หน้าหลัก / แฟนตาซี / บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ / บทที่7 วิญญาณยุทธ์ต้นกำเนิด

แชร์

บทที่7 วิญญาณยุทธ์ต้นกำเนิด

last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-02-07 16:25:51

วันเวลาผันผ่านไปหนิงอ้ายสามารถเลื่อนระดับลมปราณเป็นผู้ฝึกตนระดับขุนพลวิญญาณขั้นกลางแล้ว อีกเพียงไม่กี่ขั้นย่อยก็จะสามารถเลื่อนระดับเป็นผู้ฝึกตนขุนพลวิญญาณขั้นสูงได้สำเร็จ ด้วยระยะเวลาสั้นเพียงนี้กับความก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดดที่ทอดสายตาไปทั่วทั้งยุทธภพแล้วยังยากที่จะพบเห็นได้โดยง่าย ทั้งที่หกเดือนก่อนหน้าเด็กหนุ่มยังเป็นเพียงคนธรรมดาไร้ซึ่งพลังลมปราณที่พึ่งเข้าสู่วิถีของผู้ฝึกตนเพียงเท่านั้น หากมีผู้ใดล่วงรู้ในสิ่งนี้ย่อมสร้างความแตกตื่นในแวดวงของผู้ฝึกตนได้อย่างแน่นอน…

“หนิงเอ๋อร์ ตอนนี้เจ้าเป็นผู้ฝึกตนระดับขุนพลวิญญาณแล้วเจ้าสัมผัสได้ถึงวิญญาณยุทธ์ของเจ้าได้แล้วหรือไม่? แสดงวิญญาณยุทธ์ของเจ้าให้มารดาดูเสียหน่อย...” เยว่ซินเอ่ยขึ้นกับบุตรชายของตน เนื่องจากเด็กหนุ่มในตอนนี้ถึงเขตขั้นราชทินนามขุนพลวิญญาณแล้วย่อมสามารถเรียกใช้วิญญาณยุทธ์ต้นกำเนิดของตนออกมาได้

“ขอรับท่านแม่...”

วิญญาณยุทธ์ปักษาสวรรค์เพลิงศักดิ์สิทธิ์  สถิตร่าง!!

วูบ!

หนิงอ้ายยกมือประสานขึ้นพร้อมกับปล่อยพลังวิญญาณระดับขุนพลวิญญาณของตนออกมา ก่อเกิดเป็นหมอกควันสีแดงทองที่ผนึกขึ้นเป็นปีกปักษาเพลิงขนาดใหญ่ตรงด้านหลัง กลิ่นอายความเข้มข้นของชีวิตแผ่ซ่านกำจายไปทั่วพร้อมกับคลื่นความร้อนในรัศมีหนึ่งลี้

“เปลวเพลิงแห่งชีวิตและการทำลายล้างของข้า มีนามว่าวิญญาณยุทธ์ปักษาเพลิงศักดิ์สิทธิ์เป็นสายโจมตีขอรับ! ไม่มีสิ่งใดสามารถดับเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์นี้ได้หากข้าไม่ต้องการ นอกจากนั้นแล้วเปลวเพลิงนี้ยังสามารถเพิ่มพูนและดูดกลืนกลิ่นอายของชีวิตให้กับผู้ที่ข้าต้องการได้เช่นกัน...” หนิงอ้ายบอกกับทุกคนถึงความพิเศษของวิญญาณยุทธ์แรกของตน เขาเชื่อมั่นว่าหากเขามีพลังวิญญาณในระดับที่สูงขึ้นเปลวเพลิงนี้ย้อมมีอาณุภาพที่เหนือชั้นกว่านี้ไปอีกหลายเท่า

“สมกับเป็นเปลวเพลิงจากปราณสุระยะธาตุเสียจริง แม้ว่ากลิ่นอายในยามนี้อาจจะยังอ่อนด้อยไปบ้างแต่นั่นเป็นเรื่องของเวลาเพียงเท่านั้น!!” เยว่ซินเอ่ยเสริมขึ้น หนิงอ้ายยิ้มรับคำกล่าวมารดาของตนก่อนที่จะสลายวิญญาณยุทธ์นี้ไป

“สำหรับวิญญาณยุทธ์ที่สองของข้าเป็นปราณธาตุน้ำสายโจมตีเช่นกัน มีนามว่าพัดหยกห้าเซียนวิถีเร้นลับ...”

วิญญาณยุทธ์พัดหยกห้าเซียนวิถีเร้นลับ  สถิตร่าง!!

วูบ!

สิ้นเสียงของหนิงอ้ายปรากฏเป็นหมอกสีน้ำเงินขาวลอยฟุ้งก่อนที่จะผลึกขึ้นเป็นมีดเล่มเล็กจำนวนทั้งหมดห้าเล่มหมุนวนรอบตัว ก่อนที่กลุ่มของมีดบินนี้จะหลอมรวมขึ้นเป็นพัดหยกสีน้ำเงินเขียวลวดลายงดงามลอยค้างอยู่บนมือของเด็กหนุ่มซึ่งเป็นวิญญาณยุทธ์ที่สอง

“วิญญาณยุทธ์พัดหยกห้าเซียนวิถีเร้นลับของข้าเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังแฝงของปราณธาตุลมอันกล้าแกร่ง นอกจากนี้พัดหยกสามารถแบ่งออกเป็นมีดบินที่สามารถเพิ่มขึ้นตามพลังวิญญาณของข้าได้สูงสุดถึงเก้าเล่ม สามารถพุ่งเข้าโจมตีหรือเป็นเกราะป้องกันได้เช่นกันขอรับ...”

“วิญญาณยุทธ์ประสานจากปราณธาตุน้ำและปราณธาตุลมประเภทศาสตราวุธอย่างนั้นรึ ช่างน่าประทับใจยิ่ง!” หวังฮุ่ยพูดออกมาด้วยความชื่นชม

“มารดาแนะนำให้เจ้าในตอนนี้จงใช้เพียงวิญญาณยุทธ์ปราณธาตุน้ำ อย่าได้เพิ่มวงแหวนวิญญาณให้กับวิญญาณยุทธ์อันเกิดจากปราณสุริยะธาตุเด็ดขาดและต้องไม่ให้ผู้ใดรับรู้ ที่สำคัญอย่าพึ่งให้คนอื่นรู้ว่าเจ้ามีวิญญาณยุทธ์คู่ เข้าใจหรือไม่??” เยว่ซินเอ่ยเตือนหนิงอ้าย ด้วยเพราะปราณสุริยะธาตุไม่ได้ปรากฏในมหาพิภพแห่งนี้นานนับพันปีแล้ว หากมีผู้ใดล่วงรู้ย่อมไม่เป็นการดีแน่ในยามนี้

“ข้าก็คิดเช่นนั้นขอรับท่านแม่...หากไม่มีเหตุจำเป็นข้าจะไม่ใช้วิญญาณยุทธ์ปราณสุริยะธาตุเด็ดขาด จนกว่าข้าจะเข้าใจและยึดกุมบัญชาการได้มากกว่านี้ขอรับ!” หนิงอ้ายตอบกลับมารดาของตนไป

"เจ้าไม่ต้องกังวล ขอเพียงวิญญาณยุทธ์ปราณธาตุน้ำของเจ้ามีวงแหวนวิญญาณก็สามารถฝึกฝนต่อได้ไม่ส่งผลกระทบใดและหากเจ้าได้เผชิญกับอันตรายถึงชีวิตจงอย่าลังเลที่จะใช้วิญญาณยุทธ์นี้ นอกเหนือจากนั้นอย่าพึ่งใช้วิญญาณยุทธ์ปราณสุริยะธาตุเด็ดขาด!!" เยว่ซินสั่งห้ามด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด พร้อมกับมองเด็กหนุ่มด้วยความจริงจัง

"ข้าเข้าใจแล้วขอรับ..." หนิงอ้ายรับคำอย่างเชื่อฟัง

“ยินดีด้วยอีกครั้งขอรับคุณชาย!!” ลู่ซีรู้สึกดีใจเป็นอย่างมากที่คุณชายของพวกเขาสามารถถึงด้วยระดับพลังวิญญาณเช่นนี้ได้ด้วยระยะเวลาไม่ถึงหนึ่งปีเท่านั้น

“แต่ถึงอย่างไรข้ายังไม่ใช่ผู้ฝึกตนระดับขุนนางวิญญาณอย่างแท้จริง...” หนิงอ้ายตั้งเป้าหมายเอาไว้ว่าเขาต้องเข้าร่วมงานประลองระหว่างแคว้นในครั้งนี้ แต่ด้วยพลังวิญญาณของเขาในตอนนี้ยังไม่พร้อมด้วยคุณสมบัติมากพอที่จะเข้าร่วมได้

“ด้วยพรสวรรค์ของนายน้อยข้าเชื่อว่าอาศัยเวลาอีกเพียงไม่นานเท่านั้น สำหรับวันนี้ข้าจะสอนเคล็ดวิชาตัวเบาของตระกูลหวังให้ก่อนดีหรือไม่?”

“ลำบากท่านลุงฮุ่ยแล้วขอรับ...” วิชาตัวเบานับว่ามีประโยชน์เป็นอย่างมากสำหรับผู้ฝึกตน เพราะสามารถนำมาพลิกแพลงใช้ทั้งการต่อสู้และการหลบหนีได้อย่างหลากหลาย ฟังว่าผู้อาวุโสหวังฮุ่ยเป็นอีกผู้หนึ่งที่สำเร็จเคล็ดวิชานี้ในระดับที่ไม่ธรรมดา ดังนั้นการที่เขาจะได้รับการถ่ายทอดโดยตรงจากผู้มีประสบการณ์ตรงที่มากไปด้วยประสบการณ์สิ่งนี้ล้วนเป็นประโยชย์แก่เขาทั้งสิ้น

หนิงอ้ายเริ่มเรียนรู้วิชาตัวเบาย่างก้าวทะยานหมื่นลี้ อันเป็นเคล็ดวิชาประจำตระกูลหวังจากหวังฮุ่ยโดยตรง โดยที่มีลู่ซีเรียนรู้ไปพร้อมกันด้วย เพราะถึงแม้อีกฝ่ายจะมีเคล็ดวิชาตัวเบาไว้ใช้งานแล้วก็จริงแต่หากกล่าวตามตรงยังคงห่างชั้นจากวิชาตัวเบาของตระกูลหวังไปเสียหลายส่วน อีกทั้งลู่ซีเป็นบ่าวรับใช้คนสนิทของหนิงอ้ายก็นับได้ว่าเป็นคนของตระกูลหวังไปแล้วเช่นกัน ดังนั้นจึงสามารถเรียนรู้วิชาตัวเบานี้ได้อย่างไม่ผิดกฎเกณฑ์ใดของตระกูล

เคล็ดวิชาย่างก้าวทะยานหมื่นลี้ เป็นวิชาตัวเบาที่ขึ้นชื่อในเรื่องของการปรับเปลี่ยนการใช้งานตามใจคิดของผู้ใช้อย่างอิสระไร้รูปแบบแผนยากที่จะคาดเดาได้โดยง่าย โดยอาศัยการเดินพลังปราณจากการหยิบยืมพลังของสี่ปราณธาตุพื้นฐานเข้ามาอย่างสมดุล ด้วยรูปแบบวิชาที่เฉพาะเจาะจงเช่นนี้จึงถือได้ว่ามีผู้สำเร็จในระดับสูงสุดได้น้อยยิ่งนัก

'ย่างก้าวทะยานหมื่นลี้กับสยบอัสนีเมฆาทั้งสองวิชานี้ล้วนอยู่ในระดับเทวะ อาจมีความแตกต่างในเรื่องของหลักการของอักขระเวทย์ไปบ้าง แต่หากมีความเข้าใจในรูปแบบเฉพาะของบทเวทย์แล้วย่อมไม่ใช่เรื่องยากเท่าไหร่นัก!' หนิงอ้ายที่เข้าใจในลักษณะของรูปแบบของบทเวทย์ระดับเทวะจากการใช้เคล็ดวิชาสยบอัสนีเมฆาอย่างเชี่ยวชาญ จากการศึกษาตำราพื้นฐานเขาจึงเข้าใจว่าศาสตร์ทุกแขนงที่มีการใช้ปราณธาตุเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยเริ่มจากธาตุพื้นฐานที่มีการวางตามแนวของทิศทั้งสี่ สัญลักษณ์ตัวอักษรที่ปรากฏในบทเวทย์จะมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องหนุนนำกันอย่างสมดุล

‘ความจริงแล้วหลักการของบทเวทย์ไม่ได้มีความซับซ้อนถึงเพียงนั้น เพราะเป็นการดึงเอาปราณธาตุพื้นฐานทั้งสี่วางอยู่ในวงเวทย์อย่างสมดุล หากสามารถฝึกเคล็ดวิชาย่างก้าวทะยานหมื่นลี้นี้ได้อย่างเชี่ยวชาญแล้ว เคล็ดวิชาอื่น ๆ ในระดับเทวะย่อมใช้พื้นฐานเดียวกันได้เช่นกัน...’ หนิงอ้ายคิดอยู่ในใจเขาต้องการสามารถใช้เคล็ดวิชาย่างก้าวทะยานหมื่นลี้นี้ให้เชี่ยวชาญเสมือนกับว่าเป็นการหายใจเข้าออกปกติเพราะว่าเคล็ดวิชานี้ค่อนข้างที่จะจำเป็นอย่างมาก

“วิชาตัวเบาเป็นหนึ่งในวิชาที่ผู้ฝึกตนทุกคนควรที่ฝึกฝนให้คุ้นชิน เนื่องจากสามารถนำไปปรับใช้ได้อย่างหลากหลาย และเป็นไปตามที่นายน้อยเข้าใจขอรับเพียงแต่ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะมีผู้เข้าใจในเรื่องของอักขระเวทย์รวมไปถึงรูปแบบเฉพาะของบทเวทย์ในระดับต่าง ๆ” หวังฮุ่ยตอบไปพร้อมกับยกยิ้มขึ้น นายน้อยของเขาช่างมากไปด้วยพรสวรรค์และสามามารถเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้

ทางฝั่งของลู่ซีแม้ในช่วงแรกยังมีความไม่คุ้นชินไปบ้าง แต่ด้วยเพราะมีพื้นฐานในการใช้วิชาตัวเบาอยู่บ้าง ดังนั้นอีกฝ่ายจึงใช้เวลาไม่นานนักในการเรียนรู้ในครั้งนี้ หลังจากที่เด็กหนุ่มทั้งสองคนคุ้นชินในการเรียกใช้พลังลมปราณตามเคล็ดวิชาย่างก้าวทะยานหมื่นลี้แล้ว หวังฮุ่ยจึงเดินนำทั้งสองคนไปยังพื้นที่ด้านหลังของเรือน พื้นที่โดยรอบที่โล่งกว้างไร้ซึ่งสิ่งกีดขวางจึงนับได้ว่าเป็นสถานที่เหมาะสมในการฝึกฝนในครั้งนี้เป็นอย่างมาก

พรึบ!

หนิงอ้ายปล่อยให้ร่างกายล่องลอยเปรียบเสมือนว่าตัวเองเป็นดังวิหคที่โบยบินอยู่อย่างอิสระ ทุกย่างก้าวที่เขาทะยานไปข้างหน้าเต็มไปด้วยความมั่นใจและตั้งมั่นอยู่ในสมาธิ อีกทั้งเดินพลังลมปราณให้หมุนเวียนไปตามเคล็ดวิชาย่างก้าวทะยานหมื่นลี้ที่เขาจดจำได้ในใจ แม้ในช่วงแรกอาจดูติดขัดไปบ้างเนื่องจากไม่มีสิ่งใดรองรับที่คุ้นชิน หลังจากนั้นหนึ่งชั่วยามทั้งหนิงอ้ายกับลู่ซีก็สามารถใช้ย่างก้าวทะยานหมื่นลี้นี้ได้อย่างคล่องแคล่วและสง่างาม แน่นอนว่าหวังฮุ่ยผู้เป็นดั่งอาจารย์ที่สั่งสอนทั้งสองคนรู้สึกดีใจเป็นอย่างมากในความสำเร็จนี้

หนิงอ้ายที่มีความคุ้นชินในเคล็ดวิชาสยบอัสนีเมฆาที่เป็นวิชาดูดซับปราณฟ้าดินเข้าสู่ร่างกายเพื่อบ่มเพาะรากฐานให้มั่นคงและเคล็ดวิชาย่างก้าวทะยานหมื่นลี้ที่เป็นวิชาตัวเบาระดับเทวะของตระกูลหวัง เขามองว่าค่อนข้างจำเป็นในการเป็นผู้ฝึกตน ไม่ว่าจะใช้ในการเดินทางรวมไปถึงประสานเคล็ดวิชาตัวเบากับการต่อสู้อีกด้วย

ฟิ้ว!

ชิ้ง!

นอกจากนั้นแล้วหวังฮุ่ยยังได้สอนหนิงอ้ายในวิชากระบี่ที่มีนามว่า เคล็ดวิชากระบี่สักกะดาราราย ให้มีความคล่องมือให้มากที่สุด ซึ่งเป็นอีกเคล็ดวิชาลับของตระกูลหวังที่มีความซับซ้อนของการออกกระบวนท่ารวมไปถึงต้องมีการแฝงพลังปราณธาตุลงไปในกระบี่ยามที่ใช้เคล็ดวิชานี้ให้พอดีไม่มากเกินไปและไม่น้อยจนเกินไปซึ่งก็เป็นเคล็ดวิชาระดับเทวะเช่นกัน

เคล็ดวิชากระบี่สักกะดารารายเเบ่งออกเป็นทั้งหมดสามระดับคือ ขั้นต้น ขั้นกลางและขั้นสูงซึ่งหนิงอ้ายสามารถออกกระบวนท่าของเคล็ดวิชากระบี่สักกะดารารายนี้ได้เพียงขั้นต้นเท่านั้น ยามที่เขาออกท่าทางฝึกฝนกระบวนท่าเคล็ดวิชาดังกล่าวยังขาดความพริ้วไหวและความเด็ดขาดเหมือนกับว่าในตอนนี้นั้นหนิงอ้ายยังไม่สามารถเเสดงอานุภาพของเคล็ดวิชาดังกล่าวนี้ได้ตามที่ควรจะเป็น

เคล็ดวิชากระบี่สักกะดารารายขึ้นชื่อในเรื่องของความรวดเร็วที่พริ้วไหวดั่งสายลมตลอดจนไปถึงสามารถดึงพลังวิญญาณของคู่ต่อสู้เข้ามาเสริมความแข็งแกร่งให้มากขึ้นหลายเท่า กล่าวได้ว่าในระหว่างการประลองในสนามหรือยามต่อสู้หากยิ่งทำการใช้เคล็ดวิชากระบี่สักกะดารารายนี้ได้นานเท่าใดย่อมได้เปรียบคู่ต่อสู้และสามารถเป็นผู้ชนะได้มากขึ้นเท่านั้น หนิงอ้ายรู้ดีว่าในตอนนี้ร่างกายของเขายังไม่เเข็งเเรงมากนักหากเทียบกับร่างเดิมในโลกเก่าของตน สำหรับตัวเขาที่เสพติดความสมบูรณ์เเบบยิ่งว่าสิ่งอื่นใดเเล้วเขาไม่มีทางถอดใจยอมแพ้จนจะทำได้สำเร็จ

ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงตัดสินใจฝึกกระบวนท่าเคล็ดวิชากระบี่สักกะดารารายนี้อีกครั้ง หนิงอ้ายยกกิ่งไผ่เตรียมขึ้นมารวบรวมสมาธินึกถึงเคล็ดวิชานี้แล้วจึงออกกระบวนท่าของกระบี่ออกมาอย่างคล่องแคล่วอีกทั้งขยับตัวตวัดกิ่งไม้ไผ่ในมือให้เเน่นมากยิ่งขึ้นโดยครั้งนี้นั้นเขาสามารถร่ายรำกระบวนท่านี้ได้ไม่ติดขัดเป็นที่น่าพอใจไม่น้อยหลังจากออกกระบวนท่าของเคล็ดวิชากระบี่ดารารายนี้ไปราว ๆ ประมาณสองเค่อจึงออกครบจบทุกกระบวนท่าวิชาเมื่อหนิงอ้ายนั้นร่ายรำกระบวนท่าดังกล่าวนี้เสร็จสิ้นจึงได้รับเสียงปรบมือจากลู่ซี และหวังฮุ่ยผู้เป็นดั่งอาจารย์สั่งสอน

''เจ้าสนใจเรียนรู้ไปพร้อมกันกับข้าหรือไม่เล่า? ข้าว่าเป็นเคล็ดวิชากระบี่ที่สามารถสร้างข้อได้เปรียบจากศัตรูไม่น้อย...'' หนิงอ้ายถามลู่ซีอีกครั้ง เนื่องจากตนเห็นว่าเคล็ดวิชานี้ค่อนข้างมีประโยชน์และสามารถนำมาปรับใช้ได้อย่างหลากหลาย

''ไม่กล้าหรอกขอรับคุณชายเคล็ดวิชานี้เป็นสิ่งที่สืบทอดจากตระกูลหวัง ข้าไม่เหมาะสมคู่ควรที่จะเรียนรู้หรอกขอรับ'' ลู่ซีเอ่ยตอบอีกครั้ง เนื่องจากตนมองว่าเคล็ดวิชากระบี่สักกะดารารายนั้นเป็นเคล็ดวิชากระบี่ซึ่งถูกส่งต่อแก่ผู้สืบทอดตระกูลหวังเท่านั้นอีกทั้งตนมีเคล็ดวิชากระบี่ที่คุ้นมือแล้วจึงมองว่าไม่จำเป็นต้องเรียนรู้เคล็ดวิชากระบี่อื่นเพิ่มเติมอีก

''เคล็ดวิชานี้ล้วนเเต่มีประโยชน์ ยิ่งเรียนรู้เคล็ดวิชาเหล่านี้มากเท่าไหร่ก็สามารถนำมาปรับใช้ให้เฉพาะของตนได้มากเท่านั้น'' หนิงอ้ายรู้ดีว่าลู่ซีนั้นเป็นคนที่ค่อนข้างขี้เกรงใจอยู่ไม่น้อย เเต่ก็เข้าใจได้ว่าในโลกนี้นายกับบ่าวต่างมีเส้นเเบ่งที่ชัดเจน ถึงแม้ว่าตัวเขาจะมองว่าลู่ซีเป็นดั่งสหายสนิทเเต่ทุกสิ่งอย่างที่เกิดขึ้นในเรือนเล็กนี้ต่างมีผู้พบเห็นไม่น้อยแม้ว่าจะอยู่ด้วยความเคารพมากเพียงใดก็ไม่อาจพ้นคำนินทาได้

ด้านหลังของหนิงอ้ายปรากฏเป็นหมอกสีน้ำเงินเข้มเปล่งประกายรัศมีโดยรอบตัวหยอกล้อไปกับแสงและเงาที่เล็ดลอดลงมาตามแนวของใบไผ่ที่เอนลู่ไปตามสายลมที่พัดมาเบา ๆ ในยามสาย ครั้นเมื่อแสงของดวงตะวันตกกระทบนับว่าเป็นภาพที่มีความงดงามแปลกตา ผสานเข้ากับความรู้สึกอันเเข็งแกร่งได้อย่างน่าประหลาดใจ

ต้องบอกว่าโดยปกติสำหรับผู้ฝึกตนหลังจากที่ทำการปลุกพลังวิญญาณสำเร็จ หนทางสำหรับการเพิ่มระดับพลังวิญญาณมีให้เลือกได้อย่างหลากหลายวิธี โดยสามารถเพิ่มระดับได้ด้วยการดูดซับพลังปราณที่อยู่ในฟ้าดินหรือตามหุบเขาเซียนต่าง ๆ บ้างก็เป็นการดูดซับจากแก่นพลังธาตุโดยตรง ซึ่งสามารถดูดซับได้ทุกธาตุอยู่แล้วเนื่องจากร่างกายของผู้ฝึกตนเเต่ละคนนั้นย่อมมีพื้นฐานจากธาตุทั้งสี่

เเต่หากต้องการผลลัพธ์ที่รวดเร็วและดีที่สุดควรดูดซับแก่นพลังธาตุที่ตนสามารถใช้ธาตุดังกล่าวได้ อีกทั้งยังรวมไปถึงกระดูกวิญญาณซึ่งผู้ฝึกตนต่างก็สามารถดูดซับประสานเข้ากับร่างกายของผู้ฝึกตน นอกจากจะเป็นการเพิ่มระดับขั้นพลังวิญญาณได้เเล้ว ยังสามารถใช้พลังหรือจุดเด่นของอสูรดังกล่าวที่ตนนำมาประสานเข้ากับร่างกายได้เช่นกัน

เเต่แล้วอย่างไรเล่า...ลิขิตจากฟ้าหรือจะสู้กับมานะตนแม้ว่าจะมีไม่น้อยที่เมื่ออายุครบเจ็ดปีตามกำหนดในการปลุกพลังวิญญาณสำเร็จ สามารถเข้าสู่วิถีของผู้ฝึกตนรวมไปถึงสามารถใช้วิญญาณยุทธ์ได้ เเต่หากไม่แสวงหาหนทางความก้าวหน้าของระดับพลังวิญญาณ หากไร้ซึ่งความขยันหมั่นเพียร อุตสาหะ ก็จะอยู่ในระดับพลังวิญญาณขั้นต่ำสุดหรือระดับก่อเกิดวิญญาณเพียงเท่านั้น

แน่นอนว่าในโลกของผู้ฝึกตนหนทางย่อมไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ การเป็นที่ยอมรับหาใช่เกิดจากเรื่องของฐานะของตระกูลหรือความอาวุโสของอายุเเต่ในโลกของผู้ฝึกตนนั้น ย่อมต่างยอมรับนับถือผู้ที่เเข็งแกร่งและมีฝีมือเสียมากกว่า

โดยเฉพาะงานประลองของแคว้นที่มักจะเกิดขึ้นในทุกสี่ปีกล่าวกันว่าแม้จะมีชาติกำเนิดที่ธรรมดา เเต่หากติดอันดับต้น ๆ ในการประลองแม้ว่าจะมีชาติกำเนิดที่ต่ำต้อย เเต่หลังจากนั้นจะได้รับการยอมรับนับถือไม่ต่างจากตระกูลใหญ่เลยทีเดียว ด้วยเหตุนี้ในการประลองของแคว้นในเเต่ละครั้งย่อมมีผู้คนสนใจเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก เพราะหวังว่าการเข้าร่วมการประลองแคว้นของตนจะสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตให้ไปในทิศทางที่ดีขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่ชนะเป็นอันดับหนึ่งของการประลองจะถูกกล่าวขานว่าเป็นเจ้าแห่งยุทธภพรุ่นเยาว์ ซึ่งนอกจากจะเป็นผู้ที่ชนะของการประลองเเล้วนั้นต่างมีอำนาจในมือไม่ต่างกับตระกูลใหญ่หรือราชวงศ์เสียด้วยซ้ำ อีกทั้งผู้ชนะในการประลองทั้งห้าคนนี้ต่างถูกเรียกขานว่าเสาหลักของยุทธภพซึ่งมีความสำคัญอย่างถึงที่สุด

อาจฟังว่าหนทางดังกล่าวเพียงเเค่มีกำลังสนับสนุนในเรื่องของเงินทองหรือชาติตระกูลต่างก็สามารถก้าวเข้าสู่จุดนั้นได้โดยง่าย ซึ่งความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่! หลายคนที่เข้าสู่วิถีของผู้ฝึกตน บางคนอาจจะอยู่ในระดับก่อเกิดวิญญาณตลอดชีวิต บ้างอาจจะใช้เวลาในการทุ่มเทฝึกฝนรวมไปถึงดูดซับพลังปราณธาตุต่าง ๆ เเต่ก็ไม่สามารถเลื่อนเป็นระดับสูงได้ก็มีให้เห็น เเต่อย่างไรเเล้วสำหรับคนธรรมดาทั่วไปต่างมีคำเรียกเฉพาะของผู้ฝึกตนว่าเป็นชาวยุทธภพแม้จะไม่ได้มีระดับพลังวิญญาณที่สูงส่งเเต่ก็ไม่ควรไปมีเรื่องด้วยเท่าไหร่

สำหรับหนิงอ้ายด้วยความที่เริ่มทำการปลุกพลังวิญญาณและเข้าสู่วิถีผู้ฝึกตนแม้ระยะเวลาจะเพียงแค่หกเดือน เเต่ในตอนนี้ระดับพลังวิญญาณกลับอยู่ในระดับขุนพลวิญญาณขั้นกลางแล้ว ซึ่งน้อยคนนักที่จะอยู่ในระดับดังกล่าวด้วยระยะเวลาที่สั้นปานนี้ แม้ว่าระดับขุนพลวิญญาณจะเป็นระดับที่เหล่าบรรดาคุณชายของตระกูลใหญ่ รวมไปถึงบรรดาเหล่าเชื้อสายองศ์ชายจะสามารถทะลุถึงระดับเขตขั้นดังกล่าวด้วยเพราะทรัพยากรในการเพิ่มระดับวิญญาณที่พร้อมสนับสนุน ถึงเเบบนั้นก็ใช้เวลาอย่างน้อยหลายปีจึงจะอยู่ในระดับขุนพลวิญญาณเช่นนี้ หากมีคนรู้ว่าหนิงอ้ายใช้เวลาเเค่หกเดือนก็สามารถนำตัวเองมายังจุดนี้ได้ ย่อมถูกเรียกขานว่าอัจฉริยะอย่างแน่นอน...

บทที่เกี่ยวข้อง

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่8 หอประมูลพยัคฆ์รัตติกาล

    แต่ละวันของหนิงอ้ายแทบจะเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง เริ่มตั้งแต่ตื่นเช้ามาออกกำลังโดยการวิ่งรอบจวนเสร็จแล้วก็ทานข้าวกับเยว่ซินผู้เป็นมารดา ในช่วงสายทำการศึกษาวิชาตำราต่าง ๆ เพื่อทบทวนความรู้ ช่วงเย็นทำการฝึกฝนวรยุทธรวมไปถึงการควบคุมใช้ปราณธาตุให้คล่องแคล่ว ยามกลางคืนอย่างน้อยวันละสองชั่วยามก็จะทำการนั่งดูดซับพลังปราณฟ้าดิน ด้วยความที่หนิงอ้ายทั้งคนเก่าและเขาในตอนนี้นั้นนิสัยแทบจะเหมือนกันทุกอย่างยิ่งเมื่อสนใจกับสิ่งใดแล้วก็จะจดจ่อมุ่งมั่นทำให้เต็มที่เสมอจึงทำให้มารดาหรือบ่าวรับใช้ในเรือนไม่รู้สึกถึงความแตกต่างกันโดยเฉพาะกับลู่ซีเป็นบ่าวรับใช้คนสนิทที่คอยดูแลหนิงอ้ายมาตั้งแต่ประมาณเจ็ดปี ย่อมรู้สึกถึงในความเปลี่ยนแปลงในนิสัยเล็กน้อยบางอย่าง แต่เมื่อคิดว่าคุณชายของตนนั้นผ่านอะไรมามากมายตั้งแต่เด็กถึงตอนนี้ไม่แปลกที่คุณชายจะมุ่งมั่นในการฝึกฝนให้ตนเองแข็งแกร่งขึ้นเพื่อที่จะดูแลตนเองและปกป้องสิ่งที่รักได้ แน่นอนว่าลู่ซีคนนี้สาบานจะอยู่เคียงข้างคุณชายของตนเสมอไม่เปลี่ยนไป“คุณชาย ท่านไม่คิดจะทำอย่างอื่นเลยหรือขอรับ?” ลู่ซีสอบถามเป็นกังวลเล็กน้อยเนื่องจากท่านเย่วซินมารดาของคุณชายนั้นเห็นว่าหนิ

    ปรับปรุงล่าสุด : 2025-02-07
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่9 ผูกพันธะสัตว์อสูร

    มองจากด้านนอกของหอประมูลพยัคฆ์รัตติกาลว่ามีพื้นที่กว้างขวางแล้ว ชั้นใต้ดินด้านล่างก็มีพื้นที่มากมายไปไม่แตกต่างกันเสียด้วยซ้ำ เพราะตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามาในบริเวณหนิงอ้ายก็พบว่าทั้งชั้นใต้ดินนี้มีที่คุมขังสัตว์อสูรมากมาย แน่นอนว่ากรงขังต่าง ๆ เหล่านี้ต่างถูกกำกับด้วยบทเวทย์ป้องกันและบทเวทย์ที่ใช้ข่มพลังของสัตว์อสูรโดยเฉพาะนอกจากนั้นยังมีกรงเหล็กขนาดน้อยใหญ่แตกต่างกันไปที่มีการจำแนกสัตว์อสูรเป็นประเภทของแต่ละปราณธาตุสังกัด ด้วยความที่ผู้ฝึกตนสามารถทำการผูกพันธะกับสัตว์อสูรซึ่งอาจจะเพียงแค่หนึ่งครั้งในชีวิต ดังนั้นการเลือกสัตว์อสูรรับใช้ดังกล่าวผู้ฝึกตนจะเลือกโดยการอิงตามปราณธาตุที่ตนเองถนัดเพื่อจะเป็นประโยชน์ในการต่อสู้ของตนเองมากที่สุด“แล้วต้องมีพลังวิญญาณระดับใดกันจึงจะสามารถทำการผูกพันธะกับสัตว์อสูรได้?” หนิงอ้ายถามกลับลู่ซีไปอีกครั้ง“ความจริงแล้วผู้ฝึกตนระดับแรกเริ่มหรือระดับก่อเกิดวิญญาณก็สามารถทำการผูกพันธะกับสัตว์อสูรได้แล้วขอรับ แต่เงื่อนไขคือสามารถทำได้เพียงหนึ่งครั้งเท่านั้นจนกว่าจะมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งซึ่งคือผู้ผูกพันธะหรือสัตว์อสูรได้ตายลงไป ที่สำคัญคือขึ้นอยู่กับสัตว์อสูรว่าจ

    ปรับปรุงล่าสุด : 2025-02-07
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่10 ฝึกฝนบทเวทย์

    ยอมรับตามตรงว่าก่อนหน้านี้มีหลายครั้งที่นทีได้แต่ครุ่นคิดอยู่ในใจ ว่าเพราะอะไรทำไมเขาถึงได้มาอยู่ในโลกใบนี้ได้กัน หรืออาจเป็นเพราะหนิงอ้ายคนเก่าต้องการให้เขาแก้แค้นอย่างนั้นหรือ? แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่ เพราะตัวเขาไม่เคยสัมผัสได้ถึงความรู้สึกในแง่ลบเหล่านี้เลยสักนิด เจ้าของร่างเดิมยังคงเด็กเกินไปจึงมีแต่ความอ่อนโยนจิตใจดี ซึ่งมันแตกต่างไม่ใช่ตัวเขาเป็นอย่างมากเลยทีเดียวนทีเมื่อได้รับโอกาสที่ได้มีชีวิตใหม่อีกครั้ง มีเยว่ซินผู้เป็นมารดาที่รักและเป็นห่วงเขาอยู่เสมอ ผู้อาวุโสหวังฮุ่ยที่เสียสละเวลาสั่งสอนความรู้อย่างไม่หวงแหน ลู่ซีที่เปรียบเสมือนเพื่อนสนิท ไหนจะเจ้าเจียวซิ่นที่เขารักเอ็นดูเหมือนลูกน้อยคนหนึ่ง ดังนั้นเขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้นกว่านี้เพื่อที่จะปกป้องคนที่เขารักได้ ในตอนนี้เขาสามารถใช้เคล็ดวิชาย่างก้าวทะยานหมื่นลี้ได้อย่างคล่องแคล่วและมีความคุ้นชินกว่าเดิมมาก ยิ่งเมื่อเขาได้นำมาประสานเข้ากับศิลปะการต่อสู้จากโลกเดิมที่เขาคุ้นเคยแล้ว เวลาได้ฝึกซ้อมกับผู้อาวุโสหวังฮุ่ยกับเหล่าองครักษ์คนอื่น ๆ แม้เขาจะเสียเปรียบในด้านร่างกายแต่ทว่าสิ่งที่เขานำมาพลิกแพลงในตอนนี้กลับสามารถช่วงชิงความได้เป

    ปรับปรุงล่าสุด : 2025-02-07
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่​11 ความเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดคิด

    เป็นเวลาเกือบหนึ่งปีที่นทีได้ใช้ชีวิตในนามของจางหนิงอ้าย อีกเพียงไม่กี่วันอายุของร่างนี้ก็ใกล้ครบสิบห้าปีแล้ว แต่จางเลี่ยงหวงผู้เป็นบิดากลับไม่สนใจในสิ่งเหล่านี้ราวกับว่าเด็กหนุ่มไม่มีตัวตนในตระกูลเสียอย่างนั้น แต่แล้วอย่างไรเล่า? เพราะตัวของนทีเองก็ไม่ได้ยอมรับอีกฝ่ายในฐานะบิดาของเจ้าของร่างเช่นกัน…“อีกสามเดือนข้างหน้าจะมีงานประลองที่ทางแคว้นเต่าดำรับเป็นเจ้าภาพในครั้งนี้ จากนั้นอีกเพียงหนึ่งเดือนแต่ละสำนักศึกษาจะเปิดรับศิษย์ใหม่เข้าสังกัด ข้าจึงขออนุญาตจากท่านแม่ในการเข้าร่วมลงประลองครั้งนี้เพื่อลบล้างคำครหาที่ว่าเป็นเพียงสวะของตระกูลซึ่งนั่นหาใช่ความจริงไม่ อีกทั้งข้ายังอยากเข้าทดสอบของสำนักศึกษาด้วยขอรับ!!” หนิงอ้ายบอกกับเยว่ซินถึงความต้องการของตน“มารดาล้วนตามใจเจ้าทั้งสิ้น เรื่องเข้าสำนักศึกษาเอาไว้เจ้าขอคำแนะนำจากท่านตาดีหรือไม่ ว่าสุดท้ายแล้วจะเลือกเข้าทดสอบสำนักศึกษาใดจึงจะเหมาะสมกับเจ้ามากที่สุด...” เยว่ซินตอบรับคำขอนี้ พร้อมกับลูบหัวของอีกฝ่ายด้วยความรักใคร่“เจ้าจะเข้าร่วมงานประลองนี้กับข้าด้วยใช่หรือไม่??” หนิงอ้ายลู่ซีขึ้น“เป็นเช่นนั้นขอรับ...” ลู่ซีที่สามารถตัดผ่านเป็

    ปรับปรุงล่าสุด : 2025-02-07
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่​12 ออกเดินทางล่าสัตว์อสูร

    เนตรแห่งสวรรค์ของหนิงอ้ายหลังจากได้รับแรงกระตุ้นจากการดูดซับกระดูกวิญญาณของอสรพิษเหมันต์บรรพกาลไป หนิงอ้ายพบว่าความสามารถในการมองเห็นและการรับรู้ของเขาในตอนนี้อยู่เหนือกว่าผู้ฝึกตนในเขตขั้นเดียวกันอย่างชัดเจน รายละเอียดเล็กน้อย ข้อมูลต่าง ๆ รวมไปถึงทุกการเคลื่อนไหวในรัศมีหนึ่งลี้ไม่อาจถูกปกปิดจากสายตาหรือการรับรู้ของเขาได้ คล้ายกับว่าความสามารถทั้งหมดในโลกเดิมของเขาที่เคยใช้ได้จะถูกยกระดับเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว“หนิงเอ๋อร์ เจ้าแน่ใจใช่หรือไม่ที่จะเดินทางไปกับผู้อาวุโสหวังฮุ่ยไปยังเทือกเขาหมื่นอสูรวิญญาณในครั้งนี้?” เยว่ซินถามหนิงอ้ายอีกครั้ง แม้นางจะรู้ดีว่าด้วยระดับขุนนางวิญญาณของเด็กหนุ่มย่อมสามารถเอาตัวรอดได้อย่างไม่ยาก แต่นางยังรู้สึกเป็นกังวลเพราะอีกฝ่ายไม่เคยออกจากเขตพื้นที่เมืองหลวงนี้เสียด้วยซ้ำ“ขอรับท่านแม่ ข้ากับลู่ซีจะติดตามท่านลุงฮุ่ยไปยังเทือกเขาหมื่นอสูรวิญญาณเพื่อฝึกฝนประสบการณ์และเสาะหากระดูกวิญญาณแรกด้วยขอรับ!!” หนิงอ้ายตอบไปด้วยความมั่นใจ“เช่นนั้นแล้วแต่เจ้า รบกวนผู้อาวุโสหวังฮุ่ยดูแลทั้งสองคนด้วยนะเจ้าคะ...” เยว่ซินพูดออกมา“คุณหนูอย่าได้กังวลข้าจะดูแลคุณชายหนิงอ้าย

    ปรับปรุงล่าสุด : 2025-02-07
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่13 ปะทะราชสีห์สัตตะโลหิตสีคราม

    เช้าวันใหม่มาถึงคณะเดินทางของหนิงอ้ายทั้งสี่คนต่างรีบเร่งออกเดินทางกันแต่เช้าตรู่ จุดหมายคือเขตป่าชั้นกลางของเทือกเขาหมื่นอสูรวิญญาณ เนื่องจากบริเวณป่าชั้นนอกจะมีเพียงสัตว์อสูรทั่วไปหรือสัตว์อสูรปฐพีเท่านั้น หากเข้าสู่เขตป่าชั้นกลางเป็นต้นไปจึงจะพบเจอสัตว์อสูรนภาขั้นต่ำหรือขั้นกลางและหากโชคดีมากพออาจได้พบเจอสัตว์อสูรนภาขั้นสูงก็เป็นไปได้เช่นกัน สำหรับสัตว์อสูรมายาขั้นต่ำเป็นต้นไป สัตว์อสูรเหล่านี้จัดได้ว่าเป็นสัตว์อสูรระดับสูงที่มีความนึกคิด อีกทั้งยังเปี่ยมไปด้วยพละกำลังที่แข็งแกร่ง สามารถใช้ปราณธาตุของตนโจมตีผู้บุกรุกในอาณาเขตของตน อาจพบเห็นได้บ้างตามแนวรอยต่อของป่าชั้นกลางติดกับเขตป่าชั้นในกระจัดกระจายกันไปทั่วทั้งพื้นที่แห่งนี้ ระหว่างทางพวกเขาต่างพบเจอกับสัตว์อสูรไปไม่น้อย แต่เพราะยังมีอายุที่ไม่เหมาะสม อีกครั้งความสามารถยังเข้าไม่ได้กับวิญญาณยุทธ์ของพวกเขาทั้งสอง เห็นได้ว่าการเสาะหากระดูกวิญญาณนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด อายุของสัตว์อสูรจะสังเกตได้จากสีของพลังวิญญาณที่แผ่ซ่านออกมา จะเป็นสีเดียวกันกับพลังวิญญาณ แม้จะเป็นเผ่าพันธ์เดียวกันแต่มีอายุต่างก

    ปรับปรุงล่าสุด : 2025-02-07
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่​14 อสูรราชินีแมงป่องแปดขามัจจุราช

    การเสาะหากระดูกวิญญาณได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้งในช่วงบ่ายของวันนี้ คณะเดินทางของหนิงอ้ายทั้งสี่คนต่างเดินทางกันไปเรื่อย ๆ ไม่รีบเร่ง แม้ว่าระหว่างทางจะพบเจอสัตว์อสูรจำนวนไม่น้อย แต่เพราะกลิ่นอายของผู้ฝึกตนระดับเทวะขั้นสูงที่หวังฮุ่ยปลดปล่อยออกมาในระยะสองลี้ย่อมไม่ต่างไปจากคำเตือนให้เหล่าสัตว์อสูรระดับต่ำจงหลบหลีกไปเสีย เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วจึงถือว่าการเสาะหาสัตว์อสูรที่เหมาะสมจึงเป็นไปอย่างราบรื่นยิ่งก่อนหน้านี้หนิงอ้ายได้ประสานร่างกายเข้ากับกระดูกวิญญาณล้านปีของอสรพิษเหมันต์บรรพกาล นอกจากกระดูกวิญญาณชิ้นนี้จะแปรเปลี่ยนเป็นทักษะวิญญาณยุทธ์ที่สามให้แก่เขาแล้ว ยังคงมีเงื่อนไขสำคัญคือการเสาะหากระดูกวิญญาณจากสัตว์อสูรสังกัดปราณธาตุพิษดูดซับประสานเข้ากับร่างกายเพื่อให้กระดูกวิญญาณชิ้นแรกนี้มีความสมบูรณ์พร้อมด้วยทักษะตามที่ควรจะเป็นหนิงอ้ายตั้งใจดูดซับกระดูกวิญญาณให้กับวิญญาณยุทธ์ที่สองอันเป็นปราณธาตุน้ำนี้เสียก่อน สำหรับวิญญาณยุทธ์ปราณธาตุไฟรวมไปถึงวิญญาณยุทธ์ที่สามเขาไม่จำเป็นต้องสังหารสัตว์อสูรเป็นจำนวนมากเพื่อเติมเต็มให้กระดูกวิญญาณของทั้งสามวิญญาณยุทธ์ในตอนนี้ เพราะนอกจากกระดูกวิญญาณล้าน

    ปรับปรุงล่าสุด : 2025-02-07
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่​15 แขกที่ไม่ได้รับเชิญ

    หนิงอ้ายหลับตาลงพร้อมกับกำหนดลมหายใจเข้าออก พลังลมปราณฟ้าดินอันบริสุทธิ์โดยรอบที่ถูกชักนำโดยจี้หยกโลหิตส่งผลให้มวลลมปราณบริเวณนี้ต่างถูกชักนำเข้าตามจุดชีพจรไปทั่วทั้งร่างกายตามสุดยอดเคล็ดวิถี ลมปราณอันอบอุ่นวิ่งวนเข้าสู่จุดใจกลางตันเถียรไม่จบสิ้น พลังลมปราณในร่างกายที่ผ่านการเคี่ยวกรำนับสิบกว่ารอบต่างถูกอัดแน่นเป็นรากฐานบ่มเพาะที่แข็งแกร่ง วันเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนผันไปเรื่อย ๆ วันนี้ถือได้ว่าเป็นวันครบรอบอายุสิบห้าปีของจางหนิงอ้าย แน่นอนว่าทางฝั่งของนทีก็นับว่าเขาเองได้อาศัยอยู่ในร่างนี้เป็นเวลาหนึ่งปีแล้วเช่นกันหนิงอ้ายใช้เวลาไม่นานกับการจัดการตัวเอง วันนี้เขาเลือกใส่เสื้อตัวในสีขาวล้วนและเสื้อตัวนอกเป็นสีเขียวอ่อนที่ปักด้วยลวดลายใบไผ่สีเขียวมรกต เมื่อไปถึงบริเวณห้องโถงรับรองที่ตอนนี้ถูกเปลี่ยนให้เป็นงานเลี้ยงเล็ก ๆ มีท่านแม่เยว่ซิน ท่านลุงหวังฮุ่ย ท่านลุงจางปิน ท่านน้าหรันหรูที่นั่งรออยู่ แม้จะไร้เงาบิดาสารเลวในงานเลี้ยงดังกล่าวนี้ เเต่หนิงอ้ายไม่สนใจเลยสักนิดเพราะทุกคนในที่นี้ล้วนเป็นผู้ที่เขาสนิทใจทั้งสิ้น''หนิงเอ๋อร์ปีนี้เจ้าอายุครบสิบห้าปีแล้ว ตามกฎของตระกูลจางที่ปฏิบัติสืบทอดก

    ปรับปรุงล่าสุด : 2025-02-07

บทล่าสุด

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่20 ตระกูลหวัง

    ขบวนรถม้าเดินทางยังคงดำเนินไปอย่างไม่รีบร้อน จุดหมายปลายทางคือจวนตระกูลหวังที่ตั้งอยู่ในมหานครแคว้นเต่าดำแห่งนี้ ตลอดเส้นทางเดินรถม้าได้ตัดผ่านหมู่บ้านน้อยใหญ่มากมาย สิ่งหนึ่งที่หนิงอ้ายสังเกตคือยิ่งเข้าใกล้ใจกลางมหานครแคว้นเต่าดำมากเท่าใดความเจริญรุ่งเรืองของบ้านเมืองรวมไปถึงความคึกคักของตลาดเเลกเปลี่ยนสินค้าก็จะเพิ่มขึ้นไปเท่านั้น''ตรงด้านหน้าจะเป็นตลาดเมืองหลวงก่อนถึงจวนตระกูลหวัง หนิงอ้าย ลู่ซี เจ้าทั้งสองจะแวะก่อนหรือไม่?'' เยว่ซินเอ่ยถามเด็กหนุ่มทั้งสอง เพราะหากพ้นเขตตลาดเมืองหลวงนี้ไปอีกเพียงไม่ถึงเค่อก็จะถึงจวนตระกูลหวังเเล้ว''แวะขอรับท่านเเม่ ข้าจะหาซื้อของฝากติดไม้ติดมือให้ท่านตาและท่านยายด้วยขอรับ!'' หนิงอ้ายตอบมารดาไปในทันที ในโลกเดิมของเขาสำหรับการเข้าพบปะผู้อาวุโสที่มีอายุมากกว่า ตามมารยาทที่พึงกระทำแล้วผู้น้อยควรมีของฝากติดมือไปฝากเสมอ เป็นการเเสดงถึงความเคารพให้เกียรตินั่นเองนับว่าผิดจากหนิงอ้ายเคยคิดไว้ไปเสียมาก มหานครแคว้นเต่าดำนี้มีพื้นที่กว้างขวางใหญ่โตเป็นอย่างมาก อาคารบ้านเรือนสองข้างทางดูโอ่อ่าอลังการดูเเล้วเจริญหูเจริญตาเป็นอย่างมาก ถนนหนทางจากทุกมุมเมืองที่

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่​19 ลอบสังหาร

    ตระกูลหวังเป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของแคว้นเต่าดำซึ่งถือได้ว่าเป็นอีกแคว้นใหญ่ที่มีความสำคัญเป็นอย่างมากเนื่องจากตั้งอยู่บริเวณใจกลางของมหาทวีปบูรพา จึงทำให้รอบด้านทั้งสี่ทิศของแคว้นมีอาณาเขตติดกับอีกสามแคว้นใหญ่ที่เหลือ แคว้นเต่าดำมีรูปแบบการปกครองที่ชัดเจนโดยเเบ่งออกเป็นสิบมณฑลใหญ่มีเมืองสาขาหรือเมืองในการปกครองในเเต่ละมณฑลมากกว่าสิบเมืองในการดูเเล ทั้งสิบมณฑลใหญ่อยู่ในการปกครองส่วนกลางของแคว้นเรียกว่ามหานครแคว้นเต่าดำหากกล่าวให้เข้าใจด้วยง่ายคือแคว้นเต่าดำประกอบไปด้วยเมืองน้อยใหญ่นับร้อยเมือง มีหมู่บ้านอย่างมากมายกระจายกันไปทั่วทั้งแคว้น ต้องบอกว่าเเต่ละเมืองหาได้มีความเจริญเทียบเท่ากันไม่ เพราะบางเมืองมีอาณาเขตติดกับแคว้นอื่นมักจะเป็นเมืองที่ขึ้นชื่อเป็นจุดเเลกเปลี่ยนสินค้า หรือบางเมืองยังคงรักษาขนบธรรมเนียมปฏิบัติกันมาอย่างช้านานนับว่าเป็นเสน่ห์ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน เเต่กับสิบมณฑลใหญ่ที่มีการปกครองดูเเลเมืองในรับผิดชอบของตนมักจะมีความเจริญและมีพื้นที่กว้างขวางเป็นอย่างมาก ด้วยเพราะผู้ปกครองมณฑลดังกล่าวมักจะเป็นเหล่าบรรดาผู้มีศักดิ์เป็นอ๋องเป็นเชื้อพระวงศ์นั่นเองคณะเดินทางของหนิงอ้

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่​18 สิ้นสุดกันเพียงเท่านี้

    ด้านหลังของหนิงอ้ายปรากฏเป็นวงแหวนเวทย์สีน้ำเงินเข้มแสดงถึงผู้ฝึกตนปราณธาตุน้ำระดับสาม ในตอนนี้เขากำลังเร่งทำการยกระดับพลังวิญญาณให้ข้ามผ่านขั้นย่อยให้ได้ในเร็ววัน เพราะหากยิ่งมีระดับพลังวิญญาณเพิ่มขึ้นมากเท่าใด เขาก็จะสามารถปกป้องตัวเองและท่านแม่เพิ่มขึ้นได้เท่านั้นสำหรับราชทินนามจักรพรรดิวิญญาณขั้นสามัญกับระยะเวลาเพียงหนึ่งปีเช่นนี้ นับได้ว่าหนิงอ้ายไม่ต่างไปจากอัจฉริยะคงไม่เกินจริงไปนัก ต้องบอกว่าเด็กหนุ่มโชคดีอย่างมากที่ได้ศึกษาเคล็ดวิชาลับตระกูลหวัง จึงทำให้สามารถขยายจุดตันเถียรได้รองรับและขยายเส้นปราณทั่วร่างกายเพิ่มการดูดซับพลังปราณมากกว่าคนอื่นหลายเท่าจึงทำให้เขาสามารถดูดซับพลังปราณฟ้าดินได้โดยตรง ยิ่งได้รับแรงหนุนจากจี้หยกโลหิตแล้วความสามารถในการดูดซับปราณฟ้าดินของหนิงอ้ายจึงไม่ต่างไปจากพยัคฆ์ติดปีกเสียแล้วในตอนนี้บทเวทย์โจมตีมหาบุปผชาติเหมันต์จำแลงลักษณ์!ตู้ม!สภาพอากาศโดยรอบของเขตของบทเวทย์อากาศลดลงโดยฉับพลัน ปรากฎเป็นดอกบัวเหมันต์สีขาวบริสุทธิ์ดอกใหญ่แผ่อายความเย็นจาง ๆ ไปทั่วบริเวณ ตรงด้านบนเห็นเป็นเกล็ดบัวเหมันต์หิมะที่มีไอเย็นลอยตกลงไปทั่วเขตของบทเวทย์ เมื่อตกลงถึงพื

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่​17 หย่า

    ทางฝั่งเยว่ซินหลังจากที่มีนักฆ่าเข้ามาลอบสังหารบุตรชายของนางในช่วงกลางคืนที่ผ่านมา โชคดีที่ไม่เกิดเหตุการณ์ความสูญเสียดังกล่าวขึ้น ที่น่าแปลกใจคือหนังสือจ้างวานฆ่านี้ได้ชี้ชัดว่าเป็นฝีมือของหวงลู่เอินหรือฮูหยินรองคนรักของจางเลี่ยงหวง เยว่ซินนั้นไม่มีเรื่องราวข้องเกี่ยวกับอีกฝ่ายเท่าไหร่นัก แต่หากว่าแรงจูงใจของการกระทำนี้คือนางต้องการผลักดันบุตรชายของนางขึ้นเป็นผู้สืบทอดของตระกูลแทนจางหนิงอ้ายผู้เป็นคุณชายใหญ่ของตระกูลจางสายหลักแล้วย่อมเป็นไปได้เช่นกันทั้งสิ้นแต่แล้วอย่างไรเล่า? จางเลี่ยงหวงสามีของนางก็คงไม่เชื่อต่อหลักฐานที่มีอยู่และคงเข้าข้างคนรักของตนเฉกเช่นทุกครั้ง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หนิงอ้ายถูกรังแกและโดนทำร้าย ต่อให้นางมีหลักฐานเพียงใดสามีของนางไม่เคยลงโทษหรือเอาผิดเลยซักครั้ง เยว่ซินหยิบสมุดบันทึกเล่มเก่าของตนที่อยู่ในช่องลับบนหัวเตียงขึ้นมาพร้อมกับเปิดอ่านอีกครั้งพลันย้อนคิดไปถึงอดีตเมื่อครั้งก่อนที่นางเข้ามาเป็นฮูหยินเอกของตระกูลชื่อเสียงของจางหนิงอ้ายบุตรชายของนาง ผู้คนทั้งที่อยู่ในเหตุการณ์ในพิธีปลุกพลังวิญญาณเมื่อเจ็ดปีก่อนต่างมีการร่ำลือไปอย่างเสียหาย บ้างว่าคุณชายใหญ่ห

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่​16 โชคชะตา ฟ้าลิขิต

    กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วทั้งห้อง ร่างไร้วิญญาณที่ถูกชโลมด้วยโลหิตสีแดงฉานมากมายชวนให้รู้สึกคลื่นเหียนอยู่ไม่น้อยแก่ผู้พบเห็น แต่ด้วยทุกคนในที่นี้ต่างโลดแล่นอยู่ในเส้นทางของผู้ฝึกตนเป็นเวลาหลายปี ดังนั้นย่อมเคยพบเจอเหตุการณ์ฆ่าฟันเช่นนี้ทั้งสิ้น ที่น่าแปลกใจคือหนิงอ้ายที่เป็นผู้ลงมือกระทำนั้นกลับไร้ความตกใจราวกับว่านี่เป็นสิ่งที่คุ้นชินเสียอย่างนั้น''นักฆ่าเหล่านี้แม้จะเป็นร่างไร้วิญญาณไปแล้วก็จริง แต่อย่างไรขึ้นชื่อว่าผู้ฝึกตนย่อมมีพลังลมปราณไหลเวียนอยู่ในจุดชีพจรทั่วทั้งร่างกายที่ไม่แตกต่างไปจากสัตว์อสูร หากปล่อยทิ้งเอาไว้เช่นนี้คงเสียเปล่าเป็นแน่ เช่นนั้นข้าจะนำร่างไร้วิญญาณของนักฆ่าเหล่านี้ให้กับเจียวซิ่นขอรับ...''แม้ว่าสิ่งที่หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นมาจะชวนให้ตกตะลึงในความรู้สึก เพราะการที่สัตว์อสูรในพันธะสามารถดูดซับลมปราณจากร่างไร้วิญญาณของสัตว์อสูรนั้นไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน แล้วยิ่งกับร่างไร้วิญญาณของผู้ฝึกตนเช่นนี้ย่อมไม่เคยมีผู้ใดกระทำทั้งสิ้น แต่ถึงอย่างไรคำกล่าวของหนิงอ้ายก็ไม่มีผิดถูกเช่นกันหวังฮุ่ยได้สั่งการองครักษ์ทั้งสามให้แยกย้ายกันไปเก็บกวาดร่างไร้วิญญาณของนักฆ่าสังหารที

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่​15 แขกที่ไม่ได้รับเชิญ

    หนิงอ้ายหลับตาลงพร้อมกับกำหนดลมหายใจเข้าออก พลังลมปราณฟ้าดินอันบริสุทธิ์โดยรอบที่ถูกชักนำโดยจี้หยกโลหิตส่งผลให้มวลลมปราณบริเวณนี้ต่างถูกชักนำเข้าตามจุดชีพจรไปทั่วทั้งร่างกายตามสุดยอดเคล็ดวิถี ลมปราณอันอบอุ่นวิ่งวนเข้าสู่จุดใจกลางตันเถียรไม่จบสิ้น พลังลมปราณในร่างกายที่ผ่านการเคี่ยวกรำนับสิบกว่ารอบต่างถูกอัดแน่นเป็นรากฐานบ่มเพาะที่แข็งแกร่ง วันเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนผันไปเรื่อย ๆ วันนี้ถือได้ว่าเป็นวันครบรอบอายุสิบห้าปีของจางหนิงอ้าย แน่นอนว่าทางฝั่งของนทีก็นับว่าเขาเองได้อาศัยอยู่ในร่างนี้เป็นเวลาหนึ่งปีแล้วเช่นกันหนิงอ้ายใช้เวลาไม่นานกับการจัดการตัวเอง วันนี้เขาเลือกใส่เสื้อตัวในสีขาวล้วนและเสื้อตัวนอกเป็นสีเขียวอ่อนที่ปักด้วยลวดลายใบไผ่สีเขียวมรกต เมื่อไปถึงบริเวณห้องโถงรับรองที่ตอนนี้ถูกเปลี่ยนให้เป็นงานเลี้ยงเล็ก ๆ มีท่านแม่เยว่ซิน ท่านลุงหวังฮุ่ย ท่านลุงจางปิน ท่านน้าหรันหรูที่นั่งรออยู่ แม้จะไร้เงาบิดาสารเลวในงานเลี้ยงดังกล่าวนี้ เเต่หนิงอ้ายไม่สนใจเลยสักนิดเพราะทุกคนในที่นี้ล้วนเป็นผู้ที่เขาสนิทใจทั้งสิ้น''หนิงเอ๋อร์ปีนี้เจ้าอายุครบสิบห้าปีแล้ว ตามกฎของตระกูลจางที่ปฏิบัติสืบทอดก

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่​14 อสูรราชินีแมงป่องแปดขามัจจุราช

    การเสาะหากระดูกวิญญาณได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้งในช่วงบ่ายของวันนี้ คณะเดินทางของหนิงอ้ายทั้งสี่คนต่างเดินทางกันไปเรื่อย ๆ ไม่รีบเร่ง แม้ว่าระหว่างทางจะพบเจอสัตว์อสูรจำนวนไม่น้อย แต่เพราะกลิ่นอายของผู้ฝึกตนระดับเทวะขั้นสูงที่หวังฮุ่ยปลดปล่อยออกมาในระยะสองลี้ย่อมไม่ต่างไปจากคำเตือนให้เหล่าสัตว์อสูรระดับต่ำจงหลบหลีกไปเสีย เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วจึงถือว่าการเสาะหาสัตว์อสูรที่เหมาะสมจึงเป็นไปอย่างราบรื่นยิ่งก่อนหน้านี้หนิงอ้ายได้ประสานร่างกายเข้ากับกระดูกวิญญาณล้านปีของอสรพิษเหมันต์บรรพกาล นอกจากกระดูกวิญญาณชิ้นนี้จะแปรเปลี่ยนเป็นทักษะวิญญาณยุทธ์ที่สามให้แก่เขาแล้ว ยังคงมีเงื่อนไขสำคัญคือการเสาะหากระดูกวิญญาณจากสัตว์อสูรสังกัดปราณธาตุพิษดูดซับประสานเข้ากับร่างกายเพื่อให้กระดูกวิญญาณชิ้นแรกนี้มีความสมบูรณ์พร้อมด้วยทักษะตามที่ควรจะเป็นหนิงอ้ายตั้งใจดูดซับกระดูกวิญญาณให้กับวิญญาณยุทธ์ที่สองอันเป็นปราณธาตุน้ำนี้เสียก่อน สำหรับวิญญาณยุทธ์ปราณธาตุไฟรวมไปถึงวิญญาณยุทธ์ที่สามเขาไม่จำเป็นต้องสังหารสัตว์อสูรเป็นจำนวนมากเพื่อเติมเต็มให้กระดูกวิญญาณของทั้งสามวิญญาณยุทธ์ในตอนนี้ เพราะนอกจากกระดูกวิญญาณล้าน

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่13 ปะทะราชสีห์สัตตะโลหิตสีคราม

    เช้าวันใหม่มาถึงคณะเดินทางของหนิงอ้ายทั้งสี่คนต่างรีบเร่งออกเดินทางกันแต่เช้าตรู่ จุดหมายคือเขตป่าชั้นกลางของเทือกเขาหมื่นอสูรวิญญาณ เนื่องจากบริเวณป่าชั้นนอกจะมีเพียงสัตว์อสูรทั่วไปหรือสัตว์อสูรปฐพีเท่านั้น หากเข้าสู่เขตป่าชั้นกลางเป็นต้นไปจึงจะพบเจอสัตว์อสูรนภาขั้นต่ำหรือขั้นกลางและหากโชคดีมากพออาจได้พบเจอสัตว์อสูรนภาขั้นสูงก็เป็นไปได้เช่นกัน สำหรับสัตว์อสูรมายาขั้นต่ำเป็นต้นไป สัตว์อสูรเหล่านี้จัดได้ว่าเป็นสัตว์อสูรระดับสูงที่มีความนึกคิด อีกทั้งยังเปี่ยมไปด้วยพละกำลังที่แข็งแกร่ง สามารถใช้ปราณธาตุของตนโจมตีผู้บุกรุกในอาณาเขตของตน อาจพบเห็นได้บ้างตามแนวรอยต่อของป่าชั้นกลางติดกับเขตป่าชั้นในกระจัดกระจายกันไปทั่วทั้งพื้นที่แห่งนี้ ระหว่างทางพวกเขาต่างพบเจอกับสัตว์อสูรไปไม่น้อย แต่เพราะยังมีอายุที่ไม่เหมาะสม อีกครั้งความสามารถยังเข้าไม่ได้กับวิญญาณยุทธ์ของพวกเขาทั้งสอง เห็นได้ว่าการเสาะหากระดูกวิญญาณนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด อายุของสัตว์อสูรจะสังเกตได้จากสีของพลังวิญญาณที่แผ่ซ่านออกมา จะเป็นสีเดียวกันกับพลังวิญญาณ แม้จะเป็นเผ่าพันธ์เดียวกันแต่มีอายุต่างก

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่​12 ออกเดินทางล่าสัตว์อสูร

    เนตรแห่งสวรรค์ของหนิงอ้ายหลังจากได้รับแรงกระตุ้นจากการดูดซับกระดูกวิญญาณของอสรพิษเหมันต์บรรพกาลไป หนิงอ้ายพบว่าความสามารถในการมองเห็นและการรับรู้ของเขาในตอนนี้อยู่เหนือกว่าผู้ฝึกตนในเขตขั้นเดียวกันอย่างชัดเจน รายละเอียดเล็กน้อย ข้อมูลต่าง ๆ รวมไปถึงทุกการเคลื่อนไหวในรัศมีหนึ่งลี้ไม่อาจถูกปกปิดจากสายตาหรือการรับรู้ของเขาได้ คล้ายกับว่าความสามารถทั้งหมดในโลกเดิมของเขาที่เคยใช้ได้จะถูกยกระดับเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว“หนิงเอ๋อร์ เจ้าแน่ใจใช่หรือไม่ที่จะเดินทางไปกับผู้อาวุโสหวังฮุ่ยไปยังเทือกเขาหมื่นอสูรวิญญาณในครั้งนี้?” เยว่ซินถามหนิงอ้ายอีกครั้ง แม้นางจะรู้ดีว่าด้วยระดับขุนนางวิญญาณของเด็กหนุ่มย่อมสามารถเอาตัวรอดได้อย่างไม่ยาก แต่นางยังรู้สึกเป็นกังวลเพราะอีกฝ่ายไม่เคยออกจากเขตพื้นที่เมืองหลวงนี้เสียด้วยซ้ำ“ขอรับท่านแม่ ข้ากับลู่ซีจะติดตามท่านลุงฮุ่ยไปยังเทือกเขาหมื่นอสูรวิญญาณเพื่อฝึกฝนประสบการณ์และเสาะหากระดูกวิญญาณแรกด้วยขอรับ!!” หนิงอ้ายตอบไปด้วยความมั่นใจ“เช่นนั้นแล้วแต่เจ้า รบกวนผู้อาวุโสหวังฮุ่ยดูแลทั้งสองคนด้วยนะเจ้าคะ...” เยว่ซินพูดออกมา“คุณหนูอย่าได้กังวลข้าจะดูแลคุณชายหนิงอ้าย

สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status