Home / แฟนตาซี / บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ / บทที่3 คุณชายจางหนิงอ้าย

Share

บทที่3 คุณชายจางหนิงอ้าย

จางหนิงอ้ายอาศัยอยู่กับมารดาที่เรือนหลังเล็กท้ายจวนติดกับป่าไผ่พร้อมกับบ่าวรับใช้เพียงไม่กี่คน ถึงแม้ว่าหวังเยว่ซินจะมีฐานะเป็นถึงฮูหยินเอกของจวน แต่ทว่าความเป็นอยู่ในตอนนี้อาจกล่าวได้ว่าไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก

ยังดีที่บ่าวในเรือนนี้ล้วนต่างจงรักภักดีต่อนายของตนทั้งสองยิ่งกว่าชีวิต เนื่องจากมารดาไม่ได้รับความรักจากบิดา อีกทั้งมีเรื่องราวที่ผิดใจกันก่อนหน้าจึงทำให้เรือนน้อยท้ายจวนหลังนี้ไม่ได้รับเงินทองจากเรือนหลักมาจุนเจือนับเป็นเวลาเกือบปีเเล้ว มีแต่เพียงสินสมรสเดิมที่มารดาของเขาได้จากตระกูลเดิมก่อนที่จะแต่งเข้าตระกูลจางเพียงเท่านั้น นับวันก็ยิ่งหมดไปจากการจับจ่ายใช้สอยซื้อของจิปาถะต่าง ๆ

เมื่อไม่มีอำนาจในตระกูลและไม่เป็นที่รักของสามีนับว่าพอทนไหวอยู่บ้าง เพียงเเต่ไม่ถึงหนึ่งปีที่ผ่านมาในเหตุการณ์ล่าสุดที่เป็นเหตุทำให้หนิงอ้ายต้องล้มป่วยหนัก มารดาของเขาต้องการความเป็นธรรมในเรื่องดังกล่าวนี้แต่สามีของนางก็มิได้นำพาอันใด อีกทั้งยังขับไสไล่ส่งพวกเขาทั้งคู่จากเรือนหลักของจวน

ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ทั้งมารดาและหนิงอ้ายจำเป็นต้องมาอาศัยในพื้นที่ส่วนหลังของจวนห่างไกลจากเรือนหลักของตระกูลจางเช่นนี้ สำหรับอาหารนั้นเป็นเนื้อสัตว์บ้างบางมื้อเพราะว่าเยว่ซินได้ให้บ่าวรับใช้ไปซื้อพวกเนื้อสัตว์จากตลาด อีกทั้งยังเลี้ยงไก่ไว้เพื่อเก็บกินไข่และทำอาหารอื่น ๆ รวมไปถึงได้ซื้อเมล็ดพันธ์ผักสำหรับปลูกไว้ข้างเรือนเพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายให้มากที่สุด

ตอนนี้ตัวของนทีเองยอมรับแล้วว่าตัวเขาคือจางหนิงอ้ายผู้ถูกเรียกเป็นดั่งสวะของตระกูล เมื่อทบทวนเรื่องราวทั้งหมดแล้วก่อนที่ร่างกายของเขาจะกลับมาแข็งแรงอีกครั้งเขายังมีเวลาให้ครุ่นคิดอีกมากมาย

สิ่งที่เกิดขึ้นนี้แน่นอนว่าไม่ใช่ความฝันแม้ว่าจะเหนือขั้นกว่าจินตนาการที่คาดคิด แต่กับเขาที่ชื่นชอบการอ่านนิยายมาบ้างไม่น้อยจึงไม่ได้รู้สึกตื่นตระหนกไปสักเท่าไหร่ ทักษะและความรู้มากมายที่เขามีจึงมั่นใจว่าสามารถนำมาใช้ในโลกนี้ได้อย่างแน่นอน

"คุณชายหลับสบายดีหรือไม่ขอรับ?" ลู่ซีถามขึ้นเมื่อเห็นว่าคุณชายของตนนั้นตื่นแต่เช้าตรู่เช่นนี้

"หากไม่นับว่าอากาศหนาวเย็นกว่าที่คิด ก็นับว่าหลับสบายอยู่ไม่น้อย..." นทีพูดออกมาพร้อมกับถอนหายใจเบา ๆ ร่างของจางหนิงอ้ายนั้นอ่อนแอเป็นอย่างมาก เพียงแค่สายลมอ่อนพัดมายังทำให้รู้สึกหนาวเย็นสะท้านไปทั้งกายแล้ว

"คุณชายยังรู้สึกเจ็บปวดหรือไม่สบายตรงที่ใดอีกหรือไม่?" ลู่ซีถามออกมาด้วยความเป็นห่วง

"ตอนนี้ยังมีอาการปวดเมื่อยตามตัวเล็กน้อยเพราะอาจไม่ได้ขยับตัวมาหลายวันในก่อนหน้า หากได้ออกกำลังสักนิดก็คงดีขึ้นกว่านี้อีกมาก..." เด็กหนุ่มตอบกลับไปพร้อมกับยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย ก่อนที่จะลุกขึ้นจากเตียงโดยมีลู่ซีคอยประคองอยู่ไม่ห่าง

"ข้าเชื่อว่าร่างกายของคุณชายย่อมแข็งแรงขึ้นในเร็ววันขอรับ!" ลู่ซีรู้สึกดีใจเป็นอย่างมากที่เห็นรอยยิ้มของคุณชายตนอีกครั้งในรอบหลายปีที่ผ่านมา

"ลู่ซีพาข้าออกไปด้านนอกหน่อย ข้าอยากเดินออกกำลังสักเล็กน้อยในช่วงเช้านี้" หนิงอ้ายบอกถึงความต้องการของตนให้รับรู้

"ขอรับคุณชาย!" ลู่ซีรับคำก่อนที่จะประคองอีกฝ่ายลงจากเตียงนอน ก่อนที่เด็กหนุ่มทั้งสองคนจะมุ่งตรงไปยังด้านนอกของตัวเรือนที่ตรงด้านหลังมีป่าไม้ขึ้นตลอดทั้งแนว

"ไม่คิดว่าเรือนพักจะอยู่ส่วนด้านหลังของจวนมากกว่าที่ข้าคิดไว้..." หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นหลังจากสำรวจพื้นที่โดยรอบของตัวเรือนหลังนี้ เพราะนอกจากแนวป่าไผ่ด้านหลังแล้วยังเต็มไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่ที่ให้ความร่มรื่นอยู่ไม่น้อย

"เป็นเช่นนั้นขอรับ เรือนหลังนี้นับได้ว่าเป็นหลังสุดท้ายของจวนสกุลจางเคยเป็นเรือนรับรองมาก่อน เพียงแต่ในระยะหลังมานี้ได้มีการขยับขยายพื้นที่มากขึ้นตัวเรือนหลักรวมไปถึงสิ่งปลูกสร้างอื่นจึงอยู่ในส่วนกลางเสียมากกว่า หากเลยพ้นจากแนวเขตป่าไผ่ไปก็ถือว่าสิ้นสุดพื้นที่ของจวนสกุลจางแล้วขอรับ..." ลู่ซีอธิบายให้เข้าใจมากยิ่งขึ้น

"แล้วไม่มีผู้ใดเข้ามายุ่มย่ามในบริเวณนี้ใช่หรือไม่?" หนิงอ้ายถามย้ำเพื่อความมั่นใจ

"ท่านประมุขตระกูลได้ออกคำสั่งห้ามไม่ให้ผู้ใดเข้ามาในบริเวณเรือนพักหลังนี้ แม้แต่บ่าวไพร่ในโรงครัวหรือโรงซักล้างรวมไปถึงเวรยามประจำจุด ต่างไม่ย่างกรายเข้ามาในพื้นที่ส่วนหลังนี้เพราะกลัวบทลงโทษขอรับ"

"เช่นนี้ก็ดีแล้ว ไม่มีพวกสอดรู้สอดเห็นเข้ามาวุ่นวาย..." ลู่ซีพยักหน้าเห็นด้วยตามความคิดของคุณชายตน

นทีที่อยู่ในร่างของจางหนิงอ้ายรู้ดีว่าร่างกายนี้ยังคงไม่ฟื้นตัวสักเท่าไหร่ ดังนั้นในการออกกำลังจึงไม่ควรที่จะหักโหมจนเกินไป ควรจะออกกำลังแบบเบา ๆ เสียก่อนโดยเริ่มจากการแยกขาออกเล็กน้อยทำร่างกายให้ผ่อนคลายแล้วปล่อยมือลงตามธรรมชาติ

ก่อนที่จะเริ่มขยับด้วยท่าทางการแกว่งแขวนไปมา พร้อมกับมองไปที่จุดใดจุดหนึ่งปล่อยความคิดให้ลอยไปกับสายลมแล้วหายใจเข้า จากนั้นแกว่งแขนไปข้างหลังให้เกิดแรงเหวี่ยงกลับมาพร้อมหายใจออก ทำแบบนี้ซ้ำไปมาเป็นเวลาสองเค่อก็สัมผัสได้ว่าร่างกายเริ่มมีเรี่ยวแรงขึ้นมาบ้างไม่น้อยพอให้ชื่นใจ

ร่างกายของหนิงอ้ายได้ออกกำลังเล็กน้อยในยามเช้าเช่นนี้ ทางฝั่งของลู่ซีที่เป็นผู้ฝึกตนระดับขุนพลวิญญาณแม้ว่าภายนอกจะดูเป็นเพียงเด็กหนุ่มอายุสิบห้าปีแต่นับได้ว่าร่างกายมีความแข็งแรงกว่าเขาจนเห็นได้ชัด

เพราะในขณะที่หนิงอ้ายที่ออกกำลังด้วยความเมื่อยล้าแต่อีกฝ่ายกลับไร้ซึ่งอาการเดียวกันทั้งสิ้น นอกจากนั้นหนิงอ้ายยังสังเกตุว่าท่าทางฝึกฝนในเชิงยุทธ์ของอีกฝ่ายที่เขาเห็นมีความคล้ายคลึงกับพื้นฐานของศาสตร์การต่อสู้ในโลกเดิมของเขาอยู่ไม่น้อย ดังนั้นหนิงอ้ายจึงตั้งใจว่าจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ร่างกายนี้กลับมาแข็งแรงโดยเร็วที่สุด

"นี่ก็เป็นเวลาถึงยามเฉินแล้ว ข้าว่าคุณชายควรกลับเรือนพักเสียทีนะขอรับ..." ลู่ซีเอ่ยขึ้น

"เช่นนั้นก็ไปกันเถิด ปล่อยให้ท่านแม่รอนานคงไม่ใช่สิ่งที่ควรกระทำเท่าไหร่..." หนิงอ้ายพยักหน้าเห็นด้วยกับอีกฝ่าย เพราะตอนนี้มารดาของเจ้าของร่างเดิมน่าจะตื่นขึ้นแล้วเช่นกัน

"เจ้าไม่ต้องช่วยข้าหรอก ได้ออกกำลังไปเล็กน้อยเช่นนี้ก็รู้สึกได้ว่าร่างกายดีขึ้นมาไม่น้อยแล้วเช่นกัน" หนิงอ้ายปฏิเสธความหวังดีของอีกฝ่ายก่อนที่จะก้าวเท้าเดินไปอย่างช้า ๆ แต่ทว่าทุกย่างก้าวแฝงไปด้วยความมั่นคงหนักแน่น โดยที่มีลู่ซีคอยเดินตามหลังด้วยความเป็นห่วง ใช้เวลาเพียงไม่นานนักก็มาถึงหน้าเรือนพักที่ในตอนนี้เยว่ซินได้ยืนรออยู่

"เป็นอย่างไรบ้างหนิงเอ๋อร์? เหตุใดจึงไม่นอนพักผ่อนอีกสักสองสามวันเล่า?" เยว่ซินเอ่ยขึ้นด้วยความเป็นห่วง เพราะบุตรชายของนางพึ่งฟื้นจากพิษไข้ไม่ถึงหนึ่งวันเสียด้วยซ้ำ

"ท่านแม่อย่าได้เป็นกังวล ได้เดินออกกำลังในยามเช้าเช่นนี้ถือว่าดียิ่งเพราะตอนนี้ร่างกายของข้ารู้สึกดีขึ้นมากไม่น้อยเลยขอรับ" นทีตอบกลับไปพร้อมกับเข้าไปออดอ้อนเยว่ซินผู้เป็นมารดาของเจ้าของร่างที่ตนเข้ามาอยู่ในตอนนี้

"อย่างไรเจ้าอย่าเพิ่งหักโหมออกกำลังเกินไปนักเล่า..." เยว่ซินเอ่ยย้ำเด็กหนุ่มไปอีกครั้ง

"ขอรับท่านแม่" นทีตอบรับความเป็นห่วงนี้ด้วยความยินดีเป็นอย่างมาก ในชีวิตนี้เขาได้มีครอบครัวตามที่ต้องการแล้วและไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้นให้มากกว่านี้เพื่อที่จะปกป้องตัวเองและคนที่เขารักได้...

ยามว่างหนิงอ้ายได้เลือกหยิบตำราสมุนไพรออกมาศึกษาเพื่อทบทวนความรู้ไปในตัว หนิงอ้ายคนเก่านั้นให้ความสนใจกับสมุนไพร รวมไปถึงการหลอมสร้างปรุงโอสถเป็นพิเศษ นับได้ว่าความรู้เกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้หนิงอ้ายคนเก่าได้ศึกษาอย่างเชี่ยวชาญยิ่ง

แต่ด้วยเพราะไม่อาจปลุกพลังวิญญาณเป็นผู้ฝึกตนได้จึงไม่อาจทดลองหลอมสร้างปรุงโอสถระดับต่ำออกมา อีกทั้งความรู้ในตำรากับการปฏิบัติจริงนั้นจำเป็นต้องได้รับการถ่ายทอดจากนักปรุงโอสถโดยตรงหรือจากสำนักศึกษาเท่านั้น

เมื่อเห็นว่าเป็นเวลาที่สมควรแล้วนทีเห็นว่าควรแก่เวลาพักผ่อนเสียที เด็กหนุ่มจึงปิดตำราลงก่อนจะเก็บเข้าชั้น ก่อนที่จะดับตะเกียงลงพร้อมกับซุกตัวนอนบนเตียงอุ่น ๆ ที่ในตอนนี้มารดาได้จัดการยัดนุ่นตามความต้องการของหนิงอ้าย สิ่งนี้ให้ความรู้สึกสบายไม่ต่างจากโลกเดิมของเขา ก่อนที่ดวงตาเรียวงามจะค่อย ๆ หลับตาลงเข้าสู่ห้วงนิทราในที่สุด

"ลู่ซี เจ้าช่วยเล่าให้ข้าฟังถึงเรื่องการปลุกพลังวิญญาณได้หรือไม่?" หนิงอ้ายถามลู่ซีขึ้น ความจำในเรื่องนี้ยังคงเลือนลาง และมีบางส่วนที่เขายังไม่อาจเข้าใจได้มากนักในตอนนี้

"ขอรับ..."

"การปลุกพลังวิญญาณของผู้ฝึกตน จะทำให้รับรู้ได้ว่าคนผู้นั้นมีปราณธาตุต้นกำเนิดและถือครองวิญญาณยุทธ์ประเภทไหนและมีความแข็งแกร่งมากเพียงใด..."

"และหากสามารถปลุกพลังวิญญาณได้สำเร็จ คนผู้นั้นก็จะมีความแข็งแกร่งเหนือคนธรรมดาทั่วไป อีกทั้งยังสามารถดูดซับกระดูกวิญญาณเข้ากับร่างกายเพื่อแปรเปลี่ยนเป็นทักษะความสามารถที่เพิ่มขึ้นได้อีกด้วยขอรับ" ลู่ซีอธิบายให้หนิงอ้ายเข้าใจมากยิ่งขึ้น

"เช่นนั้นข้าขอดูวิญญาณยุทธ์ของเจ้าได้หรือไม่?" หนิงอ้ายถามออกไปด้วยความอยากรู้

วิญญาณยุทธ์ราชากระบี่กลืนโลหิต สถิตร่าง!!

วูบ!

บนฝ่ามือของลู่ซีปรากฎเป็นกระบี่สีแดงฉานเล่มเล็กที่หมุนวนโดยรอบ สร้างความแปลกใจให้กับนที ผู้ที่คุ้นเคยในเรื่องราวหลักการของวิทยาศาสตร์ที่สามารถพิสูจน์ได้

"นี่คือวิญญาณยุทธ์ของข้า สังกัดปราณธาตุลมสายสนับสนุนขอรับ..." ลู่ซีได้สลายกระบี่ที่ลอยอยู่บนฝ่ามือให้หายไปราวกับว่าก่อนหน้าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น

จากนั้นลู่ซีได้พูดคุยในเรื่องราวต่าง ๆ อย่างมากมายกับหนิงอ้าย ไม่คาดคิดว่าสิ่งเหล่านี้ที่ได้รับรู้และทำความเข้าใจให้มากขึ้น ค่อนข้างเหนือกว่าจินตนาการรับรู้ของนทีเป็นอย่างมากเลยทีเดียว

เป็นเวลาหนึ่งแล้วเดือนที่นทีได้เข้ามาอยู่ในร่างของจางหนิงอ้ายคนนี้ ทุกวันเขามักจะออกกำลังอยู่เสมออีกทั้งยังนั่งดูดซับปราณฟ้าดินที่ไหลเวียนเข้าสู่ร่างกาย

จริงอยู่ที่ว่าเขาจะยังไม่ได้ปลุกพลังวิญญาณเป็นผู้ฝึกตนเต็มตัวก็จริง แต่เพราะหนิงอ้ายคนเดิมได้ศึกษาตำราเกี่ยวกับวิถีของผู้ฝึกตนอยู่บ้างจึงพอทราบในเรื่องของจุดพลังปราณในร่างกายทั้ง361จุด และตรงใจกลางนั้นจะมีสิ่งที่เรียกว่าจุดตันเถียรที่เป็นเหมือนกับจุดกักเก็บพลังลมปราณของร่างกายที่สำคัญของผู้ฝึกตน

ดังนั้นเขาจึงคิดว่าแม้ไม่อาจปลุกพลังลมปราณได้ในตอนนี้แต่การโคจรพลังลมปราณไปตามเคล็ดวิถีพื้นฐาน เมื่อทำอย่างนี้สม่ำเสมอจึงส่งผลให้ร่างกายที่เคยบอบบางไร้เรี่ยวแรง ในแต่ตอนนี้กลับดูสมบูรณ์และมีเรี่ยวแรงมากกว่าแต่ก่อนเป็นอย่างมากอีกทั้งยังสัมผัสได้ว่าจุดตันเถียรของเขามีพลังวิญญาณสะสมไหลเวียนมากขึ้นตามลำดับ สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกดีเป็นอย่างมาก

"ไม่คาดคิดว่าร่างกายของข้าจะสามรถดูดซับลมปราณได้รวดเร็วถึงเพียงนี้..." นทีเอ่ยขึ้นพร้อมกับระบายยิ้มออกมาด้วยความพึงพอใจ

"ตอนนี้คุณชายดูแข็งแรงขึ้นกว่าเดิมยิ่ง ไม่น่าเชื่อว่าคนทั่วไปก็สามารถใช้ประโยชน์จากการชักนำลมปราณฟ้าดินเข้าสู่ร่างกายได้เช่นกัน" ลู่ซีพูดด้วยความชื่นชม

"นั่นเป็นเพราะว่าร่างกายนี้แต่เดิมก็สามารถปลุกพลังวิญญาณได้อยู่แล้วจึงมีการตอบสนองต่อการดูดซับปราณฟ้าดินเช่นนี้ ไม่รู้ว่าในครั้งนั้นได้เกิดกลโกงสิ่งใดกัน ผลจึงปรากฎว่าข้าเป็นผู้ไร้พลังวิญญาณเสียได้!" หนิงอ้ายพูดออกมาตามที่ตนคิดเอาไว้

เพราะจางหนิงอ้ายคนนี้มีบิดามารดาที่เป็นผู้ฝึกตนที่ไม่ธรรมดาสามัญ จึงมีโอกาสเป็นไปได้น้อยมากที่อีกฝ่ายจะเป็นผู้ไร้พลังวิญญาณ และการที่เขาสามารถชักนำลมปราณฟ้าดินเข้าสู่ร่างกายได้เช่นนี้ย่อมเป็นสิ่งที่ยืนยันได้ความความจริงแล้วเขาก็สามารถเข้าสู่วิถีของผู้ฝึกตนได้เช่นกัน

แต่ข้อเสียสำหรับคนทั่วไปที่ไม่ได้ปลุกพลังวิญญาณเช่นเขานั้น แม้ว่าจะสามารถชักนำปราณฟ้าดินเหล่านี้ไหลเวียนเข้าสู่ร่างกาย ผ่านจุดตันเถียรได้ก็จริงแต่เพราะไม่ใช่ผู้ฝึกตนที่แท้จริงจึงยังไม่สามารถกักเก็บพลังปราณเหล่านี้ในจุดตันเถียรได้เหมือนกับผู้ฝึกตนที่แท้จริง ดังนั้นเขาจึงต้องคอยนั่งโคจรพลังลมปราณฟ้าดินอย่างสม่ำเสมอเช้าเย็นเพื่อทะลวงเส้นปราณในร่างกายทั้ง361จุด เพื่อทะลวงให้จุดพลังลมปราณเหล่านี้บริสุทธิ์มากเพียงพอ

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาหนิงอ้ายนั่งดูดซับปราณฟ้าดินเหล่านี้ให้ไหลเวียนเข้าสู่ร่างกายของเขาอย่างราบรื่นไร้ซึ่งการต่อต้านใด ๆ ทั้งสิ้น ประสาทสัมผัสทั้งห้าผสานเข้าเป็นหนึ่งไม่แบ่งแยก นอกจากความแข็งแกร่งทางร่างกายที่เพิ่มมากขึ้นในทุกวันแล้ว

ความสามารถพิเศษของเขาในโลกเดิมยังคงติดตามมาด้วย แต่ด้วยเพราะร่างกายนี้ยังไร้ซึ่งในความสมดุลอีกหลายด้าน เขาจึงคิดว่าคงต้องใช้เวลาอีกไม่น้อยหรือหลังจากปลุกพลังวิญญาณสำเร็จ ถึงตอนนั้นเขาคงต้องเร่งพัฒนาความสามารถเดิมของเขาเสียทีเพราะสิ่งนี้นับได้ว่าเป็นประโยชน์กับเขามาเลยทีเดียว

‘ไม่รู้ว่าตอนนี้เจ้าจะอยู่ที่ไหนข้าขออวยพรให้ชีวิตหลังจากนี้มีแต่ความสุข มีอิสระสามารถทำทุกอย่างที่ปรารถนาโดยที่ไม่ต้องสนถ้อยคำอื่น ส่วนข้าที่ได้มีโอกาสเข้ามาอยู่ในร่างนี้ขอสัญญาว่าข้าจะทำให้ชื่อของเจ้าเป็นที่รู้จักและทุกคนจะได้รับรู้ว่าหนิงอ้ายผู้นี้มากไปด้วยความสามารถเพียงใด...’ นทีเอ่ยขึ้นในใจเพื่อส่งสารไปถึงเจ้าของร่างเดิมและหวังว่าอีกฝ่ายจะมีชีวิตที่เต็มไปด้วยความสุขเช่นเดียวกับเขาในทุกวันนี้

หนิงอ้ายใช้เวลาในยามกลางวันไปกับการเรียนรู้ทบทวนศาสตร์ตำราเป็นส่วนใหญ่ ในยามกลางคืนเขาเลือกที่จะนั่งดูดซับลมปราณฟ้าดินเพื่อชักนำเอาพลังบริสุทธิ์เหล่านี้ไหลเวียนในร่างกายผ่านจุดตันเถียรให้ได้มากที่สุด

แน่นอนว่าจิตวิญญาณของเขาคือชายหนุ่มอายุยี่สิบปีที่ผ่านเรื่องราวความสุข ความทุกข์มาอย่างมากมาย ดังนั้นเพื่อก้าวเข้าสู่ความสำเร็จและเป้าหมายที่วางไว้ เส้นทางเดียวที่ต้องมุ่งมั่นไปให้ถึงที่สุดนั่นคือการฝึกฝนตัวเองให้แข็งแกร่งที่สุดเพียงเท่านั้น...

Related chapters

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่4 ก้าวแรกของผู้ฝึกตน

    หนิงอ้ายนั่งมองฝูงปลาที่กำลังแหวกว่ายอยู่ในสระบัวท่ามกลางบรรยากาศยามเช้าเงียบสงบ ผมสีดำสนิทเปล่งประกายเงางามถูกมัดรวบด้วยผ้าผูกสีขาวเพียงครึ่งปล่อยส่วนที่เหลือให้ยาวสยายจรดกลางหลัง เส้นผมบางส่วนหลุดลุ่ยไปตามกรอบหน้าเรียวมนรูปไข่ที่คล้ายคลึงกับมารดาไปมากถึงเก้าในสิบส่วน ดวงตาเรียวหงส์ประกายความซุกซนสดใส ริมฝีปากบางรูปกระจับสีชมพูระเรื่อ จมูกเรียวโด่งรับกับใบหน้างดงามราวกับเป็นเซียนหญิงคงไม่เกินจริงไปนัก“หนิงเอ๋อร์ แน่ใจใช่หรือไม่ว่าหายดีแล้ว? แม่เป็นห่วงเจ้ายิ่งนัก” เย่วซินถามขึ้นพร้อมกับเดินไปหาบุตรชายที่นั่งอยู่ในศาลาริมสระบัวข้างเรือน“ข้าหายดีแล้วท่านแม่ อีกทั้งยังรู้สึกแข็งแรงขึ้นมากกว่าเดิมด้วยขอรับ...” หนิงอ้ายตอบกลับไปเพื่อให้อีกฝ่ายคลายความกังวลก่อนตัดสินใจเอ่ยในสิ่งที่ได้ครุ่นคิดมาอย่างดีแล้วในตลอดหนึ่งเดือนนี้“ท่านคิดเห็นอย่างไรหากว่าข้าอยากเป็นผู้ฝึกตนและต้องการปลุกพลังวิญญาณขอรับ?”“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเอ่ยสิ่งใดออกมา?” เย่วซินที่ได้ยินจึงถามกลับไปด้วยความประหลาดใจ เพราะหลังจากที่เด็กหนุ่มไม่สามารถปลุกพลังวิญญาณได้ในตอนอายุเจ็ดปีบุตรชายของนางก็ไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องนี้เลยสักคร

    Last Updated : 2025-02-07
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่5 ผู้ฝึกตนระดับก่อเกิดวิญญาณ

    เยว่ซินเดินนำหนิงอ้ายเข้ามาในเรือนก่อนที่จะหายเข้าไปในห้องนอน ก่อนจะออกมาพร้อมกับของในมือแล้วจึงตรงไปยังห้องโถงรับรองของเรือนนี้ สิ่งที่เยว่ซินถืออยู่ในมือเป็นหีบไม้ขนาดย่อมสีดำทองฉลุลวดลายงดงามอ่อนช้อยแต่แฝงไปด้วยกลิ่นอายความดุดัน หนิงอ้ายสัมผัสได้ถึงพลังบางอย่างที่อยู่ในกล่องคล้ายกับจะเรียกร้องหาเป็นความรู้สึกคุ้นเคยตีตื้นขึ้นมาในอกมันมีทั้งความสุขปนเศร้าตีรวนจนแยกไม่ออกหลังจากที่หีบได้ถูกเปิดออกปรากฎแก่สายตาจึงเห็นว่าภายในหีบไม้แกะสลักนี้ถูกบุด้วยผ้าสีแดงกำมะหยี่เนื้อดีตกแต่งด้วยหมุดทองสวยงาม เยว่ซินได้บอกว่าสิ่งนี้เป็นมรดกสืบทอดจากตระกูลหวังที่บิดามอบให้และตอนนี้นางได้ส่งต่อมาให้เขาเป็นเจ้าของแล้วในที่สุด ประกอบไปด้วยตำราเคล็ดวิชาจำนวนสามเล่ม ตำราแรกคือเคล็ดวิชาสยบอัสนีเมฆาอันเป็นเคล็ดวิชาดูดซับปราณฟ้าดินประจำตระกูล สองคือเคล็ดวิชากระบี่สักกะดารารายอันเป็นวิชากระบี่เลื่องชื่อในยุทธภพ ส่วนเล่มสุดท้ายนั่นคือเคล็ดวิชาก้าวย่างทะยานหมื่นลี้เป็นเคล็ดวิชาตัวเบาประจำของตระกูลหวัง ทั้งสามตำรานี้ล้วนเป็นฉบับจริงทั้งสิ้นยังมีจี้หยกสีแดงทับทิมที่เยว่ซินทราบเพียงสิ่งนี้คล้ายกับเครื่องรางปกป้

    Last Updated : 2025-02-07
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่6 ผู้มีปราณธาตุมากกว่าหนึ่ง

    หนิงอ้ายรู้สึกดีใจและพึงพอใจเป็นอย่างมากที่เขาสามารถทำการปลุกพลังวิญญาณได้สำเร็จและกลายเป็นผู้ฝึกตนราชทินนามก่อเกิดวิญญาณระดับสิบได้เช่นนี้ หลังจากที่จัดการตัวเองเรียบร้อยแล้วไม่รอช้าออกจากไปหามารดาที่ห้องโถงของเรือนนี้ในทันที“หนิงเอ๋อร์ รู้สึกอย่างไรบ้างเจ้า?” เยว่ซินที่สัมผัสได้ถึงพลังลมปราณอ่อน ๆ จากตัวของเด็กหนุ่ม นั่นย่อมหมายความว่าในตอนนี้อีกฝ่ายสามารถข้ามผ่านเป็นผู้ฝึกตนได้สำเร็จแล้ว อย่างไรนางก็ถามกลับไปเพื่อความแน่ใจอีกครั้งว่าอีกฝ่ายไม่ได้รับผลกระทบใดยอมรับว่าตลอดทั้งคืนนางได้แต่เป็นห่วงกระวนกระวายจนนอนหลับไม่สนิท ในขณะที่หนิงอ้ายกำลังปลุกพลังวิญญาณนางได้ยินเสียงกรีดร้องของเด็กหนุ่มอย่างทรมานดังขึ้นอยู่หลายชั่วยามจนหายเงียบไปที่สุด ในใจของนางเต็มไปด้วยความเป็นห่วงยิ่งนัก แต่นางก็ไม่สามารถเข้าไปขัดขวางในขณะทำการปลุกพลังวิญญาณของเด็กหนุ่ม เพราะหากทำอย่างย่อมที่จะส่งผลเสียต่อเด็กหนุ่มมากมายเพียงใดก็สุดจะรู้ได้บิดาของนางก็เคยบอกเอาไว้ว่าในการปลุกพลังวิญญาณจะสำเร็จหรือไม่ขึ้นอยู่กับลิขิตฟ้าชะตาสวรรค์ถือว่าเป็นการทดสอบทั้งร่างกายและจิตใจของผู้ฝึกตนเพราะเมื่อได้ทำการเลือกใช้ชีวิ

    Last Updated : 2025-02-07
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่7 วิญญาณยุทธ์ต้นกำเนิด

    วันเวลาผันผ่านไปหนิงอ้ายสามารถเลื่อนระดับลมปราณเป็นผู้ฝึกตนระดับขุนพลวิญญาณขั้นกลางแล้ว อีกเพียงไม่กี่ขั้นย่อยก็จะสามารถเลื่อนระดับเป็นผู้ฝึกตนขุนพลวิญญาณขั้นสูงได้สำเร็จ ด้วยระยะเวลาสั้นเพียงนี้กับความก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดดที่ทอดสายตาไปทั่วทั้งยุทธภพแล้วยังยากที่จะพบเห็นได้โดยง่าย ทั้งที่หกเดือนก่อนหน้าเด็กหนุ่มยังเป็นเพียงคนธรรมดาไร้ซึ่งพลังลมปราณที่พึ่งเข้าสู่วิถีของผู้ฝึกตนเพียงเท่านั้น หากมีผู้ใดล่วงรู้ในสิ่งนี้ย่อมสร้างความแตกตื่นในแวดวงของผู้ฝึกตนได้อย่างแน่นอน…“หนิงเอ๋อร์ ตอนนี้เจ้าเป็นผู้ฝึกตนระดับขุนพลวิญญาณแล้วเจ้าสัมผัสได้ถึงวิญญาณยุทธ์ของเจ้าได้แล้วหรือไม่? แสดงวิญญาณยุทธ์ของเจ้าให้มารดาดูเสียหน่อย...” เยว่ซินเอ่ยขึ้นกับบุตรชายของตน เนื่องจากเด็กหนุ่มในตอนนี้ถึงเขตขั้นราชทินนามขุนพลวิญญาณแล้วย่อมสามารถเรียกใช้วิญญาณยุทธ์ต้นกำเนิดของตนออกมาได้“ขอรับท่านแม่...”วิญญาณยุทธ์ปักษาสวรรค์เพลิงศักดิ์สิทธิ์ สถิตร่าง!!วูบ!หนิงอ้ายยกมือประสานขึ้นพร้อมกับปล่อยพลังวิญญาณระดับขุนพลวิญญาณของตนออกมา ก่อเกิดเป็นหมอกควันสีแดงทองที่ผนึกขึ้นเป็นปีกปักษาเพลิงขนาดใหญ่ตรงด้านหลัง กลิ่นอาย

    Last Updated : 2025-02-07
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่8 หอประมูลพยัคฆ์รัตติกาล

    แต่ละวันของหนิงอ้ายแทบจะเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง เริ่มตั้งแต่ตื่นเช้ามาออกกำลังโดยการวิ่งรอบจวนเสร็จแล้วก็ทานข้าวกับเยว่ซินผู้เป็นมารดา ในช่วงสายทำการศึกษาวิชาตำราต่าง ๆ เพื่อทบทวนความรู้ ช่วงเย็นทำการฝึกฝนวรยุทธรวมไปถึงการควบคุมใช้ปราณธาตุให้คล่องแคล่ว ยามกลางคืนอย่างน้อยวันละสองชั่วยามก็จะทำการนั่งดูดซับพลังปราณฟ้าดิน ด้วยความที่หนิงอ้ายทั้งคนเก่าและเขาในตอนนี้นั้นนิสัยแทบจะเหมือนกันทุกอย่างยิ่งเมื่อสนใจกับสิ่งใดแล้วก็จะจดจ่อมุ่งมั่นทำให้เต็มที่เสมอจึงทำให้มารดาหรือบ่าวรับใช้ในเรือนไม่รู้สึกถึงความแตกต่างกันโดยเฉพาะกับลู่ซีเป็นบ่าวรับใช้คนสนิทที่คอยดูแลหนิงอ้ายมาตั้งแต่ประมาณเจ็ดปี ย่อมรู้สึกถึงในความเปลี่ยนแปลงในนิสัยเล็กน้อยบางอย่าง แต่เมื่อคิดว่าคุณชายของตนนั้นผ่านอะไรมามากมายตั้งแต่เด็กถึงตอนนี้ไม่แปลกที่คุณชายจะมุ่งมั่นในการฝึกฝนให้ตนเองแข็งแกร่งขึ้นเพื่อที่จะดูแลตนเองและปกป้องสิ่งที่รักได้ แน่นอนว่าลู่ซีคนนี้สาบานจะอยู่เคียงข้างคุณชายของตนเสมอไม่เปลี่ยนไป“คุณชาย ท่านไม่คิดจะทำอย่างอื่นเลยหรือขอรับ?” ลู่ซีสอบถามเป็นกังวลเล็กน้อยเนื่องจากท่านเย่วซินมารดาของคุณชายนั้นเห็นว่าหนิ

    Last Updated : 2025-02-07
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่9 ผูกพันธะสัตว์อสูร

    มองจากด้านนอกของหอประมูลพยัคฆ์รัตติกาลว่ามีพื้นที่กว้างขวางแล้ว ชั้นใต้ดินด้านล่างก็มีพื้นที่มากมายไปไม่แตกต่างกันเสียด้วยซ้ำ เพราะตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามาในบริเวณหนิงอ้ายก็พบว่าทั้งชั้นใต้ดินนี้มีที่คุมขังสัตว์อสูรมากมาย แน่นอนว่ากรงขังต่าง ๆ เหล่านี้ต่างถูกกำกับด้วยบทเวทย์ป้องกันและบทเวทย์ที่ใช้ข่มพลังของสัตว์อสูรโดยเฉพาะนอกจากนั้นยังมีกรงเหล็กขนาดน้อยใหญ่แตกต่างกันไปที่มีการจำแนกสัตว์อสูรเป็นประเภทของแต่ละปราณธาตุสังกัด ด้วยความที่ผู้ฝึกตนสามารถทำการผูกพันธะกับสัตว์อสูรซึ่งอาจจะเพียงแค่หนึ่งครั้งในชีวิต ดังนั้นการเลือกสัตว์อสูรรับใช้ดังกล่าวผู้ฝึกตนจะเลือกโดยการอิงตามปราณธาตุที่ตนเองถนัดเพื่อจะเป็นประโยชน์ในการต่อสู้ของตนเองมากที่สุด“แล้วต้องมีพลังวิญญาณระดับใดกันจึงจะสามารถทำการผูกพันธะกับสัตว์อสูรได้?” หนิงอ้ายถามกลับลู่ซีไปอีกครั้ง“ความจริงแล้วผู้ฝึกตนระดับแรกเริ่มหรือระดับก่อเกิดวิญญาณก็สามารถทำการผูกพันธะกับสัตว์อสูรได้แล้วขอรับ แต่เงื่อนไขคือสามารถทำได้เพียงหนึ่งครั้งเท่านั้นจนกว่าจะมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งซึ่งคือผู้ผูกพันธะหรือสัตว์อสูรได้ตายลงไป ที่สำคัญคือขึ้นอยู่กับสัตว์อสูรว่าจ

    Last Updated : 2025-02-07
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่10 ฝึกฝนบทเวทย์

    ยอมรับตามตรงว่าก่อนหน้านี้มีหลายครั้งที่นทีได้แต่ครุ่นคิดอยู่ในใจ ว่าเพราะอะไรทำไมเขาถึงได้มาอยู่ในโลกใบนี้ได้กัน หรืออาจเป็นเพราะหนิงอ้ายคนเก่าต้องการให้เขาแก้แค้นอย่างนั้นหรือ? แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่ เพราะตัวเขาไม่เคยสัมผัสได้ถึงความรู้สึกในแง่ลบเหล่านี้เลยสักนิด เจ้าของร่างเดิมยังคงเด็กเกินไปจึงมีแต่ความอ่อนโยนจิตใจดี ซึ่งมันแตกต่างไม่ใช่ตัวเขาเป็นอย่างมากเลยทีเดียวนทีเมื่อได้รับโอกาสที่ได้มีชีวิตใหม่อีกครั้ง มีเยว่ซินผู้เป็นมารดาที่รักและเป็นห่วงเขาอยู่เสมอ ผู้อาวุโสหวังฮุ่ยที่เสียสละเวลาสั่งสอนความรู้อย่างไม่หวงแหน ลู่ซีที่เปรียบเสมือนเพื่อนสนิท ไหนจะเจ้าเจียวซิ่นที่เขารักเอ็นดูเหมือนลูกน้อยคนหนึ่ง ดังนั้นเขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้นกว่านี้เพื่อที่จะปกป้องคนที่เขารักได้ ในตอนนี้เขาสามารถใช้เคล็ดวิชาย่างก้าวทะยานหมื่นลี้ได้อย่างคล่องแคล่วและมีความคุ้นชินกว่าเดิมมาก ยิ่งเมื่อเขาได้นำมาประสานเข้ากับศิลปะการต่อสู้จากโลกเดิมที่เขาคุ้นเคยแล้ว เวลาได้ฝึกซ้อมกับผู้อาวุโสหวังฮุ่ยกับเหล่าองครักษ์คนอื่น ๆ แม้เขาจะเสียเปรียบในด้านร่างกายแต่ทว่าสิ่งที่เขานำมาพลิกแพลงในตอนนี้กลับสามารถช่วงชิงความได้เป

    Last Updated : 2025-02-07
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่​11 ความเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดคิด

    เป็นเวลาเกือบหนึ่งปีที่นทีได้ใช้ชีวิตในนามของจางหนิงอ้าย อีกเพียงไม่กี่วันอายุของร่างนี้ก็ใกล้ครบสิบห้าปีแล้ว แต่จางเลี่ยงหวงผู้เป็นบิดากลับไม่สนใจในสิ่งเหล่านี้ราวกับว่าเด็กหนุ่มไม่มีตัวตนในตระกูลเสียอย่างนั้น แต่แล้วอย่างไรเล่า? เพราะตัวของนทีเองก็ไม่ได้ยอมรับอีกฝ่ายในฐานะบิดาของเจ้าของร่างเช่นกัน…“อีกสามเดือนข้างหน้าจะมีงานประลองที่ทางแคว้นเต่าดำรับเป็นเจ้าภาพในครั้งนี้ จากนั้นอีกเพียงหนึ่งเดือนแต่ละสำนักศึกษาจะเปิดรับศิษย์ใหม่เข้าสังกัด ข้าจึงขออนุญาตจากท่านแม่ในการเข้าร่วมลงประลองครั้งนี้เพื่อลบล้างคำครหาที่ว่าเป็นเพียงสวะของตระกูลซึ่งนั่นหาใช่ความจริงไม่ อีกทั้งข้ายังอยากเข้าทดสอบของสำนักศึกษาด้วยขอรับ!!” หนิงอ้ายบอกกับเยว่ซินถึงความต้องการของตน“มารดาล้วนตามใจเจ้าทั้งสิ้น เรื่องเข้าสำนักศึกษาเอาไว้เจ้าขอคำแนะนำจากท่านตาดีหรือไม่ ว่าสุดท้ายแล้วจะเลือกเข้าทดสอบสำนักศึกษาใดจึงจะเหมาะสมกับเจ้ามากที่สุด...” เยว่ซินตอบรับคำขอนี้ พร้อมกับลูบหัวของอีกฝ่ายด้วยความรักใคร่“เจ้าจะเข้าร่วมงานประลองนี้กับข้าด้วยใช่หรือไม่??” หนิงอ้ายลู่ซีขึ้น“เป็นเช่นนั้นขอรับ...” ลู่ซีที่สามารถตัดผ่านเป็

    Last Updated : 2025-02-07

Latest chapter

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่20 ตระกูลหวัง

    ขบวนรถม้าเดินทางยังคงดำเนินไปอย่างไม่รีบร้อน จุดหมายปลายทางคือจวนตระกูลหวังที่ตั้งอยู่ในมหานครแคว้นเต่าดำแห่งนี้ ตลอดเส้นทางเดินรถม้าได้ตัดผ่านหมู่บ้านน้อยใหญ่มากมาย สิ่งหนึ่งที่หนิงอ้ายสังเกตคือยิ่งเข้าใกล้ใจกลางมหานครแคว้นเต่าดำมากเท่าใดความเจริญรุ่งเรืองของบ้านเมืองรวมไปถึงความคึกคักของตลาดเเลกเปลี่ยนสินค้าก็จะเพิ่มขึ้นไปเท่านั้น''ตรงด้านหน้าจะเป็นตลาดเมืองหลวงก่อนถึงจวนตระกูลหวัง หนิงอ้าย ลู่ซี เจ้าทั้งสองจะแวะก่อนหรือไม่?'' เยว่ซินเอ่ยถามเด็กหนุ่มทั้งสอง เพราะหากพ้นเขตตลาดเมืองหลวงนี้ไปอีกเพียงไม่ถึงเค่อก็จะถึงจวนตระกูลหวังเเล้ว''แวะขอรับท่านเเม่ ข้าจะหาซื้อของฝากติดไม้ติดมือให้ท่านตาและท่านยายด้วยขอรับ!'' หนิงอ้ายตอบมารดาไปในทันที ในโลกเดิมของเขาสำหรับการเข้าพบปะผู้อาวุโสที่มีอายุมากกว่า ตามมารยาทที่พึงกระทำแล้วผู้น้อยควรมีของฝากติดมือไปฝากเสมอ เป็นการเเสดงถึงความเคารพให้เกียรตินั่นเองนับว่าผิดจากหนิงอ้ายเคยคิดไว้ไปเสียมาก มหานครแคว้นเต่าดำนี้มีพื้นที่กว้างขวางใหญ่โตเป็นอย่างมาก อาคารบ้านเรือนสองข้างทางดูโอ่อ่าอลังการดูเเล้วเจริญหูเจริญตาเป็นอย่างมาก ถนนหนทางจากทุกมุมเมืองที่

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่​19 ลอบสังหาร

    ตระกูลหวังเป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของแคว้นเต่าดำซึ่งถือได้ว่าเป็นอีกแคว้นใหญ่ที่มีความสำคัญเป็นอย่างมากเนื่องจากตั้งอยู่บริเวณใจกลางของมหาทวีปบูรพา จึงทำให้รอบด้านทั้งสี่ทิศของแคว้นมีอาณาเขตติดกับอีกสามแคว้นใหญ่ที่เหลือ แคว้นเต่าดำมีรูปแบบการปกครองที่ชัดเจนโดยเเบ่งออกเป็นสิบมณฑลใหญ่มีเมืองสาขาหรือเมืองในการปกครองในเเต่ละมณฑลมากกว่าสิบเมืองในการดูเเล ทั้งสิบมณฑลใหญ่อยู่ในการปกครองส่วนกลางของแคว้นเรียกว่ามหานครแคว้นเต่าดำหากกล่าวให้เข้าใจด้วยง่ายคือแคว้นเต่าดำประกอบไปด้วยเมืองน้อยใหญ่นับร้อยเมือง มีหมู่บ้านอย่างมากมายกระจายกันไปทั่วทั้งแคว้น ต้องบอกว่าเเต่ละเมืองหาได้มีความเจริญเทียบเท่ากันไม่ เพราะบางเมืองมีอาณาเขตติดกับแคว้นอื่นมักจะเป็นเมืองที่ขึ้นชื่อเป็นจุดเเลกเปลี่ยนสินค้า หรือบางเมืองยังคงรักษาขนบธรรมเนียมปฏิบัติกันมาอย่างช้านานนับว่าเป็นเสน่ห์ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน เเต่กับสิบมณฑลใหญ่ที่มีการปกครองดูเเลเมืองในรับผิดชอบของตนมักจะมีความเจริญและมีพื้นที่กว้างขวางเป็นอย่างมาก ด้วยเพราะผู้ปกครองมณฑลดังกล่าวมักจะเป็นเหล่าบรรดาผู้มีศักดิ์เป็นอ๋องเป็นเชื้อพระวงศ์นั่นเองคณะเดินทางของหนิงอ้

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่​18 สิ้นสุดกันเพียงเท่านี้

    ด้านหลังของหนิงอ้ายปรากฏเป็นวงแหวนเวทย์สีน้ำเงินเข้มแสดงถึงผู้ฝึกตนปราณธาตุน้ำระดับสาม ในตอนนี้เขากำลังเร่งทำการยกระดับพลังวิญญาณให้ข้ามผ่านขั้นย่อยให้ได้ในเร็ววัน เพราะหากยิ่งมีระดับพลังวิญญาณเพิ่มขึ้นมากเท่าใด เขาก็จะสามารถปกป้องตัวเองและท่านแม่เพิ่มขึ้นได้เท่านั้นสำหรับราชทินนามจักรพรรดิวิญญาณขั้นสามัญกับระยะเวลาเพียงหนึ่งปีเช่นนี้ นับได้ว่าหนิงอ้ายไม่ต่างไปจากอัจฉริยะคงไม่เกินจริงไปนัก ต้องบอกว่าเด็กหนุ่มโชคดีอย่างมากที่ได้ศึกษาเคล็ดวิชาลับตระกูลหวัง จึงทำให้สามารถขยายจุดตันเถียรได้รองรับและขยายเส้นปราณทั่วร่างกายเพิ่มการดูดซับพลังปราณมากกว่าคนอื่นหลายเท่าจึงทำให้เขาสามารถดูดซับพลังปราณฟ้าดินได้โดยตรง ยิ่งได้รับแรงหนุนจากจี้หยกโลหิตแล้วความสามารถในการดูดซับปราณฟ้าดินของหนิงอ้ายจึงไม่ต่างไปจากพยัคฆ์ติดปีกเสียแล้วในตอนนี้บทเวทย์โจมตีมหาบุปผชาติเหมันต์จำแลงลักษณ์!ตู้ม!สภาพอากาศโดยรอบของเขตของบทเวทย์อากาศลดลงโดยฉับพลัน ปรากฎเป็นดอกบัวเหมันต์สีขาวบริสุทธิ์ดอกใหญ่แผ่อายความเย็นจาง ๆ ไปทั่วบริเวณ ตรงด้านบนเห็นเป็นเกล็ดบัวเหมันต์หิมะที่มีไอเย็นลอยตกลงไปทั่วเขตของบทเวทย์ เมื่อตกลงถึงพื

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่​17 หย่า

    ทางฝั่งเยว่ซินหลังจากที่มีนักฆ่าเข้ามาลอบสังหารบุตรชายของนางในช่วงกลางคืนที่ผ่านมา โชคดีที่ไม่เกิดเหตุการณ์ความสูญเสียดังกล่าวขึ้น ที่น่าแปลกใจคือหนังสือจ้างวานฆ่านี้ได้ชี้ชัดว่าเป็นฝีมือของหวงลู่เอินหรือฮูหยินรองคนรักของจางเลี่ยงหวง เยว่ซินนั้นไม่มีเรื่องราวข้องเกี่ยวกับอีกฝ่ายเท่าไหร่นัก แต่หากว่าแรงจูงใจของการกระทำนี้คือนางต้องการผลักดันบุตรชายของนางขึ้นเป็นผู้สืบทอดของตระกูลแทนจางหนิงอ้ายผู้เป็นคุณชายใหญ่ของตระกูลจางสายหลักแล้วย่อมเป็นไปได้เช่นกันทั้งสิ้นแต่แล้วอย่างไรเล่า? จางเลี่ยงหวงสามีของนางก็คงไม่เชื่อต่อหลักฐานที่มีอยู่และคงเข้าข้างคนรักของตนเฉกเช่นทุกครั้ง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หนิงอ้ายถูกรังแกและโดนทำร้าย ต่อให้นางมีหลักฐานเพียงใดสามีของนางไม่เคยลงโทษหรือเอาผิดเลยซักครั้ง เยว่ซินหยิบสมุดบันทึกเล่มเก่าของตนที่อยู่ในช่องลับบนหัวเตียงขึ้นมาพร้อมกับเปิดอ่านอีกครั้งพลันย้อนคิดไปถึงอดีตเมื่อครั้งก่อนที่นางเข้ามาเป็นฮูหยินเอกของตระกูลชื่อเสียงของจางหนิงอ้ายบุตรชายของนาง ผู้คนทั้งที่อยู่ในเหตุการณ์ในพิธีปลุกพลังวิญญาณเมื่อเจ็ดปีก่อนต่างมีการร่ำลือไปอย่างเสียหาย บ้างว่าคุณชายใหญ่ห

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่​16 โชคชะตา ฟ้าลิขิต

    กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วทั้งห้อง ร่างไร้วิญญาณที่ถูกชโลมด้วยโลหิตสีแดงฉานมากมายชวนให้รู้สึกคลื่นเหียนอยู่ไม่น้อยแก่ผู้พบเห็น แต่ด้วยทุกคนในที่นี้ต่างโลดแล่นอยู่ในเส้นทางของผู้ฝึกตนเป็นเวลาหลายปี ดังนั้นย่อมเคยพบเจอเหตุการณ์ฆ่าฟันเช่นนี้ทั้งสิ้น ที่น่าแปลกใจคือหนิงอ้ายที่เป็นผู้ลงมือกระทำนั้นกลับไร้ความตกใจราวกับว่านี่เป็นสิ่งที่คุ้นชินเสียอย่างนั้น''นักฆ่าเหล่านี้แม้จะเป็นร่างไร้วิญญาณไปแล้วก็จริง แต่อย่างไรขึ้นชื่อว่าผู้ฝึกตนย่อมมีพลังลมปราณไหลเวียนอยู่ในจุดชีพจรทั่วทั้งร่างกายที่ไม่แตกต่างไปจากสัตว์อสูร หากปล่อยทิ้งเอาไว้เช่นนี้คงเสียเปล่าเป็นแน่ เช่นนั้นข้าจะนำร่างไร้วิญญาณของนักฆ่าเหล่านี้ให้กับเจียวซิ่นขอรับ...''แม้ว่าสิ่งที่หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นมาจะชวนให้ตกตะลึงในความรู้สึก เพราะการที่สัตว์อสูรในพันธะสามารถดูดซับลมปราณจากร่างไร้วิญญาณของสัตว์อสูรนั้นไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน แล้วยิ่งกับร่างไร้วิญญาณของผู้ฝึกตนเช่นนี้ย่อมไม่เคยมีผู้ใดกระทำทั้งสิ้น แต่ถึงอย่างไรคำกล่าวของหนิงอ้ายก็ไม่มีผิดถูกเช่นกันหวังฮุ่ยได้สั่งการองครักษ์ทั้งสามให้แยกย้ายกันไปเก็บกวาดร่างไร้วิญญาณของนักฆ่าสังหารที

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่​15 แขกที่ไม่ได้รับเชิญ

    หนิงอ้ายหลับตาลงพร้อมกับกำหนดลมหายใจเข้าออก พลังลมปราณฟ้าดินอันบริสุทธิ์โดยรอบที่ถูกชักนำโดยจี้หยกโลหิตส่งผลให้มวลลมปราณบริเวณนี้ต่างถูกชักนำเข้าตามจุดชีพจรไปทั่วทั้งร่างกายตามสุดยอดเคล็ดวิถี ลมปราณอันอบอุ่นวิ่งวนเข้าสู่จุดใจกลางตันเถียรไม่จบสิ้น พลังลมปราณในร่างกายที่ผ่านการเคี่ยวกรำนับสิบกว่ารอบต่างถูกอัดแน่นเป็นรากฐานบ่มเพาะที่แข็งแกร่ง วันเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนผันไปเรื่อย ๆ วันนี้ถือได้ว่าเป็นวันครบรอบอายุสิบห้าปีของจางหนิงอ้าย แน่นอนว่าทางฝั่งของนทีก็นับว่าเขาเองได้อาศัยอยู่ในร่างนี้เป็นเวลาหนึ่งปีแล้วเช่นกันหนิงอ้ายใช้เวลาไม่นานกับการจัดการตัวเอง วันนี้เขาเลือกใส่เสื้อตัวในสีขาวล้วนและเสื้อตัวนอกเป็นสีเขียวอ่อนที่ปักด้วยลวดลายใบไผ่สีเขียวมรกต เมื่อไปถึงบริเวณห้องโถงรับรองที่ตอนนี้ถูกเปลี่ยนให้เป็นงานเลี้ยงเล็ก ๆ มีท่านแม่เยว่ซิน ท่านลุงหวังฮุ่ย ท่านลุงจางปิน ท่านน้าหรันหรูที่นั่งรออยู่ แม้จะไร้เงาบิดาสารเลวในงานเลี้ยงดังกล่าวนี้ เเต่หนิงอ้ายไม่สนใจเลยสักนิดเพราะทุกคนในที่นี้ล้วนเป็นผู้ที่เขาสนิทใจทั้งสิ้น''หนิงเอ๋อร์ปีนี้เจ้าอายุครบสิบห้าปีแล้ว ตามกฎของตระกูลจางที่ปฏิบัติสืบทอดก

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่​14 อสูรราชินีแมงป่องแปดขามัจจุราช

    การเสาะหากระดูกวิญญาณได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้งในช่วงบ่ายของวันนี้ คณะเดินทางของหนิงอ้ายทั้งสี่คนต่างเดินทางกันไปเรื่อย ๆ ไม่รีบเร่ง แม้ว่าระหว่างทางจะพบเจอสัตว์อสูรจำนวนไม่น้อย แต่เพราะกลิ่นอายของผู้ฝึกตนระดับเทวะขั้นสูงที่หวังฮุ่ยปลดปล่อยออกมาในระยะสองลี้ย่อมไม่ต่างไปจากคำเตือนให้เหล่าสัตว์อสูรระดับต่ำจงหลบหลีกไปเสีย เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วจึงถือว่าการเสาะหาสัตว์อสูรที่เหมาะสมจึงเป็นไปอย่างราบรื่นยิ่งก่อนหน้านี้หนิงอ้ายได้ประสานร่างกายเข้ากับกระดูกวิญญาณล้านปีของอสรพิษเหมันต์บรรพกาล นอกจากกระดูกวิญญาณชิ้นนี้จะแปรเปลี่ยนเป็นทักษะวิญญาณยุทธ์ที่สามให้แก่เขาแล้ว ยังคงมีเงื่อนไขสำคัญคือการเสาะหากระดูกวิญญาณจากสัตว์อสูรสังกัดปราณธาตุพิษดูดซับประสานเข้ากับร่างกายเพื่อให้กระดูกวิญญาณชิ้นแรกนี้มีความสมบูรณ์พร้อมด้วยทักษะตามที่ควรจะเป็นหนิงอ้ายตั้งใจดูดซับกระดูกวิญญาณให้กับวิญญาณยุทธ์ที่สองอันเป็นปราณธาตุน้ำนี้เสียก่อน สำหรับวิญญาณยุทธ์ปราณธาตุไฟรวมไปถึงวิญญาณยุทธ์ที่สามเขาไม่จำเป็นต้องสังหารสัตว์อสูรเป็นจำนวนมากเพื่อเติมเต็มให้กระดูกวิญญาณของทั้งสามวิญญาณยุทธ์ในตอนนี้ เพราะนอกจากกระดูกวิญญาณล้าน

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่13 ปะทะราชสีห์สัตตะโลหิตสีคราม

    เช้าวันใหม่มาถึงคณะเดินทางของหนิงอ้ายทั้งสี่คนต่างรีบเร่งออกเดินทางกันแต่เช้าตรู่ จุดหมายคือเขตป่าชั้นกลางของเทือกเขาหมื่นอสูรวิญญาณ เนื่องจากบริเวณป่าชั้นนอกจะมีเพียงสัตว์อสูรทั่วไปหรือสัตว์อสูรปฐพีเท่านั้น หากเข้าสู่เขตป่าชั้นกลางเป็นต้นไปจึงจะพบเจอสัตว์อสูรนภาขั้นต่ำหรือขั้นกลางและหากโชคดีมากพออาจได้พบเจอสัตว์อสูรนภาขั้นสูงก็เป็นไปได้เช่นกัน สำหรับสัตว์อสูรมายาขั้นต่ำเป็นต้นไป สัตว์อสูรเหล่านี้จัดได้ว่าเป็นสัตว์อสูรระดับสูงที่มีความนึกคิด อีกทั้งยังเปี่ยมไปด้วยพละกำลังที่แข็งแกร่ง สามารถใช้ปราณธาตุของตนโจมตีผู้บุกรุกในอาณาเขตของตน อาจพบเห็นได้บ้างตามแนวรอยต่อของป่าชั้นกลางติดกับเขตป่าชั้นในกระจัดกระจายกันไปทั่วทั้งพื้นที่แห่งนี้ ระหว่างทางพวกเขาต่างพบเจอกับสัตว์อสูรไปไม่น้อย แต่เพราะยังมีอายุที่ไม่เหมาะสม อีกครั้งความสามารถยังเข้าไม่ได้กับวิญญาณยุทธ์ของพวกเขาทั้งสอง เห็นได้ว่าการเสาะหากระดูกวิญญาณนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด อายุของสัตว์อสูรจะสังเกตได้จากสีของพลังวิญญาณที่แผ่ซ่านออกมา จะเป็นสีเดียวกันกับพลังวิญญาณ แม้จะเป็นเผ่าพันธ์เดียวกันแต่มีอายุต่างก

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่​12 ออกเดินทางล่าสัตว์อสูร

    เนตรแห่งสวรรค์ของหนิงอ้ายหลังจากได้รับแรงกระตุ้นจากการดูดซับกระดูกวิญญาณของอสรพิษเหมันต์บรรพกาลไป หนิงอ้ายพบว่าความสามารถในการมองเห็นและการรับรู้ของเขาในตอนนี้อยู่เหนือกว่าผู้ฝึกตนในเขตขั้นเดียวกันอย่างชัดเจน รายละเอียดเล็กน้อย ข้อมูลต่าง ๆ รวมไปถึงทุกการเคลื่อนไหวในรัศมีหนึ่งลี้ไม่อาจถูกปกปิดจากสายตาหรือการรับรู้ของเขาได้ คล้ายกับว่าความสามารถทั้งหมดในโลกเดิมของเขาที่เคยใช้ได้จะถูกยกระดับเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว“หนิงเอ๋อร์ เจ้าแน่ใจใช่หรือไม่ที่จะเดินทางไปกับผู้อาวุโสหวังฮุ่ยไปยังเทือกเขาหมื่นอสูรวิญญาณในครั้งนี้?” เยว่ซินถามหนิงอ้ายอีกครั้ง แม้นางจะรู้ดีว่าด้วยระดับขุนนางวิญญาณของเด็กหนุ่มย่อมสามารถเอาตัวรอดได้อย่างไม่ยาก แต่นางยังรู้สึกเป็นกังวลเพราะอีกฝ่ายไม่เคยออกจากเขตพื้นที่เมืองหลวงนี้เสียด้วยซ้ำ“ขอรับท่านแม่ ข้ากับลู่ซีจะติดตามท่านลุงฮุ่ยไปยังเทือกเขาหมื่นอสูรวิญญาณเพื่อฝึกฝนประสบการณ์และเสาะหากระดูกวิญญาณแรกด้วยขอรับ!!” หนิงอ้ายตอบไปด้วยความมั่นใจ“เช่นนั้นแล้วแต่เจ้า รบกวนผู้อาวุโสหวังฮุ่ยดูแลทั้งสองคนด้วยนะเจ้าคะ...” เยว่ซินพูดออกมา“คุณหนูอย่าได้กังวลข้าจะดูแลคุณชายหนิงอ้าย

Scan code to read on App
DMCA.com Protection Status