Beranda / แฟนตาซี / บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ / บทที่5 ผู้ฝึกตนระดับก่อเกิดวิญญาณ

Share

บทที่5 ผู้ฝึกตนระดับก่อเกิดวิญญาณ

เยว่ซินเดินนำหนิงอ้ายเข้ามาในเรือนก่อนที่จะหายเข้าไปในห้องนอน ก่อนจะออกมาพร้อมกับของในมือแล้วจึงตรงไปยังห้องโถงรับรองของเรือนนี้ สิ่งที่เยว่ซินถืออยู่ในมือเป็นหีบไม้ขนาดย่อมสีดำทองฉลุลวดลายงดงามอ่อนช้อยแต่แฝงไปด้วยกลิ่นอายความดุดัน หนิงอ้ายสัมผัสได้ถึงพลังบางอย่างที่อยู่ในกล่องคล้ายกับจะเรียกร้องหาเป็นความรู้สึกคุ้นเคยตีตื้นขึ้นมาในอกมันมีทั้งความสุขปนเศร้าตีรวนจนแยกไม่ออก

หลังจากที่หีบได้ถูกเปิดออกปรากฎแก่สายตาจึงเห็นว่าภายในหีบไม้แกะสลักนี้ถูกบุด้วยผ้าสีแดงกำมะหยี่เนื้อดีตกแต่งด้วยหมุดทองสวยงาม เยว่ซินได้บอกว่าสิ่งนี้เป็นมรดกสืบทอดจากตระกูลหวังที่บิดามอบให้และตอนนี้นางได้ส่งต่อมาให้เขาเป็นเจ้าของแล้วในที่สุด ประกอบไปด้วยตำราเคล็ดวิชาจำนวนสามเล่ม ตำราแรกคือเคล็ดวิชาสยบอัสนีเมฆาอันเป็นเคล็ดวิชาดูดซับปราณฟ้าดินประจำตระกูล สองคือเคล็ดวิชากระบี่สักกะดารารายอันเป็นวิชากระบี่เลื่องชื่อในยุทธภพ ส่วนเล่มสุดท้ายนั่นคือเคล็ดวิชาก้าวย่างทะยานหมื่นลี้เป็นเคล็ดวิชาตัวเบาประจำของตระกูลหวัง ทั้งสามตำรานี้ล้วนเป็นฉบับจริงทั้งสิ้น

ยังมีจี้หยกสีแดงทับทิมที่เยว่ซินทราบเพียงสิ่งนี้คล้ายกับเครื่องรางปกป้องอันตราย ด้านข้างกันเป็นขวดโอสสแก้วรูปร่างแปลกตาที่บรรจุโอสถทิพย์(ปลุกพลังวิญญาณ)เอาไว้ แต่สิ่งที่ดึงดูดสายตาของหนิงอ้ายได้มากที่สุดนั่นคือวัตถุทรงกลมสีดำทองที่มารดาบอกว่านั่นคือกระดูกวิญญาณของสัตว์อสูร หากพิจารณาจากกลิ่นอายความแข็งแกร่งที่แผ่ซ่านออกมาโดยรอบแล้วสิ่งนี้ย่อมมีอายุหลายพันปีเลยทีเดียว สิ่งของที่อยู่ในกล่องสมบัตินี้ควรค่ากับคำว่าล้ำค่าอย่างแท้จริง หากถูกจับวางในยุทธภพหรือหากมีผู้อื่นล่วงรู้ แม้จะเป็นเพียงชิ้นเดียวย่อมเรียกฝนคาวเลือดได้เป็นอย่างดี เมื่อพิจารณาแล้วหนิงอ้ายยิ่งสงสัยว่าตระกูลหวังย่อมมีประวัติความเป็นมาที่ไม่ธรรมดาสามัญ

บิดาของท่านแม่เป็นประมุขตระกูลหวังในปัจจุบัน โดยปกติแล้วการส่งมอบเเผ่นหยกเคล็ดวิชาวิชาดังกล่าวต้องให้แก่ผู้สืบทอดตระกูลที่มีคุณสมบัติครบถ้วน แต่ด้วยความที่บิดามารดาของท่านแม่นั้นมีเพียงเเค่ท่านแม่เย่วซินเพียงคนเดียว ด้วยขีดจำกัดที่ว่าสตรีไม่อาจสามารถฝึกฝนเคล็ดวิชานี้ในระดับสูงได้เพราะว่าวิชาดังกล่าวนี้เหมาะกับผู้มีพลังหยางหรือผู้ชายมากกว่าดังนั้นก่อนที่มารดาของเขาจะแต่งออกตระกูลบิดาของท่านแม่จึงมอบหีบสมบัตินี้แก่นางซึ่งท่านแม่ก็มอบให้เขาในที่สุด

“หนิงเอ๋อร์ คัมภีร์เล่มสุดท้ายในหีบสมบัตินั่นคือคัมภีร์เบญจธาตุฉบับจริงที่ได้รับการสืบทอดจากท่านบรรพบุรุษ มารดาได้ถ่ายทอดพลังลมปราณลงไป จึงพบว่าได้มีการระบุไว้ 'ผู้ที่เปี่ยมไปด้วยความเข้มข้นของสายเลือดเเละพร้อมไปด้วยพลังวิญญาณระดับจักรพรรดิวิญญาณเท่านั้นจึงจะสามารถศึกษาได้' วันหนึ่งหากเจ้าสามารถเพิ่มพลังวิญญาณถึงระดับจักรพรรดิวิญญาณได้เเล้วเจ้าจงศึกษาให้สำเร็จเสียเถิด..."

"หากจำได้ทั้งหมดแล้วมารดาแนะนำให้เจ้าทำลายทิ้งไปเสีย หากมารดาจำไม่ผิดในครั้งนั้นมีข่าวลือว่าตระกูลชั้นสูงตระกูลหนึ่งในมหาพิภพได้ครอบครองคัมภีร์เบญจธาตุเล่มนี้ เมื่อข่าวลือนี้ได้เเพร่กระจายออกไปไม่นานตระกูลนั้นถึงกับล่มสลายสิ้นชื่อไม่ปรากฎการเคลื่อนไหวอีกเลยตลอดหลายร้อยปีมานี้ ดังนั้นอะไรที่มันสามารถชักจูงอันตรายถึงชีวิตของเจ้าได้มารดาไม่อยากให้เจ้าเสี่ยงอันตรายเลยสักนิด...” เยว่ซินบอกหนิงอ้ายด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“ขอรับท่านเเม่..." 

“สิ่งของเหล่านี้ล้วนเป็นสมบัติอันล้ำค่าของตระกูลหวังที่ถูกส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่นที่ถูกเก็บรักษาไว้ ท่านตาของเจ้าได้กำชับเอาไว้ว่าสักวันหนึ่งสิ่งนี้ย่อมตกเป็นของเจ้าไม่คิดว่าโชคชะตาฟ้าลิขิตให้เป็นจริงเช่นวันนี้ มารดาขออวยพรให้การปลุกพลังวิญญาณสำเร็จไปได้ด้วยดี...” พูดจบเยว่ซินจึงเข้ากอดบุตรของตนด้วยความเป็นห่วง ก่อนที่หนิงอ้ายจะกอดตอบมารดาของตนไป จากนั้นได้เดินแยกออกไปทางห้องนอนของตนและเตรียมตัวอาบน้ำเพื่อให้ร่างกายและจิตใจสดชื่น

ในโลกยุทธแห่งนี้ ผู้ที่มีพลังวิญญาณอันแข็งแกร่งหรือผู้ที่เข้าสู่เส้นทางของผู้ฝึกตนเท่านั้นที่ได้รับการยอมรับ และเป็นที่ยำเกรงของผู้คน แตกต่างจากจางหนิงอ้ายที่ไม่อาจก้าวถึงจุดนั้นได้...

การปลุกพลังวิญญาณของผู้ฝึกตนแล้วช่วงเวลาที่เหมาะสมคือช่วงอายุเจ็ดปี ทว่าหนิงอ้ายคนเดิมทำไม่สำเร็จในครั้งนั้น เเต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามในครั้งนี้เขาต้องทำให้สำเร็จ!!

เยว่ซินได้กล่าวย้ำกับหนิงอ้ายอีกครั้งว่าหลังจากกินโอสถปลุกพลังวิญญาณไปแล้ว หากว่าคนผู้นั้นมีการตอบสนองหรือมีพลังวิญญาณซ่อนเร้นภายในจุดตันเถียรก็จะสังเกตได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในร่างกาย แต่ก็ต้องมาลุ้นอีกทีว่าจะสามารถใช้ได้กี่ปราณธาตุและเป็นปราณธาตุใดบ้าง หากว่ามีบิดามารดาหรือคนใดคนหนึ่งเป็นผู้ฝึกตนบรรดาลูกหลานผู้สืบสายเลือดก็จะมีโอกาสในการปลุกพลังวิญญาณได้สำเร็จกว่าคนทั่วไปเช่นกัน

'บิดาสารเลวนั่นเป็นผู้ฝึกตนระดับราชันวิญญาณสายโจมตีระดับที่52และมีพลังปราณธาตุน้ำ ส่วนมารดาของเขาเป็นผู้ฝึกตนจักรพรรดิวิญญาณสายโจมตีระดับที่39พลังปราณธาตุไฟ ดังนั้นแล้วเเล้วปราณธาตุของเขาก็น่าจะไม่ผิดไปจากสองปราณธาตุนี้...’

หนิงอ้ายหยิบโอสถระดับสูงสำหรับปลุกพลังวิญญาณออกมา ทันทีที่กลืนเม็ดยาลงไปสัมผัสเเรกจะเป็นรสชาติออกหวานติดปลายลิ้น ผ่านไปเพียงครึ่งเค่อภายในร่างกายของเด็กหนุ่มกลับรู้สึกเบาสบายเหมือนมีอะไรสักอย่างวิ่งวนอยู่ตรงหน้าอกค่อย ๆ หมุนวนออกไปจนทั่วทั้งร่างกายโดยความเร็วที่สม่ำเสมอ จากนั้นก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงบางสิ่งอย่างเกิดขึ้น

ใบหน้างดงามเริ่มบิดเบี้ยวอาการเจ็บปวดไปทุกส่วนของร่างกายจนทำให้หนิงอ้ายรู้สึกเจ็บปวดแทบทนไม่ไหว สองมือบีบกำไว้แน่นปรากฎเป็นรอยเลือดซึมจากการจิกเล็บด้วยความรุนแรง ต่อให้เขาอยากจะอ้าปากกรีดร้องระบายความเจ็บปวดแค่ไหน เเต่ในตอนนี้ก็ทำได้เพียงแค่อดกลั้นต่อความเจ็บปวดทั้งหมดนี้เอาไว้จนท้ายที่สุดเกิดรับไหวพลันกระอักเลือดออกตรงมุมปาก ใต้ดวงตา จมูก หูเต็มไปหมดทั้งสิ้น

หนิงอ้ายรู้ตัวเลยว่าในตอนนี้ระบบประสาทสัมผัสของตนเองไม่สามารถรับรู้ถึงสิ่งใดที่เกิดขึ้น ลมหายใจเริ่มติดขัดความรู้สึกเหมือนคนกำลังจมน้ำร่างกายรู้สึกว่าจะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ จนสลบไป กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วห้อง ความรู้สึกเจ็บตรงกลางอกอย่างรุนแรงจนทำให้เกือบหมดสติไป ความเจ็บปวดในครั้งสุดท้ายนั้นมันยิ่งกว่าการถูกเข็มนับพันเล่มเข้าทิ่มแทงร่างกายแบบพร้อมกันเสียอีก หนิงอ้ายพยายามตั้งสติทบทวนว่าตอนนี้กำลังทำสิ่งใดกับตัวเองใช้เวลาพักใหญ่จึงจะระงับความรู้สึกแปรปรวนดังกล่าวนี้ได้

จริงอยู่ที่ก่อนหน้าเขามีอาชีพเป็นนักฆ่าพื้นฐานชีวิตอยู่กับความเสี่ยงก็ต้องย่อมเห็นความตายหรือแม้กระทั่งก้าวผ่านความไม่กลัวตายมาแล้วทั้งนั้น แต่ในเมื่อตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดที่ให้โอกาสเขาได้มาเกิดใหม่อีกครั้งเขาจึงเห็นคุณค่าของชีวิตตนมากขึ้นและถึงแม้ว่าเขาพึ่งจะทะลุมิติมาอยู่โลกใบนี้ได้เพียงหนึ่งเดือน แต่ความรักความอบอุ่นที่มารดาได้มอบให้รวมถึงความเป็นห่วงอย่างจริงใจของลู่ซีบ่าวรับใช้คนสนิทของเขาและบ่าวรับใช้ในเรือนคนอื่น ๆ เขาสัมผัสมันได้ว่าทุกอย่างนั้นเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามากที่สุดและเขาก็ต้องรักษาให้ได้

‘ท่านแม่บอกว่าปกติจะใช้เวลาปลุกพลังวิญญาณกันเพียงแค่หนึ่งชั่วยาม สงสัยการปลุกพลังวิญญาณในช่วงก่อนถึงขีดจำกัดอายุสิบห้าปีจึงทำให้ระยะเวลาและความเจ็บปวดมากกว่าปกติหลายเท่าตัวเช่นนี้...’

บนร่างกายของหนิงอ้ายเต็มไปด้วยคราบสีดำสกปรกส่งกลิ่นเหม็นไปทั่ว เป็นดั่งที่เยว่ซินได้บอกให้รับรู้ก่อนหน้าว่าเมื่อก้าวสู่โลกของผู้ฝึกตนแล้ว การเลื่อนระดับพลังวิญญาณในเเต่ละครั้งร่างกายจะทำการฟอกโลหิตและชำระไขกระดูกเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้รองรับปริมาณของระดับพลังวิญญาณที่เพิ่มมากขึ้นเป็นเรื่องปกติ ความเจ็บปวดทรมานที่เกิดขึ้นตลอดหลายชั่วยามมานี้ได้ทำให้หนิงอ้ายล้มตัวนอนหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย…

ยามเช้าที่แสงแดดสาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างเป็นดั่งสัญญาณของเช้าวันใหม่ หลังจากใช้เวลาไปทั้งคืนกับการปลุกพลังวิญญาณครั้งนี้ในที่สุดหนิงอ้ายก็เป็นผู้ฝึกตนก่อเกิดวิญญาณได้สำเร็จ นั่นอาจเป็นเพราะตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมาเขาได้ทำการดูดซับลมปราณฟ้าดินไปบ้างแล้ว ดังนั้นจุดปราณทั้ง 361 จุดในร่างกายรวมไปถึงจุดตันเถียรจึงมีพลังปราณเหล่านี้สะสมอยู่บ้างแล้วเมื่อสามารถปลุกพลังวิญญาณเป็นผู้ฝึกตนได้สำเร็จจึงส่งผลให้ทะลุมาถึงระดับนี้ได้อย่างพอดี

หากกล่าวตามตรงแล้วนี่เป็นเพียงก้าวแรกของเส้นทางแห่งวิถีผู้ฝึกตนเพียงเท่านั้น เพราะแต่ละระดับพลังวิญญาณยังมีมากถึง10 ขั้นย่อย หากเขาต้องการเข้าร่วมงานประลองของแคว้นในครั้งนี้ หนึ่งในคุณสมบัตินั่นคือต้องเป็นผู้ฝึกตนขุนนางวิญญาณให้ได้เสียก่อน ดังนั้นด้วยระยะเวลาหลังจากนี้หนิงอ้ายจะต้องทุ่มเทเวลาทั้งหมดไปกับการฝึกฝนในด้านต่าง ๆ ควบคู่ไปพร้อมกับการเพิ่มพูนระดับพลังวิญญาณนั่นเอง

ตลอดช่วงเช้านี้หนิงอ้ายได้ใช้เวลาไปกับการดูดซับลมปราณจากฟ้าดินที่เขาสามารถสัมผัสได้ถึงกระแสลมปราณบริสุทธิ์ที่วิ่งวนอยู่รอบ ตัวโดยที่ไม่ลืมนำจี้หยกสีแดงทับทิมที่ได้รับก่อนหน้าสวมใส่ไว้ที่คออีกด้วย นับว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุดเพราะจี้หยกชิ้นนี้ได้ช่วยให้ความเร็วในการดูดซับปราณฟ้าดินเข้าสู่ร่างกายได้เพิ่มขึ้นหลายเท่า ความบริสุทธิ์อันยิ่งยวดเหล่านี้ได้ไหลเวียนไปทั่วทุกจุดในร่างกายรวมไปถึงจุดตันเถียรอย่างสม่ำเสมอเป็นวัฏจักรที่ไม่รู้จบสิ้น

ผ่านไปสองชั่วยามหนิงอ้ายได้ลืมตาขึ้นมาอีกครั้งด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย เด็กหนุ่มเข้าใจแล้วว่าเหตุใดผู้คนในยุทธภพจึงต้องการเป็นผู้ฝึกตนถึงแม้จะเป็นเพียงระดับก่อเกิดวิญญาณก็ตาม เพราะหากเทียบกันแล้วร่างกายของผู้ฝึกตนจะมีความแข็งแกร่งมากขึ้นกว่าตอนที่ยังไม่สามารถปลุกพลังวิญญาณได้หลายเท่าจนรู้สึกได้ถึงความแตกต่างอย่างชัดเจน อีกทั้งประสาทสัมผัสทั้งห้ารวมไปถึงการรับรู้ก็ทวีเพิ่มขึ้นไปด้วยเช่นกัน

‘ในที่สุดเราก็เป็นผู้ฝึกตนก่อเกิดวิญญาณระดับได้สำเร็จ!! เกือบถอดใจหลายครั้งเเล้วเชียว...’ หนิงอ้ายคิดในใจอย่างมีความสุข ยอมรับว่าในขณะที่ปลุกพลังวิญญาณนั้นเขาเกือบที่จะถอดใจหลายครั้งแต่สุดท้ายก็สามารถผ่านมาได้ในที่สุด

‘ว่าแต่ปราณธาตุของเราจะเป็นอะไรนะ? ธาตุไฟคือความร้อนแรงหรือเปล่า ฮ่าฮ่าฮ่า’ ’ หนิงอ้ายคิดเเล้วหัวเราะอยู่ในใจ เมื่อคิดถึงว่าหากตนใช้พลังธาตุไฟแล้วจะต้องฝึกฝนตามละครหลังข่าวจากโลกเดิมที่เขาจากมา

‘ท่านแม่บอกว่าให้ทำการรวบรวมสมาธิแล้วเพ่งไปยังลมปราณในร่างกายแล้วจะสัมผัสถึงปราณธาตุในร่างกาย...'

หนิงอ้ายทำการหลับตาอีกครั้งพร้อมกับทำสมาธิเพื่อให้สัมผัสถึงลมปราณในร่างกาย เหนือทะเลลมปราณระดับก่อเกิดวิญญาณของร่างกายเขาสัมผัสและเห็นเป็นดวงแสงสีฟ้าครามสดใสที่แผ่กลิ่นอายความหนาวเย็นไปยังบริเวณโดยรอบจนสามารถสัมผัสได้ ในขณะเดียวกันตรงด้านข้างปรากฎเป็นดวงแสงสีแดงทองที่แผ่คลื่นความร้อนที่แฝงไปด้วยกลิ่นอายเข้มข้นของพลังชีวิตออกมาเป็นระลอก ๆ ชวนให้สงสัยไม่น้อยแต่หนิงอ้ายรับรู้โดยสัญชาตญาณว่ามันจะไม่มีทางทำร้ายเขาอย่างแน่นอน

‘ไม่คิดว่าเราจะมีปราณธาตุมากกว่าหนึ่ง แบบนี้มันค่อนข้างน่าเหลือเชื่อเกินไปสักหน่อยแล้ว...' หนิงอ้ายเอ่ยด้วยความสงสัย แม้จะไม่มั่นใจสักเท่าไหร่แต่ดวงไฟทั้งสองที่ปรากฎอยู่ตรงหน้าล้วนยืนยันว่าเขาเป็นผู้ที่มีวิญญาณยุทธ์คู่อย่างปฏิเสธไม่ได้

อย่างที่ทุกคนทราบกันว่าหลังจากที่ผู้ฝึกตนปลุกพลังวิญญาณได้สำเร็จและมีพลังวิญญาณต้นกำเนิดในระดับที่สิบเอ็ดเป็นต้นไปจะถูกเรียกขานราชทินนามว่าขุนพลวิญญาณจะสามารถปลุกวิญญาณยุทธ์ให้ตื่นขึ้นและมีปราณธาตุต้นกำเนิดได้เพียงหนึ่งเดียว แต่ก็มีเช่นกันที่จะพบเห็นผู้ฝึกตนวิญญาณยุทธ์คู่แต่ก็เป็นสัดส่วนที่น้อยมากและปรากฎให้พบเห็นในรอบร้อยปีหรือเลยทีเดียว

ตัวตนของบรรดาเหล่าผู้ครอบครองปราณธาตุมากกว่าหนึ่งล้วนยากที่จะพบเจอได้โดยง่าย พึงทราบว่าผู้ฝึกตนทั่วไปแม้มีเพียงหนึ่งวิญญาณยุทธ์ หนึ่งปราณธาตุก็สามารถล้มฟ้าสะเทือนดินได้แล้ว และหากเป็นผู้ฝึกตนที่มีวิญญาณยุทธ์คู่ที่ประกอบได้ด้วยปราณธาตุที่มากกว่าหนึ่งเล่า? นี่จึงกล่าวว่าเป็นสุดยอดฝีมือที่อยู่เหนือชั้นขั้นกว่าอย่างแท้จริง

ดวงแสงสีครามคงเป็นปราณธาตุน้ำเหมือนกับบิดาน่าชังผู้นั้น แต่ทว่าดวงแสงสีแดงทองหนิงอ้ายกลับไม่แน่ใจสักเท่าไหร่ว่าคือปราณธาตุชนิดใดกัน เพราะถึงแม้อาจมีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นปราณธาตุไฟก็จริง เเต่โดยปกติแล้วหากไล่เรียงไปตามความแข็งแกร่งนั่นคือสีเหลืองระดับที่หนึ่ง สีเหลืองส้มระดับที่สองและสีส้มระดับที่สามอันเป็นเขตขั้นสูงสุดของปราณาตุไฟก็หาได้เป็นที่สีเเดงทองเหมือนกับเขาเช่นนี้ไม่ เเต่อย่างไรหนิงอ้ายก็ยังคงมั่นใจว่าต้องมีส่วนที่เกี่ยวข้องกับปราณธาตุไฟอย่างแน่นอน สงสัยว่าต้องถามกับมารดาให้รู้เสียแล้ว...

Lanjutkan membaca buku ini secara gratis
Pindai kode untuk mengunduh Aplikasi

Bab terkait

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่6 ผู้มีปราณธาตุมากกว่าหนึ่ง

    หนิงอ้ายรู้สึกดีใจและพึงพอใจเป็นอย่างมากที่เขาสามารถทำการปลุกพลังวิญญาณได้สำเร็จและกลายเป็นผู้ฝึกตนราชทินนามก่อเกิดวิญญาณระดับสิบได้เช่นนี้ หลังจากที่จัดการตัวเองเรียบร้อยแล้วไม่รอช้าออกจากไปหามารดาที่ห้องโถงของเรือนนี้ในทันที“หนิงเอ๋อร์ รู้สึกอย่างไรบ้างเจ้า?” เยว่ซินที่สัมผัสได้ถึงพลังลมปราณอ่อน ๆ จากตัวของเด็กหนุ่ม นั่นย่อมหมายความว่าในตอนนี้อีกฝ่ายสามารถข้ามผ่านเป็นผู้ฝึกตนได้สำเร็จแล้ว อย่างไรนางก็ถามกลับไปเพื่อความแน่ใจอีกครั้งว่าอีกฝ่ายไม่ได้รับผลกระทบใดยอมรับว่าตลอดทั้งคืนนางได้แต่เป็นห่วงกระวนกระวายจนนอนหลับไม่สนิท ในขณะที่หนิงอ้ายกำลังปลุกพลังวิญญาณนางได้ยินเสียงกรีดร้องของเด็กหนุ่มอย่างทรมานดังขึ้นอยู่หลายชั่วยามจนหายเงียบไปที่สุด ในใจของนางเต็มไปด้วยความเป็นห่วงยิ่งนัก แต่นางก็ไม่สามารถเข้าไปขัดขวางในขณะทำการปลุกพลังวิญญาณของเด็กหนุ่ม เพราะหากทำอย่างย่อมที่จะส่งผลเสียต่อเด็กหนุ่มมากมายเพียงใดก็สุดจะรู้ได้บิดาของนางก็เคยบอกเอาไว้ว่าในการปลุกพลังวิญญาณจะสำเร็จหรือไม่ขึ้นอยู่กับลิขิตฟ้าชะตาสวรรค์ถือว่าเป็นการทดสอบทั้งร่างกายและจิตใจของผู้ฝึกตนเพราะเมื่อได้ทำการเลือกใช้ชีวิ

    Terakhir Diperbarui : 2025-02-07
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่7 วิญญาณยุทธ์ต้นกำเนิด

    วันเวลาผันผ่านไปหนิงอ้ายสามารถเลื่อนระดับลมปราณเป็นผู้ฝึกตนระดับขุนพลวิญญาณขั้นกลางแล้ว อีกเพียงไม่กี่ขั้นย่อยก็จะสามารถเลื่อนระดับเป็นผู้ฝึกตนขุนพลวิญญาณขั้นสูงได้สำเร็จ ด้วยระยะเวลาสั้นเพียงนี้กับความก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดดที่ทอดสายตาไปทั่วทั้งยุทธภพแล้วยังยากที่จะพบเห็นได้โดยง่าย ทั้งที่หกเดือนก่อนหน้าเด็กหนุ่มยังเป็นเพียงคนธรรมดาไร้ซึ่งพลังลมปราณที่พึ่งเข้าสู่วิถีของผู้ฝึกตนเพียงเท่านั้น หากมีผู้ใดล่วงรู้ในสิ่งนี้ย่อมสร้างความแตกตื่นในแวดวงของผู้ฝึกตนได้อย่างแน่นอน…“หนิงเอ๋อร์ ตอนนี้เจ้าเป็นผู้ฝึกตนระดับขุนพลวิญญาณแล้วเจ้าสัมผัสได้ถึงวิญญาณยุทธ์ของเจ้าได้แล้วหรือไม่? แสดงวิญญาณยุทธ์ของเจ้าให้มารดาดูเสียหน่อย...” เยว่ซินเอ่ยขึ้นกับบุตรชายของตน เนื่องจากเด็กหนุ่มในตอนนี้ถึงเขตขั้นราชทินนามขุนพลวิญญาณแล้วย่อมสามารถเรียกใช้วิญญาณยุทธ์ต้นกำเนิดของตนออกมาได้“ขอรับท่านแม่...”วิญญาณยุทธ์ปักษาสวรรค์เพลิงศักดิ์สิทธิ์ สถิตร่าง!!วูบ!หนิงอ้ายยกมือประสานขึ้นพร้อมกับปล่อยพลังวิญญาณระดับขุนพลวิญญาณของตนออกมา ก่อเกิดเป็นหมอกควันสีแดงทองที่ผนึกขึ้นเป็นปีกปักษาเพลิงขนาดใหญ่ตรงด้านหลัง กลิ่นอาย

    Terakhir Diperbarui : 2025-02-07
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่8 หอประมูลพยัคฆ์รัตติกาล

    แต่ละวันของหนิงอ้ายแทบจะเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง เริ่มตั้งแต่ตื่นเช้ามาออกกำลังโดยการวิ่งรอบจวนเสร็จแล้วก็ทานข้าวกับเยว่ซินผู้เป็นมารดา ในช่วงสายทำการศึกษาวิชาตำราต่าง ๆ เพื่อทบทวนความรู้ ช่วงเย็นทำการฝึกฝนวรยุทธรวมไปถึงการควบคุมใช้ปราณธาตุให้คล่องแคล่ว ยามกลางคืนอย่างน้อยวันละสองชั่วยามก็จะทำการนั่งดูดซับพลังปราณฟ้าดิน ด้วยความที่หนิงอ้ายทั้งคนเก่าและเขาในตอนนี้นั้นนิสัยแทบจะเหมือนกันทุกอย่างยิ่งเมื่อสนใจกับสิ่งใดแล้วก็จะจดจ่อมุ่งมั่นทำให้เต็มที่เสมอจึงทำให้มารดาหรือบ่าวรับใช้ในเรือนไม่รู้สึกถึงความแตกต่างกันโดยเฉพาะกับลู่ซีเป็นบ่าวรับใช้คนสนิทที่คอยดูแลหนิงอ้ายมาตั้งแต่ประมาณเจ็ดปี ย่อมรู้สึกถึงในความเปลี่ยนแปลงในนิสัยเล็กน้อยบางอย่าง แต่เมื่อคิดว่าคุณชายของตนนั้นผ่านอะไรมามากมายตั้งแต่เด็กถึงตอนนี้ไม่แปลกที่คุณชายจะมุ่งมั่นในการฝึกฝนให้ตนเองแข็งแกร่งขึ้นเพื่อที่จะดูแลตนเองและปกป้องสิ่งที่รักได้ แน่นอนว่าลู่ซีคนนี้สาบานจะอยู่เคียงข้างคุณชายของตนเสมอไม่เปลี่ยนไป“คุณชาย ท่านไม่คิดจะทำอย่างอื่นเลยหรือขอรับ?” ลู่ซีสอบถามเป็นกังวลเล็กน้อยเนื่องจากท่านเย่วซินมารดาของคุณชายนั้นเห็นว่าหนิ

    Terakhir Diperbarui : 2025-02-07
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่9 ผูกพันธะสัตว์อสูร

    มองจากด้านนอกของหอประมูลพยัคฆ์รัตติกาลว่ามีพื้นที่กว้างขวางแล้ว ชั้นใต้ดินด้านล่างก็มีพื้นที่มากมายไปไม่แตกต่างกันเสียด้วยซ้ำ เพราะตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามาในบริเวณหนิงอ้ายก็พบว่าทั้งชั้นใต้ดินนี้มีที่คุมขังสัตว์อสูรมากมาย แน่นอนว่ากรงขังต่าง ๆ เหล่านี้ต่างถูกกำกับด้วยบทเวทย์ป้องกันและบทเวทย์ที่ใช้ข่มพลังของสัตว์อสูรโดยเฉพาะนอกจากนั้นยังมีกรงเหล็กขนาดน้อยใหญ่แตกต่างกันไปที่มีการจำแนกสัตว์อสูรเป็นประเภทของแต่ละปราณธาตุสังกัด ด้วยความที่ผู้ฝึกตนสามารถทำการผูกพันธะกับสัตว์อสูรซึ่งอาจจะเพียงแค่หนึ่งครั้งในชีวิต ดังนั้นการเลือกสัตว์อสูรรับใช้ดังกล่าวผู้ฝึกตนจะเลือกโดยการอิงตามปราณธาตุที่ตนเองถนัดเพื่อจะเป็นประโยชน์ในการต่อสู้ของตนเองมากที่สุด“แล้วต้องมีพลังวิญญาณระดับใดกันจึงจะสามารถทำการผูกพันธะกับสัตว์อสูรได้?” หนิงอ้ายถามกลับลู่ซีไปอีกครั้ง“ความจริงแล้วผู้ฝึกตนระดับแรกเริ่มหรือระดับก่อเกิดวิญญาณก็สามารถทำการผูกพันธะกับสัตว์อสูรได้แล้วขอรับ แต่เงื่อนไขคือสามารถทำได้เพียงหนึ่งครั้งเท่านั้นจนกว่าจะมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งซึ่งคือผู้ผูกพันธะหรือสัตว์อสูรได้ตายลงไป ที่สำคัญคือขึ้นอยู่กับสัตว์อสูรว่าจ

    Terakhir Diperbarui : 2025-02-07
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่10 ฝึกฝนบทเวทย์

    ยอมรับตามตรงว่าก่อนหน้านี้มีหลายครั้งที่นทีได้แต่ครุ่นคิดอยู่ในใจ ว่าเพราะอะไรทำไมเขาถึงได้มาอยู่ในโลกใบนี้ได้กัน หรืออาจเป็นเพราะหนิงอ้ายคนเก่าต้องการให้เขาแก้แค้นอย่างนั้นหรือ? แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่ เพราะตัวเขาไม่เคยสัมผัสได้ถึงความรู้สึกในแง่ลบเหล่านี้เลยสักนิด เจ้าของร่างเดิมยังคงเด็กเกินไปจึงมีแต่ความอ่อนโยนจิตใจดี ซึ่งมันแตกต่างไม่ใช่ตัวเขาเป็นอย่างมากเลยทีเดียวนทีเมื่อได้รับโอกาสที่ได้มีชีวิตใหม่อีกครั้ง มีเยว่ซินผู้เป็นมารดาที่รักและเป็นห่วงเขาอยู่เสมอ ผู้อาวุโสหวังฮุ่ยที่เสียสละเวลาสั่งสอนความรู้อย่างไม่หวงแหน ลู่ซีที่เปรียบเสมือนเพื่อนสนิท ไหนจะเจ้าเจียวซิ่นที่เขารักเอ็นดูเหมือนลูกน้อยคนหนึ่ง ดังนั้นเขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้นกว่านี้เพื่อที่จะปกป้องคนที่เขารักได้ ในตอนนี้เขาสามารถใช้เคล็ดวิชาย่างก้าวทะยานหมื่นลี้ได้อย่างคล่องแคล่วและมีความคุ้นชินกว่าเดิมมาก ยิ่งเมื่อเขาได้นำมาประสานเข้ากับศิลปะการต่อสู้จากโลกเดิมที่เขาคุ้นเคยแล้ว เวลาได้ฝึกซ้อมกับผู้อาวุโสหวังฮุ่ยกับเหล่าองครักษ์คนอื่น ๆ แม้เขาจะเสียเปรียบในด้านร่างกายแต่ทว่าสิ่งที่เขานำมาพลิกแพลงในตอนนี้กลับสามารถช่วงชิงความได้เป

    Terakhir Diperbarui : 2025-02-07
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่​11 ความเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดคิด

    เป็นเวลาเกือบหนึ่งปีที่นทีได้ใช้ชีวิตในนามของจางหนิงอ้าย อีกเพียงไม่กี่วันอายุของร่างนี้ก็ใกล้ครบสิบห้าปีแล้ว แต่จางเลี่ยงหวงผู้เป็นบิดากลับไม่สนใจในสิ่งเหล่านี้ราวกับว่าเด็กหนุ่มไม่มีตัวตนในตระกูลเสียอย่างนั้น แต่แล้วอย่างไรเล่า? เพราะตัวของนทีเองก็ไม่ได้ยอมรับอีกฝ่ายในฐานะบิดาของเจ้าของร่างเช่นกัน…“อีกสามเดือนข้างหน้าจะมีงานประลองที่ทางแคว้นเต่าดำรับเป็นเจ้าภาพในครั้งนี้ จากนั้นอีกเพียงหนึ่งเดือนแต่ละสำนักศึกษาจะเปิดรับศิษย์ใหม่เข้าสังกัด ข้าจึงขออนุญาตจากท่านแม่ในการเข้าร่วมลงประลองครั้งนี้เพื่อลบล้างคำครหาที่ว่าเป็นเพียงสวะของตระกูลซึ่งนั่นหาใช่ความจริงไม่ อีกทั้งข้ายังอยากเข้าทดสอบของสำนักศึกษาด้วยขอรับ!!” หนิงอ้ายบอกกับเยว่ซินถึงความต้องการของตน“มารดาล้วนตามใจเจ้าทั้งสิ้น เรื่องเข้าสำนักศึกษาเอาไว้เจ้าขอคำแนะนำจากท่านตาดีหรือไม่ ว่าสุดท้ายแล้วจะเลือกเข้าทดสอบสำนักศึกษาใดจึงจะเหมาะสมกับเจ้ามากที่สุด...” เยว่ซินตอบรับคำขอนี้ พร้อมกับลูบหัวของอีกฝ่ายด้วยความรักใคร่“เจ้าจะเข้าร่วมงานประลองนี้กับข้าด้วยใช่หรือไม่??” หนิงอ้ายลู่ซีขึ้น“เป็นเช่นนั้นขอรับ...” ลู่ซีที่สามารถตัดผ่านเป็

    Terakhir Diperbarui : 2025-02-07
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่​12 ออกเดินทางล่าสัตว์อสูร

    เนตรแห่งสวรรค์ของหนิงอ้ายหลังจากได้รับแรงกระตุ้นจากการดูดซับกระดูกวิญญาณของอสรพิษเหมันต์บรรพกาลไป หนิงอ้ายพบว่าความสามารถในการมองเห็นและการรับรู้ของเขาในตอนนี้อยู่เหนือกว่าผู้ฝึกตนในเขตขั้นเดียวกันอย่างชัดเจน รายละเอียดเล็กน้อย ข้อมูลต่าง ๆ รวมไปถึงทุกการเคลื่อนไหวในรัศมีหนึ่งลี้ไม่อาจถูกปกปิดจากสายตาหรือการรับรู้ของเขาได้ คล้ายกับว่าความสามารถทั้งหมดในโลกเดิมของเขาที่เคยใช้ได้จะถูกยกระดับเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว“หนิงเอ๋อร์ เจ้าแน่ใจใช่หรือไม่ที่จะเดินทางไปกับผู้อาวุโสหวังฮุ่ยไปยังเทือกเขาหมื่นอสูรวิญญาณในครั้งนี้?” เยว่ซินถามหนิงอ้ายอีกครั้ง แม้นางจะรู้ดีว่าด้วยระดับขุนนางวิญญาณของเด็กหนุ่มย่อมสามารถเอาตัวรอดได้อย่างไม่ยาก แต่นางยังรู้สึกเป็นกังวลเพราะอีกฝ่ายไม่เคยออกจากเขตพื้นที่เมืองหลวงนี้เสียด้วยซ้ำ“ขอรับท่านแม่ ข้ากับลู่ซีจะติดตามท่านลุงฮุ่ยไปยังเทือกเขาหมื่นอสูรวิญญาณเพื่อฝึกฝนประสบการณ์และเสาะหากระดูกวิญญาณแรกด้วยขอรับ!!” หนิงอ้ายตอบไปด้วยความมั่นใจ“เช่นนั้นแล้วแต่เจ้า รบกวนผู้อาวุโสหวังฮุ่ยดูแลทั้งสองคนด้วยนะเจ้าคะ...” เยว่ซินพูดออกมา“คุณหนูอย่าได้กังวลข้าจะดูแลคุณชายหนิงอ้าย

    Terakhir Diperbarui : 2025-02-07
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่13 ปะทะราชสีห์สัตตะโลหิตสีคราม

    เช้าวันใหม่มาถึงคณะเดินทางของหนิงอ้ายทั้งสี่คนต่างรีบเร่งออกเดินทางกันแต่เช้าตรู่ จุดหมายคือเขตป่าชั้นกลางของเทือกเขาหมื่นอสูรวิญญาณ เนื่องจากบริเวณป่าชั้นนอกจะมีเพียงสัตว์อสูรทั่วไปหรือสัตว์อสูรปฐพีเท่านั้น หากเข้าสู่เขตป่าชั้นกลางเป็นต้นไปจึงจะพบเจอสัตว์อสูรนภาขั้นต่ำหรือขั้นกลางและหากโชคดีมากพออาจได้พบเจอสัตว์อสูรนภาขั้นสูงก็เป็นไปได้เช่นกัน สำหรับสัตว์อสูรมายาขั้นต่ำเป็นต้นไป สัตว์อสูรเหล่านี้จัดได้ว่าเป็นสัตว์อสูรระดับสูงที่มีความนึกคิด อีกทั้งยังเปี่ยมไปด้วยพละกำลังที่แข็งแกร่ง สามารถใช้ปราณธาตุของตนโจมตีผู้บุกรุกในอาณาเขตของตน อาจพบเห็นได้บ้างตามแนวรอยต่อของป่าชั้นกลางติดกับเขตป่าชั้นในกระจัดกระจายกันไปทั่วทั้งพื้นที่แห่งนี้ ระหว่างทางพวกเขาต่างพบเจอกับสัตว์อสูรไปไม่น้อย แต่เพราะยังมีอายุที่ไม่เหมาะสม อีกครั้งความสามารถยังเข้าไม่ได้กับวิญญาณยุทธ์ของพวกเขาทั้งสอง เห็นได้ว่าการเสาะหากระดูกวิญญาณนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด อายุของสัตว์อสูรจะสังเกตได้จากสีของพลังวิญญาณที่แผ่ซ่านออกมา จะเป็นสีเดียวกันกับพลังวิญญาณ แม้จะเป็นเผ่าพันธ์เดียวกันแต่มีอายุต่างก

    Terakhir Diperbarui : 2025-02-07

Bab terbaru

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   ( -จบเล่ม ปฐมบท 3.2- ) บทที่ 174 ความวุ่นวายที่สิ้นสุดลง

    ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 173 สมบัติเทพมารจุติ

    ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 172 การปรากฎตัวของผู้ขายวิญญาณ

    คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 171 ผู้ท้าทายที่กล้าหาญ

    การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 170 กฎเกณฑ์ที่เปลี่ยนแปลงไป

    หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 169 ผู้ผ่านการทดสอบ

    ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 168 เดินทางกลับสำนักศึกษา

    มหาพิภพพิสดารแห่งนี้ประกอบไปด้วยสามพิภพ สี่มหาสมุทร แปดมหาทวีป โดยที่สามพิภพนั้นจะแบ่งเป็นดินแดนพิภพระดับสูง ดินแดนพิภพระดับกลางและพิภพระดับล่าง โดยมีสี่ทะเลมหาสมุทรตั้งอยู่ 4 ทิศล้อมรอบที่เชื่อว่าเป็นที่พักพิงของเทพบรรพกาลสูงสุดทั้งสาม และแปดมหาทวีปที่ได้มีการแบ่งการปกครองตามทิศทั้งแปดของดินแดนพิภพระดับกลาง ด้วยเพราะต่างมีผู้ปกครองดินแดนอันเป็นตัวตนที่ไม่ธรรมดาสามัญทั้งสิ้น ดังนั้นการเดินทางข้ามผ่านแต่ละเขตดินแดนจึงจำเป็นต้องมีเงื่อนไขกฎเกณฑ์ที่แตกต่างกันไปสำหรับการเดินทางข้ามเขตแดนทั้งสามพิภพโดยเฉพาะดินแดนพิภพระดับสูงและดินแดนพิภพระดับกลางนั้น เงื่อนไขสำคัญคือผู้ฝึกตนที่บ่มเพาะพลังปราณในดินแดนพิภพระดับกลาง หากไม่สามารถเลื่อนระดับเป็นราชทินนามอัครพรหมยุทธ์วิญญาณหรือครอบครองพลังวิญญาณในระดับที่101ได้ย่อมไม่อาจก้าวล้ำมายังดินแดนพิภพระดับสูงนี้ได้ด้วยขีดจำกัดของกายเนื้อที่ไม่สามารถรองรับพลังปราณฟ้าดินบริสุทธิ์เข้มข้นที่ไหลเวียนหล่อเลี้ยงทั่วทั้งมหาพิภพ เพราะหากไร้ซึ่งความแข็งแกร่งของสายโลหิตและพลังปราณที่ล้ำลึกที่เพียงพอ ไม่กี่ชั่วลมหายใจร่างกายและจิตวิญญาณย่อมถูกบดขยี้ไปสิ้นแต่ในทางก

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 167 การเลื่อนระดับที่เหนือล้ำ

    ไม่น่าเชื่อว่าเพียงหนึ่งราตรีที่ผ่านพ้น สำนักหมาป่าทมิฬจะถูกฆ่าล้างสำนักจนไม่เหลือแม้แต่ผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว การจู่โจมโดยไม่อาจตั้งตัวนั้นได้ส่งผลให้เหล่าสมาชิกในสำนักต้องสังเวยชีวิตอย่างน่าสลดใจ สิ่งนี้กล่าวว่าได้สร้างความตื่นตะลึงแก่กลุ่มอิทธิพลมืดในยุทธภพอยู่ไม่น้อย แม้ว่าสำนักหมาป่าทมิฬจะเป็นสำนักที่พึ่งก่อตั้งได้ไม่กี่สิบปีแต่ก็มีชื่อเสียงโด่งดังในด้านความโหดเหี้ยมและไร้ความปรานี การล่มสลายของสำนักในครั้งนี้จึงกลายเป็นปริศนาที่ยากจะคาดเดาได้ว่าจะเกิดขึ้นสิ่งที่น่าตื่นตะลึงนั่นคืออดีตผู้ก่อตั้งสำนักนั้นเป็นถึงราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณที่มีรากฐานบ่มเพาะไม่ธรรมดาสามัญรวมไปถึงเจ้าสำนักคนปัจจุบันนั้นก็เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นสูงที่มากไปด้วยความสามารถไม่อ่อนด้อยแม้จะขึ้นชื่อในเรื่องของความวิปริตมากกว่าก็ตาม ไม่นับรวมถึงบรรดาผู้อาวุโสที่ล้วนต่างเป็นราชทินนามระดับสูงที่ไม่อาจดูแคลนได้ทั้งสถานที่ตั้งยังรายล้อมไปด้วยมหาค่ายกลเขตแดนธรรมชาติที่ใช่ว่าจะสามารถบุกฝ่าทะลวงไปได้โดยง่าย ข่าวการกวาดล้างสำนักหมาป่าทมิฬได้แพร่สะพัดออกไปราวกับไฟลามทุ่ง ไม่รู้ว่าทางสำนักได้ไปรับภารกิจหรือได้ล

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 166 ความร่วมมือ

    ท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดและเศษซากร่างไร้วิญญาณของศัตรูที่พ่ายแพ้ หนิงอ้ายเรียกใช้พลังปราณตวัดเอาแหวนมิติและสมบัติวิเศษประจำตัวของผู้ตกตายทั้งหมดย้ายเข้ามาในแหวนมิติของตนอย่างไรสิ่งเหล่านี้ย่อมสามารถทำประโยชน์ได้อยู่ไม่น้อย ในใจเขาไม่นึกรังเกียจเลยเพียงนิด การเข่นฆ่าสังหารแล้วช่วงชิงสิ่งของของผู้ที่ตกตายไปนั้นเป็นสิ่งที่พบเจอได้ทั่วไปในยุทธภพจากนั้นหนิงอ้ายได้ระดมเรียกเปลวเพลิงบริสุทธิ์จากปราณทิวาธาตุเข้าแผดเผาเศษซากชิ้นเนื้อรวมไปถึงจิตวิญญาณของบรรดานักฆ่าเหล่านี้ให้สูญสลายโดยไม่อาจหวนคืนในวัฏจักรสังขารได้อีก จากเศษเสี้ยวความทรงจำที่เขาสัมผัสได้นั้นคนกลุ่มนี้หาใช่เป็นคนดีแต่อย่างใด ตลอดช่วงอายุที่ผ่านมาก็ล้วนแต่กระทำต่ำช้า สังหารผู้บริสุทธิ์มาไม่น้อย เพียงเท่านี้ย่อมไม่อาจชดเชยได้เสียด้วยซ้ำไม่ถึงครึ่งเค่อให้หลัง ห้วงมิติที่ถูกผนึกไว้เมื่อไร้ซึ่งผู้บัญชาการยามนี้ม่านพลังประหลาดดังกล่าวจึงได้ซ่านสลายไปในที่สุด เผยให้เห็นหมู่เมฆาที่ล่องลอยประดับเหนือท้องฟ้า เสียงแมลงน้อยใหญ่ดังขึ้นทั่วทั้งผืนป่าโดยรอบขับขานบรรเลงสอดประสานเป็นท่วงทำนองเสนาะหู แสงไฟเวทย์จากอาคารบ้านเรือน เสียงโหวกเหวกโวยวาย

Jelajahi dan baca novel bagus secara gratis
Akses gratis ke berbagai novel bagus di aplikasi GoodNovel. Unduh buku yang kamu suka dan baca di mana saja & kapan saja.
Baca buku gratis di Aplikasi
Pindai kode untuk membaca di Aplikasi
DMCA.com Protection Status