หนิงอ้ายนั่งมองฝูงปลาที่กำลังแหวกว่ายอยู่ในสระบัวท่ามกลางบรรยากาศยามเช้าเงียบสงบ ผมสีดำสนิทเปล่งประกายเงางามถูกมัดรวบด้วยผ้าผูกสีขาวเพียงครึ่งปล่อยส่วนที่เหลือให้ยาวสยายจรดกลางหลัง เส้นผมบางส่วนหลุดลุ่ยไปตามกรอบหน้าเรียวมนรูปไข่ที่คล้ายคลึงกับมารดาไปมากถึงเก้าในสิบส่วน ดวงตาเรียวหงส์ประกายความซุกซนสดใส ริมฝีปากบางรูปกระจับสีชมพูระเรื่อ จมูกเรียวโด่งรับกับใบหน้างดงามราวกับเป็นเซียนหญิงคงไม่เกินจริงไปนัก
“หนิงเอ๋อร์ แน่ใจใช่หรือไม่ว่าหายดีแล้ว? แม่เป็นห่วงเจ้ายิ่งนัก” เย่วซินถามขึ้นพร้อมกับเดินไปหาบุตรชายที่นั่งอยู่ในศาลาริมสระบัวข้างเรือน
“ข้าหายดีแล้วท่านแม่ อีกทั้งยังรู้สึกแข็งแรงขึ้นมากกว่าเดิมด้วยขอรับ...” หนิงอ้ายตอบกลับไปเพื่อให้อีกฝ่ายคลายความกังวลก่อนตัดสินใจเอ่ยในสิ่งที่ได้ครุ่นคิดมาอย่างดีแล้วในตลอดหนึ่งเดือนนี้
“ท่านคิดเห็นอย่างไรหากว่าข้าอยากเป็นผู้ฝึกตนและต้องการปลุกพลังวิญญาณขอรับ?”
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเอ่ยสิ่งใดออกมา?” เย่วซินที่ได้ยินจึงถามกลับไปด้วยความประหลาดใจ เพราะหลังจากที่เด็กหนุ่มไม่สามารถปลุกพลังวิญญาณได้ในตอนอายุเจ็ดปีบุตรชายของนางก็ไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องนี้เลยสักครั้ง ตลอดหลายปีมานี้อีกฝ่ายได้ทุ่มเทเวลาทั้งหมดไปกับการศึกษาตำราสมุนไพรรวมไปถึงตำราศาสตร์ความรู้ในด้านอื่น
“ข้าปล่อยตัวเองให้จมอยู่กับคำดูถูกตลอดเวลาหลายปีนี้ไปอย่างน่าเสียดาย ข้าไม่อาจหลบซ่อนตัวอยู่ภายใต้ร่มเงาการปกป้องของท่านแม่หรือตระกูลหวังไปตลอดชีวิตได้...”
“แม้ว่าจะต้องแลกด้วยความเจ็บปวดเจียนตาย เจ้าก็ยินดีอย่างนั้นรึ?” เยว่ซินจ้องเข้าไปในดวงตาของบุตรชายอันเป็นที่รัก พร้อมกับถามกลับไปด้วยความจริงจัง
“ข้ามิกลัวขอรับ! ในยุทธภพแห่งนี้ผู้ที่แข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะได้รับการยอมรับนับถือเหนือผู้คน ต่อให้เส้นทางผู้ฝึกตนของข้าอาจจะเริ่มต้นช้าหรือมีอุปสรรคขัดขวางมากกว่าผู้อื่น ไม่ว่าจะต้องทนทุกข์จากความเจ็บปวดมากเพียงใดก็จะมุ่งมั่นอดทน ข้าเชื่อว่าผลลัพธ์จากความเพียรพยายามต้องออกมาดีเป็นแน่...”
”ท่านแม่ได้โรดสนับสนุนข้าด้วยขอรับ!” หนิงอ้ายเอ่ยออกมาพร้อมกับคุกเข่าตรงหน้ามารดาของตนด้วยสายตามั่นคงแน่วแน่กับสิ่งที่ตนเอ่ยขึ้น
เยว่ซินที่เห็นหนิงอ้ายคุกเข่าคำนับพร้อมกับใบหน้าจริงจังที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น นางรู้สึกภูมิใจในบุตรชายเป็นอย่างมาก หลังจากที่เด็กหนุ่มหายจากอาการป่วยเมื่อหนึ่งเดือนก่อน ดูเหมือนว่าในครั้งนี้ร่างกายได้ฟื้นฟูขึ้นจนเห็นได้ชัด ใบหน้าที่เคยซีดเซียวหม่นหมองได้ถูกแทนที่ด้วยใบหน้าสดใสเฉกเช่นคนสุขภาพดี ในตอนนี้อีกฝ่ายดูมีความสุขและมีชีวิตชีวาที่มากยิ่งขึ้นเหมาะสมกับวัยยิ่ง
แม้ว่าสิ่งที่หนิงอ้ายได้ร้องขอจะทำให้นางเป็นห่วงแต่ด้วยเหตุผลหลายสิ่งอย่างที่ประกอบกันแล้ว สิ่งที่เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นมาล้วนเป็นจริงทั้งสิ้น ตัวของนางเองและตระกูลหวังย่อมไม่สามารถปกป้องอีกฝ่ายไปได้ตลอดดังว่า อีกทั้งในตอนนี้หากนางจะกล่าวห้ามอะไรคงไม่ทันแล้วเป็นแน่เพราะเจ้าตัวคงใช้เวลาหลายวันคิดตัดสินใจถี่ถ้วนดีแล้วจึงเอ่ยออกมาเช่นนี้
เส้นทางของผู้ฝึกตนนับว่าเป็นสิ่งหนึ่งที่ผู้คนธรรมดาทั่วไปล้วนต้องการผลักดันตัวเองเข้าสู่วิถีนี้ ด้วยถือว่าเป็นตัวตนที่ทรงเกียรติน่าเกรงขาม ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกตนระดับขั้นต่ำที่สุดหรือจะระดับไหนก็นับว่าเป็นหน้าเป็นตาให้กับตระกูลอย่างแท้จริง
ผู้ฝึกตนล้วนมีพลังวิญญาณต้นกำเนิดกันทั้งสิ้น ขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของพลังวิญญาณในร่างกายซึ่งแบ่งออกเป็นสิบขั้นย่อยในแต่ละระดับและมีทั้งหมดสิบห้าขั้นใหญ่ ทันทีที่สามารถปลุกพลังวิญญาณได้สำเร็จจะถูกเรียกขานว่าผู้ฝึกตน สำหรับวิญญาณยุทธ์จะตื่นขึ้นก็ต่อเมื่อพลังวิญญาณเข้าสู่ระดับที่สิบเอ็ดเป็นต้นไป ในเขตขั้นนี้สามารถสังหารสัตว์อสูรเพื่อช่วงชิงกระดูกวิญญาณเข้าประสานกับร่างกายได้ โดยที่ผู้ฝึกตนจะมีราชทินนามหรือคำเรียกขานตัวตนดังนี้
ราชทินนามก่อเกิดวิญญาณระดับ 1-10
ราชทินนามขุนพลวิญญาณระดับ 11-19
ราชทินนามขุนนางวิญญาณระดับ 20-29
ราชทินนามจักรพรรดิวิญญาณระดับ 30-39
ราชทินนามเทวะวิญญาณระดับ 40-49
ราชทินนามราชันวิญญาณระดับ 50-59
ราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณระดับ 60-69
ราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณระดับ 70-79
ราชทินนามพรหมยุทธ์วิญญาณระดับ 80-89
ราชทินนามมหาพรหมยุทธ์วิญญาณระดับ 90-100
ราชทินนามอัครพรหมยุทธ์วิญญาณระดับ 101-119
ราชทินนามมหาอัครพรหมยุทธ์วิญญาณระดับ 120-130
ราชทินนามเทพพรหมยุทธ์วิญญาณระดับ 130-150
ราชทินนามมหาเทพพรหมยุทธ์วิญญาณระดับ 150-170
ราชทินนามเทพบรรพกาล (ตำนาน) ระดับ170 เป็นต้นไป
แต่ละขั้นย่อยของระดับพลังวิญญาณจะแบ่งออกเป็นดังนี้
ระดับ 1-3 ขั้นต้น หนึ่งวงแหวนเวทย์
ระดับ 4-6 ขั้นกลาง สองวงแหวนเวทย์
ระดับ 7-9 ขั้นสูง สามวงแหวนเวทย์
ว่ากันว่าผู้ฝึกตนที่บรรลุถึงเขตขั้นที่90 หรือราชทินนามมหาพรหมยุทธ์วิญญาณเป็นต้นไป พวกเขาเหล่านั้นไม่ต่างไปจากบุคคลในตำนานที่ไม่อาจมีผู้ใดเสมอเทียบเคียงได้
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าในโลกยุทธภพต่างมีทั้งผู้คนธรรมดาและผู้ฝึกตนที่ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันอย่างสงบสุข แต่ก็มีผู้ฝึกตนบางคนที่ทะนงตัวว่าตนแข็งแกร่งเที่ยวไล่ข่มแหงรังแกคนธรรมดาจนต้องให้หน่วยควบคุมเข้ามาคอยตรวจสอบอยู่เสมอ ที่สำคัญการปลุกพลังวิญญาณทุกคนสามารถทำได้ไม่มีการปิดกั้นโอกาส ทั้งคนธรรมดาและลูกหลานของผู้ฝึกตนแต่สุดท้ายก็ใช่ว่าจะสำเร็จเป็นไปตามดั่งใจหวัง...”
"การปลุกพลังวิญญาณจำเป็นต้องปลุกในช่วงอายุเจ็ดปีแต่ไม่ควรเกินช่วงอายุสิบห้าปีจึงจะเป็นการดีที่สุด เพราะหากว่ายิ่งปลุกพลังวิญญาณในตอนที่อายุมากขึ้นเท่าไหร่ความบริสุทธิ์ของวิญญาณยุทธ์ต้นกำเนิด รวมไปถึงความสำเร็จในการปลุกพลังวิญญาณก็จะยิ่งลดลงหายไปเท่านั้น...”
“หลังจากทำการปลุกพลังวิญญาณได้สำเร็จพลังวิญญาณหรือพลังลมปราณภายในจะเป็นตัวชี้วัดความแข็งแกร่ง ผู้ฝึกตนแต่ละระดับสามารถดูดซับกระดูกวิญญาณได้สูงสุดตามพลังวิญญาณในขณะนั้น เช่นผู้ฝึกตนระดับจักรพรรดิวิญญาณจะครอบครองกระดูกวิญญาณของสัตว์อสูรได้จะต้องมีอายุไม่เกิน4,000ปี แต่ถึงอย่างไรมีจำนวนไม่น้อยหากผู้ฝึกตนตั้งแต่ระดับขุนพลวิญญาณขึ้นไปหากไม่พบกระดูกวิญญาณที่สนับสนุนวิญญาณยุทธ์ต้นกำเนิดได้อย่างเหมาะสมก็สามารถเลือกดูดซับกระดูกวิญญาณเหล่านี้ในภายหลังได้เช่นกัน”
“ผู้ฝึกตนทุกคนล้วนต่างมีวิญญาณยุทธ์กันทั้งสิ้น ซึ่งวิญญาณยุทธ์แบ่งออกเป็นสามประเภทคือสัตว์อสูร ประเภทธรรมชาติและประเภทศาสตราวุธ อีกทั้งแบ่งออกเป็นสี่สายดังนี้คือสายสนับสนุน สายโจมตี สายป้องกันและสายควบคุมโดยปกติแล้วผู้ฝึกตนจะมีเพียงหนึ่งวิญญาณยุทธ์ต้นกำเนิดเท่านั้น แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยปรากฏผู้ฝึกตนที่มีมากกว่าหนึ่งวิญญาณยุทธ์ เพราะส่วนมากแล้วบุคคลเหล่านี้ล้วนเป็นแต่ผู้ที่มีชื่อเสียงในยุทธภพกันทั้งสิ้น”
“นอกจากที่ผู้ฝึกตนจะแบ่งระดับขั้นพลังเพื่อแสดงถึงความแข็งแกร่งแล้ว ในร่างกายของผู้ฝึกตนหรือแม้กระทั่งคนธรรมดาล้วนประกอบไปด้วยปราณธาตุดิน ปราณธาตุน้ำ ปราณธาตุลม ปราณธาตุไฟเป็นสี่ธาตุพื้นฐานอย่างที่เจ้ารู้ อีกทั้งยังมีสองปราณธาตุพิเศษคือปราณธาตุไม้และปราณธาตุทองที่สืบทอดจากเชื้อสายกษัตริย์ บ้างก็ว่ายังมีอีกหนึ่งปราณธาตุพิเศษที่ไม่พบเจอมานานแล้วคือปราณธาตุพิษ และยังมีอีกถึงสองปราณธาตุในตำนานนั่นคือปราณธาตุแสงและปราณธาตุมืด สิ่งเหล่านี้มีการบันทึกไว้ให้รุ่นหลังได้รับรู้โดยทั่วกันสืบมา สำหรับสีของวิญญาณยุทธ์จะบ่งบอกได้ถึงความเเข็งแกร่งของวิญญาณธาตุต้นกำเนิดที่ครอบครอง”
ในโลกของผู้ฝึกตนแบ่งออกเป็นสี่ปราณธาตุธรรมดาดังนี้
ปราณธาตุดิน (สีน้ำตาลเหลือง -สีน้ำตาลส้ม -สีน้ำตาลเเดง)
ปราณธาตุน้ำ (สีฟ้า -สีคราม -สีน้ำเงิน)
ปราณธาตุลม (สีเขียวอ่อน -สีเขียวน้ำตาล -สีเขียวเข้ม)
ปราณธาตุไฟ (สีเหลือง -สีเหลืองส้ม -สีส้ม)
แบ่งเป็นสามปราณธาตุพิเศษดังนี้
ปราณธาตุพฤกษา (ไม้) (สีน้ำตาลอ่อน -สีน้ำตาลเเดง -สีน้ำตาลเข้ม)
ปราณธาตุทอง (โลหะ) (สีขาวทอง -สีเงินทอง -สีทอง)
ปราณธาตุพิษ (สีเหลืองดำ -สีเขียวดำ -สีม่วงดำ)
และแบ่งเป็นสองปราณธาตุในตำนานดังนี้
ปราณทิวาธาตุ (แสง) (สีเหลืองทอง -สีส้มทอง -สีเเดงทอง)
ปราณรัตติกาลธาตุ (มืด) (สีดำขาว -สีดำเทา -สีดำทอง)
โดยปกติผู้ฝึกตนจะสามารถใช้วิญญาณยุทธ์ได้เพียงหนึ่งเท่านั้น โดยเชื่อว่าจะเป็นการสืบทอดทางสายเลือดจากฝั่งบิดาหรือฝั่งมารดาของตน แต่ใช่ว่าผู้ฝึกตนทุกคนจะมีวิญญาณยุทธ์ได้เพราะหากว่าในร่างกายไม่มีความสมดุลมากเพียงพอก็จะไม่สามารถเรียกใช้วิญญาณยุทธ์ได้เช่นกัน
สำหรับความสัมพันธ์ระหว่างวิญญาณยุทธ์และพลังวิญญาณ หากไร้ซึ่งพลังวิญญาณแล้ววิญญาณยุทธ์ก็จะกลายเป็นเพียงสิ่งธรรมดาไร้ค่า เป็นเพียงวิญญาณยุทธ์ขยะเพียงเท่านั้น แต่เมื่อใดที่ผู้ฝึกตนสามารถทะลุเขตขั้นระดับขุนพลวิญญาณและมีระดับพลังวิญญาณที่เพิ่มสูงขึ้น วิญญาณยุทธ์ก็จะสามารถเปลี่ยนแปลงพัฒนาไปด้วยได้เช่นกัน...
"ผู้ฝึกตนเเต่ละคนจะสามารถใช้ได้สูงสุดเพียงหนึ่งปราณธาตุที่ได้รับสืบทอดมาจากทางฝั่งบิดาและจากฝั่งมารดาไม่ทางใดทางหนึ่ง และน้อยเสียยิ่งกว่านักหากจะพบเจอผู้ฝึกตนที่สามารถมีปราณธาตุได้มากกว่าหนึ่งขึ้นไป เพราะหากในร่างกายไม่มีซึ่งความสมดุลมากเพียงพอก็จะไม่สามารถเรียกใช้ปราณธาตุได้แต่อย่างไรแล้วก็ใช่ว่าทุกปราณธาตุจะเกื้อกูลกันเสมอไปเพราะในบางครั้งผู้ถือครองสองปราณธาตุบางคนก็หักล้างกันจนทำร้ายผู้ถือครองเสียเองก็มีให้เห็น...”
“หากทำการปลุกพลังวิญญาณในช่วงอายุที่มากขึ้นเท่าไหร่ความเจ็บปวดในขณะนั้นก็จะทวีเพิ่มขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน...ในยามนี้เจ้าอายุสิบสี่ปีถือว่าเกือบถึงเกณฑ์กำหนดในการปลุกพลังวิญญาณแล้ว หากว่าไม่สามารถปลุกพลังวิญญาณได้ เจ้าจะรับมือกับความผิดหวังอีกครั้งได้หรือไม่เล่า?" เยว่ซิถามกลับไปให้อีกฝ่ายได้ตัดสินใจอีกครั้ง
“ท้ายที่สุดแล้วจะสมหวังหรือผิดหวังก็ตามตัวข้าล้วนยอมรับด้วยความเต็มใจ แต่หากว่าข้าสามารถปลุกพลังวิญญาณได้สำเร็จและกลายเป็นผู้ฝึกตนที่มีความแข็งแกร่งเหนือผู้คนทั่วไปจนสามารถปกป้องตัวเองและดูแลท่านแม่ได้ต่อให้เส้นทางเดินหลังจากนี้ต้องพบเจอความเจ็บปวดหรืออุปสรรคเพียงใดข้าก็ยินดีทั้งสิ้นขอรับ!” หนิงอ้ายเอ่ยตอบกลับมารดาด้วยความหนักเเน่นไม่หวั่นไหว
“อย่างไรก็ตามแต่ใช่ว่าทุกคนที่จะโชคดีสามารถใช้ถึงสองปราณธาตุได้เพราะถึงแม้ว่าจะได้รับปราณธาตุจากฝั่งบิดามารดาของตนก็จริง แต่หากเกิดความไม่สมดุลกันก็จะสามารถใช้ได้เพียงแค่ปราณธาตุเดียว ส่วนอีกหนึ่งนั้นจะกลายเป็นปราณธาตุรองที่ต้องอาศัยโอสถระดับสูงในปลุกกระตุ้นให้สามารถใช้งานได้ไม่ต่างกับปราณธาตุหลัก” เย่วซินค่อย ๆ อธิบายให้หนิงอ้ายให้เข้าใจด้วยความใจเย็นเปรียบดั่งอาจารย์ที่กำลังสั่งสอนลูกศิษย์
พรึบ!
วูบ!
วิญญาณยุทธ์บุปผาอัปสราเหมันต์อัคคี สถิตร่าง!!!
เยว่ซินยกแขนทั้งสองข้างขึ้นเป็นท่วงท่าที่สวยงามพร้อมกับปลดปล่อยพลังวิญญาณของตนเองออกมา ก่อนที่จะปรากฏวงแหวนเวทย์อักขระเปล่งแสงรัศมีขึ้นโดยรอบพื้นที่ยืนอยู่ เหนืออุ้งมือซ้ายของนางได้ปรากฎเป็นบุปผาเพลิงสีเหลืองส้มขนาดเท่ากับลูกแก้วสามดอกที่ลอยวนไปโดยรอบฝ่ามือ คลื่นความร้อนระอุได้แผ่ซ่านไปทั่วทั้งบริเวณนี้สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน
“ราชทินนามของมารดาคือจักรพรรดิวิญญาณสายโจมตีระดับที่39 นี่คือวิญญาณยุทธ์บุปผาอัปสราเหมันต์อัคคีเป็นปราณธาตุไฟสายโจมตี เเต่ละปราณธาตุจะเเบ่งระดับความเข้มข้นออกเป็นสามขั้น สีเหล่านี้จะบ่งบอกได้ถึงความเเข็งแกร่งที่ถือครองอยู่”
“นอกจากนี้แล้วผู้ฝึกตนยังสามารถดูดซับผลึกปราณธาตุเพื่อเพิ่มความเเข็งแกร่งของปราณธาตุต้นกำเนิดของตน และหากดูดซับกระดูกวิญญาณของสัตว์อสูรเข้ากับร่างกายก็จะสามารถเรียกใช้ทักษะความสามารถของสัตว์อสูรมาผสานเข้ากับการต่อสู้ได้เช่นกัน ซึ่งต้องเลือกกระดูกวิญญาณของสัตว์อสูรที่มีอายุสอดคล้องกับระดับพลังวิญญาณของตนด้วย เพราะหากว่ามีการประสานกระดูกวิญญาณที่มีอายุมากและข้ามระดับมากเกินไปก็อาจจะเกิดอันตรายชีวิตเลยทีเดียว...” เยว่ซินมองหน้าเด็กหนุ่มในขณะที่อธิบายพร้อมกับระบายยิ้มเล็กน้อย เพราะนางสัมผัสได้ว่าบุตรของนางมีชะตาที่รุ่งโรจน์เหนือกว่าผู้ใดจะก้าวข้ามถึงเขตขั้นนั้นได้เสมอเหมือน
“ผู้ฝึกตนสามารถเลือกเพิ่มคุณสมบัติลงไปในวิญญาณยุทธ์ต้นกำเนิดได้ เช่นการเสริมความแข็งแร่งของร่างกาย การเพิ่มความทนทาน ความยืดหยุ่น แน่นอนว่าย่อมมีตัวเลือกมากมายที่จะเลือกใส่ลงไปในวิญญาณยุทธ์...”
“สุดท้ายแล้ว...ไม่ว่าวิญญาณยุทธ์จะเป็นปราณธาตุใด ล้วนขึ้นอยู่กับวิธีการฝึกฝนและเส้นทางที่เราเลือกเดินทั้งสิ้น!”
“มารดาของเจ้าในยามนี้มิได้เชี่ยวชาญในเชิงยุทธ์ดั่งเช่นวันวานแล้ว แต่ถึงอย่างไรมารดาของเจ้าผู้นี้ได้รับมอบสมบัติของตระกูลหวังที่ส่งต่อกันมา คงถึงเวลาที่ต้องส่งมอบให้กับเจ้าเสียที...” เยว่ซินตอบกลับไปแต่ท้ายประโยคนั้นคล้ายกับว่าคุยกับตัวเองเสียอย่างนั้น
“กลับเข้าเรือนกันเถิด...มารดายังต้องเตรียมสิ่งของที่ท่านตาเจ้ามอบให้สำหรับการปลุกพลังวิญญาณให้กับเจ้า” หนิงอ้ายที่ตอนนี้พยายามเรียบเรียงข้อมูลและทำความเข้าใจในสิ่งที่ตนได้ฟังเมื่อสักครู่ เมื่อเห็นว่ามารดาเดินไปยังเรือนเล็กไปไกลแล้วเขาจึงเร่งความเร็วเดินตามไปในทันทีด้วยความรู้สึกตื่นเต้น ใบหน้างดงามฉายรอยยิ้มเปล่งประกายถึงความสุขที่เอ่อล้นจนบ่าวรับใช้ในเรือนก็สามารถรับรู้ได้ถึงความรู้สึกดังกล่าวนี้ได้อย่างชัดเจน
บ่าวรับใช้ที่อยู่โดยรอบของศาลาริมสระบัวเมื่อครู่ที่ได้ยินบทสนทนาของนายของตนทั้งสองต่างรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง เพราะทุกคนล้วนอยู่ในเหตุการณ์เมื่อเจ็ดปีที่แล้วตอนที่คุณชายของตนไม่สามารถปลุกพลังวิญญาณได้ นอกจากจะทำให้คุณชายน้อยเสียใจแล้วจากที่เคยเป็นเด็กที่ร่าเริงยิ้มแย้มแจ่มใสเเต่กลับสุขภาพแย่ลงอีกทั้งยังกลายเป็นเด็กที่เงียบขรึมแทบไม่มีรอยยิ้ม เอาแต่ศึกษาตำราอยู่แต่ในห้องบางครั้งก็นั่งอยู่ตรงศาลาริมสระบัวทั้งวัน
อีกทั้งยังถูกนินทาจากบ่าวรับใช้ในเรือนอื่นในจวน แทบจะไม่มีความเคารพคุณชายของตนเสียด้วยซ้ำ เคราะห์ดีเมื่อหนึ่งเดือนก่อนหลังจากที่คุณชายไม่สบายและหายฟื้นจากไข้ ครั้นเมื่อตื่นขึ้นมาถึงแม้จะพูดจาแปลก ๆ ไปบ้างแต่ก็กลับมาร่าเริงมีรอยยิ้มและซุกซนสมวัยอีกครั้ง นับว่าเป็นสิ่งที่พวกเขารู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก...
เยว่ซินเดินนำหนิงอ้ายเข้ามาในเรือนก่อนที่จะหายเข้าไปในห้องนอน ก่อนจะออกมาพร้อมกับของในมือแล้วจึงตรงไปยังห้องโถงรับรองของเรือนนี้ สิ่งที่เยว่ซินถืออยู่ในมือเป็นหีบไม้ขนาดย่อมสีดำทองฉลุลวดลายงดงามอ่อนช้อยแต่แฝงไปด้วยกลิ่นอายความดุดัน หนิงอ้ายสัมผัสได้ถึงพลังบางอย่างที่อยู่ในกล่องคล้ายกับจะเรียกร้องหาเป็นความรู้สึกคุ้นเคยตีตื้นขึ้นมาในอกมันมีทั้งความสุขปนเศร้าตีรวนจนแยกไม่ออกหลังจากที่หีบได้ถูกเปิดออกปรากฎแก่สายตาจึงเห็นว่าภายในหีบไม้แกะสลักนี้ถูกบุด้วยผ้าสีแดงกำมะหยี่เนื้อดีตกแต่งด้วยหมุดทองสวยงาม เยว่ซินได้บอกว่าสิ่งนี้เป็นมรดกสืบทอดจากตระกูลหวังที่บิดามอบให้และตอนนี้นางได้ส่งต่อมาให้เขาเป็นเจ้าของแล้วในที่สุด ประกอบไปด้วยตำราเคล็ดวิชาจำนวนสามเล่ม ตำราแรกคือเคล็ดวิชาสยบอัสนีเมฆาอันเป็นเคล็ดวิชาดูดซับปราณฟ้าดินประจำตระกูล สองคือเคล็ดวิชากระบี่สักกะดารารายอันเป็นวิชากระบี่เลื่องชื่อในยุทธภพ ส่วนเล่มสุดท้ายนั่นคือเคล็ดวิชาก้าวย่างทะยานหมื่นลี้เป็นเคล็ดวิชาตัวเบาประจำของตระกูลหวัง ทั้งสามตำรานี้ล้วนเป็นฉบับจริงทั้งสิ้นยังมีจี้หยกสีแดงทับทิมที่เยว่ซินทราบเพียงสิ่งนี้คล้ายกับเครื่องรางปกป้
หนิงอ้ายรู้สึกดีใจและพึงพอใจเป็นอย่างมากที่เขาสามารถทำการปลุกพลังวิญญาณได้สำเร็จและกลายเป็นผู้ฝึกตนราชทินนามก่อเกิดวิญญาณระดับสิบได้เช่นนี้ หลังจากที่จัดการตัวเองเรียบร้อยแล้วไม่รอช้าออกจากไปหามารดาที่ห้องโถงของเรือนนี้ในทันที“หนิงเอ๋อร์ รู้สึกอย่างไรบ้างเจ้า?” เยว่ซินที่สัมผัสได้ถึงพลังลมปราณอ่อน ๆ จากตัวของเด็กหนุ่ม นั่นย่อมหมายความว่าในตอนนี้อีกฝ่ายสามารถข้ามผ่านเป็นผู้ฝึกตนได้สำเร็จแล้ว อย่างไรนางก็ถามกลับไปเพื่อความแน่ใจอีกครั้งว่าอีกฝ่ายไม่ได้รับผลกระทบใดยอมรับว่าตลอดทั้งคืนนางได้แต่เป็นห่วงกระวนกระวายจนนอนหลับไม่สนิท ในขณะที่หนิงอ้ายกำลังปลุกพลังวิญญาณนางได้ยินเสียงกรีดร้องของเด็กหนุ่มอย่างทรมานดังขึ้นอยู่หลายชั่วยามจนหายเงียบไปที่สุด ในใจของนางเต็มไปด้วยความเป็นห่วงยิ่งนัก แต่นางก็ไม่สามารถเข้าไปขัดขวางในขณะทำการปลุกพลังวิญญาณของเด็กหนุ่ม เพราะหากทำอย่างย่อมที่จะส่งผลเสียต่อเด็กหนุ่มมากมายเพียงใดก็สุดจะรู้ได้บิดาของนางก็เคยบอกเอาไว้ว่าในการปลุกพลังวิญญาณจะสำเร็จหรือไม่ขึ้นอยู่กับลิขิตฟ้าชะตาสวรรค์ถือว่าเป็นการทดสอบทั้งร่างกายและจิตใจของผู้ฝึกตนเพราะเมื่อได้ทำการเลือกใช้ชีวิ
วันเวลาผันผ่านไปหนิงอ้ายสามารถเลื่อนระดับลมปราณเป็นผู้ฝึกตนระดับขุนพลวิญญาณขั้นกลางแล้ว อีกเพียงไม่กี่ขั้นย่อยก็จะสามารถเลื่อนระดับเป็นผู้ฝึกตนขุนพลวิญญาณขั้นสูงได้สำเร็จ ด้วยระยะเวลาสั้นเพียงนี้กับความก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดดที่ทอดสายตาไปทั่วทั้งยุทธภพแล้วยังยากที่จะพบเห็นได้โดยง่าย ทั้งที่หกเดือนก่อนหน้าเด็กหนุ่มยังเป็นเพียงคนธรรมดาไร้ซึ่งพลังลมปราณที่พึ่งเข้าสู่วิถีของผู้ฝึกตนเพียงเท่านั้น หากมีผู้ใดล่วงรู้ในสิ่งนี้ย่อมสร้างความแตกตื่นในแวดวงของผู้ฝึกตนได้อย่างแน่นอน…“หนิงเอ๋อร์ ตอนนี้เจ้าเป็นผู้ฝึกตนระดับขุนพลวิญญาณแล้วเจ้าสัมผัสได้ถึงวิญญาณยุทธ์ของเจ้าได้แล้วหรือไม่? แสดงวิญญาณยุทธ์ของเจ้าให้มารดาดูเสียหน่อย...” เยว่ซินเอ่ยขึ้นกับบุตรชายของตน เนื่องจากเด็กหนุ่มในตอนนี้ถึงเขตขั้นราชทินนามขุนพลวิญญาณแล้วย่อมสามารถเรียกใช้วิญญาณยุทธ์ต้นกำเนิดของตนออกมาได้“ขอรับท่านแม่...”วิญญาณยุทธ์ปักษาสวรรค์เพลิงศักดิ์สิทธิ์ สถิตร่าง!!วูบ!หนิงอ้ายยกมือประสานขึ้นพร้อมกับปล่อยพลังวิญญาณระดับขุนพลวิญญาณของตนออกมา ก่อเกิดเป็นหมอกควันสีแดงทองที่ผนึกขึ้นเป็นปีกปักษาเพลิงขนาดใหญ่ตรงด้านหลัง กลิ่นอาย
แต่ละวันของหนิงอ้ายแทบจะเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง เริ่มตั้งแต่ตื่นเช้ามาออกกำลังโดยการวิ่งรอบจวนเสร็จแล้วก็ทานข้าวกับเยว่ซินผู้เป็นมารดา ในช่วงสายทำการศึกษาวิชาตำราต่าง ๆ เพื่อทบทวนความรู้ ช่วงเย็นทำการฝึกฝนวรยุทธรวมไปถึงการควบคุมใช้ปราณธาตุให้คล่องแคล่ว ยามกลางคืนอย่างน้อยวันละสองชั่วยามก็จะทำการนั่งดูดซับพลังปราณฟ้าดิน ด้วยความที่หนิงอ้ายทั้งคนเก่าและเขาในตอนนี้นั้นนิสัยแทบจะเหมือนกันทุกอย่างยิ่งเมื่อสนใจกับสิ่งใดแล้วก็จะจดจ่อมุ่งมั่นทำให้เต็มที่เสมอจึงทำให้มารดาหรือบ่าวรับใช้ในเรือนไม่รู้สึกถึงความแตกต่างกันโดยเฉพาะกับลู่ซีเป็นบ่าวรับใช้คนสนิทที่คอยดูแลหนิงอ้ายมาตั้งแต่ประมาณเจ็ดปี ย่อมรู้สึกถึงในความเปลี่ยนแปลงในนิสัยเล็กน้อยบางอย่าง แต่เมื่อคิดว่าคุณชายของตนนั้นผ่านอะไรมามากมายตั้งแต่เด็กถึงตอนนี้ไม่แปลกที่คุณชายจะมุ่งมั่นในการฝึกฝนให้ตนเองแข็งแกร่งขึ้นเพื่อที่จะดูแลตนเองและปกป้องสิ่งที่รักได้ แน่นอนว่าลู่ซีคนนี้สาบานจะอยู่เคียงข้างคุณชายของตนเสมอไม่เปลี่ยนไป“คุณชาย ท่านไม่คิดจะทำอย่างอื่นเลยหรือขอรับ?” ลู่ซีสอบถามเป็นกังวลเล็กน้อยเนื่องจากท่านเย่วซินมารดาของคุณชายนั้นเห็นว่าหนิ
มองจากด้านนอกของหอประมูลพยัคฆ์รัตติกาลว่ามีพื้นที่กว้างขวางแล้ว ชั้นใต้ดินด้านล่างก็มีพื้นที่มากมายไปไม่แตกต่างกันเสียด้วยซ้ำ เพราะตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามาในบริเวณหนิงอ้ายก็พบว่าทั้งชั้นใต้ดินนี้มีที่คุมขังสัตว์อสูรมากมาย แน่นอนว่ากรงขังต่าง ๆ เหล่านี้ต่างถูกกำกับด้วยบทเวทย์ป้องกันและบทเวทย์ที่ใช้ข่มพลังของสัตว์อสูรโดยเฉพาะนอกจากนั้นยังมีกรงเหล็กขนาดน้อยใหญ่แตกต่างกันไปที่มีการจำแนกสัตว์อสูรเป็นประเภทของแต่ละปราณธาตุสังกัด ด้วยความที่ผู้ฝึกตนสามารถทำการผูกพันธะกับสัตว์อสูรซึ่งอาจจะเพียงแค่หนึ่งครั้งในชีวิต ดังนั้นการเลือกสัตว์อสูรรับใช้ดังกล่าวผู้ฝึกตนจะเลือกโดยการอิงตามปราณธาตุที่ตนเองถนัดเพื่อจะเป็นประโยชน์ในการต่อสู้ของตนเองมากที่สุด“แล้วต้องมีพลังวิญญาณระดับใดกันจึงจะสามารถทำการผูกพันธะกับสัตว์อสูรได้?” หนิงอ้ายถามกลับลู่ซีไปอีกครั้ง“ความจริงแล้วผู้ฝึกตนระดับแรกเริ่มหรือระดับก่อเกิดวิญญาณก็สามารถทำการผูกพันธะกับสัตว์อสูรได้แล้วขอรับ แต่เงื่อนไขคือสามารถทำได้เพียงหนึ่งครั้งเท่านั้นจนกว่าจะมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งซึ่งคือผู้ผูกพันธะหรือสัตว์อสูรได้ตายลงไป ที่สำคัญคือขึ้นอยู่กับสัตว์อสูรว่าจ
ยอมรับตามตรงว่าก่อนหน้านี้มีหลายครั้งที่นทีได้แต่ครุ่นคิดอยู่ในใจ ว่าเพราะอะไรทำไมเขาถึงได้มาอยู่ในโลกใบนี้ได้กัน หรืออาจเป็นเพราะหนิงอ้ายคนเก่าต้องการให้เขาแก้แค้นอย่างนั้นหรือ? แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่ เพราะตัวเขาไม่เคยสัมผัสได้ถึงความรู้สึกในแง่ลบเหล่านี้เลยสักนิด เจ้าของร่างเดิมยังคงเด็กเกินไปจึงมีแต่ความอ่อนโยนจิตใจดี ซึ่งมันแตกต่างไม่ใช่ตัวเขาเป็นอย่างมากเลยทีเดียวนทีเมื่อได้รับโอกาสที่ได้มีชีวิตใหม่อีกครั้ง มีเยว่ซินผู้เป็นมารดาที่รักและเป็นห่วงเขาอยู่เสมอ ผู้อาวุโสหวังฮุ่ยที่เสียสละเวลาสั่งสอนความรู้อย่างไม่หวงแหน ลู่ซีที่เปรียบเสมือนเพื่อนสนิท ไหนจะเจ้าเจียวซิ่นที่เขารักเอ็นดูเหมือนลูกน้อยคนหนึ่ง ดังนั้นเขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้นกว่านี้เพื่อที่จะปกป้องคนที่เขารักได้ ในตอนนี้เขาสามารถใช้เคล็ดวิชาย่างก้าวทะยานหมื่นลี้ได้อย่างคล่องแคล่วและมีความคุ้นชินกว่าเดิมมาก ยิ่งเมื่อเขาได้นำมาประสานเข้ากับศิลปะการต่อสู้จากโลกเดิมที่เขาคุ้นเคยแล้ว เวลาได้ฝึกซ้อมกับผู้อาวุโสหวังฮุ่ยกับเหล่าองครักษ์คนอื่น ๆ แม้เขาจะเสียเปรียบในด้านร่างกายแต่ทว่าสิ่งที่เขานำมาพลิกแพลงในตอนนี้กลับสามารถช่วงชิงความได้เป
เป็นเวลาเกือบหนึ่งปีที่นทีได้ใช้ชีวิตในนามของจางหนิงอ้าย อีกเพียงไม่กี่วันอายุของร่างนี้ก็ใกล้ครบสิบห้าปีแล้ว แต่จางเลี่ยงหวงผู้เป็นบิดากลับไม่สนใจในสิ่งเหล่านี้ราวกับว่าเด็กหนุ่มไม่มีตัวตนในตระกูลเสียอย่างนั้น แต่แล้วอย่างไรเล่า? เพราะตัวของนทีเองก็ไม่ได้ยอมรับอีกฝ่ายในฐานะบิดาของเจ้าของร่างเช่นกัน…“อีกสามเดือนข้างหน้าจะมีงานประลองที่ทางแคว้นเต่าดำรับเป็นเจ้าภาพในครั้งนี้ จากนั้นอีกเพียงหนึ่งเดือนแต่ละสำนักศึกษาจะเปิดรับศิษย์ใหม่เข้าสังกัด ข้าจึงขออนุญาตจากท่านแม่ในการเข้าร่วมลงประลองครั้งนี้เพื่อลบล้างคำครหาที่ว่าเป็นเพียงสวะของตระกูลซึ่งนั่นหาใช่ความจริงไม่ อีกทั้งข้ายังอยากเข้าทดสอบของสำนักศึกษาด้วยขอรับ!!” หนิงอ้ายบอกกับเยว่ซินถึงความต้องการของตน“มารดาล้วนตามใจเจ้าทั้งสิ้น เรื่องเข้าสำนักศึกษาเอาไว้เจ้าขอคำแนะนำจากท่านตาดีหรือไม่ ว่าสุดท้ายแล้วจะเลือกเข้าทดสอบสำนักศึกษาใดจึงจะเหมาะสมกับเจ้ามากที่สุด...” เยว่ซินตอบรับคำขอนี้ พร้อมกับลูบหัวของอีกฝ่ายด้วยความรักใคร่“เจ้าจะเข้าร่วมงานประลองนี้กับข้าด้วยใช่หรือไม่??” หนิงอ้ายลู่ซีขึ้น“เป็นเช่นนั้นขอรับ...” ลู่ซีที่สามารถตัดผ่านเป็
เนตรแห่งสวรรค์ของหนิงอ้ายหลังจากได้รับแรงกระตุ้นจากการดูดซับกระดูกวิญญาณของอสรพิษเหมันต์บรรพกาลไป หนิงอ้ายพบว่าความสามารถในการมองเห็นและการรับรู้ของเขาในตอนนี้อยู่เหนือกว่าผู้ฝึกตนในเขตขั้นเดียวกันอย่างชัดเจน รายละเอียดเล็กน้อย ข้อมูลต่าง ๆ รวมไปถึงทุกการเคลื่อนไหวในรัศมีหนึ่งลี้ไม่อาจถูกปกปิดจากสายตาหรือการรับรู้ของเขาได้ คล้ายกับว่าความสามารถทั้งหมดในโลกเดิมของเขาที่เคยใช้ได้จะถูกยกระดับเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว“หนิงเอ๋อร์ เจ้าแน่ใจใช่หรือไม่ที่จะเดินทางไปกับผู้อาวุโสหวังฮุ่ยไปยังเทือกเขาหมื่นอสูรวิญญาณในครั้งนี้?” เยว่ซินถามหนิงอ้ายอีกครั้ง แม้นางจะรู้ดีว่าด้วยระดับขุนนางวิญญาณของเด็กหนุ่มย่อมสามารถเอาตัวรอดได้อย่างไม่ยาก แต่นางยังรู้สึกเป็นกังวลเพราะอีกฝ่ายไม่เคยออกจากเขตพื้นที่เมืองหลวงนี้เสียด้วยซ้ำ“ขอรับท่านแม่ ข้ากับลู่ซีจะติดตามท่านลุงฮุ่ยไปยังเทือกเขาหมื่นอสูรวิญญาณเพื่อฝึกฝนประสบการณ์และเสาะหากระดูกวิญญาณแรกด้วยขอรับ!!” หนิงอ้ายตอบไปด้วยความมั่นใจ“เช่นนั้นแล้วแต่เจ้า รบกวนผู้อาวุโสหวังฮุ่ยดูแลทั้งสองคนด้วยนะเจ้าคะ...” เยว่ซินพูดออกมา“คุณหนูอย่าได้กังวลข้าจะดูแลคุณชายหนิงอ้าย
ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู
ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง
คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต
การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์
หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร
ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต
มหาพิภพพิสดารแห่งนี้ประกอบไปด้วยสามพิภพ สี่มหาสมุทร แปดมหาทวีป โดยที่สามพิภพนั้นจะแบ่งเป็นดินแดนพิภพระดับสูง ดินแดนพิภพระดับกลางและพิภพระดับล่าง โดยมีสี่ทะเลมหาสมุทรตั้งอยู่ 4 ทิศล้อมรอบที่เชื่อว่าเป็นที่พักพิงของเทพบรรพกาลสูงสุดทั้งสาม และแปดมหาทวีปที่ได้มีการแบ่งการปกครองตามทิศทั้งแปดของดินแดนพิภพระดับกลาง ด้วยเพราะต่างมีผู้ปกครองดินแดนอันเป็นตัวตนที่ไม่ธรรมดาสามัญทั้งสิ้น ดังนั้นการเดินทางข้ามผ่านแต่ละเขตดินแดนจึงจำเป็นต้องมีเงื่อนไขกฎเกณฑ์ที่แตกต่างกันไปสำหรับการเดินทางข้ามเขตแดนทั้งสามพิภพโดยเฉพาะดินแดนพิภพระดับสูงและดินแดนพิภพระดับกลางนั้น เงื่อนไขสำคัญคือผู้ฝึกตนที่บ่มเพาะพลังปราณในดินแดนพิภพระดับกลาง หากไม่สามารถเลื่อนระดับเป็นราชทินนามอัครพรหมยุทธ์วิญญาณหรือครอบครองพลังวิญญาณในระดับที่101ได้ย่อมไม่อาจก้าวล้ำมายังดินแดนพิภพระดับสูงนี้ได้ด้วยขีดจำกัดของกายเนื้อที่ไม่สามารถรองรับพลังปราณฟ้าดินบริสุทธิ์เข้มข้นที่ไหลเวียนหล่อเลี้ยงทั่วทั้งมหาพิภพ เพราะหากไร้ซึ่งความแข็งแกร่งของสายโลหิตและพลังปราณที่ล้ำลึกที่เพียงพอ ไม่กี่ชั่วลมหายใจร่างกายและจิตวิญญาณย่อมถูกบดขยี้ไปสิ้นแต่ในทางก
ไม่น่าเชื่อว่าเพียงหนึ่งราตรีที่ผ่านพ้น สำนักหมาป่าทมิฬจะถูกฆ่าล้างสำนักจนไม่เหลือแม้แต่ผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว การจู่โจมโดยไม่อาจตั้งตัวนั้นได้ส่งผลให้เหล่าสมาชิกในสำนักต้องสังเวยชีวิตอย่างน่าสลดใจ สิ่งนี้กล่าวว่าได้สร้างความตื่นตะลึงแก่กลุ่มอิทธิพลมืดในยุทธภพอยู่ไม่น้อย แม้ว่าสำนักหมาป่าทมิฬจะเป็นสำนักที่พึ่งก่อตั้งได้ไม่กี่สิบปีแต่ก็มีชื่อเสียงโด่งดังในด้านความโหดเหี้ยมและไร้ความปรานี การล่มสลายของสำนักในครั้งนี้จึงกลายเป็นปริศนาที่ยากจะคาดเดาได้ว่าจะเกิดขึ้นสิ่งที่น่าตื่นตะลึงนั่นคืออดีตผู้ก่อตั้งสำนักนั้นเป็นถึงราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณที่มีรากฐานบ่มเพาะไม่ธรรมดาสามัญรวมไปถึงเจ้าสำนักคนปัจจุบันนั้นก็เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นสูงที่มากไปด้วยความสามารถไม่อ่อนด้อยแม้จะขึ้นชื่อในเรื่องของความวิปริตมากกว่าก็ตาม ไม่นับรวมถึงบรรดาผู้อาวุโสที่ล้วนต่างเป็นราชทินนามระดับสูงที่ไม่อาจดูแคลนได้ทั้งสถานที่ตั้งยังรายล้อมไปด้วยมหาค่ายกลเขตแดนธรรมชาติที่ใช่ว่าจะสามารถบุกฝ่าทะลวงไปได้โดยง่าย ข่าวการกวาดล้างสำนักหมาป่าทมิฬได้แพร่สะพัดออกไปราวกับไฟลามทุ่ง ไม่รู้ว่าทางสำนักได้ไปรับภารกิจหรือได้ล
ท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดและเศษซากร่างไร้วิญญาณของศัตรูที่พ่ายแพ้ หนิงอ้ายเรียกใช้พลังปราณตวัดเอาแหวนมิติและสมบัติวิเศษประจำตัวของผู้ตกตายทั้งหมดย้ายเข้ามาในแหวนมิติของตนอย่างไรสิ่งเหล่านี้ย่อมสามารถทำประโยชน์ได้อยู่ไม่น้อย ในใจเขาไม่นึกรังเกียจเลยเพียงนิด การเข่นฆ่าสังหารแล้วช่วงชิงสิ่งของของผู้ที่ตกตายไปนั้นเป็นสิ่งที่พบเจอได้ทั่วไปในยุทธภพจากนั้นหนิงอ้ายได้ระดมเรียกเปลวเพลิงบริสุทธิ์จากปราณทิวาธาตุเข้าแผดเผาเศษซากชิ้นเนื้อรวมไปถึงจิตวิญญาณของบรรดานักฆ่าเหล่านี้ให้สูญสลายโดยไม่อาจหวนคืนในวัฏจักรสังขารได้อีก จากเศษเสี้ยวความทรงจำที่เขาสัมผัสได้นั้นคนกลุ่มนี้หาใช่เป็นคนดีแต่อย่างใด ตลอดช่วงอายุที่ผ่านมาก็ล้วนแต่กระทำต่ำช้า สังหารผู้บริสุทธิ์มาไม่น้อย เพียงเท่านี้ย่อมไม่อาจชดเชยได้เสียด้วยซ้ำไม่ถึงครึ่งเค่อให้หลัง ห้วงมิติที่ถูกผนึกไว้เมื่อไร้ซึ่งผู้บัญชาการยามนี้ม่านพลังประหลาดดังกล่าวจึงได้ซ่านสลายไปในที่สุด เผยให้เห็นหมู่เมฆาที่ล่องลอยประดับเหนือท้องฟ้า เสียงแมลงน้อยใหญ่ดังขึ้นทั่วทั้งผืนป่าโดยรอบขับขานบรรเลงสอดประสานเป็นท่วงทำนองเสนาะหู แสงไฟเวทย์จากอาคารบ้านเรือน เสียงโหวกเหวกโวยวาย