วันเวลาผันผ่านไปหนิงอ้ายสามารถเลื่อนระดับลมปราณเป็นผู้ฝึกตนระดับขุนพลวิญญาณขั้นกลางแล้ว อีกเพียงไม่กี่ขั้นย่อยก็จะสามารถเลื่อนระดับเป็นผู้ฝึกตนขุนพลวิญญาณขั้นสูงได้สำเร็จ ด้วยระยะเวลาสั้นเพียงนี้กับความก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดดที่ทอดสายตาไปทั่วทั้งยุทธภพแล้วยังยากที่จะพบเห็นได้โดยง่าย ทั้งที่หกเดือนก่อนหน้าเด็กหนุ่มยังเป็นเพียงคนธรรมดาไร้ซึ่งพลังลมปราณที่พึ่งเข้าสู่วิถีของผู้ฝึกตนเพียงเท่านั้น หากมีผู้ใดล่วงรู้ในสิ่งนี้ย่อมสร้างความแตกตื่นในแวดวงของผู้ฝึกตนได้อย่างแน่นอน…
“หนิงเอ๋อร์ ตอนนี้เจ้าเป็นผู้ฝึกตนระดับขุนพลวิญญาณแล้วเจ้าสัมผัสได้ถึงวิญญาณยุทธ์ของเจ้าได้แล้วหรือไม่? แสดงวิญญาณยุทธ์ของเจ้าให้มารดาดูเสียหน่อย...” เยว่ซินเอ่ยขึ้นกับบุตรชายของตน เนื่องจากเด็กหนุ่มในตอนนี้ถึงเขตขั้นราชทินนามขุนพลวิญญาณแล้วย่อมสามารถเรียกใช้วิญญาณยุทธ์ต้นกำเนิดของตนออกมาได้
“ขอรับท่านแม่...”
วิญญาณยุทธ์ปักษาสวรรค์เพลิงศักดิ์สิทธิ์ สถิตร่าง!!
วูบ!
หนิงอ้ายยกมือประสานขึ้นพร้อมกับปล่อยพลังวิญญาณระดับขุนพลวิญญาณของตนออกมา ก่อเกิดเป็นหมอกควันสีแดงทองที่ผนึกขึ้นเป็นปีกปักษาเพลิงขนาดใหญ่ตรงด้านหลัง กลิ่นอายความเข้มข้นของชีวิตแผ่ซ่านกำจายไปทั่วพร้อมกับคลื่นความร้อนในรัศมีหนึ่งลี้
“เปลวเพลิงแห่งชีวิตและการทำลายล้างของข้า มีนามว่าวิญญาณยุทธ์ปักษาเพลิงศักดิ์สิทธิ์เป็นสายโจมตีขอรับ! ไม่มีสิ่งใดสามารถดับเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์นี้ได้หากข้าไม่ต้องการ นอกจากนั้นแล้วเปลวเพลิงนี้ยังสามารถเพิ่มพูนและดูดกลืนกลิ่นอายของชีวิตให้กับผู้ที่ข้าต้องการได้เช่นกัน...” หนิงอ้ายบอกกับทุกคนถึงความพิเศษของวิญญาณยุทธ์แรกของตน เขาเชื่อมั่นว่าหากเขามีพลังวิญญาณในระดับที่สูงขึ้นเปลวเพลิงนี้ย้อมมีอาณุภาพที่เหนือชั้นกว่านี้ไปอีกหลายเท่า
“สมกับเป็นเปลวเพลิงจากปราณสุระยะธาตุเสียจริง แม้ว่ากลิ่นอายในยามนี้อาจจะยังอ่อนด้อยไปบ้างแต่นั่นเป็นเรื่องของเวลาเพียงเท่านั้น!!” เยว่ซินเอ่ยเสริมขึ้น หนิงอ้ายยิ้มรับคำกล่าวมารดาของตนก่อนที่จะสลายวิญญาณยุทธ์นี้ไป
“สำหรับวิญญาณยุทธ์ที่สองของข้าเป็นปราณธาตุน้ำสายโจมตีเช่นกัน มีนามว่าพัดหยกห้าเซียนวิถีเร้นลับ...”
วิญญาณยุทธ์พัดหยกห้าเซียนวิถีเร้นลับ สถิตร่าง!!
วูบ!
สิ้นเสียงของหนิงอ้ายปรากฏเป็นหมอกสีน้ำเงินขาวลอยฟุ้งก่อนที่จะผลึกขึ้นเป็นมีดเล่มเล็กจำนวนทั้งหมดห้าเล่มหมุนวนรอบตัว ก่อนที่กลุ่มของมีดบินนี้จะหลอมรวมขึ้นเป็นพัดหยกสีน้ำเงินเขียวลวดลายงดงามลอยค้างอยู่บนมือของเด็กหนุ่มซึ่งเป็นวิญญาณยุทธ์ที่สอง
“วิญญาณยุทธ์พัดหยกห้าเซียนวิถีเร้นลับของข้าเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังแฝงของปราณธาตุลมอันกล้าแกร่ง นอกจากนี้พัดหยกสามารถแบ่งออกเป็นมีดบินที่สามารถเพิ่มขึ้นตามพลังวิญญาณของข้าได้สูงสุดถึงเก้าเล่ม สามารถพุ่งเข้าโจมตีหรือเป็นเกราะป้องกันได้เช่นกันขอรับ...”
“วิญญาณยุทธ์ประสานจากปราณธาตุน้ำและปราณธาตุลมประเภทศาสตราวุธอย่างนั้นรึ ช่างน่าประทับใจยิ่ง!” หวังฮุ่ยพูดออกมาด้วยความชื่นชม
“มารดาแนะนำให้เจ้าในตอนนี้จงใช้เพียงวิญญาณยุทธ์ปราณธาตุน้ำ อย่าได้เพิ่มวงแหวนวิญญาณให้กับวิญญาณยุทธ์อันเกิดจากปราณสุริยะธาตุเด็ดขาดและต้องไม่ให้ผู้ใดรับรู้ ที่สำคัญอย่าพึ่งให้คนอื่นรู้ว่าเจ้ามีวิญญาณยุทธ์คู่ เข้าใจหรือไม่??” เยว่ซินเอ่ยเตือนหนิงอ้าย ด้วยเพราะปราณสุริยะธาตุไม่ได้ปรากฏในมหาพิภพแห่งนี้นานนับพันปีแล้ว หากมีผู้ใดล่วงรู้ย่อมไม่เป็นการดีแน่ในยามนี้
“ข้าก็คิดเช่นนั้นขอรับท่านแม่...หากไม่มีเหตุจำเป็นข้าจะไม่ใช้วิญญาณยุทธ์ปราณสุริยะธาตุเด็ดขาด จนกว่าข้าจะเข้าใจและยึดกุมบัญชาการได้มากกว่านี้ขอรับ!” หนิงอ้ายตอบกลับมารดาของตนไป
"เจ้าไม่ต้องกังวล ขอเพียงวิญญาณยุทธ์ปราณธาตุน้ำของเจ้ามีวงแหวนวิญญาณก็สามารถฝึกฝนต่อได้ไม่ส่งผลกระทบใดและหากเจ้าได้เผชิญกับอันตรายถึงชีวิตจงอย่าลังเลที่จะใช้วิญญาณยุทธ์นี้ นอกเหนือจากนั้นอย่าพึ่งใช้วิญญาณยุทธ์ปราณสุริยะธาตุเด็ดขาด!!" เยว่ซินสั่งห้ามด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด พร้อมกับมองเด็กหนุ่มด้วยความจริงจัง
"ข้าเข้าใจแล้วขอรับ..." หนิงอ้ายรับคำอย่างเชื่อฟัง
“ยินดีด้วยอีกครั้งขอรับคุณชาย!!” ลู่ซีรู้สึกดีใจเป็นอย่างมากที่คุณชายของพวกเขาสามารถถึงด้วยระดับพลังวิญญาณเช่นนี้ได้ด้วยระยะเวลาไม่ถึงหนึ่งปีเท่านั้น
“แต่ถึงอย่างไรข้ายังไม่ใช่ผู้ฝึกตนระดับขุนนางวิญญาณอย่างแท้จริง...” หนิงอ้ายตั้งเป้าหมายเอาไว้ว่าเขาต้องเข้าร่วมงานประลองระหว่างแคว้นในครั้งนี้ แต่ด้วยพลังวิญญาณของเขาในตอนนี้ยังไม่พร้อมด้วยคุณสมบัติมากพอที่จะเข้าร่วมได้
“ด้วยพรสวรรค์ของนายน้อยข้าเชื่อว่าอาศัยเวลาอีกเพียงไม่นานเท่านั้น สำหรับวันนี้ข้าจะสอนเคล็ดวิชาตัวเบาของตระกูลหวังให้ก่อนดีหรือไม่?”
“ลำบากท่านลุงฮุ่ยแล้วขอรับ...” วิชาตัวเบานับว่ามีประโยชน์เป็นอย่างมากสำหรับผู้ฝึกตน เพราะสามารถนำมาพลิกแพลงใช้ทั้งการต่อสู้และการหลบหนีได้อย่างหลากหลาย ฟังว่าผู้อาวุโสหวังฮุ่ยเป็นอีกผู้หนึ่งที่สำเร็จเคล็ดวิชานี้ในระดับที่ไม่ธรรมดา ดังนั้นการที่เขาจะได้รับการถ่ายทอดโดยตรงจากผู้มีประสบการณ์ตรงที่มากไปด้วยประสบการณ์สิ่งนี้ล้วนเป็นประโยชย์แก่เขาทั้งสิ้น
หนิงอ้ายเริ่มเรียนรู้วิชาตัวเบาย่างก้าวทะยานหมื่นลี้ อันเป็นเคล็ดวิชาประจำตระกูลหวังจากหวังฮุ่ยโดยตรง โดยที่มีลู่ซีเรียนรู้ไปพร้อมกันด้วย เพราะถึงแม้อีกฝ่ายจะมีเคล็ดวิชาตัวเบาไว้ใช้งานแล้วก็จริงแต่หากกล่าวตามตรงยังคงห่างชั้นจากวิชาตัวเบาของตระกูลหวังไปเสียหลายส่วน อีกทั้งลู่ซีเป็นบ่าวรับใช้คนสนิทของหนิงอ้ายก็นับได้ว่าเป็นคนของตระกูลหวังไปแล้วเช่นกัน ดังนั้นจึงสามารถเรียนรู้วิชาตัวเบานี้ได้อย่างไม่ผิดกฎเกณฑ์ใดของตระกูล
เคล็ดวิชาย่างก้าวทะยานหมื่นลี้ เป็นวิชาตัวเบาที่ขึ้นชื่อในเรื่องของการปรับเปลี่ยนการใช้งานตามใจคิดของผู้ใช้อย่างอิสระไร้รูปแบบแผนยากที่จะคาดเดาได้โดยง่าย โดยอาศัยการเดินพลังปราณจากการหยิบยืมพลังของสี่ปราณธาตุพื้นฐานเข้ามาอย่างสมดุล ด้วยรูปแบบวิชาที่เฉพาะเจาะจงเช่นนี้จึงถือได้ว่ามีผู้สำเร็จในระดับสูงสุดได้น้อยยิ่งนัก
'ย่างก้าวทะยานหมื่นลี้กับสยบอัสนีเมฆาทั้งสองวิชานี้ล้วนอยู่ในระดับเทวะ อาจมีความแตกต่างในเรื่องของหลักการของอักขระเวทย์ไปบ้าง แต่หากมีความเข้าใจในรูปแบบเฉพาะของบทเวทย์แล้วย่อมไม่ใช่เรื่องยากเท่าไหร่นัก!' หนิงอ้ายที่เข้าใจในลักษณะของรูปแบบของบทเวทย์ระดับเทวะจากการใช้เคล็ดวิชาสยบอัสนีเมฆาอย่างเชี่ยวชาญ จากการศึกษาตำราพื้นฐานเขาจึงเข้าใจว่าศาสตร์ทุกแขนงที่มีการใช้ปราณธาตุเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยเริ่มจากธาตุพื้นฐานที่มีการวางตามแนวของทิศทั้งสี่ สัญลักษณ์ตัวอักษรที่ปรากฏในบทเวทย์จะมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องหนุนนำกันอย่างสมดุล
‘ความจริงแล้วหลักการของบทเวทย์ไม่ได้มีความซับซ้อนถึงเพียงนั้น เพราะเป็นการดึงเอาปราณธาตุพื้นฐานทั้งสี่วางอยู่ในวงเวทย์อย่างสมดุล หากสามารถฝึกเคล็ดวิชาย่างก้าวทะยานหมื่นลี้นี้ได้อย่างเชี่ยวชาญแล้ว เคล็ดวิชาอื่น ๆ ในระดับเทวะย่อมใช้พื้นฐานเดียวกันได้เช่นกัน...’ หนิงอ้ายคิดอยู่ในใจเขาต้องการสามารถใช้เคล็ดวิชาย่างก้าวทะยานหมื่นลี้นี้ให้เชี่ยวชาญเสมือนกับว่าเป็นการหายใจเข้าออกปกติเพราะว่าเคล็ดวิชานี้ค่อนข้างที่จะจำเป็นอย่างมาก
“วิชาตัวเบาเป็นหนึ่งในวิชาที่ผู้ฝึกตนทุกคนควรที่ฝึกฝนให้คุ้นชิน เนื่องจากสามารถนำไปปรับใช้ได้อย่างหลากหลาย และเป็นไปตามที่นายน้อยเข้าใจขอรับเพียงแต่ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะมีผู้เข้าใจในเรื่องของอักขระเวทย์รวมไปถึงรูปแบบเฉพาะของบทเวทย์ในระดับต่าง ๆ” หวังฮุ่ยตอบไปพร้อมกับยกยิ้มขึ้น นายน้อยของเขาช่างมากไปด้วยพรสวรรค์และสามามารถเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้
ทางฝั่งของลู่ซีแม้ในช่วงแรกยังมีความไม่คุ้นชินไปบ้าง แต่ด้วยเพราะมีพื้นฐานในการใช้วิชาตัวเบาอยู่บ้าง ดังนั้นอีกฝ่ายจึงใช้เวลาไม่นานนักในการเรียนรู้ในครั้งนี้ หลังจากที่เด็กหนุ่มทั้งสองคนคุ้นชินในการเรียกใช้พลังลมปราณตามเคล็ดวิชาย่างก้าวทะยานหมื่นลี้แล้ว หวังฮุ่ยจึงเดินนำทั้งสองคนไปยังพื้นที่ด้านหลังของเรือน พื้นที่โดยรอบที่โล่งกว้างไร้ซึ่งสิ่งกีดขวางจึงนับได้ว่าเป็นสถานที่เหมาะสมในการฝึกฝนในครั้งนี้เป็นอย่างมาก
พรึบ!
หนิงอ้ายปล่อยให้ร่างกายล่องลอยเปรียบเสมือนว่าตัวเองเป็นดังวิหคที่โบยบินอยู่อย่างอิสระ ทุกย่างก้าวที่เขาทะยานไปข้างหน้าเต็มไปด้วยความมั่นใจและตั้งมั่นอยู่ในสมาธิ อีกทั้งเดินพลังลมปราณให้หมุนเวียนไปตามเคล็ดวิชาย่างก้าวทะยานหมื่นลี้ที่เขาจดจำได้ในใจ แม้ในช่วงแรกอาจดูติดขัดไปบ้างเนื่องจากไม่มีสิ่งใดรองรับที่คุ้นชิน หลังจากนั้นหนึ่งชั่วยามทั้งหนิงอ้ายกับลู่ซีก็สามารถใช้ย่างก้าวทะยานหมื่นลี้นี้ได้อย่างคล่องแคล่วและสง่างาม แน่นอนว่าหวังฮุ่ยผู้เป็นดั่งอาจารย์ที่สั่งสอนทั้งสองคนรู้สึกดีใจเป็นอย่างมากในความสำเร็จนี้
หนิงอ้ายที่มีความคุ้นชินในเคล็ดวิชาสยบอัสนีเมฆาที่เป็นวิชาดูดซับปราณฟ้าดินเข้าสู่ร่างกายเพื่อบ่มเพาะรากฐานให้มั่นคงและเคล็ดวิชาย่างก้าวทะยานหมื่นลี้ที่เป็นวิชาตัวเบาระดับเทวะของตระกูลหวัง เขามองว่าค่อนข้างจำเป็นในการเป็นผู้ฝึกตน ไม่ว่าจะใช้ในการเดินทางรวมไปถึงประสานเคล็ดวิชาตัวเบากับการต่อสู้อีกด้วย
ฟิ้ว!
ชิ้ง!
นอกจากนั้นแล้วหวังฮุ่ยยังได้สอนหนิงอ้ายในวิชากระบี่ที่มีนามว่า เคล็ดวิชากระบี่สักกะดาราราย ให้มีความคล่องมือให้มากที่สุด ซึ่งเป็นอีกเคล็ดวิชาลับของตระกูลหวังที่มีความซับซ้อนของการออกกระบวนท่ารวมไปถึงต้องมีการแฝงพลังปราณธาตุลงไปในกระบี่ยามที่ใช้เคล็ดวิชานี้ให้พอดีไม่มากเกินไปและไม่น้อยจนเกินไปซึ่งก็เป็นเคล็ดวิชาระดับเทวะเช่นกัน
เคล็ดวิชากระบี่สักกะดารารายเเบ่งออกเป็นทั้งหมดสามระดับคือ ขั้นต้น ขั้นกลางและขั้นสูงซึ่งหนิงอ้ายสามารถออกกระบวนท่าของเคล็ดวิชากระบี่สักกะดารารายนี้ได้เพียงขั้นต้นเท่านั้น ยามที่เขาออกท่าทางฝึกฝนกระบวนท่าเคล็ดวิชาดังกล่าวยังขาดความพริ้วไหวและความเด็ดขาดเหมือนกับว่าในตอนนี้นั้นหนิงอ้ายยังไม่สามารถเเสดงอานุภาพของเคล็ดวิชาดังกล่าวนี้ได้ตามที่ควรจะเป็น
เคล็ดวิชากระบี่สักกะดารารายขึ้นชื่อในเรื่องของความรวดเร็วที่พริ้วไหวดั่งสายลมตลอดจนไปถึงสามารถดึงพลังวิญญาณของคู่ต่อสู้เข้ามาเสริมความแข็งแกร่งให้มากขึ้นหลายเท่า กล่าวได้ว่าในระหว่างการประลองในสนามหรือยามต่อสู้หากยิ่งทำการใช้เคล็ดวิชากระบี่สักกะดารารายนี้ได้นานเท่าใดย่อมได้เปรียบคู่ต่อสู้และสามารถเป็นผู้ชนะได้มากขึ้นเท่านั้น หนิงอ้ายรู้ดีว่าในตอนนี้ร่างกายของเขายังไม่เเข็งเเรงมากนักหากเทียบกับร่างเดิมในโลกเก่าของตน สำหรับตัวเขาที่เสพติดความสมบูรณ์เเบบยิ่งว่าสิ่งอื่นใดเเล้วเขาไม่มีทางถอดใจยอมแพ้จนจะทำได้สำเร็จ
ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงตัดสินใจฝึกกระบวนท่าเคล็ดวิชากระบี่สักกะดารารายนี้อีกครั้ง หนิงอ้ายยกกิ่งไผ่เตรียมขึ้นมารวบรวมสมาธินึกถึงเคล็ดวิชานี้แล้วจึงออกกระบวนท่าของกระบี่ออกมาอย่างคล่องแคล่วอีกทั้งขยับตัวตวัดกิ่งไม้ไผ่ในมือให้เเน่นมากยิ่งขึ้นโดยครั้งนี้นั้นเขาสามารถร่ายรำกระบวนท่านี้ได้ไม่ติดขัดเป็นที่น่าพอใจไม่น้อยหลังจากออกกระบวนท่าของเคล็ดวิชากระบี่ดารารายนี้ไปราว ๆ ประมาณสองเค่อจึงออกครบจบทุกกระบวนท่าวิชาเมื่อหนิงอ้ายนั้นร่ายรำกระบวนท่าดังกล่าวนี้เสร็จสิ้นจึงได้รับเสียงปรบมือจากลู่ซี และหวังฮุ่ยผู้เป็นดั่งอาจารย์สั่งสอน
''เจ้าสนใจเรียนรู้ไปพร้อมกันกับข้าหรือไม่เล่า? ข้าว่าเป็นเคล็ดวิชากระบี่ที่สามารถสร้างข้อได้เปรียบจากศัตรูไม่น้อย...'' หนิงอ้ายถามลู่ซีอีกครั้ง เนื่องจากตนเห็นว่าเคล็ดวิชานี้ค่อนข้างมีประโยชน์และสามารถนำมาปรับใช้ได้อย่างหลากหลาย
''ไม่กล้าหรอกขอรับคุณชายเคล็ดวิชานี้เป็นสิ่งที่สืบทอดจากตระกูลหวัง ข้าไม่เหมาะสมคู่ควรที่จะเรียนรู้หรอกขอรับ'' ลู่ซีเอ่ยตอบอีกครั้ง เนื่องจากตนมองว่าเคล็ดวิชากระบี่สักกะดารารายนั้นเป็นเคล็ดวิชากระบี่ซึ่งถูกส่งต่อแก่ผู้สืบทอดตระกูลหวังเท่านั้นอีกทั้งตนมีเคล็ดวิชากระบี่ที่คุ้นมือแล้วจึงมองว่าไม่จำเป็นต้องเรียนรู้เคล็ดวิชากระบี่อื่นเพิ่มเติมอีก
''เคล็ดวิชานี้ล้วนเเต่มีประโยชน์ ยิ่งเรียนรู้เคล็ดวิชาเหล่านี้มากเท่าไหร่ก็สามารถนำมาปรับใช้ให้เฉพาะของตนได้มากเท่านั้น'' หนิงอ้ายรู้ดีว่าลู่ซีนั้นเป็นคนที่ค่อนข้างขี้เกรงใจอยู่ไม่น้อย เเต่ก็เข้าใจได้ว่าในโลกนี้นายกับบ่าวต่างมีเส้นเเบ่งที่ชัดเจน ถึงแม้ว่าตัวเขาจะมองว่าลู่ซีเป็นดั่งสหายสนิทเเต่ทุกสิ่งอย่างที่เกิดขึ้นในเรือนเล็กนี้ต่างมีผู้พบเห็นไม่น้อยแม้ว่าจะอยู่ด้วยความเคารพมากเพียงใดก็ไม่อาจพ้นคำนินทาได้
ด้านหลังของหนิงอ้ายปรากฏเป็นหมอกสีน้ำเงินเข้มเปล่งประกายรัศมีโดยรอบตัวหยอกล้อไปกับแสงและเงาที่เล็ดลอดลงมาตามแนวของใบไผ่ที่เอนลู่ไปตามสายลมที่พัดมาเบา ๆ ในยามสาย ครั้นเมื่อแสงของดวงตะวันตกกระทบนับว่าเป็นภาพที่มีความงดงามแปลกตา ผสานเข้ากับความรู้สึกอันเเข็งแกร่งได้อย่างน่าประหลาดใจ
ต้องบอกว่าโดยปกติสำหรับผู้ฝึกตนหลังจากที่ทำการปลุกพลังวิญญาณสำเร็จ หนทางสำหรับการเพิ่มระดับพลังวิญญาณมีให้เลือกได้อย่างหลากหลายวิธี โดยสามารถเพิ่มระดับได้ด้วยการดูดซับพลังปราณที่อยู่ในฟ้าดินหรือตามหุบเขาเซียนต่าง ๆ บ้างก็เป็นการดูดซับจากแก่นพลังธาตุโดยตรง ซึ่งสามารถดูดซับได้ทุกธาตุอยู่แล้วเนื่องจากร่างกายของผู้ฝึกตนเเต่ละคนนั้นย่อมมีพื้นฐานจากธาตุทั้งสี่
เเต่หากต้องการผลลัพธ์ที่รวดเร็วและดีที่สุดควรดูดซับแก่นพลังธาตุที่ตนสามารถใช้ธาตุดังกล่าวได้ อีกทั้งยังรวมไปถึงกระดูกวิญญาณซึ่งผู้ฝึกตนต่างก็สามารถดูดซับประสานเข้ากับร่างกายของผู้ฝึกตน นอกจากจะเป็นการเพิ่มระดับขั้นพลังวิญญาณได้เเล้ว ยังสามารถใช้พลังหรือจุดเด่นของอสูรดังกล่าวที่ตนนำมาประสานเข้ากับร่างกายได้เช่นกัน
เเต่แล้วอย่างไรเล่า...ลิขิตจากฟ้าหรือจะสู้กับมานะตนแม้ว่าจะมีไม่น้อยที่เมื่ออายุครบเจ็ดปีตามกำหนดในการปลุกพลังวิญญาณสำเร็จ สามารถเข้าสู่วิถีของผู้ฝึกตนรวมไปถึงสามารถใช้วิญญาณยุทธ์ได้ เเต่หากไม่แสวงหาหนทางความก้าวหน้าของระดับพลังวิญญาณ หากไร้ซึ่งความขยันหมั่นเพียร อุตสาหะ ก็จะอยู่ในระดับพลังวิญญาณขั้นต่ำสุดหรือระดับก่อเกิดวิญญาณเพียงเท่านั้น
แน่นอนว่าในโลกของผู้ฝึกตนหนทางย่อมไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ การเป็นที่ยอมรับหาใช่เกิดจากเรื่องของฐานะของตระกูลหรือความอาวุโสของอายุเเต่ในโลกของผู้ฝึกตนนั้น ย่อมต่างยอมรับนับถือผู้ที่เเข็งแกร่งและมีฝีมือเสียมากกว่า
โดยเฉพาะงานประลองของแคว้นที่มักจะเกิดขึ้นในทุกสี่ปีกล่าวกันว่าแม้จะมีชาติกำเนิดที่ธรรมดา เเต่หากติดอันดับต้น ๆ ในการประลองแม้ว่าจะมีชาติกำเนิดที่ต่ำต้อย เเต่หลังจากนั้นจะได้รับการยอมรับนับถือไม่ต่างจากตระกูลใหญ่เลยทีเดียว ด้วยเหตุนี้ในการประลองของแคว้นในเเต่ละครั้งย่อมมีผู้คนสนใจเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก เพราะหวังว่าการเข้าร่วมการประลองแคว้นของตนจะสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตให้ไปในทิศทางที่ดีขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่ชนะเป็นอันดับหนึ่งของการประลองจะถูกกล่าวขานว่าเป็นเจ้าแห่งยุทธภพรุ่นเยาว์ ซึ่งนอกจากจะเป็นผู้ที่ชนะของการประลองเเล้วนั้นต่างมีอำนาจในมือไม่ต่างกับตระกูลใหญ่หรือราชวงศ์เสียด้วยซ้ำ อีกทั้งผู้ชนะในการประลองทั้งห้าคนนี้ต่างถูกเรียกขานว่าเสาหลักของยุทธภพซึ่งมีความสำคัญอย่างถึงที่สุด
อาจฟังว่าหนทางดังกล่าวเพียงเเค่มีกำลังสนับสนุนในเรื่องของเงินทองหรือชาติตระกูลต่างก็สามารถก้าวเข้าสู่จุดนั้นได้โดยง่าย ซึ่งความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่! หลายคนที่เข้าสู่วิถีของผู้ฝึกตน บางคนอาจจะอยู่ในระดับก่อเกิดวิญญาณตลอดชีวิต บ้างอาจจะใช้เวลาในการทุ่มเทฝึกฝนรวมไปถึงดูดซับพลังปราณธาตุต่าง ๆ เเต่ก็ไม่สามารถเลื่อนเป็นระดับสูงได้ก็มีให้เห็น เเต่อย่างไรเเล้วสำหรับคนธรรมดาทั่วไปต่างมีคำเรียกเฉพาะของผู้ฝึกตนว่าเป็นชาวยุทธภพแม้จะไม่ได้มีระดับพลังวิญญาณที่สูงส่งเเต่ก็ไม่ควรไปมีเรื่องด้วยเท่าไหร่
สำหรับหนิงอ้ายด้วยความที่เริ่มทำการปลุกพลังวิญญาณและเข้าสู่วิถีผู้ฝึกตนแม้ระยะเวลาจะเพียงแค่หกเดือน เเต่ในตอนนี้ระดับพลังวิญญาณกลับอยู่ในระดับขุนพลวิญญาณขั้นกลางแล้ว ซึ่งน้อยคนนักที่จะอยู่ในระดับดังกล่าวด้วยระยะเวลาที่สั้นปานนี้ แม้ว่าระดับขุนพลวิญญาณจะเป็นระดับที่เหล่าบรรดาคุณชายของตระกูลใหญ่ รวมไปถึงบรรดาเหล่าเชื้อสายองศ์ชายจะสามารถทะลุถึงระดับเขตขั้นดังกล่าวด้วยเพราะทรัพยากรในการเพิ่มระดับวิญญาณที่พร้อมสนับสนุน ถึงเเบบนั้นก็ใช้เวลาอย่างน้อยหลายปีจึงจะอยู่ในระดับขุนพลวิญญาณเช่นนี้ หากมีคนรู้ว่าหนิงอ้ายใช้เวลาเเค่หกเดือนก็สามารถนำตัวเองมายังจุดนี้ได้ ย่อมถูกเรียกขานว่าอัจฉริยะอย่างแน่นอน...
แต่ละวันของหนิงอ้ายแทบจะเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง เริ่มตั้งแต่ตื่นเช้ามาออกกำลังโดยการวิ่งรอบจวนเสร็จแล้วก็ทานข้าวกับเยว่ซินผู้เป็นมารดา ในช่วงสายทำการศึกษาวิชาตำราต่าง ๆ เพื่อทบทวนความรู้ ช่วงเย็นทำการฝึกฝนวรยุทธรวมไปถึงการควบคุมใช้ปราณธาตุให้คล่องแคล่ว ยามกลางคืนอย่างน้อยวันละสองชั่วยามก็จะทำการนั่งดูดซับพลังปราณฟ้าดิน ด้วยความที่หนิงอ้ายทั้งคนเก่าและเขาในตอนนี้นั้นนิสัยแทบจะเหมือนกันทุกอย่างยิ่งเมื่อสนใจกับสิ่งใดแล้วก็จะจดจ่อมุ่งมั่นทำให้เต็มที่เสมอจึงทำให้มารดาหรือบ่าวรับใช้ในเรือนไม่รู้สึกถึงความแตกต่างกันโดยเฉพาะกับลู่ซีเป็นบ่าวรับใช้คนสนิทที่คอยดูแลหนิงอ้ายมาตั้งแต่ประมาณเจ็ดปี ย่อมรู้สึกถึงในความเปลี่ยนแปลงในนิสัยเล็กน้อยบางอย่าง แต่เมื่อคิดว่าคุณชายของตนนั้นผ่านอะไรมามากมายตั้งแต่เด็กถึงตอนนี้ไม่แปลกที่คุณชายจะมุ่งมั่นในการฝึกฝนให้ตนเองแข็งแกร่งขึ้นเพื่อที่จะดูแลตนเองและปกป้องสิ่งที่รักได้ แน่นอนว่าลู่ซีคนนี้สาบานจะอยู่เคียงข้างคุณชายของตนเสมอไม่เปลี่ยนไป“คุณชาย ท่านไม่คิดจะทำอย่างอื่นเลยหรือขอรับ?” ลู่ซีสอบถามเป็นกังวลเล็กน้อยเนื่องจากท่านเย่วซินมารดาของคุณชายนั้นเห็นว่าหนิ
มองจากด้านนอกของหอประมูลพยัคฆ์รัตติกาลว่ามีพื้นที่กว้างขวางแล้ว ชั้นใต้ดินด้านล่างก็มีพื้นที่มากมายไปไม่แตกต่างกันเสียด้วยซ้ำ เพราะตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามาในบริเวณหนิงอ้ายก็พบว่าทั้งชั้นใต้ดินนี้มีที่คุมขังสัตว์อสูรมากมาย แน่นอนว่ากรงขังต่าง ๆ เหล่านี้ต่างถูกกำกับด้วยบทเวทย์ป้องกันและบทเวทย์ที่ใช้ข่มพลังของสัตว์อสูรโดยเฉพาะนอกจากนั้นยังมีกรงเหล็กขนาดน้อยใหญ่แตกต่างกันไปที่มีการจำแนกสัตว์อสูรเป็นประเภทของแต่ละปราณธาตุสังกัด ด้วยความที่ผู้ฝึกตนสามารถทำการผูกพันธะกับสัตว์อสูรซึ่งอาจจะเพียงแค่หนึ่งครั้งในชีวิต ดังนั้นการเลือกสัตว์อสูรรับใช้ดังกล่าวผู้ฝึกตนจะเลือกโดยการอิงตามปราณธาตุที่ตนเองถนัดเพื่อจะเป็นประโยชน์ในการต่อสู้ของตนเองมากที่สุด“แล้วต้องมีพลังวิญญาณระดับใดกันจึงจะสามารถทำการผูกพันธะกับสัตว์อสูรได้?” หนิงอ้ายถามกลับลู่ซีไปอีกครั้ง“ความจริงแล้วผู้ฝึกตนระดับแรกเริ่มหรือระดับก่อเกิดวิญญาณก็สามารถทำการผูกพันธะกับสัตว์อสูรได้แล้วขอรับ แต่เงื่อนไขคือสามารถทำได้เพียงหนึ่งครั้งเท่านั้นจนกว่าจะมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งซึ่งคือผู้ผูกพันธะหรือสัตว์อสูรได้ตายลงไป ที่สำคัญคือขึ้นอยู่กับสัตว์อสูรว่าจ
ยอมรับตามตรงว่าก่อนหน้านี้มีหลายครั้งที่นทีได้แต่ครุ่นคิดอยู่ในใจ ว่าเพราะอะไรทำไมเขาถึงได้มาอยู่ในโลกใบนี้ได้กัน หรืออาจเป็นเพราะหนิงอ้ายคนเก่าต้องการให้เขาแก้แค้นอย่างนั้นหรือ? แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่ เพราะตัวเขาไม่เคยสัมผัสได้ถึงความรู้สึกในแง่ลบเหล่านี้เลยสักนิด เจ้าของร่างเดิมยังคงเด็กเกินไปจึงมีแต่ความอ่อนโยนจิตใจดี ซึ่งมันแตกต่างไม่ใช่ตัวเขาเป็นอย่างมากเลยทีเดียวนทีเมื่อได้รับโอกาสที่ได้มีชีวิตใหม่อีกครั้ง มีเยว่ซินผู้เป็นมารดาที่รักและเป็นห่วงเขาอยู่เสมอ ผู้อาวุโสหวังฮุ่ยที่เสียสละเวลาสั่งสอนความรู้อย่างไม่หวงแหน ลู่ซีที่เปรียบเสมือนเพื่อนสนิท ไหนจะเจ้าเจียวซิ่นที่เขารักเอ็นดูเหมือนลูกน้อยคนหนึ่ง ดังนั้นเขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้นกว่านี้เพื่อที่จะปกป้องคนที่เขารักได้ ในตอนนี้เขาสามารถใช้เคล็ดวิชาย่างก้าวทะยานหมื่นลี้ได้อย่างคล่องแคล่วและมีความคุ้นชินกว่าเดิมมาก ยิ่งเมื่อเขาได้นำมาประสานเข้ากับศิลปะการต่อสู้จากโลกเดิมที่เขาคุ้นเคยแล้ว เวลาได้ฝึกซ้อมกับผู้อาวุโสหวังฮุ่ยกับเหล่าองครักษ์คนอื่น ๆ แม้เขาจะเสียเปรียบในด้านร่างกายแต่ทว่าสิ่งที่เขานำมาพลิกแพลงในตอนนี้กลับสามารถช่วงชิงความได้เป
เป็นเวลาเกือบหนึ่งปีที่นทีได้ใช้ชีวิตในนามของจางหนิงอ้าย อีกเพียงไม่กี่วันอายุของร่างนี้ก็ใกล้ครบสิบห้าปีแล้ว แต่จางเลี่ยงหวงผู้เป็นบิดากลับไม่สนใจในสิ่งเหล่านี้ราวกับว่าเด็กหนุ่มไม่มีตัวตนในตระกูลเสียอย่างนั้น แต่แล้วอย่างไรเล่า? เพราะตัวของนทีเองก็ไม่ได้ยอมรับอีกฝ่ายในฐานะบิดาของเจ้าของร่างเช่นกัน…“อีกสามเดือนข้างหน้าจะมีงานประลองที่ทางแคว้นเต่าดำรับเป็นเจ้าภาพในครั้งนี้ จากนั้นอีกเพียงหนึ่งเดือนแต่ละสำนักศึกษาจะเปิดรับศิษย์ใหม่เข้าสังกัด ข้าจึงขออนุญาตจากท่านแม่ในการเข้าร่วมลงประลองครั้งนี้เพื่อลบล้างคำครหาที่ว่าเป็นเพียงสวะของตระกูลซึ่งนั่นหาใช่ความจริงไม่ อีกทั้งข้ายังอยากเข้าทดสอบของสำนักศึกษาด้วยขอรับ!!” หนิงอ้ายบอกกับเยว่ซินถึงความต้องการของตน“มารดาล้วนตามใจเจ้าทั้งสิ้น เรื่องเข้าสำนักศึกษาเอาไว้เจ้าขอคำแนะนำจากท่านตาดีหรือไม่ ว่าสุดท้ายแล้วจะเลือกเข้าทดสอบสำนักศึกษาใดจึงจะเหมาะสมกับเจ้ามากที่สุด...” เยว่ซินตอบรับคำขอนี้ พร้อมกับลูบหัวของอีกฝ่ายด้วยความรักใคร่“เจ้าจะเข้าร่วมงานประลองนี้กับข้าด้วยใช่หรือไม่??” หนิงอ้ายลู่ซีขึ้น“เป็นเช่นนั้นขอรับ...” ลู่ซีที่สามารถตัดผ่านเป็
เนตรแห่งสวรรค์ของหนิงอ้ายหลังจากได้รับแรงกระตุ้นจากการดูดซับกระดูกวิญญาณของอสรพิษเหมันต์บรรพกาลไป หนิงอ้ายพบว่าความสามารถในการมองเห็นและการรับรู้ของเขาในตอนนี้อยู่เหนือกว่าผู้ฝึกตนในเขตขั้นเดียวกันอย่างชัดเจน รายละเอียดเล็กน้อย ข้อมูลต่าง ๆ รวมไปถึงทุกการเคลื่อนไหวในรัศมีหนึ่งลี้ไม่อาจถูกปกปิดจากสายตาหรือการรับรู้ของเขาได้ คล้ายกับว่าความสามารถทั้งหมดในโลกเดิมของเขาที่เคยใช้ได้จะถูกยกระดับเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว“หนิงเอ๋อร์ เจ้าแน่ใจใช่หรือไม่ที่จะเดินทางไปกับผู้อาวุโสหวังฮุ่ยไปยังเทือกเขาหมื่นอสูรวิญญาณในครั้งนี้?” เยว่ซินถามหนิงอ้ายอีกครั้ง แม้นางจะรู้ดีว่าด้วยระดับขุนนางวิญญาณของเด็กหนุ่มย่อมสามารถเอาตัวรอดได้อย่างไม่ยาก แต่นางยังรู้สึกเป็นกังวลเพราะอีกฝ่ายไม่เคยออกจากเขตพื้นที่เมืองหลวงนี้เสียด้วยซ้ำ“ขอรับท่านแม่ ข้ากับลู่ซีจะติดตามท่านลุงฮุ่ยไปยังเทือกเขาหมื่นอสูรวิญญาณเพื่อฝึกฝนประสบการณ์และเสาะหากระดูกวิญญาณแรกด้วยขอรับ!!” หนิงอ้ายตอบไปด้วยความมั่นใจ“เช่นนั้นแล้วแต่เจ้า รบกวนผู้อาวุโสหวังฮุ่ยดูแลทั้งสองคนด้วยนะเจ้าคะ...” เยว่ซินพูดออกมา“คุณหนูอย่าได้กังวลข้าจะดูแลคุณชายหนิงอ้าย
เช้าวันใหม่มาถึงคณะเดินทางของหนิงอ้ายทั้งสี่คนต่างรีบเร่งออกเดินทางกันแต่เช้าตรู่ จุดหมายคือเขตป่าชั้นกลางของเทือกเขาหมื่นอสูรวิญญาณ เนื่องจากบริเวณป่าชั้นนอกจะมีเพียงสัตว์อสูรทั่วไปหรือสัตว์อสูรปฐพีเท่านั้น หากเข้าสู่เขตป่าชั้นกลางเป็นต้นไปจึงจะพบเจอสัตว์อสูรนภาขั้นต่ำหรือขั้นกลางและหากโชคดีมากพออาจได้พบเจอสัตว์อสูรนภาขั้นสูงก็เป็นไปได้เช่นกัน สำหรับสัตว์อสูรมายาขั้นต่ำเป็นต้นไป สัตว์อสูรเหล่านี้จัดได้ว่าเป็นสัตว์อสูรระดับสูงที่มีความนึกคิด อีกทั้งยังเปี่ยมไปด้วยพละกำลังที่แข็งแกร่ง สามารถใช้ปราณธาตุของตนโจมตีผู้บุกรุกในอาณาเขตของตน อาจพบเห็นได้บ้างตามแนวรอยต่อของป่าชั้นกลางติดกับเขตป่าชั้นในกระจัดกระจายกันไปทั่วทั้งพื้นที่แห่งนี้ ระหว่างทางพวกเขาต่างพบเจอกับสัตว์อสูรไปไม่น้อย แต่เพราะยังมีอายุที่ไม่เหมาะสม อีกครั้งความสามารถยังเข้าไม่ได้กับวิญญาณยุทธ์ของพวกเขาทั้งสอง เห็นได้ว่าการเสาะหากระดูกวิญญาณนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด อายุของสัตว์อสูรจะสังเกตได้จากสีของพลังวิญญาณที่แผ่ซ่านออกมา จะเป็นสีเดียวกันกับพลังวิญญาณ แม้จะเป็นเผ่าพันธ์เดียวกันแต่มีอายุต่างก
การเสาะหากระดูกวิญญาณได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้งในช่วงบ่ายของวันนี้ คณะเดินทางของหนิงอ้ายทั้งสี่คนต่างเดินทางกันไปเรื่อย ๆ ไม่รีบเร่ง แม้ว่าระหว่างทางจะพบเจอสัตว์อสูรจำนวนไม่น้อย แต่เพราะกลิ่นอายของผู้ฝึกตนระดับเทวะขั้นสูงที่หวังฮุ่ยปลดปล่อยออกมาในระยะสองลี้ย่อมไม่ต่างไปจากคำเตือนให้เหล่าสัตว์อสูรระดับต่ำจงหลบหลีกไปเสีย เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วจึงถือว่าการเสาะหาสัตว์อสูรที่เหมาะสมจึงเป็นไปอย่างราบรื่นยิ่งก่อนหน้านี้หนิงอ้ายได้ประสานร่างกายเข้ากับกระดูกวิญญาณล้านปีของอสรพิษเหมันต์บรรพกาล นอกจากกระดูกวิญญาณชิ้นนี้จะแปรเปลี่ยนเป็นทักษะวิญญาณยุทธ์ที่สามให้แก่เขาแล้ว ยังคงมีเงื่อนไขสำคัญคือการเสาะหากระดูกวิญญาณจากสัตว์อสูรสังกัดปราณธาตุพิษดูดซับประสานเข้ากับร่างกายเพื่อให้กระดูกวิญญาณชิ้นแรกนี้มีความสมบูรณ์พร้อมด้วยทักษะตามที่ควรจะเป็นหนิงอ้ายตั้งใจดูดซับกระดูกวิญญาณให้กับวิญญาณยุทธ์ที่สองอันเป็นปราณธาตุน้ำนี้เสียก่อน สำหรับวิญญาณยุทธ์ปราณธาตุไฟรวมไปถึงวิญญาณยุทธ์ที่สามเขาไม่จำเป็นต้องสังหารสัตว์อสูรเป็นจำนวนมากเพื่อเติมเต็มให้กระดูกวิญญาณของทั้งสามวิญญาณยุทธ์ในตอนนี้ เพราะนอกจากกระดูกวิญญาณล้าน
หนิงอ้ายหลับตาลงพร้อมกับกำหนดลมหายใจเข้าออก พลังลมปราณฟ้าดินอันบริสุทธิ์โดยรอบที่ถูกชักนำโดยจี้หยกโลหิตส่งผลให้มวลลมปราณบริเวณนี้ต่างถูกชักนำเข้าตามจุดชีพจรไปทั่วทั้งร่างกายตามสุดยอดเคล็ดวิถี ลมปราณอันอบอุ่นวิ่งวนเข้าสู่จุดใจกลางตันเถียรไม่จบสิ้น พลังลมปราณในร่างกายที่ผ่านการเคี่ยวกรำนับสิบกว่ารอบต่างถูกอัดแน่นเป็นรากฐานบ่มเพาะที่แข็งแกร่ง วันเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนผันไปเรื่อย ๆ วันนี้ถือได้ว่าเป็นวันครบรอบอายุสิบห้าปีของจางหนิงอ้าย แน่นอนว่าทางฝั่งของนทีก็นับว่าเขาเองได้อาศัยอยู่ในร่างนี้เป็นเวลาหนึ่งปีแล้วเช่นกันหนิงอ้ายใช้เวลาไม่นานกับการจัดการตัวเอง วันนี้เขาเลือกใส่เสื้อตัวในสีขาวล้วนและเสื้อตัวนอกเป็นสีเขียวอ่อนที่ปักด้วยลวดลายใบไผ่สีเขียวมรกต เมื่อไปถึงบริเวณห้องโถงรับรองที่ตอนนี้ถูกเปลี่ยนให้เป็นงานเลี้ยงเล็ก ๆ มีท่านแม่เยว่ซิน ท่านลุงหวังฮุ่ย ท่านลุงจางปิน ท่านน้าหรันหรูที่นั่งรออยู่ แม้จะไร้เงาบิดาสารเลวในงานเลี้ยงดังกล่าวนี้ เเต่หนิงอ้ายไม่สนใจเลยสักนิดเพราะทุกคนในที่นี้ล้วนเป็นผู้ที่เขาสนิทใจทั้งสิ้น''หนิงเอ๋อร์ปีนี้เจ้าอายุครบสิบห้าปีแล้ว ตามกฎของตระกูลจางที่ปฏิบัติสืบทอดก
ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู
ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง
คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต
การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์
หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร
ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต
มหาพิภพพิสดารแห่งนี้ประกอบไปด้วยสามพิภพ สี่มหาสมุทร แปดมหาทวีป โดยที่สามพิภพนั้นจะแบ่งเป็นดินแดนพิภพระดับสูง ดินแดนพิภพระดับกลางและพิภพระดับล่าง โดยมีสี่ทะเลมหาสมุทรตั้งอยู่ 4 ทิศล้อมรอบที่เชื่อว่าเป็นที่พักพิงของเทพบรรพกาลสูงสุดทั้งสาม และแปดมหาทวีปที่ได้มีการแบ่งการปกครองตามทิศทั้งแปดของดินแดนพิภพระดับกลาง ด้วยเพราะต่างมีผู้ปกครองดินแดนอันเป็นตัวตนที่ไม่ธรรมดาสามัญทั้งสิ้น ดังนั้นการเดินทางข้ามผ่านแต่ละเขตดินแดนจึงจำเป็นต้องมีเงื่อนไขกฎเกณฑ์ที่แตกต่างกันไปสำหรับการเดินทางข้ามเขตแดนทั้งสามพิภพโดยเฉพาะดินแดนพิภพระดับสูงและดินแดนพิภพระดับกลางนั้น เงื่อนไขสำคัญคือผู้ฝึกตนที่บ่มเพาะพลังปราณในดินแดนพิภพระดับกลาง หากไม่สามารถเลื่อนระดับเป็นราชทินนามอัครพรหมยุทธ์วิญญาณหรือครอบครองพลังวิญญาณในระดับที่101ได้ย่อมไม่อาจก้าวล้ำมายังดินแดนพิภพระดับสูงนี้ได้ด้วยขีดจำกัดของกายเนื้อที่ไม่สามารถรองรับพลังปราณฟ้าดินบริสุทธิ์เข้มข้นที่ไหลเวียนหล่อเลี้ยงทั่วทั้งมหาพิภพ เพราะหากไร้ซึ่งความแข็งแกร่งของสายโลหิตและพลังปราณที่ล้ำลึกที่เพียงพอ ไม่กี่ชั่วลมหายใจร่างกายและจิตวิญญาณย่อมถูกบดขยี้ไปสิ้นแต่ในทางก
ไม่น่าเชื่อว่าเพียงหนึ่งราตรีที่ผ่านพ้น สำนักหมาป่าทมิฬจะถูกฆ่าล้างสำนักจนไม่เหลือแม้แต่ผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว การจู่โจมโดยไม่อาจตั้งตัวนั้นได้ส่งผลให้เหล่าสมาชิกในสำนักต้องสังเวยชีวิตอย่างน่าสลดใจ สิ่งนี้กล่าวว่าได้สร้างความตื่นตะลึงแก่กลุ่มอิทธิพลมืดในยุทธภพอยู่ไม่น้อย แม้ว่าสำนักหมาป่าทมิฬจะเป็นสำนักที่พึ่งก่อตั้งได้ไม่กี่สิบปีแต่ก็มีชื่อเสียงโด่งดังในด้านความโหดเหี้ยมและไร้ความปรานี การล่มสลายของสำนักในครั้งนี้จึงกลายเป็นปริศนาที่ยากจะคาดเดาได้ว่าจะเกิดขึ้นสิ่งที่น่าตื่นตะลึงนั่นคืออดีตผู้ก่อตั้งสำนักนั้นเป็นถึงราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณที่มีรากฐานบ่มเพาะไม่ธรรมดาสามัญรวมไปถึงเจ้าสำนักคนปัจจุบันนั้นก็เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นสูงที่มากไปด้วยความสามารถไม่อ่อนด้อยแม้จะขึ้นชื่อในเรื่องของความวิปริตมากกว่าก็ตาม ไม่นับรวมถึงบรรดาผู้อาวุโสที่ล้วนต่างเป็นราชทินนามระดับสูงที่ไม่อาจดูแคลนได้ทั้งสถานที่ตั้งยังรายล้อมไปด้วยมหาค่ายกลเขตแดนธรรมชาติที่ใช่ว่าจะสามารถบุกฝ่าทะลวงไปได้โดยง่าย ข่าวการกวาดล้างสำนักหมาป่าทมิฬได้แพร่สะพัดออกไปราวกับไฟลามทุ่ง ไม่รู้ว่าทางสำนักได้ไปรับภารกิจหรือได้ล
ท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดและเศษซากร่างไร้วิญญาณของศัตรูที่พ่ายแพ้ หนิงอ้ายเรียกใช้พลังปราณตวัดเอาแหวนมิติและสมบัติวิเศษประจำตัวของผู้ตกตายทั้งหมดย้ายเข้ามาในแหวนมิติของตนอย่างไรสิ่งเหล่านี้ย่อมสามารถทำประโยชน์ได้อยู่ไม่น้อย ในใจเขาไม่นึกรังเกียจเลยเพียงนิด การเข่นฆ่าสังหารแล้วช่วงชิงสิ่งของของผู้ที่ตกตายไปนั้นเป็นสิ่งที่พบเจอได้ทั่วไปในยุทธภพจากนั้นหนิงอ้ายได้ระดมเรียกเปลวเพลิงบริสุทธิ์จากปราณทิวาธาตุเข้าแผดเผาเศษซากชิ้นเนื้อรวมไปถึงจิตวิญญาณของบรรดานักฆ่าเหล่านี้ให้สูญสลายโดยไม่อาจหวนคืนในวัฏจักรสังขารได้อีก จากเศษเสี้ยวความทรงจำที่เขาสัมผัสได้นั้นคนกลุ่มนี้หาใช่เป็นคนดีแต่อย่างใด ตลอดช่วงอายุที่ผ่านมาก็ล้วนแต่กระทำต่ำช้า สังหารผู้บริสุทธิ์มาไม่น้อย เพียงเท่านี้ย่อมไม่อาจชดเชยได้เสียด้วยซ้ำไม่ถึงครึ่งเค่อให้หลัง ห้วงมิติที่ถูกผนึกไว้เมื่อไร้ซึ่งผู้บัญชาการยามนี้ม่านพลังประหลาดดังกล่าวจึงได้ซ่านสลายไปในที่สุด เผยให้เห็นหมู่เมฆาที่ล่องลอยประดับเหนือท้องฟ้า เสียงแมลงน้อยใหญ่ดังขึ้นทั่วทั้งผืนป่าโดยรอบขับขานบรรเลงสอดประสานเป็นท่วงทำนองเสนาะหู แสงไฟเวทย์จากอาคารบ้านเรือน เสียงโหวกเหวกโวยวาย