เยว่ซินเดินนำหนิงอ้ายเข้ามาในเรือนก่อนที่จะหายเข้าไปในห้องนอน ก่อนจะออกมาพร้อมกับของในมือแล้วจึงตรงไปยังห้องโถงรับรองของเรือนนี้ สิ่งที่เยว่ซินถืออยู่ในมือเป็นหีบไม้ขนาดย่อมสีดำทองฉลุลวดลายงดงามอ่อนช้อยแต่แฝงไปด้วยกลิ่นอายความดุดัน หนิงอ้ายสัมผัสได้ถึงพลังบางอย่างที่อยู่ในกล่องคล้ายกับจะเรียกร้องหาเป็นความรู้สึกคุ้นเคยตีตื้นขึ้นมาในอกมันมีทั้งความสุขปนเศร้าตีรวนจนแยกไม่ออก
หลังจากที่หีบได้ถูกเปิดออกปรากฎแก่สายตาจึงเห็นว่าภายในหีบไม้แกะสลักนี้ถูกบุด้วยผ้าสีแดงกำมะหยี่เนื้อดีตกแต่งด้วยหมุดทองสวยงาม เยว่ซินได้บอกว่าสิ่งนี้เป็นมรดกสืบทอดจากตระกูลหวังที่บิดามอบให้และตอนนี้นางได้ส่งต่อมาให้เขาเป็นเจ้าของแล้วในที่สุด ประกอบไปด้วยตำราเคล็ดวิชาจำนวนสามเล่ม ตำราแรกคือเคล็ดวิชาสยบอัสนีเมฆาอันเป็นเคล็ดวิชาดูดซับปราณฟ้าดินประจำตระกูล สองคือเคล็ดวิชากระบี่สักกะดารารายอันเป็นวิชากระบี่เลื่องชื่อในยุทธภพ ส่วนเล่มสุดท้ายนั่นคือเคล็ดวิชาก้าวย่างทะยานหมื่นลี้เป็นเคล็ดวิชาตัวเบาประจำของตระกูลหวัง ทั้งสามตำรานี้ล้วนเป็นฉบับจริงทั้งสิ้น
ยังมีจี้หยกสีแดงทับทิมที่เยว่ซินทราบเพียงสิ่งนี้คล้ายกับเครื่องรางปกป้องอันตราย ด้านข้างกันเป็นขวดโอสสแก้วรูปร่างแปลกตาที่บรรจุโอสถทิพย์(ปลุกพลังวิญญาณ)เอาไว้ แต่สิ่งที่ดึงดูดสายตาของหนิงอ้ายได้มากที่สุดนั่นคือวัตถุทรงกลมสีดำทองที่มารดาบอกว่านั่นคือกระดูกวิญญาณของสัตว์อสูร หากพิจารณาจากกลิ่นอายความแข็งแกร่งที่แผ่ซ่านออกมาโดยรอบแล้วสิ่งนี้ย่อมมีอายุหลายพันปีเลยทีเดียว สิ่งของที่อยู่ในกล่องสมบัตินี้ควรค่ากับคำว่าล้ำค่าอย่างแท้จริง หากถูกจับวางในยุทธภพหรือหากมีผู้อื่นล่วงรู้ แม้จะเป็นเพียงชิ้นเดียวย่อมเรียกฝนคาวเลือดได้เป็นอย่างดี เมื่อพิจารณาแล้วหนิงอ้ายยิ่งสงสัยว่าตระกูลหวังย่อมมีประวัติความเป็นมาที่ไม่ธรรมดาสามัญ
บิดาของท่านแม่เป็นประมุขตระกูลหวังในปัจจุบัน โดยปกติแล้วการส่งมอบเเผ่นหยกเคล็ดวิชาวิชาดังกล่าวต้องให้แก่ผู้สืบทอดตระกูลที่มีคุณสมบัติครบถ้วน แต่ด้วยความที่บิดามารดาของท่านแม่นั้นมีเพียงเเค่ท่านแม่เย่วซินเพียงคนเดียว ด้วยขีดจำกัดที่ว่าสตรีไม่อาจสามารถฝึกฝนเคล็ดวิชานี้ในระดับสูงได้เพราะว่าวิชาดังกล่าวนี้เหมาะกับผู้มีพลังหยางหรือผู้ชายมากกว่าดังนั้นก่อนที่มารดาของเขาจะแต่งออกตระกูลบิดาของท่านแม่จึงมอบหีบสมบัตินี้แก่นางซึ่งท่านแม่ก็มอบให้เขาในที่สุด
“หนิงเอ๋อร์ คัมภีร์เล่มสุดท้ายในหีบสมบัตินั่นคือคัมภีร์เบญจธาตุฉบับจริงที่ได้รับการสืบทอดจากท่านบรรพบุรุษ มารดาได้ถ่ายทอดพลังลมปราณลงไป จึงพบว่าได้มีการระบุไว้ 'ผู้ที่เปี่ยมไปด้วยความเข้มข้นของสายเลือดเเละพร้อมไปด้วยพลังวิญญาณระดับจักรพรรดิวิญญาณเท่านั้นจึงจะสามารถศึกษาได้' วันหนึ่งหากเจ้าสามารถเพิ่มพลังวิญญาณถึงระดับจักรพรรดิวิญญาณได้เเล้วเจ้าจงศึกษาให้สำเร็จเสียเถิด..."
"หากจำได้ทั้งหมดแล้วมารดาแนะนำให้เจ้าทำลายทิ้งไปเสีย หากมารดาจำไม่ผิดในครั้งนั้นมีข่าวลือว่าตระกูลชั้นสูงตระกูลหนึ่งในมหาพิภพได้ครอบครองคัมภีร์เบญจธาตุเล่มนี้ เมื่อข่าวลือนี้ได้เเพร่กระจายออกไปไม่นานตระกูลนั้นถึงกับล่มสลายสิ้นชื่อไม่ปรากฎการเคลื่อนไหวอีกเลยตลอดหลายร้อยปีมานี้ ดังนั้นอะไรที่มันสามารถชักจูงอันตรายถึงชีวิตของเจ้าได้มารดาไม่อยากให้เจ้าเสี่ยงอันตรายเลยสักนิด...” เยว่ซินบอกหนิงอ้ายด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ขอรับท่านเเม่..."
“สิ่งของเหล่านี้ล้วนเป็นสมบัติอันล้ำค่าของตระกูลหวังที่ถูกส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่นที่ถูกเก็บรักษาไว้ ท่านตาของเจ้าได้กำชับเอาไว้ว่าสักวันหนึ่งสิ่งนี้ย่อมตกเป็นของเจ้าไม่คิดว่าโชคชะตาฟ้าลิขิตให้เป็นจริงเช่นวันนี้ มารดาขออวยพรให้การปลุกพลังวิญญาณสำเร็จไปได้ด้วยดี...” พูดจบเยว่ซินจึงเข้ากอดบุตรของตนด้วยความเป็นห่วง ก่อนที่หนิงอ้ายจะกอดตอบมารดาของตนไป จากนั้นได้เดินแยกออกไปทางห้องนอนของตนและเตรียมตัวอาบน้ำเพื่อให้ร่างกายและจิตใจสดชื่น
ในโลกยุทธแห่งนี้ ผู้ที่มีพลังวิญญาณอันแข็งแกร่งหรือผู้ที่เข้าสู่เส้นทางของผู้ฝึกตนเท่านั้นที่ได้รับการยอมรับ และเป็นที่ยำเกรงของผู้คน แตกต่างจากจางหนิงอ้ายที่ไม่อาจก้าวถึงจุดนั้นได้...
การปลุกพลังวิญญาณของผู้ฝึกตนแล้วช่วงเวลาที่เหมาะสมคือช่วงอายุเจ็ดปี ทว่าหนิงอ้ายคนเดิมทำไม่สำเร็จในครั้งนั้น เเต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามในครั้งนี้เขาต้องทำให้สำเร็จ!!
เยว่ซินได้กล่าวย้ำกับหนิงอ้ายอีกครั้งว่าหลังจากกินโอสถปลุกพลังวิญญาณไปแล้ว หากว่าคนผู้นั้นมีการตอบสนองหรือมีพลังวิญญาณซ่อนเร้นภายในจุดตันเถียรก็จะสังเกตได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในร่างกาย แต่ก็ต้องมาลุ้นอีกทีว่าจะสามารถใช้ได้กี่ปราณธาตุและเป็นปราณธาตุใดบ้าง หากว่ามีบิดามารดาหรือคนใดคนหนึ่งเป็นผู้ฝึกตนบรรดาลูกหลานผู้สืบสายเลือดก็จะมีโอกาสในการปลุกพลังวิญญาณได้สำเร็จกว่าคนทั่วไปเช่นกัน
'บิดาสารเลวนั่นเป็นผู้ฝึกตนระดับราชันวิญญาณสายโจมตีระดับที่52และมีพลังปราณธาตุน้ำ ส่วนมารดาของเขาเป็นผู้ฝึกตนจักรพรรดิวิญญาณสายโจมตีระดับที่39พลังปราณธาตุไฟ ดังนั้นแล้วเเล้วปราณธาตุของเขาก็น่าจะไม่ผิดไปจากสองปราณธาตุนี้...’
หนิงอ้ายหยิบโอสถระดับสูงสำหรับปลุกพลังวิญญาณออกมา ทันทีที่กลืนเม็ดยาลงไปสัมผัสเเรกจะเป็นรสชาติออกหวานติดปลายลิ้น ผ่านไปเพียงครึ่งเค่อภายในร่างกายของเด็กหนุ่มกลับรู้สึกเบาสบายเหมือนมีอะไรสักอย่างวิ่งวนอยู่ตรงหน้าอกค่อย ๆ หมุนวนออกไปจนทั่วทั้งร่างกายโดยความเร็วที่สม่ำเสมอ จากนั้นก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงบางสิ่งอย่างเกิดขึ้น
ใบหน้างดงามเริ่มบิดเบี้ยวอาการเจ็บปวดไปทุกส่วนของร่างกายจนทำให้หนิงอ้ายรู้สึกเจ็บปวดแทบทนไม่ไหว สองมือบีบกำไว้แน่นปรากฎเป็นรอยเลือดซึมจากการจิกเล็บด้วยความรุนแรง ต่อให้เขาอยากจะอ้าปากกรีดร้องระบายความเจ็บปวดแค่ไหน เเต่ในตอนนี้ก็ทำได้เพียงแค่อดกลั้นต่อความเจ็บปวดทั้งหมดนี้เอาไว้จนท้ายที่สุดเกิดรับไหวพลันกระอักเลือดออกตรงมุมปาก ใต้ดวงตา จมูก หูเต็มไปหมดทั้งสิ้น
หนิงอ้ายรู้ตัวเลยว่าในตอนนี้ระบบประสาทสัมผัสของตนเองไม่สามารถรับรู้ถึงสิ่งใดที่เกิดขึ้น ลมหายใจเริ่มติดขัดความรู้สึกเหมือนคนกำลังจมน้ำร่างกายรู้สึกว่าจะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ จนสลบไป กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วห้อง ความรู้สึกเจ็บตรงกลางอกอย่างรุนแรงจนทำให้เกือบหมดสติไป ความเจ็บปวดในครั้งสุดท้ายนั้นมันยิ่งกว่าการถูกเข็มนับพันเล่มเข้าทิ่มแทงร่างกายแบบพร้อมกันเสียอีก หนิงอ้ายพยายามตั้งสติทบทวนว่าตอนนี้กำลังทำสิ่งใดกับตัวเองใช้เวลาพักใหญ่จึงจะระงับความรู้สึกแปรปรวนดังกล่าวนี้ได้
จริงอยู่ที่ก่อนหน้าเขามีอาชีพเป็นนักฆ่าพื้นฐานชีวิตอยู่กับความเสี่ยงก็ต้องย่อมเห็นความตายหรือแม้กระทั่งก้าวผ่านความไม่กลัวตายมาแล้วทั้งนั้น แต่ในเมื่อตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดที่ให้โอกาสเขาได้มาเกิดใหม่อีกครั้งเขาจึงเห็นคุณค่าของชีวิตตนมากขึ้นและถึงแม้ว่าเขาพึ่งจะทะลุมิติมาอยู่โลกใบนี้ได้เพียงหนึ่งเดือน แต่ความรักความอบอุ่นที่มารดาได้มอบให้รวมถึงความเป็นห่วงอย่างจริงใจของลู่ซีบ่าวรับใช้คนสนิทของเขาและบ่าวรับใช้ในเรือนคนอื่น ๆ เขาสัมผัสมันได้ว่าทุกอย่างนั้นเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามากที่สุดและเขาก็ต้องรักษาให้ได้
‘ท่านแม่บอกว่าปกติจะใช้เวลาปลุกพลังวิญญาณกันเพียงแค่หนึ่งชั่วยาม สงสัยการปลุกพลังวิญญาณในช่วงก่อนถึงขีดจำกัดอายุสิบห้าปีจึงทำให้ระยะเวลาและความเจ็บปวดมากกว่าปกติหลายเท่าตัวเช่นนี้...’
บนร่างกายของหนิงอ้ายเต็มไปด้วยคราบสีดำสกปรกส่งกลิ่นเหม็นไปทั่ว เป็นดั่งที่เยว่ซินได้บอกให้รับรู้ก่อนหน้าว่าเมื่อก้าวสู่โลกของผู้ฝึกตนแล้ว การเลื่อนระดับพลังวิญญาณในเเต่ละครั้งร่างกายจะทำการฟอกโลหิตและชำระไขกระดูกเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้รองรับปริมาณของระดับพลังวิญญาณที่เพิ่มมากขึ้นเป็นเรื่องปกติ ความเจ็บปวดทรมานที่เกิดขึ้นตลอดหลายชั่วยามมานี้ได้ทำให้หนิงอ้ายล้มตัวนอนหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย…
ยามเช้าที่แสงแดดสาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างเป็นดั่งสัญญาณของเช้าวันใหม่ หลังจากใช้เวลาไปทั้งคืนกับการปลุกพลังวิญญาณครั้งนี้ในที่สุดหนิงอ้ายก็เป็นผู้ฝึกตนก่อเกิดวิญญาณได้สำเร็จ นั่นอาจเป็นเพราะตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมาเขาได้ทำการดูดซับลมปราณฟ้าดินไปบ้างแล้ว ดังนั้นจุดปราณทั้ง 361 จุดในร่างกายรวมไปถึงจุดตันเถียรจึงมีพลังปราณเหล่านี้สะสมอยู่บ้างแล้วเมื่อสามารถปลุกพลังวิญญาณเป็นผู้ฝึกตนได้สำเร็จจึงส่งผลให้ทะลุมาถึงระดับนี้ได้อย่างพอดี
หากกล่าวตามตรงแล้วนี่เป็นเพียงก้าวแรกของเส้นทางแห่งวิถีผู้ฝึกตนเพียงเท่านั้น เพราะแต่ละระดับพลังวิญญาณยังมีมากถึง10 ขั้นย่อย หากเขาต้องการเข้าร่วมงานประลองของแคว้นในครั้งนี้ หนึ่งในคุณสมบัตินั่นคือต้องเป็นผู้ฝึกตนขุนนางวิญญาณให้ได้เสียก่อน ดังนั้นด้วยระยะเวลาหลังจากนี้หนิงอ้ายจะต้องทุ่มเทเวลาทั้งหมดไปกับการฝึกฝนในด้านต่าง ๆ ควบคู่ไปพร้อมกับการเพิ่มพูนระดับพลังวิญญาณนั่นเอง
ตลอดช่วงเช้านี้หนิงอ้ายได้ใช้เวลาไปกับการดูดซับลมปราณจากฟ้าดินที่เขาสามารถสัมผัสได้ถึงกระแสลมปราณบริสุทธิ์ที่วิ่งวนอยู่รอบ ตัวโดยที่ไม่ลืมนำจี้หยกสีแดงทับทิมที่ได้รับก่อนหน้าสวมใส่ไว้ที่คออีกด้วย นับว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุดเพราะจี้หยกชิ้นนี้ได้ช่วยให้ความเร็วในการดูดซับปราณฟ้าดินเข้าสู่ร่างกายได้เพิ่มขึ้นหลายเท่า ความบริสุทธิ์อันยิ่งยวดเหล่านี้ได้ไหลเวียนไปทั่วทุกจุดในร่างกายรวมไปถึงจุดตันเถียรอย่างสม่ำเสมอเป็นวัฏจักรที่ไม่รู้จบสิ้น
ผ่านไปสองชั่วยามหนิงอ้ายได้ลืมตาขึ้นมาอีกครั้งด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย เด็กหนุ่มเข้าใจแล้วว่าเหตุใดผู้คนในยุทธภพจึงต้องการเป็นผู้ฝึกตนถึงแม้จะเป็นเพียงระดับก่อเกิดวิญญาณก็ตาม เพราะหากเทียบกันแล้วร่างกายของผู้ฝึกตนจะมีความแข็งแกร่งมากขึ้นกว่าตอนที่ยังไม่สามารถปลุกพลังวิญญาณได้หลายเท่าจนรู้สึกได้ถึงความแตกต่างอย่างชัดเจน อีกทั้งประสาทสัมผัสทั้งห้ารวมไปถึงการรับรู้ก็ทวีเพิ่มขึ้นไปด้วยเช่นกัน
‘ในที่สุดเราก็เป็นผู้ฝึกตนก่อเกิดวิญญาณระดับได้สำเร็จ!! เกือบถอดใจหลายครั้งเเล้วเชียว...’ หนิงอ้ายคิดในใจอย่างมีความสุข ยอมรับว่าในขณะที่ปลุกพลังวิญญาณนั้นเขาเกือบที่จะถอดใจหลายครั้งแต่สุดท้ายก็สามารถผ่านมาได้ในที่สุด
‘ว่าแต่ปราณธาตุของเราจะเป็นอะไรนะ? ธาตุไฟคือความร้อนแรงหรือเปล่า ฮ่าฮ่าฮ่า’ ’ หนิงอ้ายคิดเเล้วหัวเราะอยู่ในใจ เมื่อคิดถึงว่าหากตนใช้พลังธาตุไฟแล้วจะต้องฝึกฝนตามละครหลังข่าวจากโลกเดิมที่เขาจากมา
‘ท่านแม่บอกว่าให้ทำการรวบรวมสมาธิแล้วเพ่งไปยังลมปราณในร่างกายแล้วจะสัมผัสถึงปราณธาตุในร่างกาย...'
หนิงอ้ายทำการหลับตาอีกครั้งพร้อมกับทำสมาธิเพื่อให้สัมผัสถึงลมปราณในร่างกาย เหนือทะเลลมปราณระดับก่อเกิดวิญญาณของร่างกายเขาสัมผัสและเห็นเป็นดวงแสงสีฟ้าครามสดใสที่แผ่กลิ่นอายความหนาวเย็นไปยังบริเวณโดยรอบจนสามารถสัมผัสได้ ในขณะเดียวกันตรงด้านข้างปรากฎเป็นดวงแสงสีแดงทองที่แผ่คลื่นความร้อนที่แฝงไปด้วยกลิ่นอายเข้มข้นของพลังชีวิตออกมาเป็นระลอก ๆ ชวนให้สงสัยไม่น้อยแต่หนิงอ้ายรับรู้โดยสัญชาตญาณว่ามันจะไม่มีทางทำร้ายเขาอย่างแน่นอน
‘ไม่คิดว่าเราจะมีปราณธาตุมากกว่าหนึ่ง แบบนี้มันค่อนข้างน่าเหลือเชื่อเกินไปสักหน่อยแล้ว...' หนิงอ้ายเอ่ยด้วยความสงสัย แม้จะไม่มั่นใจสักเท่าไหร่แต่ดวงไฟทั้งสองที่ปรากฎอยู่ตรงหน้าล้วนยืนยันว่าเขาเป็นผู้ที่มีวิญญาณยุทธ์คู่อย่างปฏิเสธไม่ได้
อย่างที่ทุกคนทราบกันว่าหลังจากที่ผู้ฝึกตนปลุกพลังวิญญาณได้สำเร็จและมีพลังวิญญาณต้นกำเนิดในระดับที่สิบเอ็ดเป็นต้นไปจะถูกเรียกขานราชทินนามว่าขุนพลวิญญาณจะสามารถปลุกวิญญาณยุทธ์ให้ตื่นขึ้นและมีปราณธาตุต้นกำเนิดได้เพียงหนึ่งเดียว แต่ก็มีเช่นกันที่จะพบเห็นผู้ฝึกตนวิญญาณยุทธ์คู่แต่ก็เป็นสัดส่วนที่น้อยมากและปรากฎให้พบเห็นในรอบร้อยปีหรือเลยทีเดียว
ตัวตนของบรรดาเหล่าผู้ครอบครองปราณธาตุมากกว่าหนึ่งล้วนยากที่จะพบเจอได้โดยง่าย พึงทราบว่าผู้ฝึกตนทั่วไปแม้มีเพียงหนึ่งวิญญาณยุทธ์ หนึ่งปราณธาตุก็สามารถล้มฟ้าสะเทือนดินได้แล้ว และหากเป็นผู้ฝึกตนที่มีวิญญาณยุทธ์คู่ที่ประกอบได้ด้วยปราณธาตุที่มากกว่าหนึ่งเล่า? นี่จึงกล่าวว่าเป็นสุดยอดฝีมือที่อยู่เหนือชั้นขั้นกว่าอย่างแท้จริง
ดวงแสงสีครามคงเป็นปราณธาตุน้ำเหมือนกับบิดาน่าชังผู้นั้น แต่ทว่าดวงแสงสีแดงทองหนิงอ้ายกลับไม่แน่ใจสักเท่าไหร่ว่าคือปราณธาตุชนิดใดกัน เพราะถึงแม้อาจมีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นปราณธาตุไฟก็จริง เเต่โดยปกติแล้วหากไล่เรียงไปตามความแข็งแกร่งนั่นคือสีเหลืองระดับที่หนึ่ง สีเหลืองส้มระดับที่สองและสีส้มระดับที่สามอันเป็นเขตขั้นสูงสุดของปราณาตุไฟก็หาได้เป็นที่สีเเดงทองเหมือนกับเขาเช่นนี้ไม่ เเต่อย่างไรหนิงอ้ายก็ยังคงมั่นใจว่าต้องมีส่วนที่เกี่ยวข้องกับปราณธาตุไฟอย่างแน่นอน สงสัยว่าต้องถามกับมารดาให้รู้เสียแล้ว...
หนิงอ้ายรู้สึกดีใจและพึงพอใจเป็นอย่างมากที่เขาสามารถทำการปลุกพลังวิญญาณได้สำเร็จและกลายเป็นผู้ฝึกตนราชทินนามก่อเกิดวิญญาณระดับสิบได้เช่นนี้ หลังจากที่จัดการตัวเองเรียบร้อยแล้วไม่รอช้าออกจากไปหามารดาที่ห้องโถงของเรือนนี้ในทันที“หนิงเอ๋อร์ รู้สึกอย่างไรบ้างเจ้า?” เยว่ซินที่สัมผัสได้ถึงพลังลมปราณอ่อน ๆ จากตัวของเด็กหนุ่ม นั่นย่อมหมายความว่าในตอนนี้อีกฝ่ายสามารถข้ามผ่านเป็นผู้ฝึกตนได้สำเร็จแล้ว อย่างไรนางก็ถามกลับไปเพื่อความแน่ใจอีกครั้งว่าอีกฝ่ายไม่ได้รับผลกระทบใดยอมรับว่าตลอดทั้งคืนนางได้แต่เป็นห่วงกระวนกระวายจนนอนหลับไม่สนิท ในขณะที่หนิงอ้ายกำลังปลุกพลังวิญญาณนางได้ยินเสียงกรีดร้องของเด็กหนุ่มอย่างทรมานดังขึ้นอยู่หลายชั่วยามจนหายเงียบไปที่สุด ในใจของนางเต็มไปด้วยความเป็นห่วงยิ่งนัก แต่นางก็ไม่สามารถเข้าไปขัดขวางในขณะทำการปลุกพลังวิญญาณของเด็กหนุ่ม เพราะหากทำอย่างย่อมที่จะส่งผลเสียต่อเด็กหนุ่มมากมายเพียงใดก็สุดจะรู้ได้บิดาของนางก็เคยบอกเอาไว้ว่าในการปลุกพลังวิญญาณจะสำเร็จหรือไม่ขึ้นอยู่กับลิขิตฟ้าชะตาสวรรค์ถือว่าเป็นการทดสอบทั้งร่างกายและจิตใจของผู้ฝึกตนเพราะเมื่อได้ทำการเลือกใช้ชีวิ
วันเวลาผันผ่านไปหนิงอ้ายสามารถเลื่อนระดับลมปราณเป็นผู้ฝึกตนระดับขุนพลวิญญาณขั้นกลางแล้ว อีกเพียงไม่กี่ขั้นย่อยก็จะสามารถเลื่อนระดับเป็นผู้ฝึกตนขุนพลวิญญาณขั้นสูงได้สำเร็จ ด้วยระยะเวลาสั้นเพียงนี้กับความก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดดที่ทอดสายตาไปทั่วทั้งยุทธภพแล้วยังยากที่จะพบเห็นได้โดยง่าย ทั้งที่หกเดือนก่อนหน้าเด็กหนุ่มยังเป็นเพียงคนธรรมดาไร้ซึ่งพลังลมปราณที่พึ่งเข้าสู่วิถีของผู้ฝึกตนเพียงเท่านั้น หากมีผู้ใดล่วงรู้ในสิ่งนี้ย่อมสร้างความแตกตื่นในแวดวงของผู้ฝึกตนได้อย่างแน่นอน…“หนิงเอ๋อร์ ตอนนี้เจ้าเป็นผู้ฝึกตนระดับขุนพลวิญญาณแล้วเจ้าสัมผัสได้ถึงวิญญาณยุทธ์ของเจ้าได้แล้วหรือไม่? แสดงวิญญาณยุทธ์ของเจ้าให้มารดาดูเสียหน่อย...” เยว่ซินเอ่ยขึ้นกับบุตรชายของตน เนื่องจากเด็กหนุ่มในตอนนี้ถึงเขตขั้นราชทินนามขุนพลวิญญาณแล้วย่อมสามารถเรียกใช้วิญญาณยุทธ์ต้นกำเนิดของตนออกมาได้“ขอรับท่านแม่...”วิญญาณยุทธ์ปักษาสวรรค์เพลิงศักดิ์สิทธิ์ สถิตร่าง!!วูบ!หนิงอ้ายยกมือประสานขึ้นพร้อมกับปล่อยพลังวิญญาณระดับขุนพลวิญญาณของตนออกมา ก่อเกิดเป็นหมอกควันสีแดงทองที่ผนึกขึ้นเป็นปีกปักษาเพลิงขนาดใหญ่ตรงด้านหลัง กลิ่นอาย
แต่ละวันของหนิงอ้ายแทบจะเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง เริ่มตั้งแต่ตื่นเช้ามาออกกำลังโดยการวิ่งรอบจวนเสร็จแล้วก็ทานข้าวกับเยว่ซินผู้เป็นมารดา ในช่วงสายทำการศึกษาวิชาตำราต่าง ๆ เพื่อทบทวนความรู้ ช่วงเย็นทำการฝึกฝนวรยุทธรวมไปถึงการควบคุมใช้ปราณธาตุให้คล่องแคล่ว ยามกลางคืนอย่างน้อยวันละสองชั่วยามก็จะทำการนั่งดูดซับพลังปราณฟ้าดิน ด้วยความที่หนิงอ้ายทั้งคนเก่าและเขาในตอนนี้นั้นนิสัยแทบจะเหมือนกันทุกอย่างยิ่งเมื่อสนใจกับสิ่งใดแล้วก็จะจดจ่อมุ่งมั่นทำให้เต็มที่เสมอจึงทำให้มารดาหรือบ่าวรับใช้ในเรือนไม่รู้สึกถึงความแตกต่างกันโดยเฉพาะกับลู่ซีเป็นบ่าวรับใช้คนสนิทที่คอยดูแลหนิงอ้ายมาตั้งแต่ประมาณเจ็ดปี ย่อมรู้สึกถึงในความเปลี่ยนแปลงในนิสัยเล็กน้อยบางอย่าง แต่เมื่อคิดว่าคุณชายของตนนั้นผ่านอะไรมามากมายตั้งแต่เด็กถึงตอนนี้ไม่แปลกที่คุณชายจะมุ่งมั่นในการฝึกฝนให้ตนเองแข็งแกร่งขึ้นเพื่อที่จะดูแลตนเองและปกป้องสิ่งที่รักได้ แน่นอนว่าลู่ซีคนนี้สาบานจะอยู่เคียงข้างคุณชายของตนเสมอไม่เปลี่ยนไป“คุณชาย ท่านไม่คิดจะทำอย่างอื่นเลยหรือขอรับ?” ลู่ซีสอบถามเป็นกังวลเล็กน้อยเนื่องจากท่านเย่วซินมารดาของคุณชายนั้นเห็นว่าหนิ
มองจากด้านนอกของหอประมูลพยัคฆ์รัตติกาลว่ามีพื้นที่กว้างขวางแล้ว ชั้นใต้ดินด้านล่างก็มีพื้นที่มากมายไปไม่แตกต่างกันเสียด้วยซ้ำ เพราะตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามาในบริเวณหนิงอ้ายก็พบว่าทั้งชั้นใต้ดินนี้มีที่คุมขังสัตว์อสูรมากมาย แน่นอนว่ากรงขังต่าง ๆ เหล่านี้ต่างถูกกำกับด้วยบทเวทย์ป้องกันและบทเวทย์ที่ใช้ข่มพลังของสัตว์อสูรโดยเฉพาะนอกจากนั้นยังมีกรงเหล็กขนาดน้อยใหญ่แตกต่างกันไปที่มีการจำแนกสัตว์อสูรเป็นประเภทของแต่ละปราณธาตุสังกัด ด้วยความที่ผู้ฝึกตนสามารถทำการผูกพันธะกับสัตว์อสูรซึ่งอาจจะเพียงแค่หนึ่งครั้งในชีวิต ดังนั้นการเลือกสัตว์อสูรรับใช้ดังกล่าวผู้ฝึกตนจะเลือกโดยการอิงตามปราณธาตุที่ตนเองถนัดเพื่อจะเป็นประโยชน์ในการต่อสู้ของตนเองมากที่สุด“แล้วต้องมีพลังวิญญาณระดับใดกันจึงจะสามารถทำการผูกพันธะกับสัตว์อสูรได้?” หนิงอ้ายถามกลับลู่ซีไปอีกครั้ง“ความจริงแล้วผู้ฝึกตนระดับแรกเริ่มหรือระดับก่อเกิดวิญญาณก็สามารถทำการผูกพันธะกับสัตว์อสูรได้แล้วขอรับ แต่เงื่อนไขคือสามารถทำได้เพียงหนึ่งครั้งเท่านั้นจนกว่าจะมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งซึ่งคือผู้ผูกพันธะหรือสัตว์อสูรได้ตายลงไป ที่สำคัญคือขึ้นอยู่กับสัตว์อสูรว่าจ
ยอมรับตามตรงว่าก่อนหน้านี้มีหลายครั้งที่นทีได้แต่ครุ่นคิดอยู่ในใจ ว่าเพราะอะไรทำไมเขาถึงได้มาอยู่ในโลกใบนี้ได้กัน หรืออาจเป็นเพราะหนิงอ้ายคนเก่าต้องการให้เขาแก้แค้นอย่างนั้นหรือ? แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่ เพราะตัวเขาไม่เคยสัมผัสได้ถึงความรู้สึกในแง่ลบเหล่านี้เลยสักนิด เจ้าของร่างเดิมยังคงเด็กเกินไปจึงมีแต่ความอ่อนโยนจิตใจดี ซึ่งมันแตกต่างไม่ใช่ตัวเขาเป็นอย่างมากเลยทีเดียวนทีเมื่อได้รับโอกาสที่ได้มีชีวิตใหม่อีกครั้ง มีเยว่ซินผู้เป็นมารดาที่รักและเป็นห่วงเขาอยู่เสมอ ผู้อาวุโสหวังฮุ่ยที่เสียสละเวลาสั่งสอนความรู้อย่างไม่หวงแหน ลู่ซีที่เปรียบเสมือนเพื่อนสนิท ไหนจะเจ้าเจียวซิ่นที่เขารักเอ็นดูเหมือนลูกน้อยคนหนึ่ง ดังนั้นเขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้นกว่านี้เพื่อที่จะปกป้องคนที่เขารักได้ ในตอนนี้เขาสามารถใช้เคล็ดวิชาย่างก้าวทะยานหมื่นลี้ได้อย่างคล่องแคล่วและมีความคุ้นชินกว่าเดิมมาก ยิ่งเมื่อเขาได้นำมาประสานเข้ากับศิลปะการต่อสู้จากโลกเดิมที่เขาคุ้นเคยแล้ว เวลาได้ฝึกซ้อมกับผู้อาวุโสหวังฮุ่ยกับเหล่าองครักษ์คนอื่น ๆ แม้เขาจะเสียเปรียบในด้านร่างกายแต่ทว่าสิ่งที่เขานำมาพลิกแพลงในตอนนี้กลับสามารถช่วงชิงความได้เป
เป็นเวลาเกือบหนึ่งปีที่นทีได้ใช้ชีวิตในนามของจางหนิงอ้าย อีกเพียงไม่กี่วันอายุของร่างนี้ก็ใกล้ครบสิบห้าปีแล้ว แต่จางเลี่ยงหวงผู้เป็นบิดากลับไม่สนใจในสิ่งเหล่านี้ราวกับว่าเด็กหนุ่มไม่มีตัวตนในตระกูลเสียอย่างนั้น แต่แล้วอย่างไรเล่า? เพราะตัวของนทีเองก็ไม่ได้ยอมรับอีกฝ่ายในฐานะบิดาของเจ้าของร่างเช่นกัน…“อีกสามเดือนข้างหน้าจะมีงานประลองที่ทางแคว้นเต่าดำรับเป็นเจ้าภาพในครั้งนี้ จากนั้นอีกเพียงหนึ่งเดือนแต่ละสำนักศึกษาจะเปิดรับศิษย์ใหม่เข้าสังกัด ข้าจึงขออนุญาตจากท่านแม่ในการเข้าร่วมลงประลองครั้งนี้เพื่อลบล้างคำครหาที่ว่าเป็นเพียงสวะของตระกูลซึ่งนั่นหาใช่ความจริงไม่ อีกทั้งข้ายังอยากเข้าทดสอบของสำนักศึกษาด้วยขอรับ!!” หนิงอ้ายบอกกับเยว่ซินถึงความต้องการของตน“มารดาล้วนตามใจเจ้าทั้งสิ้น เรื่องเข้าสำนักศึกษาเอาไว้เจ้าขอคำแนะนำจากท่านตาดีหรือไม่ ว่าสุดท้ายแล้วจะเลือกเข้าทดสอบสำนักศึกษาใดจึงจะเหมาะสมกับเจ้ามากที่สุด...” เยว่ซินตอบรับคำขอนี้ พร้อมกับลูบหัวของอีกฝ่ายด้วยความรักใคร่“เจ้าจะเข้าร่วมงานประลองนี้กับข้าด้วยใช่หรือไม่??” หนิงอ้ายลู่ซีขึ้น“เป็นเช่นนั้นขอรับ...” ลู่ซีที่สามารถตัดผ่านเป็
เนตรแห่งสวรรค์ของหนิงอ้ายหลังจากได้รับแรงกระตุ้นจากการดูดซับกระดูกวิญญาณของอสรพิษเหมันต์บรรพกาลไป หนิงอ้ายพบว่าความสามารถในการมองเห็นและการรับรู้ของเขาในตอนนี้อยู่เหนือกว่าผู้ฝึกตนในเขตขั้นเดียวกันอย่างชัดเจน รายละเอียดเล็กน้อย ข้อมูลต่าง ๆ รวมไปถึงทุกการเคลื่อนไหวในรัศมีหนึ่งลี้ไม่อาจถูกปกปิดจากสายตาหรือการรับรู้ของเขาได้ คล้ายกับว่าความสามารถทั้งหมดในโลกเดิมของเขาที่เคยใช้ได้จะถูกยกระดับเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว“หนิงเอ๋อร์ เจ้าแน่ใจใช่หรือไม่ที่จะเดินทางไปกับผู้อาวุโสหวังฮุ่ยไปยังเทือกเขาหมื่นอสูรวิญญาณในครั้งนี้?” เยว่ซินถามหนิงอ้ายอีกครั้ง แม้นางจะรู้ดีว่าด้วยระดับขุนนางวิญญาณของเด็กหนุ่มย่อมสามารถเอาตัวรอดได้อย่างไม่ยาก แต่นางยังรู้สึกเป็นกังวลเพราะอีกฝ่ายไม่เคยออกจากเขตพื้นที่เมืองหลวงนี้เสียด้วยซ้ำ“ขอรับท่านแม่ ข้ากับลู่ซีจะติดตามท่านลุงฮุ่ยไปยังเทือกเขาหมื่นอสูรวิญญาณเพื่อฝึกฝนประสบการณ์และเสาะหากระดูกวิญญาณแรกด้วยขอรับ!!” หนิงอ้ายตอบไปด้วยความมั่นใจ“เช่นนั้นแล้วแต่เจ้า รบกวนผู้อาวุโสหวังฮุ่ยดูแลทั้งสองคนด้วยนะเจ้าคะ...” เยว่ซินพูดออกมา“คุณหนูอย่าได้กังวลข้าจะดูแลคุณชายหนิงอ้าย
เช้าวันใหม่มาถึงคณะเดินทางของหนิงอ้ายทั้งสี่คนต่างรีบเร่งออกเดินทางกันแต่เช้าตรู่ จุดหมายคือเขตป่าชั้นกลางของเทือกเขาหมื่นอสูรวิญญาณ เนื่องจากบริเวณป่าชั้นนอกจะมีเพียงสัตว์อสูรทั่วไปหรือสัตว์อสูรปฐพีเท่านั้น หากเข้าสู่เขตป่าชั้นกลางเป็นต้นไปจึงจะพบเจอสัตว์อสูรนภาขั้นต่ำหรือขั้นกลางและหากโชคดีมากพออาจได้พบเจอสัตว์อสูรนภาขั้นสูงก็เป็นไปได้เช่นกัน สำหรับสัตว์อสูรมายาขั้นต่ำเป็นต้นไป สัตว์อสูรเหล่านี้จัดได้ว่าเป็นสัตว์อสูรระดับสูงที่มีความนึกคิด อีกทั้งยังเปี่ยมไปด้วยพละกำลังที่แข็งแกร่ง สามารถใช้ปราณธาตุของตนโจมตีผู้บุกรุกในอาณาเขตของตน อาจพบเห็นได้บ้างตามแนวรอยต่อของป่าชั้นกลางติดกับเขตป่าชั้นในกระจัดกระจายกันไปทั่วทั้งพื้นที่แห่งนี้ ระหว่างทางพวกเขาต่างพบเจอกับสัตว์อสูรไปไม่น้อย แต่เพราะยังมีอายุที่ไม่เหมาะสม อีกครั้งความสามารถยังเข้าไม่ได้กับวิญญาณยุทธ์ของพวกเขาทั้งสอง เห็นได้ว่าการเสาะหากระดูกวิญญาณนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด อายุของสัตว์อสูรจะสังเกตได้จากสีของพลังวิญญาณที่แผ่ซ่านออกมา จะเป็นสีเดียวกันกับพลังวิญญาณ แม้จะเป็นเผ่าพันธ์เดียวกันแต่มีอายุต่างก
ขบวนรถม้าเดินทางยังคงดำเนินไปอย่างไม่รีบร้อน จุดหมายปลายทางคือจวนตระกูลหวังที่ตั้งอยู่ในมหานครแคว้นเต่าดำแห่งนี้ ตลอดเส้นทางเดินรถม้าได้ตัดผ่านหมู่บ้านน้อยใหญ่มากมาย สิ่งหนึ่งที่หนิงอ้ายสังเกตคือยิ่งเข้าใกล้ใจกลางมหานครแคว้นเต่าดำมากเท่าใดความเจริญรุ่งเรืองของบ้านเมืองรวมไปถึงความคึกคักของตลาดเเลกเปลี่ยนสินค้าก็จะเพิ่มขึ้นไปเท่านั้น''ตรงด้านหน้าจะเป็นตลาดเมืองหลวงก่อนถึงจวนตระกูลหวัง หนิงอ้าย ลู่ซี เจ้าทั้งสองจะแวะก่อนหรือไม่?'' เยว่ซินเอ่ยถามเด็กหนุ่มทั้งสอง เพราะหากพ้นเขตตลาดเมืองหลวงนี้ไปอีกเพียงไม่ถึงเค่อก็จะถึงจวนตระกูลหวังเเล้ว''แวะขอรับท่านเเม่ ข้าจะหาซื้อของฝากติดไม้ติดมือให้ท่านตาและท่านยายด้วยขอรับ!'' หนิงอ้ายตอบมารดาไปในทันที ในโลกเดิมของเขาสำหรับการเข้าพบปะผู้อาวุโสที่มีอายุมากกว่า ตามมารยาทที่พึงกระทำแล้วผู้น้อยควรมีของฝากติดมือไปฝากเสมอ เป็นการเเสดงถึงความเคารพให้เกียรตินั่นเองนับว่าผิดจากหนิงอ้ายเคยคิดไว้ไปเสียมาก มหานครแคว้นเต่าดำนี้มีพื้นที่กว้างขวางใหญ่โตเป็นอย่างมาก อาคารบ้านเรือนสองข้างทางดูโอ่อ่าอลังการดูเเล้วเจริญหูเจริญตาเป็นอย่างมาก ถนนหนทางจากทุกมุมเมืองที่
ตระกูลหวังเป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของแคว้นเต่าดำซึ่งถือได้ว่าเป็นอีกแคว้นใหญ่ที่มีความสำคัญเป็นอย่างมากเนื่องจากตั้งอยู่บริเวณใจกลางของมหาทวีปบูรพา จึงทำให้รอบด้านทั้งสี่ทิศของแคว้นมีอาณาเขตติดกับอีกสามแคว้นใหญ่ที่เหลือ แคว้นเต่าดำมีรูปแบบการปกครองที่ชัดเจนโดยเเบ่งออกเป็นสิบมณฑลใหญ่มีเมืองสาขาหรือเมืองในการปกครองในเเต่ละมณฑลมากกว่าสิบเมืองในการดูเเล ทั้งสิบมณฑลใหญ่อยู่ในการปกครองส่วนกลางของแคว้นเรียกว่ามหานครแคว้นเต่าดำหากกล่าวให้เข้าใจด้วยง่ายคือแคว้นเต่าดำประกอบไปด้วยเมืองน้อยใหญ่นับร้อยเมือง มีหมู่บ้านอย่างมากมายกระจายกันไปทั่วทั้งแคว้น ต้องบอกว่าเเต่ละเมืองหาได้มีความเจริญเทียบเท่ากันไม่ เพราะบางเมืองมีอาณาเขตติดกับแคว้นอื่นมักจะเป็นเมืองที่ขึ้นชื่อเป็นจุดเเลกเปลี่ยนสินค้า หรือบางเมืองยังคงรักษาขนบธรรมเนียมปฏิบัติกันมาอย่างช้านานนับว่าเป็นเสน่ห์ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน เเต่กับสิบมณฑลใหญ่ที่มีการปกครองดูเเลเมืองในรับผิดชอบของตนมักจะมีความเจริญและมีพื้นที่กว้างขวางเป็นอย่างมาก ด้วยเพราะผู้ปกครองมณฑลดังกล่าวมักจะเป็นเหล่าบรรดาผู้มีศักดิ์เป็นอ๋องเป็นเชื้อพระวงศ์นั่นเองคณะเดินทางของหนิงอ้
ด้านหลังของหนิงอ้ายปรากฏเป็นวงแหวนเวทย์สีน้ำเงินเข้มแสดงถึงผู้ฝึกตนปราณธาตุน้ำระดับสาม ในตอนนี้เขากำลังเร่งทำการยกระดับพลังวิญญาณให้ข้ามผ่านขั้นย่อยให้ได้ในเร็ววัน เพราะหากยิ่งมีระดับพลังวิญญาณเพิ่มขึ้นมากเท่าใด เขาก็จะสามารถปกป้องตัวเองและท่านแม่เพิ่มขึ้นได้เท่านั้นสำหรับราชทินนามจักรพรรดิวิญญาณขั้นสามัญกับระยะเวลาเพียงหนึ่งปีเช่นนี้ นับได้ว่าหนิงอ้ายไม่ต่างไปจากอัจฉริยะคงไม่เกินจริงไปนัก ต้องบอกว่าเด็กหนุ่มโชคดีอย่างมากที่ได้ศึกษาเคล็ดวิชาลับตระกูลหวัง จึงทำให้สามารถขยายจุดตันเถียรได้รองรับและขยายเส้นปราณทั่วร่างกายเพิ่มการดูดซับพลังปราณมากกว่าคนอื่นหลายเท่าจึงทำให้เขาสามารถดูดซับพลังปราณฟ้าดินได้โดยตรง ยิ่งได้รับแรงหนุนจากจี้หยกโลหิตแล้วความสามารถในการดูดซับปราณฟ้าดินของหนิงอ้ายจึงไม่ต่างไปจากพยัคฆ์ติดปีกเสียแล้วในตอนนี้บทเวทย์โจมตีมหาบุปผชาติเหมันต์จำแลงลักษณ์!ตู้ม!สภาพอากาศโดยรอบของเขตของบทเวทย์อากาศลดลงโดยฉับพลัน ปรากฎเป็นดอกบัวเหมันต์สีขาวบริสุทธิ์ดอกใหญ่แผ่อายความเย็นจาง ๆ ไปทั่วบริเวณ ตรงด้านบนเห็นเป็นเกล็ดบัวเหมันต์หิมะที่มีไอเย็นลอยตกลงไปทั่วเขตของบทเวทย์ เมื่อตกลงถึงพื
ทางฝั่งเยว่ซินหลังจากที่มีนักฆ่าเข้ามาลอบสังหารบุตรชายของนางในช่วงกลางคืนที่ผ่านมา โชคดีที่ไม่เกิดเหตุการณ์ความสูญเสียดังกล่าวขึ้น ที่น่าแปลกใจคือหนังสือจ้างวานฆ่านี้ได้ชี้ชัดว่าเป็นฝีมือของหวงลู่เอินหรือฮูหยินรองคนรักของจางเลี่ยงหวง เยว่ซินนั้นไม่มีเรื่องราวข้องเกี่ยวกับอีกฝ่ายเท่าไหร่นัก แต่หากว่าแรงจูงใจของการกระทำนี้คือนางต้องการผลักดันบุตรชายของนางขึ้นเป็นผู้สืบทอดของตระกูลแทนจางหนิงอ้ายผู้เป็นคุณชายใหญ่ของตระกูลจางสายหลักแล้วย่อมเป็นไปได้เช่นกันทั้งสิ้นแต่แล้วอย่างไรเล่า? จางเลี่ยงหวงสามีของนางก็คงไม่เชื่อต่อหลักฐานที่มีอยู่และคงเข้าข้างคนรักของตนเฉกเช่นทุกครั้ง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หนิงอ้ายถูกรังแกและโดนทำร้าย ต่อให้นางมีหลักฐานเพียงใดสามีของนางไม่เคยลงโทษหรือเอาผิดเลยซักครั้ง เยว่ซินหยิบสมุดบันทึกเล่มเก่าของตนที่อยู่ในช่องลับบนหัวเตียงขึ้นมาพร้อมกับเปิดอ่านอีกครั้งพลันย้อนคิดไปถึงอดีตเมื่อครั้งก่อนที่นางเข้ามาเป็นฮูหยินเอกของตระกูลชื่อเสียงของจางหนิงอ้ายบุตรชายของนาง ผู้คนทั้งที่อยู่ในเหตุการณ์ในพิธีปลุกพลังวิญญาณเมื่อเจ็ดปีก่อนต่างมีการร่ำลือไปอย่างเสียหาย บ้างว่าคุณชายใหญ่ห
กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วทั้งห้อง ร่างไร้วิญญาณที่ถูกชโลมด้วยโลหิตสีแดงฉานมากมายชวนให้รู้สึกคลื่นเหียนอยู่ไม่น้อยแก่ผู้พบเห็น แต่ด้วยทุกคนในที่นี้ต่างโลดแล่นอยู่ในเส้นทางของผู้ฝึกตนเป็นเวลาหลายปี ดังนั้นย่อมเคยพบเจอเหตุการณ์ฆ่าฟันเช่นนี้ทั้งสิ้น ที่น่าแปลกใจคือหนิงอ้ายที่เป็นผู้ลงมือกระทำนั้นกลับไร้ความตกใจราวกับว่านี่เป็นสิ่งที่คุ้นชินเสียอย่างนั้น''นักฆ่าเหล่านี้แม้จะเป็นร่างไร้วิญญาณไปแล้วก็จริง แต่อย่างไรขึ้นชื่อว่าผู้ฝึกตนย่อมมีพลังลมปราณไหลเวียนอยู่ในจุดชีพจรทั่วทั้งร่างกายที่ไม่แตกต่างไปจากสัตว์อสูร หากปล่อยทิ้งเอาไว้เช่นนี้คงเสียเปล่าเป็นแน่ เช่นนั้นข้าจะนำร่างไร้วิญญาณของนักฆ่าเหล่านี้ให้กับเจียวซิ่นขอรับ...''แม้ว่าสิ่งที่หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นมาจะชวนให้ตกตะลึงในความรู้สึก เพราะการที่สัตว์อสูรในพันธะสามารถดูดซับลมปราณจากร่างไร้วิญญาณของสัตว์อสูรนั้นไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน แล้วยิ่งกับร่างไร้วิญญาณของผู้ฝึกตนเช่นนี้ย่อมไม่เคยมีผู้ใดกระทำทั้งสิ้น แต่ถึงอย่างไรคำกล่าวของหนิงอ้ายก็ไม่มีผิดถูกเช่นกันหวังฮุ่ยได้สั่งการองครักษ์ทั้งสามให้แยกย้ายกันไปเก็บกวาดร่างไร้วิญญาณของนักฆ่าสังหารที
หนิงอ้ายหลับตาลงพร้อมกับกำหนดลมหายใจเข้าออก พลังลมปราณฟ้าดินอันบริสุทธิ์โดยรอบที่ถูกชักนำโดยจี้หยกโลหิตส่งผลให้มวลลมปราณบริเวณนี้ต่างถูกชักนำเข้าตามจุดชีพจรไปทั่วทั้งร่างกายตามสุดยอดเคล็ดวิถี ลมปราณอันอบอุ่นวิ่งวนเข้าสู่จุดใจกลางตันเถียรไม่จบสิ้น พลังลมปราณในร่างกายที่ผ่านการเคี่ยวกรำนับสิบกว่ารอบต่างถูกอัดแน่นเป็นรากฐานบ่มเพาะที่แข็งแกร่ง วันเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนผันไปเรื่อย ๆ วันนี้ถือได้ว่าเป็นวันครบรอบอายุสิบห้าปีของจางหนิงอ้าย แน่นอนว่าทางฝั่งของนทีก็นับว่าเขาเองได้อาศัยอยู่ในร่างนี้เป็นเวลาหนึ่งปีแล้วเช่นกันหนิงอ้ายใช้เวลาไม่นานกับการจัดการตัวเอง วันนี้เขาเลือกใส่เสื้อตัวในสีขาวล้วนและเสื้อตัวนอกเป็นสีเขียวอ่อนที่ปักด้วยลวดลายใบไผ่สีเขียวมรกต เมื่อไปถึงบริเวณห้องโถงรับรองที่ตอนนี้ถูกเปลี่ยนให้เป็นงานเลี้ยงเล็ก ๆ มีท่านแม่เยว่ซิน ท่านลุงหวังฮุ่ย ท่านลุงจางปิน ท่านน้าหรันหรูที่นั่งรออยู่ แม้จะไร้เงาบิดาสารเลวในงานเลี้ยงดังกล่าวนี้ เเต่หนิงอ้ายไม่สนใจเลยสักนิดเพราะทุกคนในที่นี้ล้วนเป็นผู้ที่เขาสนิทใจทั้งสิ้น''หนิงเอ๋อร์ปีนี้เจ้าอายุครบสิบห้าปีแล้ว ตามกฎของตระกูลจางที่ปฏิบัติสืบทอดก
การเสาะหากระดูกวิญญาณได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้งในช่วงบ่ายของวันนี้ คณะเดินทางของหนิงอ้ายทั้งสี่คนต่างเดินทางกันไปเรื่อย ๆ ไม่รีบเร่ง แม้ว่าระหว่างทางจะพบเจอสัตว์อสูรจำนวนไม่น้อย แต่เพราะกลิ่นอายของผู้ฝึกตนระดับเทวะขั้นสูงที่หวังฮุ่ยปลดปล่อยออกมาในระยะสองลี้ย่อมไม่ต่างไปจากคำเตือนให้เหล่าสัตว์อสูรระดับต่ำจงหลบหลีกไปเสีย เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วจึงถือว่าการเสาะหาสัตว์อสูรที่เหมาะสมจึงเป็นไปอย่างราบรื่นยิ่งก่อนหน้านี้หนิงอ้ายได้ประสานร่างกายเข้ากับกระดูกวิญญาณล้านปีของอสรพิษเหมันต์บรรพกาล นอกจากกระดูกวิญญาณชิ้นนี้จะแปรเปลี่ยนเป็นทักษะวิญญาณยุทธ์ที่สามให้แก่เขาแล้ว ยังคงมีเงื่อนไขสำคัญคือการเสาะหากระดูกวิญญาณจากสัตว์อสูรสังกัดปราณธาตุพิษดูดซับประสานเข้ากับร่างกายเพื่อให้กระดูกวิญญาณชิ้นแรกนี้มีความสมบูรณ์พร้อมด้วยทักษะตามที่ควรจะเป็นหนิงอ้ายตั้งใจดูดซับกระดูกวิญญาณให้กับวิญญาณยุทธ์ที่สองอันเป็นปราณธาตุน้ำนี้เสียก่อน สำหรับวิญญาณยุทธ์ปราณธาตุไฟรวมไปถึงวิญญาณยุทธ์ที่สามเขาไม่จำเป็นต้องสังหารสัตว์อสูรเป็นจำนวนมากเพื่อเติมเต็มให้กระดูกวิญญาณของทั้งสามวิญญาณยุทธ์ในตอนนี้ เพราะนอกจากกระดูกวิญญาณล้าน
เช้าวันใหม่มาถึงคณะเดินทางของหนิงอ้ายทั้งสี่คนต่างรีบเร่งออกเดินทางกันแต่เช้าตรู่ จุดหมายคือเขตป่าชั้นกลางของเทือกเขาหมื่นอสูรวิญญาณ เนื่องจากบริเวณป่าชั้นนอกจะมีเพียงสัตว์อสูรทั่วไปหรือสัตว์อสูรปฐพีเท่านั้น หากเข้าสู่เขตป่าชั้นกลางเป็นต้นไปจึงจะพบเจอสัตว์อสูรนภาขั้นต่ำหรือขั้นกลางและหากโชคดีมากพออาจได้พบเจอสัตว์อสูรนภาขั้นสูงก็เป็นไปได้เช่นกัน สำหรับสัตว์อสูรมายาขั้นต่ำเป็นต้นไป สัตว์อสูรเหล่านี้จัดได้ว่าเป็นสัตว์อสูรระดับสูงที่มีความนึกคิด อีกทั้งยังเปี่ยมไปด้วยพละกำลังที่แข็งแกร่ง สามารถใช้ปราณธาตุของตนโจมตีผู้บุกรุกในอาณาเขตของตน อาจพบเห็นได้บ้างตามแนวรอยต่อของป่าชั้นกลางติดกับเขตป่าชั้นในกระจัดกระจายกันไปทั่วทั้งพื้นที่แห่งนี้ ระหว่างทางพวกเขาต่างพบเจอกับสัตว์อสูรไปไม่น้อย แต่เพราะยังมีอายุที่ไม่เหมาะสม อีกครั้งความสามารถยังเข้าไม่ได้กับวิญญาณยุทธ์ของพวกเขาทั้งสอง เห็นได้ว่าการเสาะหากระดูกวิญญาณนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด อายุของสัตว์อสูรจะสังเกตได้จากสีของพลังวิญญาณที่แผ่ซ่านออกมา จะเป็นสีเดียวกันกับพลังวิญญาณ แม้จะเป็นเผ่าพันธ์เดียวกันแต่มีอายุต่างก
เนตรแห่งสวรรค์ของหนิงอ้ายหลังจากได้รับแรงกระตุ้นจากการดูดซับกระดูกวิญญาณของอสรพิษเหมันต์บรรพกาลไป หนิงอ้ายพบว่าความสามารถในการมองเห็นและการรับรู้ของเขาในตอนนี้อยู่เหนือกว่าผู้ฝึกตนในเขตขั้นเดียวกันอย่างชัดเจน รายละเอียดเล็กน้อย ข้อมูลต่าง ๆ รวมไปถึงทุกการเคลื่อนไหวในรัศมีหนึ่งลี้ไม่อาจถูกปกปิดจากสายตาหรือการรับรู้ของเขาได้ คล้ายกับว่าความสามารถทั้งหมดในโลกเดิมของเขาที่เคยใช้ได้จะถูกยกระดับเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว“หนิงเอ๋อร์ เจ้าแน่ใจใช่หรือไม่ที่จะเดินทางไปกับผู้อาวุโสหวังฮุ่ยไปยังเทือกเขาหมื่นอสูรวิญญาณในครั้งนี้?” เยว่ซินถามหนิงอ้ายอีกครั้ง แม้นางจะรู้ดีว่าด้วยระดับขุนนางวิญญาณของเด็กหนุ่มย่อมสามารถเอาตัวรอดได้อย่างไม่ยาก แต่นางยังรู้สึกเป็นกังวลเพราะอีกฝ่ายไม่เคยออกจากเขตพื้นที่เมืองหลวงนี้เสียด้วยซ้ำ“ขอรับท่านแม่ ข้ากับลู่ซีจะติดตามท่านลุงฮุ่ยไปยังเทือกเขาหมื่นอสูรวิญญาณเพื่อฝึกฝนประสบการณ์และเสาะหากระดูกวิญญาณแรกด้วยขอรับ!!” หนิงอ้ายตอบไปด้วยความมั่นใจ“เช่นนั้นแล้วแต่เจ้า รบกวนผู้อาวุโสหวังฮุ่ยดูแลทั้งสองคนด้วยนะเจ้าคะ...” เยว่ซินพูดออกมา“คุณหนูอย่าได้กังวลข้าจะดูแลคุณชายหนิงอ้าย