Home / แฟนตาซี / บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ / บทที่4 ก้าวแรกของผู้ฝึกตน

Share

บทที่4 ก้าวแรกของผู้ฝึกตน

หนิงอ้ายนั่งมองฝูงปลาที่กำลังแหวกว่ายอยู่ในสระบัวท่ามกลางบรรยากาศยามเช้าเงียบสงบ ผมสีดำสนิทเปล่งประกายเงางามถูกมัดรวบด้วยผ้าผูกสีขาวเพียงครึ่งปล่อยส่วนที่เหลือให้ยาวสยายจรดกลางหลัง เส้นผมบางส่วนหลุดลุ่ยไปตามกรอบหน้าเรียวมนรูปไข่ที่คล้ายคลึงกับมารดาไปมากถึงเก้าในสิบส่วน ดวงตาเรียวหงส์ประกายความซุกซนสดใส ริมฝีปากบางรูปกระจับสีชมพูระเรื่อ จมูกเรียวโด่งรับกับใบหน้างดงามราวกับเป็นเซียนหญิงคงไม่เกินจริงไปนัก

“หนิงเอ๋อร์ แน่ใจใช่หรือไม่ว่าหายดีแล้ว? แม่เป็นห่วงเจ้ายิ่งนัก” เย่วซินถามขึ้นพร้อมกับเดินไปหาบุตรชายที่นั่งอยู่ในศาลาริมสระบัวข้างเรือน

“ข้าหายดีแล้วท่านแม่ อีกทั้งยังรู้สึกแข็งแรงขึ้นมากกว่าเดิมด้วยขอรับ...” หนิงอ้ายตอบกลับไปเพื่อให้อีกฝ่ายคลายความกังวลก่อนตัดสินใจเอ่ยในสิ่งที่ได้ครุ่นคิดมาอย่างดีแล้วในตลอดหนึ่งเดือนนี้

“ท่านคิดเห็นอย่างไรหากว่าข้าอยากเป็นผู้ฝึกตนและต้องการปลุกพลังวิญญาณขอรับ?”

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเอ่ยสิ่งใดออกมา?” เย่วซินที่ได้ยินจึงถามกลับไปด้วยความประหลาดใจ เพราะหลังจากที่เด็กหนุ่มไม่สามารถปลุกพลังวิญญาณได้ในตอนอายุเจ็ดปีบุตรชายของนางก็ไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องนี้เลยสักครั้ง ตลอดหลายปีมานี้อีกฝ่ายได้ทุ่มเทเวลาทั้งหมดไปกับการศึกษาตำราสมุนไพรรวมไปถึงตำราศาสตร์ความรู้ในด้านอื่น

“ข้าปล่อยตัวเองให้จมอยู่กับคำดูถูกตลอดเวลาหลายปีนี้ไปอย่างน่าเสียดาย ข้าไม่อาจหลบซ่อนตัวอยู่ภายใต้ร่มเงาการปกป้องของท่านแม่หรือตระกูลหวังไปตลอดชีวิตได้...”

“แม้ว่าจะต้องแลกด้วยความเจ็บปวดเจียนตาย เจ้าก็ยินดีอย่างนั้นรึ?” เยว่ซินจ้องเข้าไปในดวงตาของบุตรชายอันเป็นที่รัก พร้อมกับถามกลับไปด้วยความจริงจัง

“ข้ามิกลัวขอรับ! ในยุทธภพแห่งนี้ผู้ที่แข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะได้รับการยอมรับนับถือเหนือผู้คน ต่อให้เส้นทางผู้ฝึกตนของข้าอาจจะเริ่มต้นช้าหรือมีอุปสรรคขัดขวางมากกว่าผู้อื่น ไม่ว่าจะต้องทนทุกข์จากความเจ็บปวดมากเพียงใดก็จะมุ่งมั่นอดทน ข้าเชื่อว่าผลลัพธ์จากความเพียรพยายามต้องออกมาดีเป็นแน่...”

”ท่านแม่ได้โรดสนับสนุนข้าด้วยขอรับ!” หนิงอ้ายเอ่ยออกมาพร้อมกับคุกเข่าตรงหน้ามารดาของตนด้วยสายตามั่นคงแน่วแน่กับสิ่งที่ตนเอ่ยขึ้น

เยว่ซินที่เห็นหนิงอ้ายคุกเข่าคำนับพร้อมกับใบหน้าจริงจังที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น นางรู้สึกภูมิใจในบุตรชายเป็นอย่างมาก หลังจากที่เด็กหนุ่มหายจากอาการป่วยเมื่อหนึ่งเดือนก่อน ดูเหมือนว่าในครั้งนี้ร่างกายได้ฟื้นฟูขึ้นจนเห็นได้ชัด ใบหน้าที่เคยซีดเซียวหม่นหมองได้ถูกแทนที่ด้วยใบหน้าสดใสเฉกเช่นคนสุขภาพดี ในตอนนี้อีกฝ่ายดูมีความสุขและมีชีวิตชีวาที่มากยิ่งขึ้นเหมาะสมกับวัยยิ่ง

แม้ว่าสิ่งที่หนิงอ้ายได้ร้องขอจะทำให้นางเป็นห่วงแต่ด้วยเหตุผลหลายสิ่งอย่างที่ประกอบกันแล้ว สิ่งที่เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นมาล้วนเป็นจริงทั้งสิ้น ตัวของนางเองและตระกูลหวังย่อมไม่สามารถปกป้องอีกฝ่ายไปได้ตลอดดังว่า อีกทั้งในตอนนี้หากนางจะกล่าวห้ามอะไรคงไม่ทันแล้วเป็นแน่เพราะเจ้าตัวคงใช้เวลาหลายวันคิดตัดสินใจถี่ถ้วนดีแล้วจึงเอ่ยออกมาเช่นนี้

เส้นทางของผู้ฝึกตนนับว่าเป็นสิ่งหนึ่งที่ผู้คนธรรมดาทั่วไปล้วนต้องการผลักดันตัวเองเข้าสู่วิถีนี้ ด้วยถือว่าเป็นตัวตนที่ทรงเกียรติน่าเกรงขาม ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกตนระดับขั้นต่ำที่สุดหรือจะระดับไหนก็นับว่าเป็นหน้าเป็นตาให้กับตระกูลอย่างแท้จริง

ผู้ฝึกตนล้วนมีพลังวิญญาณต้นกำเนิดกันทั้งสิ้น ขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของพลังวิญญาณในร่างกายซึ่งแบ่งออกเป็นสิบขั้นย่อยในแต่ละระดับและมีทั้งหมดสิบห้าขั้นใหญ่ ทันทีที่สามารถปลุกพลังวิญญาณได้สำเร็จจะถูกเรียกขานว่าผู้ฝึกตน สำหรับวิญญาณยุทธ์จะตื่นขึ้นก็ต่อเมื่อพลังวิญญาณเข้าสู่ระดับที่สิบเอ็ดเป็นต้นไป ในเขตขั้นนี้สามารถสังหารสัตว์อสูรเพื่อช่วงชิงกระดูกวิญญาณเข้าประสานกับร่างกายได้ โดยที่ผู้ฝึกตนจะมีราชทินนามหรือคำเรียกขานตัวตนดังนี้

ราชทินนามก่อเกิดวิญญาณระดับ 1-10

ราชทินนามขุนพลวิญญาณระดับ 11-19

ราชทินนามขุนนางวิญญาณระดับ 20-29

ราชทินนามจักรพรรดิวิญญาณระดับ 30-39

ราชทินนามเทวะวิญญาณระดับ 40-49

ราชทินนามราชันวิญญาณระดับ 50-59

ราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณระดับ 60-69

ราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณระดับ 70-79

ราชทินนามพรหมยุทธ์วิญญาณระดับ 80-89

ราชทินนามมหาพรหมยุทธ์วิญญาณระดับ 90-100

ราชทินนามอัครพรหมยุทธ์วิญญาณระดับ 101-119

ราชทินนามมหาอัครพรหมยุทธ์วิญญาณระดับ 120-130

ราชทินนามเทพพรหมยุทธ์วิญญาณระดับ 130-150

ราชทินนามมหาเทพพรหมยุทธ์วิญญาณระดับ 150-170

ราชทินนามเทพบรรพกาล (ตำนาน) ระดับ170 เป็นต้นไป

แต่ละขั้นย่อยของระดับพลังวิญญาณจะแบ่งออกเป็นดังนี้

ระดับ 1-3 ขั้นต้น   หนึ่งวงแหวนเวทย์

ระดับ 4-6 ขั้นกลาง   สองวงแหวนเวทย์

ระดับ 7-9 ขั้นสูง    สามวงแหวนเวทย์

ว่ากันว่าผู้ฝึกตนที่บรรลุถึงเขตขั้นที่90 หรือราชทินนามมหาพรหมยุทธ์วิญญาณเป็นต้นไป พวกเขาเหล่านั้นไม่ต่างไปจากบุคคลในตำนานที่ไม่อาจมีผู้ใดเสมอเทียบเคียงได้

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าในโลกยุทธภพต่างมีทั้งผู้คนธรรมดาและผู้ฝึกตนที่ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันอย่างสงบสุข แต่ก็มีผู้ฝึกตนบางคนที่ทะนงตัวว่าตนแข็งแกร่งเที่ยวไล่ข่มแหงรังแกคนธรรมดาจนต้องให้หน่วยควบคุมเข้ามาคอยตรวจสอบอยู่เสมอ ที่สำคัญการปลุกพลังวิญญาณทุกคนสามารถทำได้ไม่มีการปิดกั้นโอกาส ทั้งคนธรรมดาและลูกหลานของผู้ฝึกตนแต่สุดท้ายก็ใช่ว่าจะสำเร็จเป็นไปตามดั่งใจหวัง...”

"การปลุกพลังวิญญาณจำเป็นต้องปลุกในช่วงอายุเจ็ดปีแต่ไม่ควรเกินช่วงอายุสิบห้าปีจึงจะเป็นการดีที่สุด เพราะหากว่ายิ่งปลุกพลังวิญญาณในตอนที่อายุมากขึ้นเท่าไหร่ความบริสุทธิ์ของวิญญาณยุทธ์ต้นกำเนิด รวมไปถึงความสำเร็จในการปลุกพลังวิญญาณก็จะยิ่งลดลงหายไปเท่านั้น...”

“หลังจากทำการปลุกพลังวิญญาณได้สำเร็จพลังวิญญาณหรือพลังลมปราณภายในจะเป็นตัวชี้วัดความแข็งแกร่ง ผู้ฝึกตนแต่ละระดับสามารถดูดซับกระดูกวิญญาณได้สูงสุดตามพลังวิญญาณในขณะนั้น เช่นผู้ฝึกตนระดับจักรพรรดิวิญญาณจะครอบครองกระดูกวิญญาณของสัตว์อสูรได้จะต้องมีอายุไม่เกิน4,000ปี แต่ถึงอย่างไรมีจำนวนไม่น้อยหากผู้ฝึกตนตั้งแต่ระดับขุนพลวิญญาณขึ้นไปหากไม่พบกระดูกวิญญาณที่สนับสนุนวิญญาณยุทธ์ต้นกำเนิดได้อย่างเหมาะสมก็สามารถเลือกดูดซับกระดูกวิญญาณเหล่านี้ในภายหลังได้เช่นกัน”

“ผู้ฝึกตนทุกคนล้วนต่างมีวิญญาณยุทธ์กันทั้งสิ้น ซึ่งวิญญาณยุทธ์แบ่งออกเป็นสามประเภทคือสัตว์อสูร ประเภทธรรมชาติและประเภทศาสตราวุธ อีกทั้งแบ่งออกเป็นสี่สายดังนี้คือสายสนับสนุน สายโจมตี สายป้องกันและสายควบคุมโดยปกติแล้วผู้ฝึกตนจะมีเพียงหนึ่งวิญญาณยุทธ์ต้นกำเนิดเท่านั้น แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยปรากฏผู้ฝึกตนที่มีมากกว่าหนึ่งวิญญาณยุทธ์ เพราะส่วนมากแล้วบุคคลเหล่านี้ล้วนเป็นแต่ผู้ที่มีชื่อเสียงในยุทธภพกันทั้งสิ้น”

“นอกจากที่ผู้ฝึกตนจะแบ่งระดับขั้นพลังเพื่อแสดงถึงความแข็งแกร่งแล้ว ในร่างกายของผู้ฝึกตนหรือแม้กระทั่งคนธรรมดาล้วนประกอบไปด้วยปราณธาตุดิน ปราณธาตุน้ำ ปราณธาตุลม ปราณธาตุไฟเป็นสี่ธาตุพื้นฐานอย่างที่เจ้ารู้ อีกทั้งยังมีสองปราณธาตุพิเศษคือปราณธาตุไม้และปราณธาตุทองที่สืบทอดจากเชื้อสายกษัตริย์ บ้างก็ว่ายังมีอีกหนึ่งปราณธาตุพิเศษที่ไม่พบเจอมานานแล้วคือปราณธาตุพิษ และยังมีอีกถึงสองปราณธาตุในตำนานนั่นคือปราณธาตุแสงและปราณธาตุมืด สิ่งเหล่านี้มีการบันทึกไว้ให้รุ่นหลังได้รับรู้โดยทั่วกันสืบมา สำหรับสีของวิญญาณยุทธ์จะบ่งบอกได้ถึงความเเข็งแกร่งของวิญญาณธาตุต้นกำเนิดที่ครอบครอง”

ในโลกของผู้ฝึกตนแบ่งออกเป็นสี่ปราณธาตุธรรมดาดังนี้

ปราณธาตุดิน (สีน้ำตาลเหลือง -สีน้ำตาลส้ม -สีน้ำตาลเเดง)

ปราณธาตุน้ำ (สีฟ้า -สีคราม -สีน้ำเงิน)

ปราณธาตุลม (สีเขียวอ่อน -สีเขียวน้ำตาล -สีเขียวเข้ม)

ปราณธาตุไฟ (สีเหลือง -สีเหลืองส้ม -สีส้ม)

แบ่งเป็นสามปราณธาตุพิเศษดังนี้

ปราณธาตุพฤกษา (ไม้) (สีน้ำตาลอ่อน -สีน้ำตาลเเดง -สีน้ำตาลเข้ม)

ปราณธาตุทอง (โลหะ) (สีขาวทอง -สีเงินทอง -สีทอง)

ปราณธาตุพิษ (สีเหลืองดำ -สีเขียวดำ -สีม่วงดำ)

และแบ่งเป็นสองปราณธาตุในตำนานดังนี้

ปราณทิวาธาตุ (แสง) (สีเหลืองทอง -สีส้มทอง -สีเเดงทอง)

ปราณรัตติกาลธาตุ (มืด) (สีดำขาว -สีดำเทา -สีดำทอง)

โดยปกติผู้ฝึกตนจะสามารถใช้วิญญาณยุทธ์ได้เพียงหนึ่งเท่านั้น โดยเชื่อว่าจะเป็นการสืบทอดทางสายเลือดจากฝั่งบิดาหรือฝั่งมารดาของตน แต่ใช่ว่าผู้ฝึกตนทุกคนจะมีวิญญาณยุทธ์ได้เพราะหากว่าในร่างกายไม่มีความสมดุลมากเพียงพอก็จะไม่สามารถเรียกใช้วิญญาณยุทธ์ได้เช่นกัน

สำหรับความสัมพันธ์ระหว่างวิญญาณยุทธ์และพลังวิญญาณ หากไร้ซึ่งพลังวิญญาณแล้ววิญญาณยุทธ์ก็จะกลายเป็นเพียงสิ่งธรรมดาไร้ค่า เป็นเพียงวิญญาณยุทธ์ขยะเพียงเท่านั้น แต่เมื่อใดที่ผู้ฝึกตนสามารถทะลุเขตขั้นระดับขุนพลวิญญาณและมีระดับพลังวิญญาณที่เพิ่มสูงขึ้น วิญญาณยุทธ์ก็จะสามารถเปลี่ยนแปลงพัฒนาไปด้วยได้เช่นกัน...

"ผู้ฝึกตนเเต่ละคนจะสามารถใช้ได้สูงสุดเพียงหนึ่งปราณธาตุที่ได้รับสืบทอดมาจากทางฝั่งบิดาและจากฝั่งมารดาไม่ทางใดทางหนึ่ง และน้อยเสียยิ่งกว่านักหากจะพบเจอผู้ฝึกตนที่สามารถมีปราณธาตุได้มากกว่าหนึ่งขึ้นไป เพราะหากในร่างกายไม่มีซึ่งความสมดุลมากเพียงพอก็จะไม่สามารถเรียกใช้ปราณธาตุได้แต่อย่างไรแล้วก็ใช่ว่าทุกปราณธาตุจะเกื้อกูลกันเสมอไปเพราะในบางครั้งผู้ถือครองสองปราณธาตุบางคนก็หักล้างกันจนทำร้ายผู้ถือครองเสียเองก็มีให้เห็น...”

“หากทำการปลุกพลังวิญญาณในช่วงอายุที่มากขึ้นเท่าไหร่ความเจ็บปวดในขณะนั้นก็จะทวีเพิ่มขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน...ในยามนี้เจ้าอายุสิบสี่ปีถือว่าเกือบถึงเกณฑ์กำหนดในการปลุกพลังวิญญาณแล้ว หากว่าไม่สามารถปลุกพลังวิญญาณได้ เจ้าจะรับมือกับความผิดหวังอีกครั้งได้หรือไม่เล่า?" เยว่ซิถามกลับไปให้อีกฝ่ายได้ตัดสินใจอีกครั้ง

“ท้ายที่สุดแล้วจะสมหวังหรือผิดหวังก็ตามตัวข้าล้วนยอมรับด้วยความเต็มใจ แต่หากว่าข้าสามารถปลุกพลังวิญญาณได้สำเร็จและกลายเป็นผู้ฝึกตนที่มีความแข็งแกร่งเหนือผู้คนทั่วไปจนสามารถปกป้องตัวเองและดูแลท่านแม่ได้ต่อให้เส้นทางเดินหลังจากนี้ต้องพบเจอความเจ็บปวดหรืออุปสรรคเพียงใดข้าก็ยินดีทั้งสิ้นขอรับ!” หนิงอ้ายเอ่ยตอบกลับมารดาด้วยความหนักเเน่นไม่หวั่นไหว

“อย่างไรก็ตามแต่ใช่ว่าทุกคนที่จะโชคดีสามารถใช้ถึงสองปราณธาตุได้เพราะถึงแม้ว่าจะได้รับปราณธาตุจากฝั่งบิดามารดาของตนก็จริง แต่หากเกิดความไม่สมดุลกันก็จะสามารถใช้ได้เพียงแค่ปราณธาตุเดียว ส่วนอีกหนึ่งนั้นจะกลายเป็นปราณธาตุรองที่ต้องอาศัยโอสถระดับสูงในปลุกกระตุ้นให้สามารถใช้งานได้ไม่ต่างกับปราณธาตุหลัก” เย่วซินค่อย ๆ อธิบายให้หนิงอ้ายให้เข้าใจด้วยความใจเย็นเปรียบดั่งอาจารย์ที่กำลังสั่งสอนลูกศิษย์

พรึบ!

วูบ!

วิญญาณยุทธ์บุปผาอัปสราเหมันต์อัคคี สถิตร่าง!!!

เยว่ซินยกแขนทั้งสองข้างขึ้นเป็นท่วงท่าที่สวยงามพร้อมกับปลดปล่อยพลังวิญญาณของตนเองออกมา ก่อนที่จะปรากฏวงแหวนเวทย์อักขระเปล่งแสงรัศมีขึ้นโดยรอบพื้นที่ยืนอยู่ เหนืออุ้งมือซ้ายของนางได้ปรากฎเป็นบุปผาเพลิงสีเหลืองส้มขนาดเท่ากับลูกแก้วสามดอกที่ลอยวนไปโดยรอบฝ่ามือ คลื่นความร้อนระอุได้แผ่ซ่านไปทั่วทั้งบริเวณนี้สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน

“ราชทินนามของมารดาคือจักรพรรดิวิญญาณสายโจมตีระดับที่39 นี่คือวิญญาณยุทธ์บุปผาอัปสราเหมันต์อัคคีเป็นปราณธาตุไฟสายโจมตี เเต่ละปราณธาตุจะเเบ่งระดับความเข้มข้นออกเป็นสามขั้น สีเหล่านี้จะบ่งบอกได้ถึงความเเข็งแกร่งที่ถือครองอยู่”

“นอกจากนี้แล้วผู้ฝึกตนยังสามารถดูดซับผลึกปราณธาตุเพื่อเพิ่มความเเข็งแกร่งของปราณธาตุต้นกำเนิดของตน และหากดูดซับกระดูกวิญญาณของสัตว์อสูรเข้ากับร่างกายก็จะสามารถเรียกใช้ทักษะความสามารถของสัตว์อสูรมาผสานเข้ากับการต่อสู้ได้เช่นกัน ซึ่งต้องเลือกกระดูกวิญญาณของสัตว์อสูรที่มีอายุสอดคล้องกับระดับพลังวิญญาณของตนด้วย เพราะหากว่ามีการประสานกระดูกวิญญาณที่มีอายุมากและข้ามระดับมากเกินไปก็อาจจะเกิดอันตรายชีวิตเลยทีเดียว...” เยว่ซินมองหน้าเด็กหนุ่มในขณะที่อธิบายพร้อมกับระบายยิ้มเล็กน้อย เพราะนางสัมผัสได้ว่าบุตรของนางมีชะตาที่รุ่งโรจน์เหนือกว่าผู้ใดจะก้าวข้ามถึงเขตขั้นนั้นได้เสมอเหมือน

“ผู้ฝึกตนสามารถเลือกเพิ่มคุณสมบัติลงไปในวิญญาณยุทธ์ต้นกำเนิดได้ เช่นการเสริมความแข็งแร่งของร่างกาย การเพิ่มความทนทาน ความยืดหยุ่น แน่นอนว่าย่อมมีตัวเลือกมากมายที่จะเลือกใส่ลงไปในวิญญาณยุทธ์...”

“สุดท้ายแล้ว...ไม่ว่าวิญญาณยุทธ์จะเป็นปราณธาตุใด ล้วนขึ้นอยู่กับวิธีการฝึกฝนและเส้นทางที่เราเลือกเดินทั้งสิ้น!”

“มารดาของเจ้าในยามนี้มิได้เชี่ยวชาญในเชิงยุทธ์ดั่งเช่นวันวานแล้ว แต่ถึงอย่างไรมารดาของเจ้าผู้นี้ได้รับมอบสมบัติของตระกูลหวังที่ส่งต่อกันมา คงถึงเวลาที่ต้องส่งมอบให้กับเจ้าเสียที...” เยว่ซินตอบกลับไปแต่ท้ายประโยคนั้นคล้ายกับว่าคุยกับตัวเองเสียอย่างนั้น

“กลับเข้าเรือนกันเถิด...มารดายังต้องเตรียมสิ่งของที่ท่านตาเจ้ามอบให้สำหรับการปลุกพลังวิญญาณให้กับเจ้า” หนิงอ้ายที่ตอนนี้พยายามเรียบเรียงข้อมูลและทำความเข้าใจในสิ่งที่ตนได้ฟังเมื่อสักครู่ เมื่อเห็นว่ามารดาเดินไปยังเรือนเล็กไปไกลแล้วเขาจึงเร่งความเร็วเดินตามไปในทันทีด้วยความรู้สึกตื่นเต้น ใบหน้างดงามฉายรอยยิ้มเปล่งประกายถึงความสุขที่เอ่อล้นจนบ่าวรับใช้ในเรือนก็สามารถรับรู้ได้ถึงความรู้สึกดังกล่าวนี้ได้อย่างชัดเจน

บ่าวรับใช้ที่อยู่โดยรอบของศาลาริมสระบัวเมื่อครู่ที่ได้ยินบทสนทนาของนายของตนทั้งสองต่างรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง เพราะทุกคนล้วนอยู่ในเหตุการณ์เมื่อเจ็ดปีที่แล้วตอนที่คุณชายของตนไม่สามารถปลุกพลังวิญญาณได้ นอกจากจะทำให้คุณชายน้อยเสียใจแล้วจากที่เคยเป็นเด็กที่ร่าเริงยิ้มแย้มแจ่มใสเเต่กลับสุขภาพแย่ลงอีกทั้งยังกลายเป็นเด็กที่เงียบขรึมแทบไม่มีรอยยิ้ม เอาแต่ศึกษาตำราอยู่แต่ในห้องบางครั้งก็นั่งอยู่ตรงศาลาริมสระบัวทั้งวัน

อีกทั้งยังถูกนินทาจากบ่าวรับใช้ในเรือนอื่นในจวน แทบจะไม่มีความเคารพคุณชายของตนเสียด้วยซ้ำ เคราะห์ดีเมื่อหนึ่งเดือนก่อนหลังจากที่คุณชายไม่สบายและหายฟื้นจากไข้ ครั้นเมื่อตื่นขึ้นมาถึงแม้จะพูดจาแปลก ๆ ไปบ้างแต่ก็กลับมาร่าเริงมีรอยยิ้มและซุกซนสมวัยอีกครั้ง นับว่าเป็นสิ่งที่พวกเขารู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก...

Related chapters

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่5 ผู้ฝึกตนระดับก่อเกิดวิญญาณ

    เยว่ซินเดินนำหนิงอ้ายเข้ามาในเรือนก่อนที่จะหายเข้าไปในห้องนอน ก่อนจะออกมาพร้อมกับของในมือแล้วจึงตรงไปยังห้องโถงรับรองของเรือนนี้ สิ่งที่เยว่ซินถืออยู่ในมือเป็นหีบไม้ขนาดย่อมสีดำทองฉลุลวดลายงดงามอ่อนช้อยแต่แฝงไปด้วยกลิ่นอายความดุดัน หนิงอ้ายสัมผัสได้ถึงพลังบางอย่างที่อยู่ในกล่องคล้ายกับจะเรียกร้องหาเป็นความรู้สึกคุ้นเคยตีตื้นขึ้นมาในอกมันมีทั้งความสุขปนเศร้าตีรวนจนแยกไม่ออกหลังจากที่หีบได้ถูกเปิดออกปรากฎแก่สายตาจึงเห็นว่าภายในหีบไม้แกะสลักนี้ถูกบุด้วยผ้าสีแดงกำมะหยี่เนื้อดีตกแต่งด้วยหมุดทองสวยงาม เยว่ซินได้บอกว่าสิ่งนี้เป็นมรดกสืบทอดจากตระกูลหวังที่บิดามอบให้และตอนนี้นางได้ส่งต่อมาให้เขาเป็นเจ้าของแล้วในที่สุด ประกอบไปด้วยตำราเคล็ดวิชาจำนวนสามเล่ม ตำราแรกคือเคล็ดวิชาสยบอัสนีเมฆาอันเป็นเคล็ดวิชาดูดซับปราณฟ้าดินประจำตระกูล สองคือเคล็ดวิชากระบี่สักกะดารารายอันเป็นวิชากระบี่เลื่องชื่อในยุทธภพ ส่วนเล่มสุดท้ายนั่นคือเคล็ดวิชาก้าวย่างทะยานหมื่นลี้เป็นเคล็ดวิชาตัวเบาประจำของตระกูลหวัง ทั้งสามตำรานี้ล้วนเป็นฉบับจริงทั้งสิ้นยังมีจี้หยกสีแดงทับทิมที่เยว่ซินทราบเพียงสิ่งนี้คล้ายกับเครื่องรางปกป้

    Last Updated : 2025-02-07
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่6 ผู้มีปราณธาตุมากกว่าหนึ่ง

    หนิงอ้ายรู้สึกดีใจและพึงพอใจเป็นอย่างมากที่เขาสามารถทำการปลุกพลังวิญญาณได้สำเร็จและกลายเป็นผู้ฝึกตนราชทินนามก่อเกิดวิญญาณระดับสิบได้เช่นนี้ หลังจากที่จัดการตัวเองเรียบร้อยแล้วไม่รอช้าออกจากไปหามารดาที่ห้องโถงของเรือนนี้ในทันที“หนิงเอ๋อร์ รู้สึกอย่างไรบ้างเจ้า?” เยว่ซินที่สัมผัสได้ถึงพลังลมปราณอ่อน ๆ จากตัวของเด็กหนุ่ม นั่นย่อมหมายความว่าในตอนนี้อีกฝ่ายสามารถข้ามผ่านเป็นผู้ฝึกตนได้สำเร็จแล้ว อย่างไรนางก็ถามกลับไปเพื่อความแน่ใจอีกครั้งว่าอีกฝ่ายไม่ได้รับผลกระทบใดยอมรับว่าตลอดทั้งคืนนางได้แต่เป็นห่วงกระวนกระวายจนนอนหลับไม่สนิท ในขณะที่หนิงอ้ายกำลังปลุกพลังวิญญาณนางได้ยินเสียงกรีดร้องของเด็กหนุ่มอย่างทรมานดังขึ้นอยู่หลายชั่วยามจนหายเงียบไปที่สุด ในใจของนางเต็มไปด้วยความเป็นห่วงยิ่งนัก แต่นางก็ไม่สามารถเข้าไปขัดขวางในขณะทำการปลุกพลังวิญญาณของเด็กหนุ่ม เพราะหากทำอย่างย่อมที่จะส่งผลเสียต่อเด็กหนุ่มมากมายเพียงใดก็สุดจะรู้ได้บิดาของนางก็เคยบอกเอาไว้ว่าในการปลุกพลังวิญญาณจะสำเร็จหรือไม่ขึ้นอยู่กับลิขิตฟ้าชะตาสวรรค์ถือว่าเป็นการทดสอบทั้งร่างกายและจิตใจของผู้ฝึกตนเพราะเมื่อได้ทำการเลือกใช้ชีวิ

    Last Updated : 2025-02-07
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่7 วิญญาณยุทธ์ต้นกำเนิด

    วันเวลาผันผ่านไปหนิงอ้ายสามารถเลื่อนระดับลมปราณเป็นผู้ฝึกตนระดับขุนพลวิญญาณขั้นกลางแล้ว อีกเพียงไม่กี่ขั้นย่อยก็จะสามารถเลื่อนระดับเป็นผู้ฝึกตนขุนพลวิญญาณขั้นสูงได้สำเร็จ ด้วยระยะเวลาสั้นเพียงนี้กับความก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดดที่ทอดสายตาไปทั่วทั้งยุทธภพแล้วยังยากที่จะพบเห็นได้โดยง่าย ทั้งที่หกเดือนก่อนหน้าเด็กหนุ่มยังเป็นเพียงคนธรรมดาไร้ซึ่งพลังลมปราณที่พึ่งเข้าสู่วิถีของผู้ฝึกตนเพียงเท่านั้น หากมีผู้ใดล่วงรู้ในสิ่งนี้ย่อมสร้างความแตกตื่นในแวดวงของผู้ฝึกตนได้อย่างแน่นอน…“หนิงเอ๋อร์ ตอนนี้เจ้าเป็นผู้ฝึกตนระดับขุนพลวิญญาณแล้วเจ้าสัมผัสได้ถึงวิญญาณยุทธ์ของเจ้าได้แล้วหรือไม่? แสดงวิญญาณยุทธ์ของเจ้าให้มารดาดูเสียหน่อย...” เยว่ซินเอ่ยขึ้นกับบุตรชายของตน เนื่องจากเด็กหนุ่มในตอนนี้ถึงเขตขั้นราชทินนามขุนพลวิญญาณแล้วย่อมสามารถเรียกใช้วิญญาณยุทธ์ต้นกำเนิดของตนออกมาได้“ขอรับท่านแม่...”วิญญาณยุทธ์ปักษาสวรรค์เพลิงศักดิ์สิทธิ์ สถิตร่าง!!วูบ!หนิงอ้ายยกมือประสานขึ้นพร้อมกับปล่อยพลังวิญญาณระดับขุนพลวิญญาณของตนออกมา ก่อเกิดเป็นหมอกควันสีแดงทองที่ผนึกขึ้นเป็นปีกปักษาเพลิงขนาดใหญ่ตรงด้านหลัง กลิ่นอาย

    Last Updated : 2025-02-07
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่8 หอประมูลพยัคฆ์รัตติกาล

    แต่ละวันของหนิงอ้ายแทบจะเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง เริ่มตั้งแต่ตื่นเช้ามาออกกำลังโดยการวิ่งรอบจวนเสร็จแล้วก็ทานข้าวกับเยว่ซินผู้เป็นมารดา ในช่วงสายทำการศึกษาวิชาตำราต่าง ๆ เพื่อทบทวนความรู้ ช่วงเย็นทำการฝึกฝนวรยุทธรวมไปถึงการควบคุมใช้ปราณธาตุให้คล่องแคล่ว ยามกลางคืนอย่างน้อยวันละสองชั่วยามก็จะทำการนั่งดูดซับพลังปราณฟ้าดิน ด้วยความที่หนิงอ้ายทั้งคนเก่าและเขาในตอนนี้นั้นนิสัยแทบจะเหมือนกันทุกอย่างยิ่งเมื่อสนใจกับสิ่งใดแล้วก็จะจดจ่อมุ่งมั่นทำให้เต็มที่เสมอจึงทำให้มารดาหรือบ่าวรับใช้ในเรือนไม่รู้สึกถึงความแตกต่างกันโดยเฉพาะกับลู่ซีเป็นบ่าวรับใช้คนสนิทที่คอยดูแลหนิงอ้ายมาตั้งแต่ประมาณเจ็ดปี ย่อมรู้สึกถึงในความเปลี่ยนแปลงในนิสัยเล็กน้อยบางอย่าง แต่เมื่อคิดว่าคุณชายของตนนั้นผ่านอะไรมามากมายตั้งแต่เด็กถึงตอนนี้ไม่แปลกที่คุณชายจะมุ่งมั่นในการฝึกฝนให้ตนเองแข็งแกร่งขึ้นเพื่อที่จะดูแลตนเองและปกป้องสิ่งที่รักได้ แน่นอนว่าลู่ซีคนนี้สาบานจะอยู่เคียงข้างคุณชายของตนเสมอไม่เปลี่ยนไป“คุณชาย ท่านไม่คิดจะทำอย่างอื่นเลยหรือขอรับ?” ลู่ซีสอบถามเป็นกังวลเล็กน้อยเนื่องจากท่านเย่วซินมารดาของคุณชายนั้นเห็นว่าหนิ

    Last Updated : 2025-02-07
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่9 ผูกพันธะสัตว์อสูร

    มองจากด้านนอกของหอประมูลพยัคฆ์รัตติกาลว่ามีพื้นที่กว้างขวางแล้ว ชั้นใต้ดินด้านล่างก็มีพื้นที่มากมายไปไม่แตกต่างกันเสียด้วยซ้ำ เพราะตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามาในบริเวณหนิงอ้ายก็พบว่าทั้งชั้นใต้ดินนี้มีที่คุมขังสัตว์อสูรมากมาย แน่นอนว่ากรงขังต่าง ๆ เหล่านี้ต่างถูกกำกับด้วยบทเวทย์ป้องกันและบทเวทย์ที่ใช้ข่มพลังของสัตว์อสูรโดยเฉพาะนอกจากนั้นยังมีกรงเหล็กขนาดน้อยใหญ่แตกต่างกันไปที่มีการจำแนกสัตว์อสูรเป็นประเภทของแต่ละปราณธาตุสังกัด ด้วยความที่ผู้ฝึกตนสามารถทำการผูกพันธะกับสัตว์อสูรซึ่งอาจจะเพียงแค่หนึ่งครั้งในชีวิต ดังนั้นการเลือกสัตว์อสูรรับใช้ดังกล่าวผู้ฝึกตนจะเลือกโดยการอิงตามปราณธาตุที่ตนเองถนัดเพื่อจะเป็นประโยชน์ในการต่อสู้ของตนเองมากที่สุด“แล้วต้องมีพลังวิญญาณระดับใดกันจึงจะสามารถทำการผูกพันธะกับสัตว์อสูรได้?” หนิงอ้ายถามกลับลู่ซีไปอีกครั้ง“ความจริงแล้วผู้ฝึกตนระดับแรกเริ่มหรือระดับก่อเกิดวิญญาณก็สามารถทำการผูกพันธะกับสัตว์อสูรได้แล้วขอรับ แต่เงื่อนไขคือสามารถทำได้เพียงหนึ่งครั้งเท่านั้นจนกว่าจะมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งซึ่งคือผู้ผูกพันธะหรือสัตว์อสูรได้ตายลงไป ที่สำคัญคือขึ้นอยู่กับสัตว์อสูรว่าจ

    Last Updated : 2025-02-07
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่10 ฝึกฝนบทเวทย์

    ยอมรับตามตรงว่าก่อนหน้านี้มีหลายครั้งที่นทีได้แต่ครุ่นคิดอยู่ในใจ ว่าเพราะอะไรทำไมเขาถึงได้มาอยู่ในโลกใบนี้ได้กัน หรืออาจเป็นเพราะหนิงอ้ายคนเก่าต้องการให้เขาแก้แค้นอย่างนั้นหรือ? แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่ เพราะตัวเขาไม่เคยสัมผัสได้ถึงความรู้สึกในแง่ลบเหล่านี้เลยสักนิด เจ้าของร่างเดิมยังคงเด็กเกินไปจึงมีแต่ความอ่อนโยนจิตใจดี ซึ่งมันแตกต่างไม่ใช่ตัวเขาเป็นอย่างมากเลยทีเดียวนทีเมื่อได้รับโอกาสที่ได้มีชีวิตใหม่อีกครั้ง มีเยว่ซินผู้เป็นมารดาที่รักและเป็นห่วงเขาอยู่เสมอ ผู้อาวุโสหวังฮุ่ยที่เสียสละเวลาสั่งสอนความรู้อย่างไม่หวงแหน ลู่ซีที่เปรียบเสมือนเพื่อนสนิท ไหนจะเจ้าเจียวซิ่นที่เขารักเอ็นดูเหมือนลูกน้อยคนหนึ่ง ดังนั้นเขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้นกว่านี้เพื่อที่จะปกป้องคนที่เขารักได้ ในตอนนี้เขาสามารถใช้เคล็ดวิชาย่างก้าวทะยานหมื่นลี้ได้อย่างคล่องแคล่วและมีความคุ้นชินกว่าเดิมมาก ยิ่งเมื่อเขาได้นำมาประสานเข้ากับศิลปะการต่อสู้จากโลกเดิมที่เขาคุ้นเคยแล้ว เวลาได้ฝึกซ้อมกับผู้อาวุโสหวังฮุ่ยกับเหล่าองครักษ์คนอื่น ๆ แม้เขาจะเสียเปรียบในด้านร่างกายแต่ทว่าสิ่งที่เขานำมาพลิกแพลงในตอนนี้กลับสามารถช่วงชิงความได้เป

    Last Updated : 2025-02-07
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่​11 ความเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดคิด

    เป็นเวลาเกือบหนึ่งปีที่นทีได้ใช้ชีวิตในนามของจางหนิงอ้าย อีกเพียงไม่กี่วันอายุของร่างนี้ก็ใกล้ครบสิบห้าปีแล้ว แต่จางเลี่ยงหวงผู้เป็นบิดากลับไม่สนใจในสิ่งเหล่านี้ราวกับว่าเด็กหนุ่มไม่มีตัวตนในตระกูลเสียอย่างนั้น แต่แล้วอย่างไรเล่า? เพราะตัวของนทีเองก็ไม่ได้ยอมรับอีกฝ่ายในฐานะบิดาของเจ้าของร่างเช่นกัน…“อีกสามเดือนข้างหน้าจะมีงานประลองที่ทางแคว้นเต่าดำรับเป็นเจ้าภาพในครั้งนี้ จากนั้นอีกเพียงหนึ่งเดือนแต่ละสำนักศึกษาจะเปิดรับศิษย์ใหม่เข้าสังกัด ข้าจึงขออนุญาตจากท่านแม่ในการเข้าร่วมลงประลองครั้งนี้เพื่อลบล้างคำครหาที่ว่าเป็นเพียงสวะของตระกูลซึ่งนั่นหาใช่ความจริงไม่ อีกทั้งข้ายังอยากเข้าทดสอบของสำนักศึกษาด้วยขอรับ!!” หนิงอ้ายบอกกับเยว่ซินถึงความต้องการของตน“มารดาล้วนตามใจเจ้าทั้งสิ้น เรื่องเข้าสำนักศึกษาเอาไว้เจ้าขอคำแนะนำจากท่านตาดีหรือไม่ ว่าสุดท้ายแล้วจะเลือกเข้าทดสอบสำนักศึกษาใดจึงจะเหมาะสมกับเจ้ามากที่สุด...” เยว่ซินตอบรับคำขอนี้ พร้อมกับลูบหัวของอีกฝ่ายด้วยความรักใคร่“เจ้าจะเข้าร่วมงานประลองนี้กับข้าด้วยใช่หรือไม่??” หนิงอ้ายลู่ซีขึ้น“เป็นเช่นนั้นขอรับ...” ลู่ซีที่สามารถตัดผ่านเป็

    Last Updated : 2025-02-07
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่​12 ออกเดินทางล่าสัตว์อสูร

    เนตรแห่งสวรรค์ของหนิงอ้ายหลังจากได้รับแรงกระตุ้นจากการดูดซับกระดูกวิญญาณของอสรพิษเหมันต์บรรพกาลไป หนิงอ้ายพบว่าความสามารถในการมองเห็นและการรับรู้ของเขาในตอนนี้อยู่เหนือกว่าผู้ฝึกตนในเขตขั้นเดียวกันอย่างชัดเจน รายละเอียดเล็กน้อย ข้อมูลต่าง ๆ รวมไปถึงทุกการเคลื่อนไหวในรัศมีหนึ่งลี้ไม่อาจถูกปกปิดจากสายตาหรือการรับรู้ของเขาได้ คล้ายกับว่าความสามารถทั้งหมดในโลกเดิมของเขาที่เคยใช้ได้จะถูกยกระดับเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว“หนิงเอ๋อร์ เจ้าแน่ใจใช่หรือไม่ที่จะเดินทางไปกับผู้อาวุโสหวังฮุ่ยไปยังเทือกเขาหมื่นอสูรวิญญาณในครั้งนี้?” เยว่ซินถามหนิงอ้ายอีกครั้ง แม้นางจะรู้ดีว่าด้วยระดับขุนนางวิญญาณของเด็กหนุ่มย่อมสามารถเอาตัวรอดได้อย่างไม่ยาก แต่นางยังรู้สึกเป็นกังวลเพราะอีกฝ่ายไม่เคยออกจากเขตพื้นที่เมืองหลวงนี้เสียด้วยซ้ำ“ขอรับท่านแม่ ข้ากับลู่ซีจะติดตามท่านลุงฮุ่ยไปยังเทือกเขาหมื่นอสูรวิญญาณเพื่อฝึกฝนประสบการณ์และเสาะหากระดูกวิญญาณแรกด้วยขอรับ!!” หนิงอ้ายตอบไปด้วยความมั่นใจ“เช่นนั้นแล้วแต่เจ้า รบกวนผู้อาวุโสหวังฮุ่ยดูแลทั้งสองคนด้วยนะเจ้าคะ...” เยว่ซินพูดออกมา“คุณหนูอย่าได้กังวลข้าจะดูแลคุณชายหนิงอ้าย

    Last Updated : 2025-02-07

Latest chapter

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่20 ตระกูลหวัง

    ขบวนรถม้าเดินทางยังคงดำเนินไปอย่างไม่รีบร้อน จุดหมายปลายทางคือจวนตระกูลหวังที่ตั้งอยู่ในมหานครแคว้นเต่าดำแห่งนี้ ตลอดเส้นทางเดินรถม้าได้ตัดผ่านหมู่บ้านน้อยใหญ่มากมาย สิ่งหนึ่งที่หนิงอ้ายสังเกตคือยิ่งเข้าใกล้ใจกลางมหานครแคว้นเต่าดำมากเท่าใดความเจริญรุ่งเรืองของบ้านเมืองรวมไปถึงความคึกคักของตลาดเเลกเปลี่ยนสินค้าก็จะเพิ่มขึ้นไปเท่านั้น''ตรงด้านหน้าจะเป็นตลาดเมืองหลวงก่อนถึงจวนตระกูลหวัง หนิงอ้าย ลู่ซี เจ้าทั้งสองจะแวะก่อนหรือไม่?'' เยว่ซินเอ่ยถามเด็กหนุ่มทั้งสอง เพราะหากพ้นเขตตลาดเมืองหลวงนี้ไปอีกเพียงไม่ถึงเค่อก็จะถึงจวนตระกูลหวังเเล้ว''แวะขอรับท่านเเม่ ข้าจะหาซื้อของฝากติดไม้ติดมือให้ท่านตาและท่านยายด้วยขอรับ!'' หนิงอ้ายตอบมารดาไปในทันที ในโลกเดิมของเขาสำหรับการเข้าพบปะผู้อาวุโสที่มีอายุมากกว่า ตามมารยาทที่พึงกระทำแล้วผู้น้อยควรมีของฝากติดมือไปฝากเสมอ เป็นการเเสดงถึงความเคารพให้เกียรตินั่นเองนับว่าผิดจากหนิงอ้ายเคยคิดไว้ไปเสียมาก มหานครแคว้นเต่าดำนี้มีพื้นที่กว้างขวางใหญ่โตเป็นอย่างมาก อาคารบ้านเรือนสองข้างทางดูโอ่อ่าอลังการดูเเล้วเจริญหูเจริญตาเป็นอย่างมาก ถนนหนทางจากทุกมุมเมืองที่

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่​19 ลอบสังหาร

    ตระกูลหวังเป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของแคว้นเต่าดำซึ่งถือได้ว่าเป็นอีกแคว้นใหญ่ที่มีความสำคัญเป็นอย่างมากเนื่องจากตั้งอยู่บริเวณใจกลางของมหาทวีปบูรพา จึงทำให้รอบด้านทั้งสี่ทิศของแคว้นมีอาณาเขตติดกับอีกสามแคว้นใหญ่ที่เหลือ แคว้นเต่าดำมีรูปแบบการปกครองที่ชัดเจนโดยเเบ่งออกเป็นสิบมณฑลใหญ่มีเมืองสาขาหรือเมืองในการปกครองในเเต่ละมณฑลมากกว่าสิบเมืองในการดูเเล ทั้งสิบมณฑลใหญ่อยู่ในการปกครองส่วนกลางของแคว้นเรียกว่ามหานครแคว้นเต่าดำหากกล่าวให้เข้าใจด้วยง่ายคือแคว้นเต่าดำประกอบไปด้วยเมืองน้อยใหญ่นับร้อยเมือง มีหมู่บ้านอย่างมากมายกระจายกันไปทั่วทั้งแคว้น ต้องบอกว่าเเต่ละเมืองหาได้มีความเจริญเทียบเท่ากันไม่ เพราะบางเมืองมีอาณาเขตติดกับแคว้นอื่นมักจะเป็นเมืองที่ขึ้นชื่อเป็นจุดเเลกเปลี่ยนสินค้า หรือบางเมืองยังคงรักษาขนบธรรมเนียมปฏิบัติกันมาอย่างช้านานนับว่าเป็นเสน่ห์ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน เเต่กับสิบมณฑลใหญ่ที่มีการปกครองดูเเลเมืองในรับผิดชอบของตนมักจะมีความเจริญและมีพื้นที่กว้างขวางเป็นอย่างมาก ด้วยเพราะผู้ปกครองมณฑลดังกล่าวมักจะเป็นเหล่าบรรดาผู้มีศักดิ์เป็นอ๋องเป็นเชื้อพระวงศ์นั่นเองคณะเดินทางของหนิงอ้

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่​18 สิ้นสุดกันเพียงเท่านี้

    ด้านหลังของหนิงอ้ายปรากฏเป็นวงแหวนเวทย์สีน้ำเงินเข้มแสดงถึงผู้ฝึกตนปราณธาตุน้ำระดับสาม ในตอนนี้เขากำลังเร่งทำการยกระดับพลังวิญญาณให้ข้ามผ่านขั้นย่อยให้ได้ในเร็ววัน เพราะหากยิ่งมีระดับพลังวิญญาณเพิ่มขึ้นมากเท่าใด เขาก็จะสามารถปกป้องตัวเองและท่านแม่เพิ่มขึ้นได้เท่านั้นสำหรับราชทินนามจักรพรรดิวิญญาณขั้นสามัญกับระยะเวลาเพียงหนึ่งปีเช่นนี้ นับได้ว่าหนิงอ้ายไม่ต่างไปจากอัจฉริยะคงไม่เกินจริงไปนัก ต้องบอกว่าเด็กหนุ่มโชคดีอย่างมากที่ได้ศึกษาเคล็ดวิชาลับตระกูลหวัง จึงทำให้สามารถขยายจุดตันเถียรได้รองรับและขยายเส้นปราณทั่วร่างกายเพิ่มการดูดซับพลังปราณมากกว่าคนอื่นหลายเท่าจึงทำให้เขาสามารถดูดซับพลังปราณฟ้าดินได้โดยตรง ยิ่งได้รับแรงหนุนจากจี้หยกโลหิตแล้วความสามารถในการดูดซับปราณฟ้าดินของหนิงอ้ายจึงไม่ต่างไปจากพยัคฆ์ติดปีกเสียแล้วในตอนนี้บทเวทย์โจมตีมหาบุปผชาติเหมันต์จำแลงลักษณ์!ตู้ม!สภาพอากาศโดยรอบของเขตของบทเวทย์อากาศลดลงโดยฉับพลัน ปรากฎเป็นดอกบัวเหมันต์สีขาวบริสุทธิ์ดอกใหญ่แผ่อายความเย็นจาง ๆ ไปทั่วบริเวณ ตรงด้านบนเห็นเป็นเกล็ดบัวเหมันต์หิมะที่มีไอเย็นลอยตกลงไปทั่วเขตของบทเวทย์ เมื่อตกลงถึงพื

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่​17 หย่า

    ทางฝั่งเยว่ซินหลังจากที่มีนักฆ่าเข้ามาลอบสังหารบุตรชายของนางในช่วงกลางคืนที่ผ่านมา โชคดีที่ไม่เกิดเหตุการณ์ความสูญเสียดังกล่าวขึ้น ที่น่าแปลกใจคือหนังสือจ้างวานฆ่านี้ได้ชี้ชัดว่าเป็นฝีมือของหวงลู่เอินหรือฮูหยินรองคนรักของจางเลี่ยงหวง เยว่ซินนั้นไม่มีเรื่องราวข้องเกี่ยวกับอีกฝ่ายเท่าไหร่นัก แต่หากว่าแรงจูงใจของการกระทำนี้คือนางต้องการผลักดันบุตรชายของนางขึ้นเป็นผู้สืบทอดของตระกูลแทนจางหนิงอ้ายผู้เป็นคุณชายใหญ่ของตระกูลจางสายหลักแล้วย่อมเป็นไปได้เช่นกันทั้งสิ้นแต่แล้วอย่างไรเล่า? จางเลี่ยงหวงสามีของนางก็คงไม่เชื่อต่อหลักฐานที่มีอยู่และคงเข้าข้างคนรักของตนเฉกเช่นทุกครั้ง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หนิงอ้ายถูกรังแกและโดนทำร้าย ต่อให้นางมีหลักฐานเพียงใดสามีของนางไม่เคยลงโทษหรือเอาผิดเลยซักครั้ง เยว่ซินหยิบสมุดบันทึกเล่มเก่าของตนที่อยู่ในช่องลับบนหัวเตียงขึ้นมาพร้อมกับเปิดอ่านอีกครั้งพลันย้อนคิดไปถึงอดีตเมื่อครั้งก่อนที่นางเข้ามาเป็นฮูหยินเอกของตระกูลชื่อเสียงของจางหนิงอ้ายบุตรชายของนาง ผู้คนทั้งที่อยู่ในเหตุการณ์ในพิธีปลุกพลังวิญญาณเมื่อเจ็ดปีก่อนต่างมีการร่ำลือไปอย่างเสียหาย บ้างว่าคุณชายใหญ่ห

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่​16 โชคชะตา ฟ้าลิขิต

    กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วทั้งห้อง ร่างไร้วิญญาณที่ถูกชโลมด้วยโลหิตสีแดงฉานมากมายชวนให้รู้สึกคลื่นเหียนอยู่ไม่น้อยแก่ผู้พบเห็น แต่ด้วยทุกคนในที่นี้ต่างโลดแล่นอยู่ในเส้นทางของผู้ฝึกตนเป็นเวลาหลายปี ดังนั้นย่อมเคยพบเจอเหตุการณ์ฆ่าฟันเช่นนี้ทั้งสิ้น ที่น่าแปลกใจคือหนิงอ้ายที่เป็นผู้ลงมือกระทำนั้นกลับไร้ความตกใจราวกับว่านี่เป็นสิ่งที่คุ้นชินเสียอย่างนั้น''นักฆ่าเหล่านี้แม้จะเป็นร่างไร้วิญญาณไปแล้วก็จริง แต่อย่างไรขึ้นชื่อว่าผู้ฝึกตนย่อมมีพลังลมปราณไหลเวียนอยู่ในจุดชีพจรทั่วทั้งร่างกายที่ไม่แตกต่างไปจากสัตว์อสูร หากปล่อยทิ้งเอาไว้เช่นนี้คงเสียเปล่าเป็นแน่ เช่นนั้นข้าจะนำร่างไร้วิญญาณของนักฆ่าเหล่านี้ให้กับเจียวซิ่นขอรับ...''แม้ว่าสิ่งที่หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นมาจะชวนให้ตกตะลึงในความรู้สึก เพราะการที่สัตว์อสูรในพันธะสามารถดูดซับลมปราณจากร่างไร้วิญญาณของสัตว์อสูรนั้นไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน แล้วยิ่งกับร่างไร้วิญญาณของผู้ฝึกตนเช่นนี้ย่อมไม่เคยมีผู้ใดกระทำทั้งสิ้น แต่ถึงอย่างไรคำกล่าวของหนิงอ้ายก็ไม่มีผิดถูกเช่นกันหวังฮุ่ยได้สั่งการองครักษ์ทั้งสามให้แยกย้ายกันไปเก็บกวาดร่างไร้วิญญาณของนักฆ่าสังหารที

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่​15 แขกที่ไม่ได้รับเชิญ

    หนิงอ้ายหลับตาลงพร้อมกับกำหนดลมหายใจเข้าออก พลังลมปราณฟ้าดินอันบริสุทธิ์โดยรอบที่ถูกชักนำโดยจี้หยกโลหิตส่งผลให้มวลลมปราณบริเวณนี้ต่างถูกชักนำเข้าตามจุดชีพจรไปทั่วทั้งร่างกายตามสุดยอดเคล็ดวิถี ลมปราณอันอบอุ่นวิ่งวนเข้าสู่จุดใจกลางตันเถียรไม่จบสิ้น พลังลมปราณในร่างกายที่ผ่านการเคี่ยวกรำนับสิบกว่ารอบต่างถูกอัดแน่นเป็นรากฐานบ่มเพาะที่แข็งแกร่ง วันเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนผันไปเรื่อย ๆ วันนี้ถือได้ว่าเป็นวันครบรอบอายุสิบห้าปีของจางหนิงอ้าย แน่นอนว่าทางฝั่งของนทีก็นับว่าเขาเองได้อาศัยอยู่ในร่างนี้เป็นเวลาหนึ่งปีแล้วเช่นกันหนิงอ้ายใช้เวลาไม่นานกับการจัดการตัวเอง วันนี้เขาเลือกใส่เสื้อตัวในสีขาวล้วนและเสื้อตัวนอกเป็นสีเขียวอ่อนที่ปักด้วยลวดลายใบไผ่สีเขียวมรกต เมื่อไปถึงบริเวณห้องโถงรับรองที่ตอนนี้ถูกเปลี่ยนให้เป็นงานเลี้ยงเล็ก ๆ มีท่านแม่เยว่ซิน ท่านลุงหวังฮุ่ย ท่านลุงจางปิน ท่านน้าหรันหรูที่นั่งรออยู่ แม้จะไร้เงาบิดาสารเลวในงานเลี้ยงดังกล่าวนี้ เเต่หนิงอ้ายไม่สนใจเลยสักนิดเพราะทุกคนในที่นี้ล้วนเป็นผู้ที่เขาสนิทใจทั้งสิ้น''หนิงเอ๋อร์ปีนี้เจ้าอายุครบสิบห้าปีแล้ว ตามกฎของตระกูลจางที่ปฏิบัติสืบทอดก

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่​14 อสูรราชินีแมงป่องแปดขามัจจุราช

    การเสาะหากระดูกวิญญาณได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้งในช่วงบ่ายของวันนี้ คณะเดินทางของหนิงอ้ายทั้งสี่คนต่างเดินทางกันไปเรื่อย ๆ ไม่รีบเร่ง แม้ว่าระหว่างทางจะพบเจอสัตว์อสูรจำนวนไม่น้อย แต่เพราะกลิ่นอายของผู้ฝึกตนระดับเทวะขั้นสูงที่หวังฮุ่ยปลดปล่อยออกมาในระยะสองลี้ย่อมไม่ต่างไปจากคำเตือนให้เหล่าสัตว์อสูรระดับต่ำจงหลบหลีกไปเสีย เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วจึงถือว่าการเสาะหาสัตว์อสูรที่เหมาะสมจึงเป็นไปอย่างราบรื่นยิ่งก่อนหน้านี้หนิงอ้ายได้ประสานร่างกายเข้ากับกระดูกวิญญาณล้านปีของอสรพิษเหมันต์บรรพกาล นอกจากกระดูกวิญญาณชิ้นนี้จะแปรเปลี่ยนเป็นทักษะวิญญาณยุทธ์ที่สามให้แก่เขาแล้ว ยังคงมีเงื่อนไขสำคัญคือการเสาะหากระดูกวิญญาณจากสัตว์อสูรสังกัดปราณธาตุพิษดูดซับประสานเข้ากับร่างกายเพื่อให้กระดูกวิญญาณชิ้นแรกนี้มีความสมบูรณ์พร้อมด้วยทักษะตามที่ควรจะเป็นหนิงอ้ายตั้งใจดูดซับกระดูกวิญญาณให้กับวิญญาณยุทธ์ที่สองอันเป็นปราณธาตุน้ำนี้เสียก่อน สำหรับวิญญาณยุทธ์ปราณธาตุไฟรวมไปถึงวิญญาณยุทธ์ที่สามเขาไม่จำเป็นต้องสังหารสัตว์อสูรเป็นจำนวนมากเพื่อเติมเต็มให้กระดูกวิญญาณของทั้งสามวิญญาณยุทธ์ในตอนนี้ เพราะนอกจากกระดูกวิญญาณล้าน

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่13 ปะทะราชสีห์สัตตะโลหิตสีคราม

    เช้าวันใหม่มาถึงคณะเดินทางของหนิงอ้ายทั้งสี่คนต่างรีบเร่งออกเดินทางกันแต่เช้าตรู่ จุดหมายคือเขตป่าชั้นกลางของเทือกเขาหมื่นอสูรวิญญาณ เนื่องจากบริเวณป่าชั้นนอกจะมีเพียงสัตว์อสูรทั่วไปหรือสัตว์อสูรปฐพีเท่านั้น หากเข้าสู่เขตป่าชั้นกลางเป็นต้นไปจึงจะพบเจอสัตว์อสูรนภาขั้นต่ำหรือขั้นกลางและหากโชคดีมากพออาจได้พบเจอสัตว์อสูรนภาขั้นสูงก็เป็นไปได้เช่นกัน สำหรับสัตว์อสูรมายาขั้นต่ำเป็นต้นไป สัตว์อสูรเหล่านี้จัดได้ว่าเป็นสัตว์อสูรระดับสูงที่มีความนึกคิด อีกทั้งยังเปี่ยมไปด้วยพละกำลังที่แข็งแกร่ง สามารถใช้ปราณธาตุของตนโจมตีผู้บุกรุกในอาณาเขตของตน อาจพบเห็นได้บ้างตามแนวรอยต่อของป่าชั้นกลางติดกับเขตป่าชั้นในกระจัดกระจายกันไปทั่วทั้งพื้นที่แห่งนี้ ระหว่างทางพวกเขาต่างพบเจอกับสัตว์อสูรไปไม่น้อย แต่เพราะยังมีอายุที่ไม่เหมาะสม อีกครั้งความสามารถยังเข้าไม่ได้กับวิญญาณยุทธ์ของพวกเขาทั้งสอง เห็นได้ว่าการเสาะหากระดูกวิญญาณนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด อายุของสัตว์อสูรจะสังเกตได้จากสีของพลังวิญญาณที่แผ่ซ่านออกมา จะเป็นสีเดียวกันกับพลังวิญญาณ แม้จะเป็นเผ่าพันธ์เดียวกันแต่มีอายุต่างก

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่​12 ออกเดินทางล่าสัตว์อสูร

    เนตรแห่งสวรรค์ของหนิงอ้ายหลังจากได้รับแรงกระตุ้นจากการดูดซับกระดูกวิญญาณของอสรพิษเหมันต์บรรพกาลไป หนิงอ้ายพบว่าความสามารถในการมองเห็นและการรับรู้ของเขาในตอนนี้อยู่เหนือกว่าผู้ฝึกตนในเขตขั้นเดียวกันอย่างชัดเจน รายละเอียดเล็กน้อย ข้อมูลต่าง ๆ รวมไปถึงทุกการเคลื่อนไหวในรัศมีหนึ่งลี้ไม่อาจถูกปกปิดจากสายตาหรือการรับรู้ของเขาได้ คล้ายกับว่าความสามารถทั้งหมดในโลกเดิมของเขาที่เคยใช้ได้จะถูกยกระดับเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว“หนิงเอ๋อร์ เจ้าแน่ใจใช่หรือไม่ที่จะเดินทางไปกับผู้อาวุโสหวังฮุ่ยไปยังเทือกเขาหมื่นอสูรวิญญาณในครั้งนี้?” เยว่ซินถามหนิงอ้ายอีกครั้ง แม้นางจะรู้ดีว่าด้วยระดับขุนนางวิญญาณของเด็กหนุ่มย่อมสามารถเอาตัวรอดได้อย่างไม่ยาก แต่นางยังรู้สึกเป็นกังวลเพราะอีกฝ่ายไม่เคยออกจากเขตพื้นที่เมืองหลวงนี้เสียด้วยซ้ำ“ขอรับท่านแม่ ข้ากับลู่ซีจะติดตามท่านลุงฮุ่ยไปยังเทือกเขาหมื่นอสูรวิญญาณเพื่อฝึกฝนประสบการณ์และเสาะหากระดูกวิญญาณแรกด้วยขอรับ!!” หนิงอ้ายตอบไปด้วยความมั่นใจ“เช่นนั้นแล้วแต่เจ้า รบกวนผู้อาวุโสหวังฮุ่ยดูแลทั้งสองคนด้วยนะเจ้าคะ...” เยว่ซินพูดออกมา“คุณหนูอย่าได้กังวลข้าจะดูแลคุณชายหนิงอ้าย

Scan code to read on App
DMCA.com Protection Status