื่องจากผู้ฝึกตนส่วนมากจะมุ่งเน้นสัตว์อสูรปราณธาตุอื่นที่สนับสนุนการโจมตีได้ แต่ข้อจำกัดนี้กลับไม่ใช่สัตว์อสูรตัวนี้ที่เขาพึ่งทำการผูกพันธะไปอย่างแน่นอน
“จากนี้เป็นต้นไปเจ้าจะเป็นสัตว์วิญญาณในพันธะหนึ่งเดียวของข้า สำหรับนามของเจ้าคือ เจียวซิ่น หมายถึง ‘ความศรัทธาที่อ่อนโยน’ เจ้าชอบหรือไม่?” หนิงอ้ายถามอีกฝ่ายไปเพื่อความแน่ใจ และคล้ายกับว่าเจียวซิ่นจะเข้าใจที่สิ่งหนิงอ้ายถามเพราะได้ตอบกลับด้วยการขยับส่วนช่วงบนตัวไปหนึ่งครั้ง
“ข้าจะดูแลเจ้าให้ดีที่สุดและเจ้าไม่ใช่แค่อสูรรับใช้เท่านั้นเพราะเจ้าจะเป็นดั่งสหายคนสำคัญของข้า เจ้าก็เช่นกันนะลู่ซี...” หนิงอ้ายบอกกับเจียวซิ่นและลู่ซีไปพร้อมกันสำหรับลู่ซีนั้นเปรียบเสมือนเพื่อนคนแรกของเขาและเจียวซิ่นก็เป็นอสูรรับใช้ของเขาในโลกนี้เช่นกันเมื่อลู่ซีได้ยินก็พลันตื้นตันอยู่ในใจ
“หนิงเอ๋อร์ตั้งชื่อว่าเจียวซิ่นอย่างนั้นรึ? ช่างมีความหมายที่ดีเลยทีเดียว...” เย่วซินยกยิ้มเล็กน้อยเมื่อสัมผัสความสดใสที่แผ่ออกมาจนสัมผัสได้ของเด็กหนุ่มในใจของนางรู้สึกขอบคุณสวรรค์และโชคชะตาที่ทำให้บุตรของนางได้กลับมามีความสุขอีกครั้ง
“เจียวซิ่นเป็นสัตว์อสูรเผ่าพันธุ์มหาพฤกษารัตนะทมิฬซึ่งเป็นสัตว์อสูรปราณธาตุไม้ และด้วยความพิเศษทางสายเลือดจึงไม่สามารถมีผู้ใดหรือบทเวทย์ใดตรวจสอบอีกฝ่ายได้เนื่องจากเจียวซิ่นมีพลังป้องกันที่แข็งแกร่งมาก ที่สำคัญคือเจียวซิ่นเป็นสัตว์อสูรที่มีปราณธาตุไม้ผันแปร ซึ่งเท่ากับว่าปราณธาตุที่สามารถใช้ได้จะขึ้นอยู่กับนายแห่งพันธะที่ครอบครองอยู่เช่นกันขอรับ” หนิงอ้ายบอกถึงความสามารถเฉพาะของเจียวซิ่นให้กับทุกคนในที่นี้ได้ล่วงรู้ไปพร้อมกัน“ไม่คิดเลยว่าสัตว์อสูรปราณธาตุไม้จะมากไปด้วยความสามารถเช่นนี้...” หวังฮุ่ยเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงชื่นชม ทางฝั่งของเยว่ซินกับลู่ซีต่างมีความเห็นตรงกันว่าช่างเป็นโชคดีของหนิงอ้ายที่สามารถผูกพันธะกับสัตว์อสูรหายากเช่นนี้ได้
“สัตว์อสูรที่พึ่งถูกประทับตราผูกพันธะไปยังต้องใช้เวลาไม่น้อยในการปรับสมดุลในร่างกาย เช่นนั้นนายน้อยให้เจียวซิ่นกลับเข้าไปพักผ่อนในห้วงจิตเถอะขอรับ...”“มาเถอะเจียวซิ่นเจ้าต้องรีบเพิ่มระดับพลังให้เร็วที่สุดจะได้พูดคุยคลายเหงากันบ้าง” หนิงอ้ายเอ่ยด้วยรอยยิ้มก่อนที่จะเรียกตัวเจียวซิ่นให้กลับเข้าไปในห้วงจิตในทันที
“ท่านลุงฮุ่ยเเล้วการเพิ่มระดับพลังของเจียวซิ่นต้องทำอย่างไรหรือขอรับ?” หนิงอ้ายถามหวังฮุ่ยไปอีกครั้ง
“อสูรรับใช้ทุกประเภทจะมีการเพิ่มระดับพลังเช่นเดียวกันกับผู้ฝึกตนนั่นคือการดูดซับผลึกธาตุ อีกทั้งอสูรรับใช้ในพันธะจะมีการใช้ลมปราณจากร่างกายของผู้ฝึกตนผู้เป็นเจ้านายในการเพิ่มระดับด้วยเช่นกัน...” หวังฮุ่ยอธิบายให้หนิงอ้ายเข้าใจง่าย ๆ
หลังจากทุกอย่างเสร็จไปด้วยดีแล้วทุกคนในที่นี้จึงแยกย้ายกันไปพักผ่อนในห้องพักในเรื่องของตน สำหรับหนิงอ้ายยังคงใช้เวลาทั้งคืนไปกับการดูดซับปราณฟ้าดินเหมือนดังเช่นทุกคืนที่ผ่านมา โดยที่ไม่ทันได้สังเกตว่าตลอดหลายเดือนมานี้จี้หยกทับทิมที่เขาใส่อยู่นั้นได้ส่งผลให้ความหนาแน่นของลมปราณฟ้าดินโดยรอบของเรือนท้ายจวนหลังนี้มีความเข้มข้นเป็นอย่างมากหลายเท่า อีกทั้งปริมาณการดูดซับปราณฟ้าดินเหล่านี้ที่เข้าในร่างกายก็มีปริมาณที่เพิ่มมากขึ้น ด้วยเพราะต่างถูกนำไปหล่อเลี้ยงสัตว์อสูรสังกัดปราณธาตุไม้ผันแปรที่มีความลึกล้ำในสายเลือดพิศดาร รวมไปพลังของสายเลือดอันแข็งแกร่งที่ยังหลับไหลอยู่ในขณะนี้แต่ก็คล้ายกับว่าอีกไม่นานก็จะตื่นขึ้นแล้วเช่นกัน..
หนิงอ้ายคอยเอาใจใส่เจียวซิ่นเฉกเช่นลูกน้อยของตนก็คงไม่เกินจริง ทั้งคอยสรรหาผลึกธาตุอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้เจียวซิ่นได้เลื่อนระดับขั้นถัดไปได้อย่างมั่นคง ด้วยพันธะระหว่างพวกเขาจึงทำให้หนิงอ้ายได้รับรู้เพิ่มเติมว่าเเท้ที่จริงเเล้วเจียวซิ่นสามารถเลื่อนระดับได้สูงสุดผันแปรไปตามระดับพลังวิญญาณของนายแห่งพันธะหรือตัวของหนิงอ้ายได้ เท่ากับว่าหากเขาสามารถเลื่อนระดับเป็นผู้ฝึกตนขุนนางวิญญาณได้เมื่อไหร่เจียวซิ่นก็จะเป็นสัตว์อสูรระดับนภาขั้นกลางในทันทีเช่นกัน
“เจ้าคิดว่าหากผู้ฝึกตนสามารถกินเนื้อสัตว์อสูรเพื่อเพิ่มระดับพลังวิญญาณได้ เช่นนั้นสัตว์อสูรเล่าสามารถทำได้บ้างหรือไม่?” หนิงอ้ายถามลู่ซีถึงความเป็นไปได้ในสิ่งที่เขาคิด
“ข้าว่าสามารถลองให้เจียวซิ่นกินดูก่อนได้ขอรับไม่เสียหายอันใดขอรับ บางทีสำหรับเจ้าเจียวซิ่นที่ไม่เหมือนกับสัตรอสูรตัวอื่น ดังนั้นการเพิ่มระดับพลังก็อาจจะแตกต่างออกไปได้เช่นกัน”
“เช่นนั้นข้าขอไปตลาดเพื่อซื้อเนื้อสัตว์อสูรมาให้เจียวซิ่นนะขอรับ” ลู่ซีบอกกับหนิงอ้ายก่อนที่จะใช้วิชาตัวเบาย่างก้าวทะยานหมื่นลี้ที่ตอนนี้ใช้ได้อย่างเชี่ยวชาญ อีกทั้งลู่ซีเองก็ต้องการทราบความลับนี้ไม่ต่างกันว่าสามารถเป็นไปได้หรือไม่
“เนื่องจากไปในเวลาค่ำเช่นนี้จึงได้ซากสัตว์อสูรระดับปฐพีมาเพียงหนึ่งตัว...” ลู่ซีว่าพลางเรียกออกมาจากแหวนเก็บของของตนแล้ววางไปตรงหน้าของของเจียวซิ่น
ตรงพื้นโดยรอบของเจียวซิ่นปรากฎเป็นกับดักบุปผามรณะที่ส่วนยอดด้านบนมีลักษณะเหมือนกับส่วนประกบเปิดปิดที่เต็มไปด้วยส่วนของฟันแหลมที่ในตอนนี้ได้โน้มลงมางับร่างไร้วิญญาณของสัตว์อสูรด้วยความรวดเร็ว เสียงฉีกกระชากดังขึ้นชวนให้รู้สึกดูสยองเพราะคมเขี้ยวมีความคมเป็นอย่างมากสามารถตัดเนื้อเป็นชิ้นใหญ่ไปได้เพียงคำเดียว ทั้งหนิงอ้ายและลู่ซีต่างมองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ดูท่าเเล้วเจ้าเจียวซิ่นดูจะชอบอาหารเช่นนี้มาก เเต่ทว่าจะส่งผลไปถึงการเลื่อนระดับขั้นถัดไปได้โดยจะเป็นไปตามที่พวกเขาคิดไว้หรือไม่ คงต้องอาศัยการให้อาหารแก่อีกฝ่ายเช่นนี้อย่างต่อเนื่องเเล้วกันจึงจะเห็นผล
“เอาละเจียวซิ่นเมื่อเจ้ากินหมดแล้วเจ้าเข้าไปในห้วงจิตเพื่อพักผ่อนเสีย” ส่วนของลำต้นเจียวซิ่นขยับโค้งลงเล็กน้อยแล้วหายเข้าไปในมิติจิตของหนิงอ้ายทันที…
ยอมรับตามตรงว่าก่อนหน้านี้มีหลายครั้งที่นทีได้แต่ครุ่นคิดอยู่ในใจ ว่าเพราะอะไรทำไมเขาถึงได้มาอยู่ในโลกใบนี้ได้กัน หรืออาจเป็นเพราะหนิงอ้ายคนเก่าต้องการให้เขาแก้แค้นอย่างนั้นหรือ? แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่ เพราะตัวเขาไม่เคยสัมผัสได้ถึงความรู้สึกในแง่ลบเหล่านี้เลยสักนิด เจ้าของร่างเดิมยังคงเด็กเกินไปจึงมีแต่ความอ่อนโยนจิตใจดี ซึ่งมันแตกต่างไม่ใช่ตัวเขาเป็นอย่างมากเลยทีเดียวนทีเมื่อได้รับโอกาสที่ได้มีชีวิตใหม่อีกครั้ง มีเยว่ซินผู้เป็นมารดาที่รักและเป็นห่วงเขาอยู่เสมอ ผู้อาวุโสหวังฮุ่ยที่เสียสละเวลาสั่งสอนความรู้อย่างไม่หวงแหน ลู่ซีที่เปรียบเสมือนเพื่อนสนิท ไหนจะเจ้าเจียวซิ่นที่เขารักเอ็นดูเหมือนลูกน้อยคนหนึ่ง ดังนั้นเขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้นกว่านี้เพื่อที่จะปกป้องคนที่เขารักได้ ในตอนนี้เขาสามารถใช้เคล็ดวิชาย่างก้าวทะยานหมื่นลี้ได้อย่างคล่องแคล่วและมีความคุ้นชินกว่าเดิมมาก ยิ่งเมื่อเขาได้นำมาประสานเข้ากับศิลปะการต่อสู้จากโลกเดิมที่เขาคุ้นเคยแล้ว เวลาได้ฝึกซ้อมกับผู้อาวุโสหวังฮุ่ยกับเหล่าองครักษ์คนอื่น ๆ แม้เขาจะเสียเปรียบในด้านร่างกายแต่ทว่าสิ่งที่เขานำมาพลิกแพลงในตอนนี้กลับสามารถช่วงชิงความได้เป
เป็นเวลาเกือบหนึ่งปีที่นทีได้ใช้ชีวิตในนามของจางหนิงอ้าย อีกเพียงไม่กี่วันอายุของร่างนี้ก็ใกล้ครบสิบห้าปีแล้ว แต่จางเลี่ยงหวงผู้เป็นบิดากลับไม่สนใจในสิ่งเหล่านี้ราวกับว่าเด็กหนุ่มไม่มีตัวตนในตระกูลเสียอย่างนั้น แต่แล้วอย่างไรเล่า? เพราะตัวของนทีเองก็ไม่ได้ยอมรับอีกฝ่ายในฐานะบิดาของเจ้าของร่างเช่นกัน…“อีกสามเดือนข้างหน้าจะมีงานประลองที่ทางแคว้นเต่าดำรับเป็นเจ้าภาพในครั้งนี้ จากนั้นอีกเพียงหนึ่งเดือนแต่ละสำนักศึกษาจะเปิดรับศิษย์ใหม่เข้าสังกัด ข้าจึงขออนุญาตจากท่านแม่ในการเข้าร่วมลงประลองครั้งนี้เพื่อลบล้างคำครหาที่ว่าเป็นเพียงสวะของตระกูลซึ่งนั่นหาใช่ความจริงไม่ อีกทั้งข้ายังอยากเข้าทดสอบของสำนักศึกษาด้วยขอรับ!!” หนิงอ้ายบอกกับเยว่ซินถึงความต้องการของตน“มารดาล้วนตามใจเจ้าทั้งสิ้น เรื่องเข้าสำนักศึกษาเอาไว้เจ้าขอคำแนะนำจากท่านตาดีหรือไม่ ว่าสุดท้ายแล้วจะเลือกเข้าทดสอบสำนักศึกษาใดจึงจะเหมาะสมกับเจ้ามากที่สุด...” เยว่ซินตอบรับคำขอนี้ พร้อมกับลูบหัวของอีกฝ่ายด้วยความรักใคร่“เจ้าจะเข้าร่วมงานประลองนี้กับข้าด้วยใช่หรือไม่??” หนิงอ้ายลู่ซีขึ้น“เป็นเช่นนั้นขอรับ...” ลู่ซีที่สามารถตัดผ่านเป็
เนตรแห่งสวรรค์ของหนิงอ้ายหลังจากได้รับแรงกระตุ้นจากการดูดซับกระดูกวิญญาณของอสรพิษเหมันต์บรรพกาลไป หนิงอ้ายพบว่าความสามารถในการมองเห็นและการรับรู้ของเขาในตอนนี้อยู่เหนือกว่าผู้ฝึกตนในเขตขั้นเดียวกันอย่างชัดเจน รายละเอียดเล็กน้อย ข้อมูลต่าง ๆ รวมไปถึงทุกการเคลื่อนไหวในรัศมีหนึ่งลี้ไม่อาจถูกปกปิดจากสายตาหรือการรับรู้ของเขาได้ คล้ายกับว่าความสามารถทั้งหมดในโลกเดิมของเขาที่เคยใช้ได้จะถูกยกระดับเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว“หนิงเอ๋อร์ เจ้าแน่ใจใช่หรือไม่ที่จะเดินทางไปกับผู้อาวุโสหวังฮุ่ยไปยังเทือกเขาหมื่นอสูรวิญญาณในครั้งนี้?” เยว่ซินถามหนิงอ้ายอีกครั้ง แม้นางจะรู้ดีว่าด้วยระดับขุนนางวิญญาณของเด็กหนุ่มย่อมสามารถเอาตัวรอดได้อย่างไม่ยาก แต่นางยังรู้สึกเป็นกังวลเพราะอีกฝ่ายไม่เคยออกจากเขตพื้นที่เมืองหลวงนี้เสียด้วยซ้ำ“ขอรับท่านแม่ ข้ากับลู่ซีจะติดตามท่านลุงฮุ่ยไปยังเทือกเขาหมื่นอสูรวิญญาณเพื่อฝึกฝนประสบการณ์และเสาะหากระดูกวิญญาณแรกด้วยขอรับ!!” หนิงอ้ายตอบไปด้วยความมั่นใจ“เช่นนั้นแล้วแต่เจ้า รบกวนผู้อาวุโสหวังฮุ่ยดูแลทั้งสองคนด้วยนะเจ้าคะ...” เยว่ซินพูดออกมา“คุณหนูอย่าได้กังวลข้าจะดูแลคุณชายหนิงอ้าย
เช้าวันใหม่มาถึงคณะเดินทางของหนิงอ้ายทั้งสี่คนต่างรีบเร่งออกเดินทางกันแต่เช้าตรู่ จุดหมายคือเขตป่าชั้นกลางของเทือกเขาหมื่นอสูรวิญญาณ เนื่องจากบริเวณป่าชั้นนอกจะมีเพียงสัตว์อสูรทั่วไปหรือสัตว์อสูรปฐพีเท่านั้น หากเข้าสู่เขตป่าชั้นกลางเป็นต้นไปจึงจะพบเจอสัตว์อสูรนภาขั้นต่ำหรือขั้นกลางและหากโชคดีมากพออาจได้พบเจอสัตว์อสูรนภาขั้นสูงก็เป็นไปได้เช่นกัน สำหรับสัตว์อสูรมายาขั้นต่ำเป็นต้นไป สัตว์อสูรเหล่านี้จัดได้ว่าเป็นสัตว์อสูรระดับสูงที่มีความนึกคิด อีกทั้งยังเปี่ยมไปด้วยพละกำลังที่แข็งแกร่ง สามารถใช้ปราณธาตุของตนโจมตีผู้บุกรุกในอาณาเขตของตน อาจพบเห็นได้บ้างตามแนวรอยต่อของป่าชั้นกลางติดกับเขตป่าชั้นในกระจัดกระจายกันไปทั่วทั้งพื้นที่แห่งนี้ ระหว่างทางพวกเขาต่างพบเจอกับสัตว์อสูรไปไม่น้อย แต่เพราะยังมีอายุที่ไม่เหมาะสม อีกครั้งความสามารถยังเข้าไม่ได้กับวิญญาณยุทธ์ของพวกเขาทั้งสอง เห็นได้ว่าการเสาะหากระดูกวิญญาณนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด อายุของสัตว์อสูรจะสังเกตได้จากสีของพลังวิญญาณที่แผ่ซ่านออกมา จะเป็นสีเดียวกันกับพลังวิญญาณ แม้จะเป็นเผ่าพันธ์เดียวกันแต่มีอายุต่างก
การเสาะหากระดูกวิญญาณได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้งในช่วงบ่ายของวันนี้ คณะเดินทางของหนิงอ้ายทั้งสี่คนต่างเดินทางกันไปเรื่อย ๆ ไม่รีบเร่ง แม้ว่าระหว่างทางจะพบเจอสัตว์อสูรจำนวนไม่น้อย แต่เพราะกลิ่นอายของผู้ฝึกตนระดับเทวะขั้นสูงที่หวังฮุ่ยปลดปล่อยออกมาในระยะสองลี้ย่อมไม่ต่างไปจากคำเตือนให้เหล่าสัตว์อสูรระดับต่ำจงหลบหลีกไปเสีย เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วจึงถือว่าการเสาะหาสัตว์อสูรที่เหมาะสมจึงเป็นไปอย่างราบรื่นยิ่งก่อนหน้านี้หนิงอ้ายได้ประสานร่างกายเข้ากับกระดูกวิญญาณล้านปีของอสรพิษเหมันต์บรรพกาล นอกจากกระดูกวิญญาณชิ้นนี้จะแปรเปลี่ยนเป็นทักษะวิญญาณยุทธ์ที่สามให้แก่เขาแล้ว ยังคงมีเงื่อนไขสำคัญคือการเสาะหากระดูกวิญญาณจากสัตว์อสูรสังกัดปราณธาตุพิษดูดซับประสานเข้ากับร่างกายเพื่อให้กระดูกวิญญาณชิ้นแรกนี้มีความสมบูรณ์พร้อมด้วยทักษะตามที่ควรจะเป็นหนิงอ้ายตั้งใจดูดซับกระดูกวิญญาณให้กับวิญญาณยุทธ์ที่สองอันเป็นปราณธาตุน้ำนี้เสียก่อน สำหรับวิญญาณยุทธ์ปราณธาตุไฟรวมไปถึงวิญญาณยุทธ์ที่สามเขาไม่จำเป็นต้องสังหารสัตว์อสูรเป็นจำนวนมากเพื่อเติมเต็มให้กระดูกวิญญาณของทั้งสามวิญญาณยุทธ์ในตอนนี้ เพราะนอกจากกระดูกวิญญาณล้าน
หนิงอ้ายหลับตาลงพร้อมกับกำหนดลมหายใจเข้าออก พลังลมปราณฟ้าดินอันบริสุทธิ์โดยรอบที่ถูกชักนำโดยจี้หยกโลหิตส่งผลให้มวลลมปราณบริเวณนี้ต่างถูกชักนำเข้าตามจุดชีพจรไปทั่วทั้งร่างกายตามสุดยอดเคล็ดวิถี ลมปราณอันอบอุ่นวิ่งวนเข้าสู่จุดใจกลางตันเถียรไม่จบสิ้น พลังลมปราณในร่างกายที่ผ่านการเคี่ยวกรำนับสิบกว่ารอบต่างถูกอัดแน่นเป็นรากฐานบ่มเพาะที่แข็งแกร่ง วันเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนผันไปเรื่อย ๆ วันนี้ถือได้ว่าเป็นวันครบรอบอายุสิบห้าปีของจางหนิงอ้าย แน่นอนว่าทางฝั่งของนทีก็นับว่าเขาเองได้อาศัยอยู่ในร่างนี้เป็นเวลาหนึ่งปีแล้วเช่นกันหนิงอ้ายใช้เวลาไม่นานกับการจัดการตัวเอง วันนี้เขาเลือกใส่เสื้อตัวในสีขาวล้วนและเสื้อตัวนอกเป็นสีเขียวอ่อนที่ปักด้วยลวดลายใบไผ่สีเขียวมรกต เมื่อไปถึงบริเวณห้องโถงรับรองที่ตอนนี้ถูกเปลี่ยนให้เป็นงานเลี้ยงเล็ก ๆ มีท่านแม่เยว่ซิน ท่านลุงหวังฮุ่ย ท่านลุงจางปิน ท่านน้าหรันหรูที่นั่งรออยู่ แม้จะไร้เงาบิดาสารเลวในงานเลี้ยงดังกล่าวนี้ เเต่หนิงอ้ายไม่สนใจเลยสักนิดเพราะทุกคนในที่นี้ล้วนเป็นผู้ที่เขาสนิทใจทั้งสิ้น''หนิงเอ๋อร์ปีนี้เจ้าอายุครบสิบห้าปีแล้ว ตามกฎของตระกูลจางที่ปฏิบัติสืบทอดก
กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วทั้งห้อง ร่างไร้วิญญาณที่ถูกชโลมด้วยโลหิตสีแดงฉานมากมายชวนให้รู้สึกคลื่นเหียนอยู่ไม่น้อยแก่ผู้พบเห็น แต่ด้วยทุกคนในที่นี้ต่างโลดแล่นอยู่ในเส้นทางของผู้ฝึกตนเป็นเวลาหลายปี ดังนั้นย่อมเคยพบเจอเหตุการณ์ฆ่าฟันเช่นนี้ทั้งสิ้น ที่น่าแปลกใจคือหนิงอ้ายที่เป็นผู้ลงมือกระทำนั้นกลับไร้ความตกใจราวกับว่านี่เป็นสิ่งที่คุ้นชินเสียอย่างนั้น''นักฆ่าเหล่านี้แม้จะเป็นร่างไร้วิญญาณไปแล้วก็จริง แต่อย่างไรขึ้นชื่อว่าผู้ฝึกตนย่อมมีพลังลมปราณไหลเวียนอยู่ในจุดชีพจรทั่วทั้งร่างกายที่ไม่แตกต่างไปจากสัตว์อสูร หากปล่อยทิ้งเอาไว้เช่นนี้คงเสียเปล่าเป็นแน่ เช่นนั้นข้าจะนำร่างไร้วิญญาณของนักฆ่าเหล่านี้ให้กับเจียวซิ่นขอรับ...''แม้ว่าสิ่งที่หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นมาจะชวนให้ตกตะลึงในความรู้สึก เพราะการที่สัตว์อสูรในพันธะสามารถดูดซับลมปราณจากร่างไร้วิญญาณของสัตว์อสูรนั้นไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน แล้วยิ่งกับร่างไร้วิญญาณของผู้ฝึกตนเช่นนี้ย่อมไม่เคยมีผู้ใดกระทำทั้งสิ้น แต่ถึงอย่างไรคำกล่าวของหนิงอ้ายก็ไม่มีผิดถูกเช่นกันหวังฮุ่ยได้สั่งการองครักษ์ทั้งสามให้แยกย้ายกันไปเก็บกวาดร่างไร้วิญญาณของนักฆ่าสังหารที
ทางฝั่งเยว่ซินหลังจากที่มีนักฆ่าเข้ามาลอบสังหารบุตรชายของนางในช่วงกลางคืนที่ผ่านมา โชคดีที่ไม่เกิดเหตุการณ์ความสูญเสียดังกล่าวขึ้น ที่น่าแปลกใจคือหนังสือจ้างวานฆ่านี้ได้ชี้ชัดว่าเป็นฝีมือของหวงลู่เอินหรือฮูหยินรองคนรักของจางเลี่ยงหวง เยว่ซินนั้นไม่มีเรื่องราวข้องเกี่ยวกับอีกฝ่ายเท่าไหร่นัก แต่หากว่าแรงจูงใจของการกระทำนี้คือนางต้องการผลักดันบุตรชายของนางขึ้นเป็นผู้สืบทอดของตระกูลแทนจางหนิงอ้ายผู้เป็นคุณชายใหญ่ของตระกูลจางสายหลักแล้วย่อมเป็นไปได้เช่นกันทั้งสิ้นแต่แล้วอย่างไรเล่า? จางเลี่ยงหวงสามีของนางก็คงไม่เชื่อต่อหลักฐานที่มีอยู่และคงเข้าข้างคนรักของตนเฉกเช่นทุกครั้ง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หนิงอ้ายถูกรังแกและโดนทำร้าย ต่อให้นางมีหลักฐานเพียงใดสามีของนางไม่เคยลงโทษหรือเอาผิดเลยซักครั้ง เยว่ซินหยิบสมุดบันทึกเล่มเก่าของตนที่อยู่ในช่องลับบนหัวเตียงขึ้นมาพร้อมกับเปิดอ่านอีกครั้งพลันย้อนคิดไปถึงอดีตเมื่อครั้งก่อนที่นางเข้ามาเป็นฮูหยินเอกของตระกูลชื่อเสียงของจางหนิงอ้ายบุตรชายของนาง ผู้คนทั้งที่อยู่ในเหตุการณ์ในพิธีปลุกพลังวิญญาณเมื่อเจ็ดปีก่อนต่างมีการร่ำลือไปอย่างเสียหาย บ้างว่าคุณชายใหญ่ห
ขบวนรถม้าเดินทางยังคงดำเนินไปอย่างไม่รีบร้อน จุดหมายปลายทางคือจวนตระกูลหวังที่ตั้งอยู่ในมหานครแคว้นเต่าดำแห่งนี้ ตลอดเส้นทางเดินรถม้าได้ตัดผ่านหมู่บ้านน้อยใหญ่มากมาย สิ่งหนึ่งที่หนิงอ้ายสังเกตคือยิ่งเข้าใกล้ใจกลางมหานครแคว้นเต่าดำมากเท่าใดความเจริญรุ่งเรืองของบ้านเมืองรวมไปถึงความคึกคักของตลาดเเลกเปลี่ยนสินค้าก็จะเพิ่มขึ้นไปเท่านั้น''ตรงด้านหน้าจะเป็นตลาดเมืองหลวงก่อนถึงจวนตระกูลหวัง หนิงอ้าย ลู่ซี เจ้าทั้งสองจะแวะก่อนหรือไม่?'' เยว่ซินเอ่ยถามเด็กหนุ่มทั้งสอง เพราะหากพ้นเขตตลาดเมืองหลวงนี้ไปอีกเพียงไม่ถึงเค่อก็จะถึงจวนตระกูลหวังเเล้ว''แวะขอรับท่านเเม่ ข้าจะหาซื้อของฝากติดไม้ติดมือให้ท่านตาและท่านยายด้วยขอรับ!'' หนิงอ้ายตอบมารดาไปในทันที ในโลกเดิมของเขาสำหรับการเข้าพบปะผู้อาวุโสที่มีอายุมากกว่า ตามมารยาทที่พึงกระทำแล้วผู้น้อยควรมีของฝากติดมือไปฝากเสมอ เป็นการเเสดงถึงความเคารพให้เกียรตินั่นเองนับว่าผิดจากหนิงอ้ายเคยคิดไว้ไปเสียมาก มหานครแคว้นเต่าดำนี้มีพื้นที่กว้างขวางใหญ่โตเป็นอย่างมาก อาคารบ้านเรือนสองข้างทางดูโอ่อ่าอลังการดูเเล้วเจริญหูเจริญตาเป็นอย่างมาก ถนนหนทางจากทุกมุมเมืองที่
ตระกูลหวังเป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของแคว้นเต่าดำซึ่งถือได้ว่าเป็นอีกแคว้นใหญ่ที่มีความสำคัญเป็นอย่างมากเนื่องจากตั้งอยู่บริเวณใจกลางของมหาทวีปบูรพา จึงทำให้รอบด้านทั้งสี่ทิศของแคว้นมีอาณาเขตติดกับอีกสามแคว้นใหญ่ที่เหลือ แคว้นเต่าดำมีรูปแบบการปกครองที่ชัดเจนโดยเเบ่งออกเป็นสิบมณฑลใหญ่มีเมืองสาขาหรือเมืองในการปกครองในเเต่ละมณฑลมากกว่าสิบเมืองในการดูเเล ทั้งสิบมณฑลใหญ่อยู่ในการปกครองส่วนกลางของแคว้นเรียกว่ามหานครแคว้นเต่าดำหากกล่าวให้เข้าใจด้วยง่ายคือแคว้นเต่าดำประกอบไปด้วยเมืองน้อยใหญ่นับร้อยเมือง มีหมู่บ้านอย่างมากมายกระจายกันไปทั่วทั้งแคว้น ต้องบอกว่าเเต่ละเมืองหาได้มีความเจริญเทียบเท่ากันไม่ เพราะบางเมืองมีอาณาเขตติดกับแคว้นอื่นมักจะเป็นเมืองที่ขึ้นชื่อเป็นจุดเเลกเปลี่ยนสินค้า หรือบางเมืองยังคงรักษาขนบธรรมเนียมปฏิบัติกันมาอย่างช้านานนับว่าเป็นเสน่ห์ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน เเต่กับสิบมณฑลใหญ่ที่มีการปกครองดูเเลเมืองในรับผิดชอบของตนมักจะมีความเจริญและมีพื้นที่กว้างขวางเป็นอย่างมาก ด้วยเพราะผู้ปกครองมณฑลดังกล่าวมักจะเป็นเหล่าบรรดาผู้มีศักดิ์เป็นอ๋องเป็นเชื้อพระวงศ์นั่นเองคณะเดินทางของหนิงอ้
ด้านหลังของหนิงอ้ายปรากฏเป็นวงแหวนเวทย์สีน้ำเงินเข้มแสดงถึงผู้ฝึกตนปราณธาตุน้ำระดับสาม ในตอนนี้เขากำลังเร่งทำการยกระดับพลังวิญญาณให้ข้ามผ่านขั้นย่อยให้ได้ในเร็ววัน เพราะหากยิ่งมีระดับพลังวิญญาณเพิ่มขึ้นมากเท่าใด เขาก็จะสามารถปกป้องตัวเองและท่านแม่เพิ่มขึ้นได้เท่านั้นสำหรับราชทินนามจักรพรรดิวิญญาณขั้นสามัญกับระยะเวลาเพียงหนึ่งปีเช่นนี้ นับได้ว่าหนิงอ้ายไม่ต่างไปจากอัจฉริยะคงไม่เกินจริงไปนัก ต้องบอกว่าเด็กหนุ่มโชคดีอย่างมากที่ได้ศึกษาเคล็ดวิชาลับตระกูลหวัง จึงทำให้สามารถขยายจุดตันเถียรได้รองรับและขยายเส้นปราณทั่วร่างกายเพิ่มการดูดซับพลังปราณมากกว่าคนอื่นหลายเท่าจึงทำให้เขาสามารถดูดซับพลังปราณฟ้าดินได้โดยตรง ยิ่งได้รับแรงหนุนจากจี้หยกโลหิตแล้วความสามารถในการดูดซับปราณฟ้าดินของหนิงอ้ายจึงไม่ต่างไปจากพยัคฆ์ติดปีกเสียแล้วในตอนนี้บทเวทย์โจมตีมหาบุปผชาติเหมันต์จำแลงลักษณ์!ตู้ม!สภาพอากาศโดยรอบของเขตของบทเวทย์อากาศลดลงโดยฉับพลัน ปรากฎเป็นดอกบัวเหมันต์สีขาวบริสุทธิ์ดอกใหญ่แผ่อายความเย็นจาง ๆ ไปทั่วบริเวณ ตรงด้านบนเห็นเป็นเกล็ดบัวเหมันต์หิมะที่มีไอเย็นลอยตกลงไปทั่วเขตของบทเวทย์ เมื่อตกลงถึงพื
ทางฝั่งเยว่ซินหลังจากที่มีนักฆ่าเข้ามาลอบสังหารบุตรชายของนางในช่วงกลางคืนที่ผ่านมา โชคดีที่ไม่เกิดเหตุการณ์ความสูญเสียดังกล่าวขึ้น ที่น่าแปลกใจคือหนังสือจ้างวานฆ่านี้ได้ชี้ชัดว่าเป็นฝีมือของหวงลู่เอินหรือฮูหยินรองคนรักของจางเลี่ยงหวง เยว่ซินนั้นไม่มีเรื่องราวข้องเกี่ยวกับอีกฝ่ายเท่าไหร่นัก แต่หากว่าแรงจูงใจของการกระทำนี้คือนางต้องการผลักดันบุตรชายของนางขึ้นเป็นผู้สืบทอดของตระกูลแทนจางหนิงอ้ายผู้เป็นคุณชายใหญ่ของตระกูลจางสายหลักแล้วย่อมเป็นไปได้เช่นกันทั้งสิ้นแต่แล้วอย่างไรเล่า? จางเลี่ยงหวงสามีของนางก็คงไม่เชื่อต่อหลักฐานที่มีอยู่และคงเข้าข้างคนรักของตนเฉกเช่นทุกครั้ง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หนิงอ้ายถูกรังแกและโดนทำร้าย ต่อให้นางมีหลักฐานเพียงใดสามีของนางไม่เคยลงโทษหรือเอาผิดเลยซักครั้ง เยว่ซินหยิบสมุดบันทึกเล่มเก่าของตนที่อยู่ในช่องลับบนหัวเตียงขึ้นมาพร้อมกับเปิดอ่านอีกครั้งพลันย้อนคิดไปถึงอดีตเมื่อครั้งก่อนที่นางเข้ามาเป็นฮูหยินเอกของตระกูลชื่อเสียงของจางหนิงอ้ายบุตรชายของนาง ผู้คนทั้งที่อยู่ในเหตุการณ์ในพิธีปลุกพลังวิญญาณเมื่อเจ็ดปีก่อนต่างมีการร่ำลือไปอย่างเสียหาย บ้างว่าคุณชายใหญ่ห
กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วทั้งห้อง ร่างไร้วิญญาณที่ถูกชโลมด้วยโลหิตสีแดงฉานมากมายชวนให้รู้สึกคลื่นเหียนอยู่ไม่น้อยแก่ผู้พบเห็น แต่ด้วยทุกคนในที่นี้ต่างโลดแล่นอยู่ในเส้นทางของผู้ฝึกตนเป็นเวลาหลายปี ดังนั้นย่อมเคยพบเจอเหตุการณ์ฆ่าฟันเช่นนี้ทั้งสิ้น ที่น่าแปลกใจคือหนิงอ้ายที่เป็นผู้ลงมือกระทำนั้นกลับไร้ความตกใจราวกับว่านี่เป็นสิ่งที่คุ้นชินเสียอย่างนั้น''นักฆ่าเหล่านี้แม้จะเป็นร่างไร้วิญญาณไปแล้วก็จริง แต่อย่างไรขึ้นชื่อว่าผู้ฝึกตนย่อมมีพลังลมปราณไหลเวียนอยู่ในจุดชีพจรทั่วทั้งร่างกายที่ไม่แตกต่างไปจากสัตว์อสูร หากปล่อยทิ้งเอาไว้เช่นนี้คงเสียเปล่าเป็นแน่ เช่นนั้นข้าจะนำร่างไร้วิญญาณของนักฆ่าเหล่านี้ให้กับเจียวซิ่นขอรับ...''แม้ว่าสิ่งที่หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นมาจะชวนให้ตกตะลึงในความรู้สึก เพราะการที่สัตว์อสูรในพันธะสามารถดูดซับลมปราณจากร่างไร้วิญญาณของสัตว์อสูรนั้นไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน แล้วยิ่งกับร่างไร้วิญญาณของผู้ฝึกตนเช่นนี้ย่อมไม่เคยมีผู้ใดกระทำทั้งสิ้น แต่ถึงอย่างไรคำกล่าวของหนิงอ้ายก็ไม่มีผิดถูกเช่นกันหวังฮุ่ยได้สั่งการองครักษ์ทั้งสามให้แยกย้ายกันไปเก็บกวาดร่างไร้วิญญาณของนักฆ่าสังหารที
หนิงอ้ายหลับตาลงพร้อมกับกำหนดลมหายใจเข้าออก พลังลมปราณฟ้าดินอันบริสุทธิ์โดยรอบที่ถูกชักนำโดยจี้หยกโลหิตส่งผลให้มวลลมปราณบริเวณนี้ต่างถูกชักนำเข้าตามจุดชีพจรไปทั่วทั้งร่างกายตามสุดยอดเคล็ดวิถี ลมปราณอันอบอุ่นวิ่งวนเข้าสู่จุดใจกลางตันเถียรไม่จบสิ้น พลังลมปราณในร่างกายที่ผ่านการเคี่ยวกรำนับสิบกว่ารอบต่างถูกอัดแน่นเป็นรากฐานบ่มเพาะที่แข็งแกร่ง วันเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนผันไปเรื่อย ๆ วันนี้ถือได้ว่าเป็นวันครบรอบอายุสิบห้าปีของจางหนิงอ้าย แน่นอนว่าทางฝั่งของนทีก็นับว่าเขาเองได้อาศัยอยู่ในร่างนี้เป็นเวลาหนึ่งปีแล้วเช่นกันหนิงอ้ายใช้เวลาไม่นานกับการจัดการตัวเอง วันนี้เขาเลือกใส่เสื้อตัวในสีขาวล้วนและเสื้อตัวนอกเป็นสีเขียวอ่อนที่ปักด้วยลวดลายใบไผ่สีเขียวมรกต เมื่อไปถึงบริเวณห้องโถงรับรองที่ตอนนี้ถูกเปลี่ยนให้เป็นงานเลี้ยงเล็ก ๆ มีท่านแม่เยว่ซิน ท่านลุงหวังฮุ่ย ท่านลุงจางปิน ท่านน้าหรันหรูที่นั่งรออยู่ แม้จะไร้เงาบิดาสารเลวในงานเลี้ยงดังกล่าวนี้ เเต่หนิงอ้ายไม่สนใจเลยสักนิดเพราะทุกคนในที่นี้ล้วนเป็นผู้ที่เขาสนิทใจทั้งสิ้น''หนิงเอ๋อร์ปีนี้เจ้าอายุครบสิบห้าปีแล้ว ตามกฎของตระกูลจางที่ปฏิบัติสืบทอดก
การเสาะหากระดูกวิญญาณได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้งในช่วงบ่ายของวันนี้ คณะเดินทางของหนิงอ้ายทั้งสี่คนต่างเดินทางกันไปเรื่อย ๆ ไม่รีบเร่ง แม้ว่าระหว่างทางจะพบเจอสัตว์อสูรจำนวนไม่น้อย แต่เพราะกลิ่นอายของผู้ฝึกตนระดับเทวะขั้นสูงที่หวังฮุ่ยปลดปล่อยออกมาในระยะสองลี้ย่อมไม่ต่างไปจากคำเตือนให้เหล่าสัตว์อสูรระดับต่ำจงหลบหลีกไปเสีย เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วจึงถือว่าการเสาะหาสัตว์อสูรที่เหมาะสมจึงเป็นไปอย่างราบรื่นยิ่งก่อนหน้านี้หนิงอ้ายได้ประสานร่างกายเข้ากับกระดูกวิญญาณล้านปีของอสรพิษเหมันต์บรรพกาล นอกจากกระดูกวิญญาณชิ้นนี้จะแปรเปลี่ยนเป็นทักษะวิญญาณยุทธ์ที่สามให้แก่เขาแล้ว ยังคงมีเงื่อนไขสำคัญคือการเสาะหากระดูกวิญญาณจากสัตว์อสูรสังกัดปราณธาตุพิษดูดซับประสานเข้ากับร่างกายเพื่อให้กระดูกวิญญาณชิ้นแรกนี้มีความสมบูรณ์พร้อมด้วยทักษะตามที่ควรจะเป็นหนิงอ้ายตั้งใจดูดซับกระดูกวิญญาณให้กับวิญญาณยุทธ์ที่สองอันเป็นปราณธาตุน้ำนี้เสียก่อน สำหรับวิญญาณยุทธ์ปราณธาตุไฟรวมไปถึงวิญญาณยุทธ์ที่สามเขาไม่จำเป็นต้องสังหารสัตว์อสูรเป็นจำนวนมากเพื่อเติมเต็มให้กระดูกวิญญาณของทั้งสามวิญญาณยุทธ์ในตอนนี้ เพราะนอกจากกระดูกวิญญาณล้าน
เช้าวันใหม่มาถึงคณะเดินทางของหนิงอ้ายทั้งสี่คนต่างรีบเร่งออกเดินทางกันแต่เช้าตรู่ จุดหมายคือเขตป่าชั้นกลางของเทือกเขาหมื่นอสูรวิญญาณ เนื่องจากบริเวณป่าชั้นนอกจะมีเพียงสัตว์อสูรทั่วไปหรือสัตว์อสูรปฐพีเท่านั้น หากเข้าสู่เขตป่าชั้นกลางเป็นต้นไปจึงจะพบเจอสัตว์อสูรนภาขั้นต่ำหรือขั้นกลางและหากโชคดีมากพออาจได้พบเจอสัตว์อสูรนภาขั้นสูงก็เป็นไปได้เช่นกัน สำหรับสัตว์อสูรมายาขั้นต่ำเป็นต้นไป สัตว์อสูรเหล่านี้จัดได้ว่าเป็นสัตว์อสูรระดับสูงที่มีความนึกคิด อีกทั้งยังเปี่ยมไปด้วยพละกำลังที่แข็งแกร่ง สามารถใช้ปราณธาตุของตนโจมตีผู้บุกรุกในอาณาเขตของตน อาจพบเห็นได้บ้างตามแนวรอยต่อของป่าชั้นกลางติดกับเขตป่าชั้นในกระจัดกระจายกันไปทั่วทั้งพื้นที่แห่งนี้ ระหว่างทางพวกเขาต่างพบเจอกับสัตว์อสูรไปไม่น้อย แต่เพราะยังมีอายุที่ไม่เหมาะสม อีกครั้งความสามารถยังเข้าไม่ได้กับวิญญาณยุทธ์ของพวกเขาทั้งสอง เห็นได้ว่าการเสาะหากระดูกวิญญาณนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด อายุของสัตว์อสูรจะสังเกตได้จากสีของพลังวิญญาณที่แผ่ซ่านออกมา จะเป็นสีเดียวกันกับพลังวิญญาณ แม้จะเป็นเผ่าพันธ์เดียวกันแต่มีอายุต่างก
เนตรแห่งสวรรค์ของหนิงอ้ายหลังจากได้รับแรงกระตุ้นจากการดูดซับกระดูกวิญญาณของอสรพิษเหมันต์บรรพกาลไป หนิงอ้ายพบว่าความสามารถในการมองเห็นและการรับรู้ของเขาในตอนนี้อยู่เหนือกว่าผู้ฝึกตนในเขตขั้นเดียวกันอย่างชัดเจน รายละเอียดเล็กน้อย ข้อมูลต่าง ๆ รวมไปถึงทุกการเคลื่อนไหวในรัศมีหนึ่งลี้ไม่อาจถูกปกปิดจากสายตาหรือการรับรู้ของเขาได้ คล้ายกับว่าความสามารถทั้งหมดในโลกเดิมของเขาที่เคยใช้ได้จะถูกยกระดับเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว“หนิงเอ๋อร์ เจ้าแน่ใจใช่หรือไม่ที่จะเดินทางไปกับผู้อาวุโสหวังฮุ่ยไปยังเทือกเขาหมื่นอสูรวิญญาณในครั้งนี้?” เยว่ซินถามหนิงอ้ายอีกครั้ง แม้นางจะรู้ดีว่าด้วยระดับขุนนางวิญญาณของเด็กหนุ่มย่อมสามารถเอาตัวรอดได้อย่างไม่ยาก แต่นางยังรู้สึกเป็นกังวลเพราะอีกฝ่ายไม่เคยออกจากเขตพื้นที่เมืองหลวงนี้เสียด้วยซ้ำ“ขอรับท่านแม่ ข้ากับลู่ซีจะติดตามท่านลุงฮุ่ยไปยังเทือกเขาหมื่นอสูรวิญญาณเพื่อฝึกฝนประสบการณ์และเสาะหากระดูกวิญญาณแรกด้วยขอรับ!!” หนิงอ้ายตอบไปด้วยความมั่นใจ“เช่นนั้นแล้วแต่เจ้า รบกวนผู้อาวุโสหวังฮุ่ยดูแลทั้งสองคนด้วยนะเจ้าคะ...” เยว่ซินพูดออกมา“คุณหนูอย่าได้กังวลข้าจะดูแลคุณชายหนิงอ้าย