หนิงอ้ายรู้สึกดีใจและพึงพอใจเป็นอย่างมากที่เขาสามารถทำการปลุกพลังวิญญาณได้สำเร็จและกลายเป็นผู้ฝึกตนราชทินนามก่อเกิดวิญญาณระดับสิบได้เช่นนี้ หลังจากที่จัดการตัวเองเรียบร้อยแล้วไม่รอช้าออกจากไปหามารดาที่ห้องโถงของเรือนนี้ในทันที
“หนิงเอ๋อร์ รู้สึกอย่างไรบ้างเจ้า?” เยว่ซินที่สัมผัสได้ถึงพลังลมปราณอ่อน ๆ จากตัวของเด็กหนุ่ม นั่นย่อมหมายความว่าในตอนนี้อีกฝ่ายสามารถข้ามผ่านเป็นผู้ฝึกตนได้สำเร็จแล้ว อย่างไรนางก็ถามกลับไปเพื่อความแน่ใจอีกครั้งว่าอีกฝ่ายไม่ได้รับผลกระทบใด
ยอมรับว่าตลอดทั้งคืนนางได้แต่เป็นห่วงกระวนกระวายจนนอนหลับไม่สนิท ในขณะที่หนิงอ้ายกำลังปลุกพลังวิญญาณนางได้ยินเสียงกรีดร้องของเด็กหนุ่มอย่างทรมานดังขึ้นอยู่หลายชั่วยามจนหายเงียบไปที่สุด ในใจของนางเต็มไปด้วยความเป็นห่วงยิ่งนัก แต่นางก็ไม่สามารถเข้าไปขัดขวางในขณะทำการปลุกพลังวิญญาณของเด็กหนุ่ม เพราะหากทำอย่างย่อมที่จะส่งผลเสียต่อเด็กหนุ่มมากมายเพียงใดก็สุดจะรู้ได้
บิดาของนางก็เคยบอกเอาไว้ว่าในการปลุกพลังวิญญาณจะสำเร็จหรือไม่ขึ้นอยู่กับลิขิตฟ้าชะตาสวรรค์ถือว่าเป็นการทดสอบทั้งร่างกายและจิตใจของผู้ฝึกตนเพราะเมื่อได้ทำการเลือกใช้ชีวิตตามวิถีผู้ฝึกตน หนทางข้างหน้าย่อมไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบนี่คือสัจธรรมของชีวิตที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
“ท่านแม่ไม่ต้องกังวลขอรับ...ตอนนี้ข้ารู้สึกว่าร่างกายแข็งแรงกว่าเดิมมาก” หนิงอ้ายตอบกลับมารดาไปเพื่อให้นางคลายกังวล
“ได้ยินแบบนี้มารดาก็สบายใจ...” เยว่ซินว่าพลางตักของโปรดให้หนิงอ้ายด้วยความเอาใจใส่และเด็กหนุ่มไม่ลืมตักอาหารบางส่วนให้แก่มารดาของตนได้ทานด้วยเช่นกัน แม้จะมีรวดเร็วแต่ยังคงเป็นไปด้วยกริยามารยาทอันงดงาม
หลังจากทุกอย่างเสร็จสิ้นทั้งสองจึงพากันเดินตรงไปยังศาลาริมสระบัว จากนั้นนางจึงให้หนิงอ้ายมายืนตรงหน้านางอีกครั้งเพื่อที่จะทำการตรวจสอบปราณธาตุให้เด็กหนุ่มเสียที
“ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นเจ้าอย่าได้ตกใจ...จากนั้นจงหลับตาลงแล้วค่อยปล่อยพลังวิญญาณของเจ้าออกมา...”
พรึบ!
วูบ!
วิญญาณยุทธ์บุปผาอัปสราเหมันต์อัคคี จงสถิตร่าง!!!
ตรงพื้นที่เยว่ซินยืนอยู่ปรากฏกลุ่มหมอกควันสีเหลืองเข้มเปล่งประกายงดงามผนึกขึ้นเป็นบุปผาเพลิงดอกใหญ่อยู่ตรงด้านหลังบ่งบอกว่านางเป็นผู้ฝึกตนระดับจักรพรรดิวิญญาณผู้หนึ่งที่ใกล้ทะลุเขตขั้นต่อไปแล้ว ขณะเดียวกันนางก็ได้ทำการยกแขนทั้งสองข้างขึ้นก่อนที่จะขยับไปมาคล้ายกับเป็นท่ารำที่ทั้งงดงามอ่อนช้อยแต่ก็ดุดันอยู่ในที กลิ่นไอพลังวิญญาณและปราณธาตุออกมาอย่างหนาแน่น เพียงอึดใจมือทั้งสองของนางได้แผ่พลังปราณบริสุทธิ์ยิ่งยวดไปโดยรอบ สร้างความตื่นตะลึงกับหนิงอ้ายเป็นอย่างมาก
“นี่คือวิญญาณยุทธ์ของมารดาเจ้า ‘บุปผาอัปสราเหมันต์อัคคี ’ หลังจากที่เจ้าถึงเขตขั้นที่สิบเอ็ดหรือราชทินนามขุนพลวิญญาณ ย่อมสามารถปลุกวิญญาณยุทธ์ของตนได้เช่นกัน...”
ทันใดนั้นพื้นด้านล่างของหนิงอ้ายก็ปรากฏเป็นวงแหวนเวทย์สีน้ำเงินเข้มที่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าเป็นละอองเรืองแสงลอยฟุ้งไปทั่ว ขณะเดียวกันวงเวทย์อักขระโบราณดังกล่าวได้วิ่งวนเป็นลักษณะวงกลมหมุนรอบตัว และเมื่อวงแหวนเวทย์อักขระโบราณได้หยุดนิ่งลง หนิงอ้ายรู้สึกได้ถึงขุมพลังบริสุทธิ์บางอย่างที่ถูกชักนำเข้าสู่ร่างกายโดยที่เขาไม่สามารถควบคุมได้ความรู้สึกอันอบอุ่นได้แทรกซึมราวกับว่าร่างกายนี้กำลังถูกห่อหุ้มด้วยแสงแดดยามเย็นที่ไม่ร้อนหรือไม่เย็นจนเกินไป แม้จะตกใจไปบ้างเล็กน้อยแต่ก็สัมผัสได้ว่าไม่มีอันตรายเกิดขึ้นกับตนแน่
ความรู้สึกเช่นนี้มันคืออันใดกัน? คล้ายกับว่าพลังวิญญาณในร่างกายกำลังถูกชักนำออกมาเสียอย่างนั้น...
หนิงอ้ายหลับตาลงเพื่อทำสมาธิเดินพลังปราณภายในปล่อยพลังดังกล่าวให้ลื่นไหลตามจุดชีพจรต่าง ๆ อย่างไม่ขัดข้องตามคำแนะนำมารดาของตน เนื่องจากพลังลมปราณในร่างกายของผู้ฝึกตนจะถูกกักเก็บและปลดปล่อยจากจุดเดียวกันที่เรียกว่าจุดตันเถียร วงแหวนเวทย์ดังกล่าวนี้ได้ชักนำพลังวิญญาณจากในร่างกายออกสู่ภายนอก
ในโลกของผู้ฝึกตนวิญญาณยุทธ์ได้ถูกแบ่งออกเป็นทั้งหมดสามประเภทนั่นคือ
วิญญาณยุทธ์ประเภทสัตว์อสูร
วิญญาณยุทธ์ประเภทธรรมชาติ
วิญญาณยุทธ์ประเภทศาสตราวุธ
นอกจากนั้นแล้วยังถูกแบ่งออกตามความโดดเด่นที่เรียกว่าสายวิญญาณยุทธ์ดังนี้
วิญญาณยุทธ์สายสนับสนุน
วิญญาณยุทธ์สายโจมตี
วิญญาณยุทธ์สายป้องกัน
วิญญาณยุทธ์สายควบคุม
และเเบ่งออกเป็นวิญญาณธาตุทั้งเก้าซึ่งจะมีการสืบทอดจากทางสายเลือดเท่านั้น สำหรับสีของวิญญาณยุทธ์จะบ่งบอกได้ถึงความเเข็งแกร่งของวิญญาณธาตุต้นกำเนิดที่ครอบครอง สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นอีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่สามารถผลักดันผู้ฝึกตนคนหนึ่งให้โดดเด่นอยู่แถวหน้าในโลกยุทธภพแห่งนี้ได้
"หนิงเอ๋อร์เจ้ามีพลังวิญญาณสมบูรณ์แต่กำเนิดเช่นนี้นับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่ง! มีผู้ฝึกตนไม่น้อยที่แม้จะสามารถปลุกพลังวิญญาณได้สำเร็จ แต่หากไร้ซึ่งพลังวิญญาณแต่กำเนิดก็ไม่สามารถปลุกวิญญาณยุทธ์ได้"
"..."
"นอกจากนั้นความสมบูรณ์ของพลังวิญญาณจะเป็นตัวชี้วัดตัดสินความช้าเร็วในการเพิ่มระดับพลังวิญญาณในแต่ละเขตขั้น ยิ่งมีพลังวิญญาณที่สมบูรณ์มากเท่าไหร่ ความเร็วในการฝึกฝนตลอดเส้นทางของผู้ฝึกตนนี้ก็จะมากขึ้นตามไปด้วย"
"ระดับของพลังวิญญาณในทุก ๆ สิบขั้นย่อยจะมีสมญานามให้เรียกขานระดับแรกเริ่มคือก่อเกิดวิญญาณระดับหนึ่งและระดับสูงสุดคือระดับสิบ กับเจ้าที่มีพลังวิญญาณสมบูรณ์แต่กำเนิดเช่นนี้จึงทำให้หลังจากปลุกพลังวิญญาณสำเร็จจึงมีสมญานามเรียกขานว่าราชทินนามก่อเกิดวิญญาณระดับที่สิบนั่นเอง" เยว่ซินอธิบายออกมาให้หนิงอ้ายเข้าใจมากยิ่งขึ้น
"เอาละ หนิงเอ๋อร์ต่อไปมารดาจะทดสอบหาปราณธาตุต้นกำเนิดของเจ้ากัน..." เยว่ซินระบายยิ้มด้วยความพึงพอใจ บุตรชายของนางถึงกับมีพลังวิญญาณสมบูรณ์แต่กำเนิด นับได้ว่าเป็นเรื่องที่ดียิ่งนัก
"ขอรับท่านแม่..." หนิวอ้ายได้วางฝ่ามือด้านขวาทาบไปกับลูกแกวทดสอบที่เยว่ซินหยิบออกมาจากแหวนมิติ เนื่องจากผู้ฝึกตนที่พึ่งปลุกพลังวิญญาณได้สำเร็จนั้น โดยทั่วไปแล้วพลังของปราณธาตุไม่ได้มีความเข้มข้นเด่นชัด ดังนั้นจึงต้องอาศัยลูกแก้วทดสอบนี้เป็นสื่อกลางชักนำปราณธาตุให้ปรากฏเห็นเด่นชัด
วูบ!
จากลูกแก้วสีใสว่างเปล่าได้ปรากฏเป็นกลุ่มหมอกควันสีน้ำเงินเข้ม ก่อนที่จะแปรเปลี่ยนเป็นรัศมีแสงสาดส่องไปทั่วทั่งบริเวณ ผ่านไปเพียงชั่วครู่กลุ่มหมอกสีน้ำเงินที่ผนึกขึ้นเป็นรูปร่างที่ไม่อาจคาดเดาได้ในยามนี้หมุนวนโดยรอบตัวของเด็กหนุ่ม พร้อมกับส่งกลิ่นอายความเยือกเย็นออกมาจนส่งผลให้บรรยากาศโดยรอบลดลงโดยเฉียบพลัน
"โอ้! ปราณธาตุน้ำระดับสาม ระดับสูงสุดอย่างนั้นเลยหรือนี่..." เยว่ซินร้องออกมาด้วยความตกใจ นางไม่คาดคิดว่าเด็กหนุ่มจะสามารถครอบครองปราณธาตุน้ำที่มีความแข็งแกร่งสูงสุดเช่นนี้
“หนิงเอ๋อร์ เจ้ามีปราณธาตุน้ำเช่นเดียวกับบิดาของเจ้า แต่ดูเหมือนว่าได้มีการยกระดับประสานเป็นปราณธาตุน้ำแข็งโดยที่ไม่ต้องประสานกับปราณธาตุลมไปในตัวเเล้ว ช่างยอดเยี่ยมเสียจริง!!!” แม้เย่วซินจะเสียใจเล็กน้อยด้วยเพราะนางคิดว่าบุตรของนางจะมีปราณธาตุไฟเฉกเช่นลูกหลานของตระกูลหวัง แต่ถึงอย่างไรนางได้แต่ยิ้มออกมาด้วยความภูมิใจเช่นกัน เพราะตอนนี้บุตรชายของนางสามารถทำการปลุกพลังวิญญาณเป็นผู้ฝึกตนได้สำเร็จแล้วนั่นเอง
ปราณธาตุน้ำถือว่าเป็นค่อนข้างมีประโยชน์ในหลากหลายด้าน เพราะว่าปราณธาตุน้ำจะมีความลื่นไหลผันแปรได้อย่างอิสระไร้ซึ่งการควบคุม เท่ากับว่าบุตรของนางจะสามารถใช้ปราณธาตุน้ำออกมาได้หลากหลายรูปแบบไม่มีขีดจำกัด อีกทั้งยังสามารถประสานเข้ากับกระดูกวิญญาณได้เกือบทุกเผ่าพันธ์อสูร ด้วยว่าสิ่งที่ไหลเวียนอยู่ในตัวของพวกสัตว์อสูรเหล่านั้นย่อมเป็นโลหิตที่ถือว่าเป็นน้ำชนิดหนึ่งไม่ต่างกัน ดังนั้นจึงไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดความยากลำบากในการประสานกระดูกวิญญาณและไม่ต้องกังวลถึงความเข้ากันได้ของกระดูกวิญญาณกับปราณธาตุต้นกำเนิดเลยแม้แต่น้อย
“ท่านแม่ขอรับ...” ขณะเดียวกันหนิงอ้ายรู้สึกว่าอีกปราณธาตุในตัว ที่ก่อนหน้านี้เขาสงสัยว่าเป็นธาตุใดในตอนนี้เหมือนมันกำลังจะปะทุออกมาจากร่างกายของเขาตามแรงดึงดูดของวงเวทย์ดังกล่าวอย่างไม่สามารถควบคุมได้เลยแม้เพียงนิด
“ว่าอย่างไรเล่า?” เย่วซินที่กำลังดีใจกับหนิงอ้ายจนไม่ทันได้สังเกตความผิดปกติที่เกิดขึ้น
ทันใดนั้นรอบตัวของเด็กหนุ่มปรากฎอีกกลุ่มหมอกควันขึ้นเป็นสีแดงทองที่แผ่ความร้อนระอุเเต่เต็มเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายของพลังชีวิตที่เข้มข้นอย่างบอกไม่ถูก อีกทั้งยังส่งผลให้บรรดาเหล่าต้นไม้หรือดอกไม้ในบริเวณที่โดนกลุ่มหมอกควันสีเเดงทองประหลาดนี้ต่างค่อย ๆ เหี่ยวเฉายืนต้นตายและกลับมาเติบโตขึ้นเหมือนเดิมโดยใช้เวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจ
'เป็นไปได้อย่างไรกัน!!! ท่านพ่อบอกว่าเป็นปราณธาตุที่สาบสูญไปจากตระกูลหวังนานเเล้ว?' เย่วซินเมื่อครั้นได้สติก็ได้แต่ขบคิดด้วยความสงสัยอีกทั้งแปลกใจเป็นอย่างยิ่ง
“นี่แหละขอรับที่ข้าจะสอบถามว่าความจริงแล้วมันคือปราณธาตุใด?” หนิงอ้ายที่สงสัยจึงตั้งใจรอฟังคำตอบจากมารดาของตนให้คลายสงสัยเสียที เยว่ซินที่ระงับความตื่นเต้นได้แล้วจึงตอบกลับไป
“ดวงแสงสีแดงทองที่ปรากฏขึ้น...ตามตำราตระกูลหวังกล่าวว่าเป็นปราณสุริยะธาตุอันเป็นต้นกำเนิดบริสุทธิ์แห่งปราณธาตุไฟทั้งปวงและเป็นปราณธาตุประจำตระกูลหวัง เพียงเเต่ว่าสุริยะธาตุที่นับได้ว่าคือธาตุบริสุทธิ์นี้ไม่ได้ปรากฎในตระกูลหวังเรามาหลายชั่วอายุคนในรอบหลายร้อยปีมาแล้ว ซึ่งปราณธาตุดังกล่าวนี้นับว่าเป็นพลังต้นกำเนิดบริสุทธิ์แห่งปราณธาตุไฟที่ไร้ซึ่งรูปลักษณ์ แต่ทว่าเปลวเพลิงความร้อนนี้กลับร้ายกาจไปไม่ด้อยกว่าเพลิงแท้เเห่งมังกรเลยทีเดียว อีกทั้งยังเต็มเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายพลังชีวิตที่เข้มข้นยิ่ง!!”
“การที่เจ้ามีสุริยะธาตุอันเป็นต้นกำเนิดบริสุทธิ์แห่งธาตุไฟนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับความเป็นมาของต้นตระกูลหวังก็เป็นได้ เพราะว่าผู้ก่อตั้งของตระกูลหวัง เป็นผู้มีวิญญาณยุทธ์มากกว่าหนึ่งและสามารถใช้ได้ถึงสามปราณธาตุนั่นคือสุริยะธาตุ ปราณธาตุไฟและปราณธาตุลม เพียงเเต่ว่าหลายพันปีมานี้ไม่ปรากฎปราณสุริยะธาตุนี้ในตระกูลหวังมานานเเล้ว เพราะโดยปกติส่วนใหญ่ผู้มีเชื้อสายของตระกูลหวังจะเป็นผู้ใช้พลังปราณธาตุไฟแต่เพียงเท่านั้น!”
“การที่ท่านบรรพพชนตระกูลหวังได้มีการส่งต่อหีบสมบัติดังกล่าวนี้จากรุ่นสู่รุ่นและท่านเจาะจงว่าต้องเป็นทายาทในรุ่นที่เก้าเท่านั้นที่ควรค่าแก่การครอบครองสิ่งที่อยู่ในหีบสมบัติ บางทีเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับเจ้าก็อาจจะเป็นลิขิตสวรรค์เป็นได้...” เยว่ซินตอบกลับเด็กหนุ่ม พร้อมกับครุ่นคิดอยู่ในใจว่าในเมื่อหนิงอ้ายสามารถปลุกพลังวิญญาณเป็นผู้ฝึกตนได้สำเร็จ อีกทั้งสืบทอดปราณธาตุจากบรรพบุรุษตระกูลหวังเช่นนี้ หากท่านพ่อและทางตระกูลหวังทราบคงดีใจกันเป็นแน่
“แม้จะเป็นเรื่องดีที่เจ้าสามารถครอบครองได้ถึงสองปราณธาตุย่อมหมายถึงว่าเจ้าสามารถเรียกใช้สองวิญญาณยุทธ์ได้เช่นกัน เพียงแต่มารดาไม่แน่ใจว่าในลักษณะนี้สามารถเรียกว่าอริธาตุได้หรือไม่ อย่างไรมารดาคงต้องสอบถามท่านตาของเจ้าเสียก่อนเพื่อความมั่นใจว่าสิ่งเหล่านี้จะไม่ย้อนกลับมาทำร้ายตัวเจ้าเอง”
“สำหรับวิญญาณยุทธ์ของเจ้า หลังจากที่สามารถทะลุเขตขั้นเป็นผู้ฝึกตนขุนพลวิญญาณได้สำเร็จมารดาจะตรวจสอบให้เจ้าอีกครั้งแล้วกัน แต่สิ่งที่ยืนยันได้ในตอนนี้เจ้าย่อมสามารถเรียกใช้วิญญาณยุทธ์มากกว่าหนึ่งได้เป็นแน่...” เยว่ซินเอ่ยขึ้นอีกครั้งด้วยความภูมิใจ
ทางฝั่งของหนิงอ้ายที่อยากรู้ถึงวิญญาณยุทธ์ของตัวเองแต่ก็ไม่สามารถทำสิ่งใดได้ในตอนนี้ นอกจากที่เขาต้องเลื่อนระดับพลังลมปราณของตนเองถึงเขตขั้นขุนพลวิญญาณให้ได้เร็วที่สุด และด้วยแรงสนับสนุนจากจี้หยกทับทิมที่เขาได้รับมาหนิงอ้ายเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้ย่อมไม่ใช่เรื่องยากอย่างแน่นอน
“มารดาจำได้ว่าก่อนหน้านี้จางเลี่ยงหวงบิดาของเจ้าได้เคยมอบตำราเคล็ดวิชาฝ่ามือของตระกูลจางให้ เช่นนั้นเจ้าจงศึกษาย่อมไม่เสียหายอันใดอย่างน้อยเคล็ดวิชาดังกล่าวก็หาได้ธรรมดาสามัญอีกทั้งยังส่งเสริมกับผู้ใช้ที่มีปราณธาตุน้ำอีกด้วย สำหรับตำราเคล็ดวิชาตระกูลหวังมารดาจะเป็นผู้ถ่ายทอดให้กับเจ้าด้วยตนเอง”
หนิงอ้ายที่ได้ยินดังนั้นจึงรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก จากความทรงจำเดิมทำให้รู้ว่าหวังเยว่ซินถือเป็นผู้ฝึกตนสตรีที่มีชื่อเสียงอยู่ไม่น้อย แม้ว่าในปัจจุบันระดับพลังวิญญาณจะลดลงด้วยเพราะให้กำเนิดหนิงอ้ายรวมไปถึงได้ประสบพบเจอเรื่องราวทำร้ายจิตใจเช่นนี้ และเขาเชื่อว่าหากมารดาของเขาสามารถปลดเปลื้องพันธนาการเหล่านี้ได้ หนทางหวนคืนสู่ความรุ่งโรจน์ในวิถีของผู้ฝึกตนคงไม่ยากเกินไปนัก
เสียงหัวเราะอย่างมีความสุขของเยว่ซินกับหนิงอ้ายได้ดังขึ้นไปตลอดยามบ่ายนี้ บรรยากาศแห่งความสุขอบอวนไปจนสัมผัสได้ ข้ารับใช้ทุกคนที่ทราบเรื่องน่ายินดีเช่นนี้ต่างล้วนดีใจเป็นอย่างมากที่คุณชายใหญ่สามารถปลุกพลังวิญญาณและเป็นผู้ฝึกตนได้สำเร็จ และคำกล่าวปรามาสดูถูกว่าคุณชายใหญ่จางหนิงอ้ายที่เปรียบดั่งสวะไร้ค่าของตระกูลจาง แต่วันนี้กลับเป็นผู้ฝึกตนที่มีมากกว่าหนึ่งวิญญาณยุทธ์เสียด้วยซ้ำ เห็นทีคงจะต้องมีผู้ขายหน้าเสียแล้วกระมัง...
หลังจากที่หนิงอ้ายทำการปลุกพลังวิญญาณได้สำเร็จและทราบถึงปราณธาตุของตนแล้ว เด็กหนุ่มได้ทำการดูดซับพลังปราณฟ้าดินในทุกคืนอย่างสม่ำเสมอตามเคล็ดวิชาตระกูลหวังที่มีชื่อว่า เคล็ดวิชาสยบอัสนีเมฆา เป็นเคล็ดวิชาลับที่บรรพชนผู้ก่อตั้งตระกูลหวังได้คิดค้นและถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น เป็นเคล็ดวิชาการฝึกฝนบ่มเพาะบ่มปราณที่แข็งแกร่งและทรงพลังเป็นอย่างมาก ที่หากฝึกฝนสำเร็จแล้วไม่เพียงแต่เพิ่มประสิทธิภาพความรวดเร็วในการดูดซับลมปราณฟ้าดินเท่านั้น แต่ยังจะสร้างความแข็งแกร่งให้กับเส้นชีพจรลมปราณรวมไปถึงจุดตันเถียรรวมไปถึงอวัยวะภายในอีกด้วย และอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญคือยังเพิ่มสัมผัสประสาทการรับรู้ทั้งห้าให้แม่นยำเฉียบคมอีกด้วย
หนิงอ้ายสัมผัสได้ว่าการดูดซับพลังปราณตามเคล็ดวิชาดังกล่าว สามารถทำการขยายจุดตันเถียรและเส้นลมปราณให้ขยายใหญ่ขึ้นหลายเท่าตัวเพื่อที่จะสามารถดูดซับพลังลมปราณฟ้าดินได้เพิ่มขึ้นเช่นกัน มารดาของเขาได้บอกว่าไม่ใช่ทุกคนที่เป็นลูกหลานตระกูลหวังจะได้รับการฝึกวิชานี้ ผู้สืบทอดตระกูลคนต่อไปของตระกูลหรือสุดยอดรุ่นเยาว์ที่มากไปด้วยฝีมือและพรสวรรค์เท่านั้นจึงจะได้รับอนุญาติฝึกเคล็ดวิชาดังกล่าวได้ อีกทั้งวิชาดังกล่าวนี้เหมาะกับผู้มีพลังหยางหรือผู้ชายเสียมากกว่า
หากมองว่าเคล็ดวิชาสยบอัสนีเมฆาเป็นหนึ่งในสุดยอดวิชาดูดซับปราณฟ้าดินที่ขึ้นชื่อในยุทธภพแล้ว ยิ่งกับหนิงอ้ายที่มีแรงหนุนจากจี้หยกทับทิมที่ได้รับมาก่อนหน้าหากจะกล่าวว่าไม่ต่างไปจากพยัคฆ์ติดปีกคงไม่เกินจริงไปนัก เพราะว่าในการเลื่อนระดับแต่ละขั้นย่อยของหนิงอ้ายได้เป็นไปด้วยความรวดเร็วอย่างถึงที่สุด ด้วยระยะเวลาเพียงสามเดือนเท่านี้หนิงอ้ายก็สามารถเลื่อนขั้นเป็นผู้ฝึกตนขุนพลวิญญาณได้แล้วอย่างไม่ยากเย็นนัก สำหรับการเลื่อนระดับแต่ละขั้นใหญ่เช่นนี้หากเป็นผู้ฝึกตนทั่วไปแล้วคงต้องใช้เวลามากถึงหนึ่งหรือสองปีเลยทีเดียว
หลังจากที่เยว่ซินได้ส่งสารไปยังตระกูลหวังเมื่อหลายเดือนก่อน หวังจิ่งหลงและซ่งเหมยฮวาผู้เป็นตาและยายที่ได้รู้ว่าหนิงอ้ายหลานชายของพวกเขาสามารถปลุกพลังวิญญาณเป็นผู้ฝึกตนได้สำเร็จและเป็นผู้ฝึกตนที่มีปราณธาตุมากกว่าหนึ่ง อีกทั้งยังสามารถเรียกใช้ปราณสุริยะธาตุอันเป็นเปลวเพลิงต้นกำเนิดของตระกูลหวังได้ สิ่งเหล่านี้ย่อมทำให้ทั้งสองคนรวมไปถึงผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลบางคนที่ได้รับรู้ถึงการตื่นของสายเลือดที่มากไปด้วยพรสวรรค์นี้ล้วนต่างดีใจกันทั้งสิ้น
นอกจากนั้นแล้วท่านตาของเขายังได้ส่งหวังฮุ่ยผู้เป็นดั่งมือขวาคนสนิทและผู้ติดตามที่มากฝีมืออีกสามคนให้มาดูแลเยว่ซินกับหนิงอ้ายผู้เป็นบุตรสาวและหลานชายที่แคว้นหงส์แดงนี้โดยที่มารดาของเขาไม่อาจปฏิเสธได้อีกแล้ว พร้อมกับมอบทรัพยากรอันล้ำค่าในการฝึกตนอย่างมากมายไม่ว่าจะเป็นผลึกปราณธาตุต่าง ๆ รวมไปถึงยังฝากฝังให้อีกฝ่ายสั่งสอนหนิงอ้ายในสิ่งที่จำเป็นอีกด้วย
แน่นอนว่าด้วยทักษะเดิมของนทีที่เป็นถึงนักฆ่าผู้มากไปด้วยฝีมือที่เชี่ยวชาญในศาสตร์ของการต่อสู้ทุกแขนง จึงทำให้ความก้าวหน้าของเขาไม่ต่างไปจากผู้ฝึกตนมากฝีมือที่อยู่ในเส้นทางนี้หลายสิบปี จนขนาดที่หวังฮุ่ยผู้ที่เป็นดั่งอาจารย์ฝึกสอนในยามนี้ถึงกับชื่นชมนายน้อยของตนเป็นอย่างมาก กล่าวได้ว่านายน้อยหนิงอ้ายของเขานั้นมากไปด้วยพรสวรรค์ที่เหนือชั้นกว่ารุ่นเดียวกันอย่างแท้จริง...
วันเวลาผันผ่านไปหนิงอ้ายสามารถเลื่อนระดับลมปราณเป็นผู้ฝึกตนระดับขุนพลวิญญาณขั้นกลางแล้ว อีกเพียงไม่กี่ขั้นย่อยก็จะสามารถเลื่อนระดับเป็นผู้ฝึกตนขุนพลวิญญาณขั้นสูงได้สำเร็จ ด้วยระยะเวลาสั้นเพียงนี้กับความก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดดที่ทอดสายตาไปทั่วทั้งยุทธภพแล้วยังยากที่จะพบเห็นได้โดยง่าย ทั้งที่หกเดือนก่อนหน้าเด็กหนุ่มยังเป็นเพียงคนธรรมดาไร้ซึ่งพลังลมปราณที่พึ่งเข้าสู่วิถีของผู้ฝึกตนเพียงเท่านั้น หากมีผู้ใดล่วงรู้ในสิ่งนี้ย่อมสร้างความแตกตื่นในแวดวงของผู้ฝึกตนได้อย่างแน่นอน…“หนิงเอ๋อร์ ตอนนี้เจ้าเป็นผู้ฝึกตนระดับขุนพลวิญญาณแล้วเจ้าสัมผัสได้ถึงวิญญาณยุทธ์ของเจ้าได้แล้วหรือไม่? แสดงวิญญาณยุทธ์ของเจ้าให้มารดาดูเสียหน่อย...” เยว่ซินเอ่ยขึ้นกับบุตรชายของตน เนื่องจากเด็กหนุ่มในตอนนี้ถึงเขตขั้นราชทินนามขุนพลวิญญาณแล้วย่อมสามารถเรียกใช้วิญญาณยุทธ์ต้นกำเนิดของตนออกมาได้“ขอรับท่านแม่...”วิญญาณยุทธ์ปักษาสวรรค์เพลิงศักดิ์สิทธิ์ สถิตร่าง!!วูบ!หนิงอ้ายยกมือประสานขึ้นพร้อมกับปล่อยพลังวิญญาณระดับขุนพลวิญญาณของตนออกมา ก่อเกิดเป็นหมอกควันสีแดงทองที่ผนึกขึ้นเป็นปีกปักษาเพลิงขนาดใหญ่ตรงด้านหลัง กลิ่นอาย
แต่ละวันของหนิงอ้ายแทบจะเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง เริ่มตั้งแต่ตื่นเช้ามาออกกำลังโดยการวิ่งรอบจวนเสร็จแล้วก็ทานข้าวกับเยว่ซินผู้เป็นมารดา ในช่วงสายทำการศึกษาวิชาตำราต่าง ๆ เพื่อทบทวนความรู้ ช่วงเย็นทำการฝึกฝนวรยุทธรวมไปถึงการควบคุมใช้ปราณธาตุให้คล่องแคล่ว ยามกลางคืนอย่างน้อยวันละสองชั่วยามก็จะทำการนั่งดูดซับพลังปราณฟ้าดิน ด้วยความที่หนิงอ้ายทั้งคนเก่าและเขาในตอนนี้นั้นนิสัยแทบจะเหมือนกันทุกอย่างยิ่งเมื่อสนใจกับสิ่งใดแล้วก็จะจดจ่อมุ่งมั่นทำให้เต็มที่เสมอจึงทำให้มารดาหรือบ่าวรับใช้ในเรือนไม่รู้สึกถึงความแตกต่างกันโดยเฉพาะกับลู่ซีเป็นบ่าวรับใช้คนสนิทที่คอยดูแลหนิงอ้ายมาตั้งแต่ประมาณเจ็ดปี ย่อมรู้สึกถึงในความเปลี่ยนแปลงในนิสัยเล็กน้อยบางอย่าง แต่เมื่อคิดว่าคุณชายของตนนั้นผ่านอะไรมามากมายตั้งแต่เด็กถึงตอนนี้ไม่แปลกที่คุณชายจะมุ่งมั่นในการฝึกฝนให้ตนเองแข็งแกร่งขึ้นเพื่อที่จะดูแลตนเองและปกป้องสิ่งที่รักได้ แน่นอนว่าลู่ซีคนนี้สาบานจะอยู่เคียงข้างคุณชายของตนเสมอไม่เปลี่ยนไป“คุณชาย ท่านไม่คิดจะทำอย่างอื่นเลยหรือขอรับ?” ลู่ซีสอบถามเป็นกังวลเล็กน้อยเนื่องจากท่านเย่วซินมารดาของคุณชายนั้นเห็นว่าหนิ
มองจากด้านนอกของหอประมูลพยัคฆ์รัตติกาลว่ามีพื้นที่กว้างขวางแล้ว ชั้นใต้ดินด้านล่างก็มีพื้นที่มากมายไปไม่แตกต่างกันเสียด้วยซ้ำ เพราะตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามาในบริเวณหนิงอ้ายก็พบว่าทั้งชั้นใต้ดินนี้มีที่คุมขังสัตว์อสูรมากมาย แน่นอนว่ากรงขังต่าง ๆ เหล่านี้ต่างถูกกำกับด้วยบทเวทย์ป้องกันและบทเวทย์ที่ใช้ข่มพลังของสัตว์อสูรโดยเฉพาะนอกจากนั้นยังมีกรงเหล็กขนาดน้อยใหญ่แตกต่างกันไปที่มีการจำแนกสัตว์อสูรเป็นประเภทของแต่ละปราณธาตุสังกัด ด้วยความที่ผู้ฝึกตนสามารถทำการผูกพันธะกับสัตว์อสูรซึ่งอาจจะเพียงแค่หนึ่งครั้งในชีวิต ดังนั้นการเลือกสัตว์อสูรรับใช้ดังกล่าวผู้ฝึกตนจะเลือกโดยการอิงตามปราณธาตุที่ตนเองถนัดเพื่อจะเป็นประโยชน์ในการต่อสู้ของตนเองมากที่สุด“แล้วต้องมีพลังวิญญาณระดับใดกันจึงจะสามารถทำการผูกพันธะกับสัตว์อสูรได้?” หนิงอ้ายถามกลับลู่ซีไปอีกครั้ง“ความจริงแล้วผู้ฝึกตนระดับแรกเริ่มหรือระดับก่อเกิดวิญญาณก็สามารถทำการผูกพันธะกับสัตว์อสูรได้แล้วขอรับ แต่เงื่อนไขคือสามารถทำได้เพียงหนึ่งครั้งเท่านั้นจนกว่าจะมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งซึ่งคือผู้ผูกพันธะหรือสัตว์อสูรได้ตายลงไป ที่สำคัญคือขึ้นอยู่กับสัตว์อสูรว่าจ
ยอมรับตามตรงว่าก่อนหน้านี้มีหลายครั้งที่นทีได้แต่ครุ่นคิดอยู่ในใจ ว่าเพราะอะไรทำไมเขาถึงได้มาอยู่ในโลกใบนี้ได้กัน หรืออาจเป็นเพราะหนิงอ้ายคนเก่าต้องการให้เขาแก้แค้นอย่างนั้นหรือ? แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่ เพราะตัวเขาไม่เคยสัมผัสได้ถึงความรู้สึกในแง่ลบเหล่านี้เลยสักนิด เจ้าของร่างเดิมยังคงเด็กเกินไปจึงมีแต่ความอ่อนโยนจิตใจดี ซึ่งมันแตกต่างไม่ใช่ตัวเขาเป็นอย่างมากเลยทีเดียวนทีเมื่อได้รับโอกาสที่ได้มีชีวิตใหม่อีกครั้ง มีเยว่ซินผู้เป็นมารดาที่รักและเป็นห่วงเขาอยู่เสมอ ผู้อาวุโสหวังฮุ่ยที่เสียสละเวลาสั่งสอนความรู้อย่างไม่หวงแหน ลู่ซีที่เปรียบเสมือนเพื่อนสนิท ไหนจะเจ้าเจียวซิ่นที่เขารักเอ็นดูเหมือนลูกน้อยคนหนึ่ง ดังนั้นเขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้นกว่านี้เพื่อที่จะปกป้องคนที่เขารักได้ ในตอนนี้เขาสามารถใช้เคล็ดวิชาย่างก้าวทะยานหมื่นลี้ได้อย่างคล่องแคล่วและมีความคุ้นชินกว่าเดิมมาก ยิ่งเมื่อเขาได้นำมาประสานเข้ากับศิลปะการต่อสู้จากโลกเดิมที่เขาคุ้นเคยแล้ว เวลาได้ฝึกซ้อมกับผู้อาวุโสหวังฮุ่ยกับเหล่าองครักษ์คนอื่น ๆ แม้เขาจะเสียเปรียบในด้านร่างกายแต่ทว่าสิ่งที่เขานำมาพลิกแพลงในตอนนี้กลับสามารถช่วงชิงความได้เป
เป็นเวลาเกือบหนึ่งปีที่นทีได้ใช้ชีวิตในนามของจางหนิงอ้าย อีกเพียงไม่กี่วันอายุของร่างนี้ก็ใกล้ครบสิบห้าปีแล้ว แต่จางเลี่ยงหวงผู้เป็นบิดากลับไม่สนใจในสิ่งเหล่านี้ราวกับว่าเด็กหนุ่มไม่มีตัวตนในตระกูลเสียอย่างนั้น แต่แล้วอย่างไรเล่า? เพราะตัวของนทีเองก็ไม่ได้ยอมรับอีกฝ่ายในฐานะบิดาของเจ้าของร่างเช่นกัน…“อีกสามเดือนข้างหน้าจะมีงานประลองที่ทางแคว้นเต่าดำรับเป็นเจ้าภาพในครั้งนี้ จากนั้นอีกเพียงหนึ่งเดือนแต่ละสำนักศึกษาจะเปิดรับศิษย์ใหม่เข้าสังกัด ข้าจึงขออนุญาตจากท่านแม่ในการเข้าร่วมลงประลองครั้งนี้เพื่อลบล้างคำครหาที่ว่าเป็นเพียงสวะของตระกูลซึ่งนั่นหาใช่ความจริงไม่ อีกทั้งข้ายังอยากเข้าทดสอบของสำนักศึกษาด้วยขอรับ!!” หนิงอ้ายบอกกับเยว่ซินถึงความต้องการของตน“มารดาล้วนตามใจเจ้าทั้งสิ้น เรื่องเข้าสำนักศึกษาเอาไว้เจ้าขอคำแนะนำจากท่านตาดีหรือไม่ ว่าสุดท้ายแล้วจะเลือกเข้าทดสอบสำนักศึกษาใดจึงจะเหมาะสมกับเจ้ามากที่สุด...” เยว่ซินตอบรับคำขอนี้ พร้อมกับลูบหัวของอีกฝ่ายด้วยความรักใคร่“เจ้าจะเข้าร่วมงานประลองนี้กับข้าด้วยใช่หรือไม่??” หนิงอ้ายลู่ซีขึ้น“เป็นเช่นนั้นขอรับ...” ลู่ซีที่สามารถตัดผ่านเป็
เนตรแห่งสวรรค์ของหนิงอ้ายหลังจากได้รับแรงกระตุ้นจากการดูดซับกระดูกวิญญาณของอสรพิษเหมันต์บรรพกาลไป หนิงอ้ายพบว่าความสามารถในการมองเห็นและการรับรู้ของเขาในตอนนี้อยู่เหนือกว่าผู้ฝึกตนในเขตขั้นเดียวกันอย่างชัดเจน รายละเอียดเล็กน้อย ข้อมูลต่าง ๆ รวมไปถึงทุกการเคลื่อนไหวในรัศมีหนึ่งลี้ไม่อาจถูกปกปิดจากสายตาหรือการรับรู้ของเขาได้ คล้ายกับว่าความสามารถทั้งหมดในโลกเดิมของเขาที่เคยใช้ได้จะถูกยกระดับเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว“หนิงเอ๋อร์ เจ้าแน่ใจใช่หรือไม่ที่จะเดินทางไปกับผู้อาวุโสหวังฮุ่ยไปยังเทือกเขาหมื่นอสูรวิญญาณในครั้งนี้?” เยว่ซินถามหนิงอ้ายอีกครั้ง แม้นางจะรู้ดีว่าด้วยระดับขุนนางวิญญาณของเด็กหนุ่มย่อมสามารถเอาตัวรอดได้อย่างไม่ยาก แต่นางยังรู้สึกเป็นกังวลเพราะอีกฝ่ายไม่เคยออกจากเขตพื้นที่เมืองหลวงนี้เสียด้วยซ้ำ“ขอรับท่านแม่ ข้ากับลู่ซีจะติดตามท่านลุงฮุ่ยไปยังเทือกเขาหมื่นอสูรวิญญาณเพื่อฝึกฝนประสบการณ์และเสาะหากระดูกวิญญาณแรกด้วยขอรับ!!” หนิงอ้ายตอบไปด้วยความมั่นใจ“เช่นนั้นแล้วแต่เจ้า รบกวนผู้อาวุโสหวังฮุ่ยดูแลทั้งสองคนด้วยนะเจ้าคะ...” เยว่ซินพูดออกมา“คุณหนูอย่าได้กังวลข้าจะดูแลคุณชายหนิงอ้าย
เช้าวันใหม่มาถึงคณะเดินทางของหนิงอ้ายทั้งสี่คนต่างรีบเร่งออกเดินทางกันแต่เช้าตรู่ จุดหมายคือเขตป่าชั้นกลางของเทือกเขาหมื่นอสูรวิญญาณ เนื่องจากบริเวณป่าชั้นนอกจะมีเพียงสัตว์อสูรทั่วไปหรือสัตว์อสูรปฐพีเท่านั้น หากเข้าสู่เขตป่าชั้นกลางเป็นต้นไปจึงจะพบเจอสัตว์อสูรนภาขั้นต่ำหรือขั้นกลางและหากโชคดีมากพออาจได้พบเจอสัตว์อสูรนภาขั้นสูงก็เป็นไปได้เช่นกัน สำหรับสัตว์อสูรมายาขั้นต่ำเป็นต้นไป สัตว์อสูรเหล่านี้จัดได้ว่าเป็นสัตว์อสูรระดับสูงที่มีความนึกคิด อีกทั้งยังเปี่ยมไปด้วยพละกำลังที่แข็งแกร่ง สามารถใช้ปราณธาตุของตนโจมตีผู้บุกรุกในอาณาเขตของตน อาจพบเห็นได้บ้างตามแนวรอยต่อของป่าชั้นกลางติดกับเขตป่าชั้นในกระจัดกระจายกันไปทั่วทั้งพื้นที่แห่งนี้ ระหว่างทางพวกเขาต่างพบเจอกับสัตว์อสูรไปไม่น้อย แต่เพราะยังมีอายุที่ไม่เหมาะสม อีกครั้งความสามารถยังเข้าไม่ได้กับวิญญาณยุทธ์ของพวกเขาทั้งสอง เห็นได้ว่าการเสาะหากระดูกวิญญาณนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด อายุของสัตว์อสูรจะสังเกตได้จากสีของพลังวิญญาณที่แผ่ซ่านออกมา จะเป็นสีเดียวกันกับพลังวิญญาณ แม้จะเป็นเผ่าพันธ์เดียวกันแต่มีอายุต่างก
การเสาะหากระดูกวิญญาณได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้งในช่วงบ่ายของวันนี้ คณะเดินทางของหนิงอ้ายทั้งสี่คนต่างเดินทางกันไปเรื่อย ๆ ไม่รีบเร่ง แม้ว่าระหว่างทางจะพบเจอสัตว์อสูรจำนวนไม่น้อย แต่เพราะกลิ่นอายของผู้ฝึกตนระดับเทวะขั้นสูงที่หวังฮุ่ยปลดปล่อยออกมาในระยะสองลี้ย่อมไม่ต่างไปจากคำเตือนให้เหล่าสัตว์อสูรระดับต่ำจงหลบหลีกไปเสีย เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วจึงถือว่าการเสาะหาสัตว์อสูรที่เหมาะสมจึงเป็นไปอย่างราบรื่นยิ่งก่อนหน้านี้หนิงอ้ายได้ประสานร่างกายเข้ากับกระดูกวิญญาณล้านปีของอสรพิษเหมันต์บรรพกาล นอกจากกระดูกวิญญาณชิ้นนี้จะแปรเปลี่ยนเป็นทักษะวิญญาณยุทธ์ที่สามให้แก่เขาแล้ว ยังคงมีเงื่อนไขสำคัญคือการเสาะหากระดูกวิญญาณจากสัตว์อสูรสังกัดปราณธาตุพิษดูดซับประสานเข้ากับร่างกายเพื่อให้กระดูกวิญญาณชิ้นแรกนี้มีความสมบูรณ์พร้อมด้วยทักษะตามที่ควรจะเป็นหนิงอ้ายตั้งใจดูดซับกระดูกวิญญาณให้กับวิญญาณยุทธ์ที่สองอันเป็นปราณธาตุน้ำนี้เสียก่อน สำหรับวิญญาณยุทธ์ปราณธาตุไฟรวมไปถึงวิญญาณยุทธ์ที่สามเขาไม่จำเป็นต้องสังหารสัตว์อสูรเป็นจำนวนมากเพื่อเติมเต็มให้กระดูกวิญญาณของทั้งสามวิญญาณยุทธ์ในตอนนี้ เพราะนอกจากกระดูกวิญญาณล้าน
ขบวนรถม้าเดินทางยังคงดำเนินไปอย่างไม่รีบร้อน จุดหมายปลายทางคือจวนตระกูลหวังที่ตั้งอยู่ในมหานครแคว้นเต่าดำแห่งนี้ ตลอดเส้นทางเดินรถม้าได้ตัดผ่านหมู่บ้านน้อยใหญ่มากมาย สิ่งหนึ่งที่หนิงอ้ายสังเกตคือยิ่งเข้าใกล้ใจกลางมหานครแคว้นเต่าดำมากเท่าใดความเจริญรุ่งเรืองของบ้านเมืองรวมไปถึงความคึกคักของตลาดเเลกเปลี่ยนสินค้าก็จะเพิ่มขึ้นไปเท่านั้น''ตรงด้านหน้าจะเป็นตลาดเมืองหลวงก่อนถึงจวนตระกูลหวัง หนิงอ้าย ลู่ซี เจ้าทั้งสองจะแวะก่อนหรือไม่?'' เยว่ซินเอ่ยถามเด็กหนุ่มทั้งสอง เพราะหากพ้นเขตตลาดเมืองหลวงนี้ไปอีกเพียงไม่ถึงเค่อก็จะถึงจวนตระกูลหวังเเล้ว''แวะขอรับท่านเเม่ ข้าจะหาซื้อของฝากติดไม้ติดมือให้ท่านตาและท่านยายด้วยขอรับ!'' หนิงอ้ายตอบมารดาไปในทันที ในโลกเดิมของเขาสำหรับการเข้าพบปะผู้อาวุโสที่มีอายุมากกว่า ตามมารยาทที่พึงกระทำแล้วผู้น้อยควรมีของฝากติดมือไปฝากเสมอ เป็นการเเสดงถึงความเคารพให้เกียรตินั่นเองนับว่าผิดจากหนิงอ้ายเคยคิดไว้ไปเสียมาก มหานครแคว้นเต่าดำนี้มีพื้นที่กว้างขวางใหญ่โตเป็นอย่างมาก อาคารบ้านเรือนสองข้างทางดูโอ่อ่าอลังการดูเเล้วเจริญหูเจริญตาเป็นอย่างมาก ถนนหนทางจากทุกมุมเมืองที่
ตระกูลหวังเป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของแคว้นเต่าดำซึ่งถือได้ว่าเป็นอีกแคว้นใหญ่ที่มีความสำคัญเป็นอย่างมากเนื่องจากตั้งอยู่บริเวณใจกลางของมหาทวีปบูรพา จึงทำให้รอบด้านทั้งสี่ทิศของแคว้นมีอาณาเขตติดกับอีกสามแคว้นใหญ่ที่เหลือ แคว้นเต่าดำมีรูปแบบการปกครองที่ชัดเจนโดยเเบ่งออกเป็นสิบมณฑลใหญ่มีเมืองสาขาหรือเมืองในการปกครองในเเต่ละมณฑลมากกว่าสิบเมืองในการดูเเล ทั้งสิบมณฑลใหญ่อยู่ในการปกครองส่วนกลางของแคว้นเรียกว่ามหานครแคว้นเต่าดำหากกล่าวให้เข้าใจด้วยง่ายคือแคว้นเต่าดำประกอบไปด้วยเมืองน้อยใหญ่นับร้อยเมือง มีหมู่บ้านอย่างมากมายกระจายกันไปทั่วทั้งแคว้น ต้องบอกว่าเเต่ละเมืองหาได้มีความเจริญเทียบเท่ากันไม่ เพราะบางเมืองมีอาณาเขตติดกับแคว้นอื่นมักจะเป็นเมืองที่ขึ้นชื่อเป็นจุดเเลกเปลี่ยนสินค้า หรือบางเมืองยังคงรักษาขนบธรรมเนียมปฏิบัติกันมาอย่างช้านานนับว่าเป็นเสน่ห์ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน เเต่กับสิบมณฑลใหญ่ที่มีการปกครองดูเเลเมืองในรับผิดชอบของตนมักจะมีความเจริญและมีพื้นที่กว้างขวางเป็นอย่างมาก ด้วยเพราะผู้ปกครองมณฑลดังกล่าวมักจะเป็นเหล่าบรรดาผู้มีศักดิ์เป็นอ๋องเป็นเชื้อพระวงศ์นั่นเองคณะเดินทางของหนิงอ้
ด้านหลังของหนิงอ้ายปรากฏเป็นวงแหวนเวทย์สีน้ำเงินเข้มแสดงถึงผู้ฝึกตนปราณธาตุน้ำระดับสาม ในตอนนี้เขากำลังเร่งทำการยกระดับพลังวิญญาณให้ข้ามผ่านขั้นย่อยให้ได้ในเร็ววัน เพราะหากยิ่งมีระดับพลังวิญญาณเพิ่มขึ้นมากเท่าใด เขาก็จะสามารถปกป้องตัวเองและท่านแม่เพิ่มขึ้นได้เท่านั้นสำหรับราชทินนามจักรพรรดิวิญญาณขั้นสามัญกับระยะเวลาเพียงหนึ่งปีเช่นนี้ นับได้ว่าหนิงอ้ายไม่ต่างไปจากอัจฉริยะคงไม่เกินจริงไปนัก ต้องบอกว่าเด็กหนุ่มโชคดีอย่างมากที่ได้ศึกษาเคล็ดวิชาลับตระกูลหวัง จึงทำให้สามารถขยายจุดตันเถียรได้รองรับและขยายเส้นปราณทั่วร่างกายเพิ่มการดูดซับพลังปราณมากกว่าคนอื่นหลายเท่าจึงทำให้เขาสามารถดูดซับพลังปราณฟ้าดินได้โดยตรง ยิ่งได้รับแรงหนุนจากจี้หยกโลหิตแล้วความสามารถในการดูดซับปราณฟ้าดินของหนิงอ้ายจึงไม่ต่างไปจากพยัคฆ์ติดปีกเสียแล้วในตอนนี้บทเวทย์โจมตีมหาบุปผชาติเหมันต์จำแลงลักษณ์!ตู้ม!สภาพอากาศโดยรอบของเขตของบทเวทย์อากาศลดลงโดยฉับพลัน ปรากฎเป็นดอกบัวเหมันต์สีขาวบริสุทธิ์ดอกใหญ่แผ่อายความเย็นจาง ๆ ไปทั่วบริเวณ ตรงด้านบนเห็นเป็นเกล็ดบัวเหมันต์หิมะที่มีไอเย็นลอยตกลงไปทั่วเขตของบทเวทย์ เมื่อตกลงถึงพื
ทางฝั่งเยว่ซินหลังจากที่มีนักฆ่าเข้ามาลอบสังหารบุตรชายของนางในช่วงกลางคืนที่ผ่านมา โชคดีที่ไม่เกิดเหตุการณ์ความสูญเสียดังกล่าวขึ้น ที่น่าแปลกใจคือหนังสือจ้างวานฆ่านี้ได้ชี้ชัดว่าเป็นฝีมือของหวงลู่เอินหรือฮูหยินรองคนรักของจางเลี่ยงหวง เยว่ซินนั้นไม่มีเรื่องราวข้องเกี่ยวกับอีกฝ่ายเท่าไหร่นัก แต่หากว่าแรงจูงใจของการกระทำนี้คือนางต้องการผลักดันบุตรชายของนางขึ้นเป็นผู้สืบทอดของตระกูลแทนจางหนิงอ้ายผู้เป็นคุณชายใหญ่ของตระกูลจางสายหลักแล้วย่อมเป็นไปได้เช่นกันทั้งสิ้นแต่แล้วอย่างไรเล่า? จางเลี่ยงหวงสามีของนางก็คงไม่เชื่อต่อหลักฐานที่มีอยู่และคงเข้าข้างคนรักของตนเฉกเช่นทุกครั้ง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หนิงอ้ายถูกรังแกและโดนทำร้าย ต่อให้นางมีหลักฐานเพียงใดสามีของนางไม่เคยลงโทษหรือเอาผิดเลยซักครั้ง เยว่ซินหยิบสมุดบันทึกเล่มเก่าของตนที่อยู่ในช่องลับบนหัวเตียงขึ้นมาพร้อมกับเปิดอ่านอีกครั้งพลันย้อนคิดไปถึงอดีตเมื่อครั้งก่อนที่นางเข้ามาเป็นฮูหยินเอกของตระกูลชื่อเสียงของจางหนิงอ้ายบุตรชายของนาง ผู้คนทั้งที่อยู่ในเหตุการณ์ในพิธีปลุกพลังวิญญาณเมื่อเจ็ดปีก่อนต่างมีการร่ำลือไปอย่างเสียหาย บ้างว่าคุณชายใหญ่ห
กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วทั้งห้อง ร่างไร้วิญญาณที่ถูกชโลมด้วยโลหิตสีแดงฉานมากมายชวนให้รู้สึกคลื่นเหียนอยู่ไม่น้อยแก่ผู้พบเห็น แต่ด้วยทุกคนในที่นี้ต่างโลดแล่นอยู่ในเส้นทางของผู้ฝึกตนเป็นเวลาหลายปี ดังนั้นย่อมเคยพบเจอเหตุการณ์ฆ่าฟันเช่นนี้ทั้งสิ้น ที่น่าแปลกใจคือหนิงอ้ายที่เป็นผู้ลงมือกระทำนั้นกลับไร้ความตกใจราวกับว่านี่เป็นสิ่งที่คุ้นชินเสียอย่างนั้น''นักฆ่าเหล่านี้แม้จะเป็นร่างไร้วิญญาณไปแล้วก็จริง แต่อย่างไรขึ้นชื่อว่าผู้ฝึกตนย่อมมีพลังลมปราณไหลเวียนอยู่ในจุดชีพจรทั่วทั้งร่างกายที่ไม่แตกต่างไปจากสัตว์อสูร หากปล่อยทิ้งเอาไว้เช่นนี้คงเสียเปล่าเป็นแน่ เช่นนั้นข้าจะนำร่างไร้วิญญาณของนักฆ่าเหล่านี้ให้กับเจียวซิ่นขอรับ...''แม้ว่าสิ่งที่หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นมาจะชวนให้ตกตะลึงในความรู้สึก เพราะการที่สัตว์อสูรในพันธะสามารถดูดซับลมปราณจากร่างไร้วิญญาณของสัตว์อสูรนั้นไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน แล้วยิ่งกับร่างไร้วิญญาณของผู้ฝึกตนเช่นนี้ย่อมไม่เคยมีผู้ใดกระทำทั้งสิ้น แต่ถึงอย่างไรคำกล่าวของหนิงอ้ายก็ไม่มีผิดถูกเช่นกันหวังฮุ่ยได้สั่งการองครักษ์ทั้งสามให้แยกย้ายกันไปเก็บกวาดร่างไร้วิญญาณของนักฆ่าสังหารที
หนิงอ้ายหลับตาลงพร้อมกับกำหนดลมหายใจเข้าออก พลังลมปราณฟ้าดินอันบริสุทธิ์โดยรอบที่ถูกชักนำโดยจี้หยกโลหิตส่งผลให้มวลลมปราณบริเวณนี้ต่างถูกชักนำเข้าตามจุดชีพจรไปทั่วทั้งร่างกายตามสุดยอดเคล็ดวิถี ลมปราณอันอบอุ่นวิ่งวนเข้าสู่จุดใจกลางตันเถียรไม่จบสิ้น พลังลมปราณในร่างกายที่ผ่านการเคี่ยวกรำนับสิบกว่ารอบต่างถูกอัดแน่นเป็นรากฐานบ่มเพาะที่แข็งแกร่ง วันเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนผันไปเรื่อย ๆ วันนี้ถือได้ว่าเป็นวันครบรอบอายุสิบห้าปีของจางหนิงอ้าย แน่นอนว่าทางฝั่งของนทีก็นับว่าเขาเองได้อาศัยอยู่ในร่างนี้เป็นเวลาหนึ่งปีแล้วเช่นกันหนิงอ้ายใช้เวลาไม่นานกับการจัดการตัวเอง วันนี้เขาเลือกใส่เสื้อตัวในสีขาวล้วนและเสื้อตัวนอกเป็นสีเขียวอ่อนที่ปักด้วยลวดลายใบไผ่สีเขียวมรกต เมื่อไปถึงบริเวณห้องโถงรับรองที่ตอนนี้ถูกเปลี่ยนให้เป็นงานเลี้ยงเล็ก ๆ มีท่านแม่เยว่ซิน ท่านลุงหวังฮุ่ย ท่านลุงจางปิน ท่านน้าหรันหรูที่นั่งรออยู่ แม้จะไร้เงาบิดาสารเลวในงานเลี้ยงดังกล่าวนี้ เเต่หนิงอ้ายไม่สนใจเลยสักนิดเพราะทุกคนในที่นี้ล้วนเป็นผู้ที่เขาสนิทใจทั้งสิ้น''หนิงเอ๋อร์ปีนี้เจ้าอายุครบสิบห้าปีแล้ว ตามกฎของตระกูลจางที่ปฏิบัติสืบทอดก
การเสาะหากระดูกวิญญาณได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้งในช่วงบ่ายของวันนี้ คณะเดินทางของหนิงอ้ายทั้งสี่คนต่างเดินทางกันไปเรื่อย ๆ ไม่รีบเร่ง แม้ว่าระหว่างทางจะพบเจอสัตว์อสูรจำนวนไม่น้อย แต่เพราะกลิ่นอายของผู้ฝึกตนระดับเทวะขั้นสูงที่หวังฮุ่ยปลดปล่อยออกมาในระยะสองลี้ย่อมไม่ต่างไปจากคำเตือนให้เหล่าสัตว์อสูรระดับต่ำจงหลบหลีกไปเสีย เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วจึงถือว่าการเสาะหาสัตว์อสูรที่เหมาะสมจึงเป็นไปอย่างราบรื่นยิ่งก่อนหน้านี้หนิงอ้ายได้ประสานร่างกายเข้ากับกระดูกวิญญาณล้านปีของอสรพิษเหมันต์บรรพกาล นอกจากกระดูกวิญญาณชิ้นนี้จะแปรเปลี่ยนเป็นทักษะวิญญาณยุทธ์ที่สามให้แก่เขาแล้ว ยังคงมีเงื่อนไขสำคัญคือการเสาะหากระดูกวิญญาณจากสัตว์อสูรสังกัดปราณธาตุพิษดูดซับประสานเข้ากับร่างกายเพื่อให้กระดูกวิญญาณชิ้นแรกนี้มีความสมบูรณ์พร้อมด้วยทักษะตามที่ควรจะเป็นหนิงอ้ายตั้งใจดูดซับกระดูกวิญญาณให้กับวิญญาณยุทธ์ที่สองอันเป็นปราณธาตุน้ำนี้เสียก่อน สำหรับวิญญาณยุทธ์ปราณธาตุไฟรวมไปถึงวิญญาณยุทธ์ที่สามเขาไม่จำเป็นต้องสังหารสัตว์อสูรเป็นจำนวนมากเพื่อเติมเต็มให้กระดูกวิญญาณของทั้งสามวิญญาณยุทธ์ในตอนนี้ เพราะนอกจากกระดูกวิญญาณล้าน
เช้าวันใหม่มาถึงคณะเดินทางของหนิงอ้ายทั้งสี่คนต่างรีบเร่งออกเดินทางกันแต่เช้าตรู่ จุดหมายคือเขตป่าชั้นกลางของเทือกเขาหมื่นอสูรวิญญาณ เนื่องจากบริเวณป่าชั้นนอกจะมีเพียงสัตว์อสูรทั่วไปหรือสัตว์อสูรปฐพีเท่านั้น หากเข้าสู่เขตป่าชั้นกลางเป็นต้นไปจึงจะพบเจอสัตว์อสูรนภาขั้นต่ำหรือขั้นกลางและหากโชคดีมากพออาจได้พบเจอสัตว์อสูรนภาขั้นสูงก็เป็นไปได้เช่นกัน สำหรับสัตว์อสูรมายาขั้นต่ำเป็นต้นไป สัตว์อสูรเหล่านี้จัดได้ว่าเป็นสัตว์อสูรระดับสูงที่มีความนึกคิด อีกทั้งยังเปี่ยมไปด้วยพละกำลังที่แข็งแกร่ง สามารถใช้ปราณธาตุของตนโจมตีผู้บุกรุกในอาณาเขตของตน อาจพบเห็นได้บ้างตามแนวรอยต่อของป่าชั้นกลางติดกับเขตป่าชั้นในกระจัดกระจายกันไปทั่วทั้งพื้นที่แห่งนี้ ระหว่างทางพวกเขาต่างพบเจอกับสัตว์อสูรไปไม่น้อย แต่เพราะยังมีอายุที่ไม่เหมาะสม อีกครั้งความสามารถยังเข้าไม่ได้กับวิญญาณยุทธ์ของพวกเขาทั้งสอง เห็นได้ว่าการเสาะหากระดูกวิญญาณนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด อายุของสัตว์อสูรจะสังเกตได้จากสีของพลังวิญญาณที่แผ่ซ่านออกมา จะเป็นสีเดียวกันกับพลังวิญญาณ แม้จะเป็นเผ่าพันธ์เดียวกันแต่มีอายุต่างก
เนตรแห่งสวรรค์ของหนิงอ้ายหลังจากได้รับแรงกระตุ้นจากการดูดซับกระดูกวิญญาณของอสรพิษเหมันต์บรรพกาลไป หนิงอ้ายพบว่าความสามารถในการมองเห็นและการรับรู้ของเขาในตอนนี้อยู่เหนือกว่าผู้ฝึกตนในเขตขั้นเดียวกันอย่างชัดเจน รายละเอียดเล็กน้อย ข้อมูลต่าง ๆ รวมไปถึงทุกการเคลื่อนไหวในรัศมีหนึ่งลี้ไม่อาจถูกปกปิดจากสายตาหรือการรับรู้ของเขาได้ คล้ายกับว่าความสามารถทั้งหมดในโลกเดิมของเขาที่เคยใช้ได้จะถูกยกระดับเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว“หนิงเอ๋อร์ เจ้าแน่ใจใช่หรือไม่ที่จะเดินทางไปกับผู้อาวุโสหวังฮุ่ยไปยังเทือกเขาหมื่นอสูรวิญญาณในครั้งนี้?” เยว่ซินถามหนิงอ้ายอีกครั้ง แม้นางจะรู้ดีว่าด้วยระดับขุนนางวิญญาณของเด็กหนุ่มย่อมสามารถเอาตัวรอดได้อย่างไม่ยาก แต่นางยังรู้สึกเป็นกังวลเพราะอีกฝ่ายไม่เคยออกจากเขตพื้นที่เมืองหลวงนี้เสียด้วยซ้ำ“ขอรับท่านแม่ ข้ากับลู่ซีจะติดตามท่านลุงฮุ่ยไปยังเทือกเขาหมื่นอสูรวิญญาณเพื่อฝึกฝนประสบการณ์และเสาะหากระดูกวิญญาณแรกด้วยขอรับ!!” หนิงอ้ายตอบไปด้วยความมั่นใจ“เช่นนั้นแล้วแต่เจ้า รบกวนผู้อาวุโสหวังฮุ่ยดูแลทั้งสองคนด้วยนะเจ้าคะ...” เยว่ซินพูดออกมา“คุณหนูอย่าได้กังวลข้าจะดูแลคุณชายหนิงอ้าย