ใครจะไปเชื่อว่าหลังจากตายแล้วแทนที่จะต้องไปชดใช้กรรมหรือข้ามสะพานไหน่เหอกินน้ำแกงยายเมิ่งเพื่อเกิดใหม่ เเต่กลายเป็นว่าวิญญาณของเขากลับเข้ามาอยู่ในร่างของจางหนิงอ้ายวัยสิบสี่ปี บุตรชายคนโตของจางเลี่ยงหวงที่ปัจจุบันเป็นประมุขตระกูลจางหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของแคว้นหงส์แดง มีฮูหยินเอกคือหวังเยว่ซินมารดาของหนิงอ้ายและยังมีฮูหยินรองรวมไปถึงอนุอีกสามคน สำหรับบรรดาพี่น้องร่วมบิดาเดียวกันของหนิงอ้ายต่างมีอายุลดหลั่นกันไปเพียงหนึ่งหรือสองปีเท่านั้น หากจะเรียกว่าพี่น้องก็ไม่เต็มปากเพราะแทบไม่ผูกพันธ์รักใคร่กันเท่าใดนัก พี่น้องเหล่านั้นต่างพูดจาดูแคลนไร้ซึ่งความเคารพใดแต่เจ้าของร่างนี้ไม่เคยตอบกลับทั้งสิ้น
บรรดาพี่น้องร่วมบิดาเดียวกันประกอบไปด้วย...
คุณชายใหญ่จางหนิงอ้าย
คุณชายรองจางเหยากวง
คุณหนูสามจางฝูเยว่
คุณหนูสี่จางลี่เหมย
คุณชายห้าจางหมิงหวัง
คุณหนูหกและคุณหนูเจ็ดเป็นแฝดหญิง
คนพี่จางเหมยกุ้ย
คนน้องจางเหมยฮวา
พี่น้องร่วมบิดาทั้งหกคนเมื่ออายุครบเจ็ดปีก็สามารถปลุกพลังวิญญาณได้ ในตอนนี้ทุกคนต่างเข้าศึกษาในสำนักผิงอานกันทั้งสิ้น มีเพียงจางหนิงอ้ายที่ไม่สามารถเข้าศึกษาในสำนักเนื่องด้วยไม่สามารถปลุกพลังวิญญาณได้นั่นเอง
จางเลี่ยงหวง บิดาของจางหนิงอ้ายที่ในตอนนั้นดำรงตำแหน่งเป็น ผู้สืบทอดประมุขตระกูลจาง และว่าที่ เจ้าสำนักศึกษาผิงอาน ที่มีตระกูลจางหนุนหลัง ได้ตบแต่งหวังเยว่ซินเข้ามาเป็นฮูหยินเอกของตระกูลเพราะความเหมาะสมของชาติกำเนิด ด้วยนางเป็นถึงบุตรีของฮูหยินเพียงหนึ่งเดียวของตระกูลหวังหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของแคว้นเต่าดำ แม้บิดาสารเลวจะมีคนที่รักอยู่แล้วซึ่งคือ หวงลู่เอิน
แต่ด้วยความที่นางเป็นเพียงบุตรอนุของตระกูลรองชั้นสองจึงไม่เหมาะสมที่จะเชิดหน้าชูตาสักเท่าไหร่ อีกทั้งตระกูลหวงไม่ใช่ตระกูลใหญ่ที่มีอิทธิพลของ แคว้นหงส์แดง จึงไม่สามารถแต่งนางเข้ามาเป็นฮูหยินเอกได้ แต่ด้วยความรักที่มีต่อนางหลังจากที่แต่งมารดาเขาเข้ามาหนึ่งปีจึงแต่งนางเข้ามาเป็นฮูหยินรองอีกทั้งอนุอื่น ๆ ตามเข้ามาเพื่อเสริมความแข็งแกร่งของอำนาจการปกครองให้มั่นคงมากยิ่งขึ้น
หวังเยว่ซิน หรือมารดาของจางหนิงอ้ายเป็นคุณหนูของตระกูลหวังหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของแคว้นเต่าดำ ผู้ขึ้นชื่อได้ว่าเป็นยอดพธูอันดับหนึ่งของแคว้นที่เพียบพร้อมไปด้วยฐานะของตระกูลใหญ่ รวมไปถึงทั้งศาสตร์ทั้งสี่ของสตรีก็นับว่าเป็นที่หนึ่งไม่เป็นสองรองใคร
อีกทั้งนางยังเป็นผู้ฝึกตนระดับแถวหน้าคนหนึ่งที่ไม่ธรรมดาสามัญ แน่นอนว่านางย่อมเป็นที่หมายปองของเหล่าองค์ชายในราชวงศ์และผู้ฝึกตนระดับสูงที่มีชื่อเสียงทั่วทุกแคว้นหรือแม้กระทั่งตระกูลที่มีอิทธิพลในยุทธภพกันทั้งสิ้น แต่ทว่าด้วยที่ปักใจรักบิดาสารเลวผู้นี้จึงต้องพบเจอกับชะตากรรมดังกล่าวนี้…
ย้อนไปในความทรงจำวัยที่จางหนิงอ้ายได้อายุครบเจ็ดปี ทางตระกูลจางและสำนักศึกษาผิงอานได้มีการจัดพิธีปลุกพลังวิญญาณขึ้นในลานพิธีกรรมของสำนักสำหรับลูกหลานสายหลักสายรองและศิษย์สายในสายนอกที่อยู่ในการดูแลของสำนักซึ่งผู้เข้าร่วมต้องมีอายุครบอายุเจ็ดปีเป็นต้นไปจึงจะสามารถเข้าร่วมพิธีนี้ได้
หลังจากหนิงอ้ายขึ้นแท่นพิธีทำการทดสอบแล้ว ผู้อาวุโสได้แจ้งว่าตัวเขาไม่สามารถปลุกพลังวิญญาณได้เปรียบดังสวะของตระกูลที่ไม่ต่างจากคนธรรมดาทั่วไปก็ได้สร้างความอับอายให้แก่บิดาและตระกูลจางยิ่ง ทั้งที่ฝั่งบิดาและมารดาทั้งสองล้วนมีชื่อเสียงในโลกของผู้ฝึกตนของแคว้นแต่บุตรชายคนโตของตระกูลกลับไร้ซึ่งพลังไปเสียได้
เช้าของวันรุ่งขึ้นข่าวลือในเรื่องนี้ต่างถูกกระจายไปอย่างแพร่หลายไปตามตลาด ผู้คนต่างเล่าลือว่ากันว่าพยัคฆ์ย่อมออกลูกเป็นพยัคฆ์ย่อมไม่เป็นความจริงเสียแล้วกระมังดูจากคุณชายใหญ่ตระกูลจางนั่นยังไม่สามารถเป็นผู้ฝึกตนตามรอยบิดามารดาได้
มีข่าวลือว่าหนิงอ้ายที่เป็นคุณชายใหญ่จางหนิงอ้ายที่คอยใส่ผ้าคลุมปิดบังตัวตนก็เพราะหน้าตาอัปลักษณ์ใบหน้าถูกผีกัดกินผู้ใดสบตาแล้วต่างพบความชั่วร้ายไปตลอดชีวิต นับวันชื่อเสียงของเขายิ่งเสื่อมเสียไปเรื่อย ๆ จนยากที่จะกอบกู้ได้แล้วในที่สุด
ทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นเยว่ซินก็ไม่เคยแจ้งตระกูลหวังให้รับรู้เลยซักครั้ง เนื้อหาในจดหมายที่ได้ส่งกลับไปมีเพียงแต่ความคิดถึงความเป็นห่วงบิดามารดาของตน สำหรับตัวนางถือว่าตนแต่งออกมาจากตระกูลเดิมแล้วชีวิตที่เหลือล้วนอยู่ในการดูแลของอีกฝ่ายแม้หนทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไรก็สุดแล้วแต่คนผู้นั้นจะชี้นำไป แม้นางอยากที่จะหวนกลับคืนตระกูลเดิมของตนมากเพียงใดก็ตาม
หนิงอ้ายได้ชื่อว่าเป็นคุณชายใหญ่ของตระกูลถือได้ว่ามีสิทธิได้ขึ้นเป็นประมุขของตระกูลในภายภาคหน้า แต่กลับไม่ได้สิ่งที่ควรได้รับไม่ว่าจะเป็นฐานะ การปฏิบัติดูแล ความนับถือต่าง ๆ นทีเมื่อรับรู้เรื่องราวเหล่านี้จากความทรงจำเดิมเขาเชื่อว่าหากเยว่ซินเอ่ยปากบอกตระกูลเดิมไป คร้านว่าท่านตาของเขาจะจัดแจงหนังสือหย่าอย่างรวดเร็วและรีบนั่งรถม้ามารับด้วยตนเองเพื่อพากลับตระกูลหวังในทันทีเป็นแน่
แต่นทีก็เข้าใจได้อยู่บ้างว่าการหย่าขาดจากสามีออกไปถือว่าเป็นสิ่งที่รับไม่ได้ในยุคสมัยนี้และเป็นที่น่าอับอายของตระกูลเดิมตนอีกด้วย คิดไปถึงโลกเดิมที่เขาเคยอยู่ก่อนหน้า ที่แม้ว่าจะมีถ้อยคำสวยหรูว่าชายหญิงล้วนเท่าเทียมกันทั้งสิ้น อย่างไรเล่า? สุดท้ายผู้หญิงก็โดนกดขี่ลงอีกขั้น ยิ่งกับโลกนี้ที่บุรุษเป็นที่เชิดชูกว่าสตรีเหนือสิ่งอื่นใดอย่างเห็นได้ชัดจะนับว่าเป็นอะไรได้กัน
สำหรับอาการเจ็บป่วยในตอนนี้เป็นเพราะเจ้าของร่างเดิมถูกกลั่นแกล้งจากบรรดาพี่น้องร่วมบิดาเดียวกันจนผลัดตกจากศาลาริมน้ำเมื่อหนึ่งปีก่อน เหตุการณ์ในวันนั้นเริ่มจากที่หนิงอ้ายอยากผ่อนคลายความเมื่อยล้าจากการอ่านตำราจึงขอให้ลู่ซีที่เป็นบ่าวรับใช้คนสนิทพาไปยังศาลากลางสระบัวของจวน
ขณะที่กำลังนั่งเพลิดเพลินผ่อนคลายอารมณ์เด็กหนุ่มรู้สึกว่าอากาศเช่นนี้สมควรกับการจิบชาและทานขนมเป็นอย่างยิ่ง แม้ว่าลู่ซีจะไม่ค่อยยินดีสักเท่าไหร่เนื่องจากเป็นห่วงคุณชายของตน แต่ทางฝั่งของหนิงอ้ายยืนยันว่าเขาสามารถอยู่คนเดียวได้อีกทั้งยังรับปากว่าจะรออยู่ในศาลาริมน้ำหลังนี้ ดังนั้นลู่ซีจึงรีบไปนำของว่างมาให้ทานจากโรงครัวที่อยู่ไปไม่ห่างนัก
ทันทีที่ลู่ซีหายไปจากบริเวณก็ได้มีกลุ่มคนเดินเข้ามา หนิงอ้ายจึงมองผ่านภายใต้ผ้าคลุมที่ปกปิดใบหน้าตนไว้เห็นเป็นคุณหนูใหญ่ที่เป็นบุตรีของฮูหยินรอง ตามมาด้วยคุณหนูสามบุตรีของอนุหนึ่งและคุณหนูหกและคุณหนูเจ็ดที่เป็นบุตรแฝดของอนุสามเข้ามาอย่างพร้อมหน้ากับบ่าวรับใช้คนสนิท
เมื่อเห็นว่าเป็นใครจึงพยายามไม่สนใจ เพราะหลังจากที่เขาไม่สามารถปลุกพลังวิญญาณได้เพียงคนเดียวในเหล่าบรรดาลูกของบิดาคนเหล่านี้มักจะกลั่นแกล้งหาเรื่องตนอยู่เสมอ พวกนั้นเอาแต่พูดจาดูแคลนหนิงอ้ายซึ่งเจ้าของร่างนี้ไม่เคยตอบกลับแต่อย่างใดทั้งสิ้นเพราะหากทำแบบนั้นแล้วความเดือดร้อนจะส่งผลไปถึงมารดาของตนด้วยและยิ่งหนิงอ้ายนิ่งเงียบเท่าไหร่กลายเป็นว่าถูกกลั่นแกล้งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น
หนิงอ้ายคิดว่าเขาเป็นพี่ใหญ่จึงไม่ควรถือสาบรรดาเหล่าพี่น้องร่วมบิดาเดียวกัน อีกฝ่ายยังอายุน้อยกว่าเขาหลายปี หลายครั้งที่ร่างกายของเขามีร่องรอยความบาดเจ็บรอยแผลต่าง ๆ เมื่อมารดาถามถึงที่มาของรอยฟกช้ำดังกล่าวหนิงอ้ายจะบอกเสมอว่าเกิดจากที่ตนฝึกฝนวิชาการต่อสู้และได้รับบาดเจ็บในขณะนั้น
เมื่อเป็นหลายครั้งเข้ามารดาเห็นก็ไม่สบายใจทำให้นับจากวันนั้นหนิงอ้ายได้ให้บ่าวคนสนิทของตนพกโอสถติดตัวไว้เสมอ แม้จะเป็นเพียงโอสถระดับขั้นต้นเเต่ก็ไม่ได้ทิ้งรอยบาดแผลให้มารดาของตนได้เป็นห่วง
แม้ว่าหนิงอ้ายจะหลีกเลี่ยงที่จะตอบโต้เพราะไม่อยากมีปัญหาโดยเฉพาะกับคุณหนูสามที่บิดาของเขามักจะตามใจนางอยู่เสมอ ด้วยเพราะว่าอีกฝ่ายมีใบหน้างดงามอ่อนหวานเหมือนกับฮูหยินรองรวมไปถึงเป็นผู้ฝึกตนหญิงที่มีปราณธาตุน้ำที่แข็งแกร่ง โดยที่หนิงอ้ายไม่รู้เลยว่าการที่เขานิ่งเงียบไม่ตอบโต้จะยิ่งทำให้นางโมโห จนท้ายที่สุดขณะที่หนิงอ้ายตัดสินใจจะไปรอลู่ซีที่เรือนพักของตนแล้วค่อยให้บ่าวรับใช้ไปตามลู่ซี
ขณะเดินข้ามสะพานไม้นั้นเองเขารู้สึกได้ว่ามีพลังบางอย่างผลักเขาตกสระบัวโดยไม่ทันได้ตั้งตัวเสียด้วยซ้ำ ยังดีน้ำไม่ลึกมากจึงพอสามารถตะเกียกตะกายขึ้นฝั่งได้ประจวบเหมาะกับมารดาของตนกำลังตามหาตัวอยู่เพราะหาทั่วเรือนหลังจวนแล้วไม่เจอพอได้ยินเสียงโหวกเหวกจึงมาช่วยได้ทันในที่สุด
ประมุขจางกลับมาจากสำนักศึกษาและรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้น อีกฝ่ายไม่ได้ให้ความยุติธรรมใด ๆ กับหนิงอ้ายทั้งสิ้น บิดาสารเลวนั่นให้เหตุผลว่าเป็นการเล่นของพี่น้องเพียงเท่านั้นอย่าได้ถือสาเอาความผิด เพราะตัวคนก็ปลอดภัยไม่เป็นอะไรแล้ว สำหรับคุณหนูใหญ่รวมไปถึงพี่น้องที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างขอสำนึกตนอยู่ในเรือนเป็นเวลาเจ็ดวัน บ่าวไพร่ที่อยู่ในบริเวณต่างถูกลงหวายคนละสามสิบไม้แล้วจึงไม่ควรทำให้เรื่องราวใหญ่โตเกินที่จะเป็น
เมื่อฟังคำกล่าวจบมารดาของเขาจึงตัดสินใจขอย้ายออกจากเรือนหลักไปอยู่เรือนอื่นในทันที แต่แทนที่บิดาจะกล่าวห้ามกลับมีโทสะพร้อมกับไล่ให้ย้ายออกไปที่เรือนเล็กท้ายจวน พร้อมกับยึดบ่าวรับใช้ดูเเลในเรือนเกือบทั้งหมดและมอบอำนาจฮูหยินใหญ่เกือบทั้งหมดให้ฮูหยินรอง
อีกทั้งอนุญาตให้มีบ่าวติดตัวไปเพียงไม่กี่คน เยว่ซินได้กล่าวขอสินสมรสเดิมของตนพร้อมกล่าวว่าจะไม่มาวุ่นวายกับเรือนหลักอีกเด็ดขาด จากนั้นนานนับปีจางเลี่ยงหวงก็ไม่เคยมายังเรือนเล็กติดป่าไผ่นี้เลยสักครั้ง เบี้ยหวัดรายเดือนสวัสดิการก็ไม่มอบให้คล้ายกับตัดขาดกันไม่ข้องเกี่ยวกันอีก
แต่เพราะร่างกายนี้ไม่ค่อยแข็งแรงอยู่แล้วประกอบกับสำลักน้ำเข้าไปเป็นจำนวนมาก อีกทั้งฮูหยินรองคอยรั้งท่านหมอประจำตระกูลให้รักษาบุตรของตนที่อยู่ ๆ ก็ไม่สบายในขณะนั้น พ่อบ้านจึงทำได้เพียงส่งผู้ช่วยหมอประจำตระกูลไปตรวจสอบรักษาดูแลอาการซึ่งทำได้เพียงต้มสมุนไพรไล่ไอเย็นในร่างเท่านั้น สุดท้ายหนิงอ้ายก็ดีขึ้นแต่ก็แลกมากับร่างกายที่อ่อนแอกว่าเดิมมาก
เป็นเวลาเกือบหนึ่งปีร่างกายของจางหนิงอ้ายนี้ก็สามวันดี สี่วันไข้ ทางฝั่งของเยว่ซินและบ่าวรับใช้ในเรือนเล็กต่างทราบดีว่าคุณชายใหญ่ของตนนั้นหลังจากที่ฝืนรักษามาหลายเดือนจนในที่สุดก็ได้ ร่างกายบอบบางนั้นต่อต้านการรักษาในทุกวัน
จนในคืนหนึ่งที่เงียบสงบหนิงอ้ายรู้สึกเเน่นหน้าอก ไร้ซึ่งเรี่ยวแรง ไม่มีแม้กระทั่งเสียงที่จะเอ่ยเรียกมารดาของตนเพื่อที่จะร่ำลาเสียด้วยซ้ำสุดท้ายเเล้วเมื่อทนไม่ไหวลมหายใจค่อย ๆ แผ่วหายไปจากโลกนี้ ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันที่หนิงอ้ายได้ตายลงจากโลกเดิมจากการถูกเพื่อนสนิทฆ่าตายวิญญาณจึงมาอยู่ในร่างนี้เเทนพอดี…
จากความทรงจำอื่น ๆ ก็พบว่าหนิงอ้ายถือว่ารอบรู้หนังสือเข้าขั้นอัจฉริยะเชี่ยวชาญศิลปะทั้งสี่ เพราะว่ามารดาสอนตั้งแต่ยังเด็กแต่อ่อนด้านวรยุทธ์เพราะร่างกายไม่แข็งแรงตั้งแต่เด็ก ซ้ำยังป่วยไข้จากเหตุการณ์ตกน้ำก่อนหน้านี้อีกจึงส่งผลให้ไม่สามารถปลุกพลังวิญญาณเป็นผู้ฝึกตนได้
แม้จะบอกมารดาเสมอว่าตัวเองไม่คิดมากแต่ในใจกลับคิดว่าตัวเองไม่มีค่าไร้ประโยชน์ เป็นดั่งสวะของตระกูลตามที่ทุกคนได้กล่าวถึง เป็นที่อับอายของตระกูล นับว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ติดอยู่ในใจของจางหนิงอ้ายคนเก่าจนเขานั้นสัมผัสได้
ในมหาทวีปบูรพาแห่งนี้ประกอบไปด้วยสี่แคว้นหลักคือ แคว้นเต่าดำ ซึ่งอยู่ทาง ทิศเหนือ สัญลักษณ์เป็นรูปเต่าสีดำธาตุน้ำ ฤดูหนาว แคว้นหงส์แดง ซึ่งอยู่ทางทิศใต้ สัญลักษณ์เป็นรูปหงส์สีแดง ธาตุไฟ ฤดูร้อน แคว้นมังกรเขียว ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออก สัญลักษณ์เป็นมังกรสีเขียว ธาตุไม้ ฤดูใบไม้ผลิ แคว้นเสือขาว ซึ่งอยู่ทาง ทิศตะวันตก สัญลักษณ์เป็นเสือสีขาวธาตุทอง ฤดูใบไม้ร่วง (แคว้นทั้งสี่แคว้น ประจำสี่ทิศ อ้างอิงจากตามคติความเชื่อลัทธิเต๋า)
อีกทั้งโลกนี้ไม่ใช่โลกปกติแต่เป็นโลกจีนโบราณแฟนตาซีที่ผู้คนต่างสามารถเข้าสู่วิถีของการเป็นผู้ฝึกตนได้โดยที่จะต้องมีการปลุกพลังวิญญาณและปราณธาตุในตัวเสียก่อน โดยปกติจะมีการทดสอบดังกล่าวนี้เมื่อมีอายุเจ็ดปีและต้องไม่เกินสิบห้าปี
เพราะเมื่อมีอายุมากขึ้นความยากในการปลุกพลังวิญญาณก็จะทวีเพิ่มขึ้นตามไปด้วย แน่นอนว่ามีเพียงผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะได้รับการยอมรับและเป็นที่ยำเกรง และอายุของผู้คนล้วนยืนยาวไปตามระดับฝึกตนที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้บนแผ่นดินในทุกแคว้นยังมีสำนักฝึกตนมากมายแบ่งเป็นฝั่งธรรมมะ ฝั่งอธรรม ฝั่งอสูร ที่ต่างครอบครองพื้นที่ปกครองอย่างไม่ข้องเกี่ยวกันอีกด้วย หลังจากที่เขาได้รู้เรื่องราวทั้งหมดผ่านความทรงจำจึงเริ่มวางแผนการในใจถึงวันข้างหน้าของตน...
จางหนิงอ้ายอาศัยอยู่กับมารดาที่เรือนหลังเล็กท้ายจวนติดกับป่าไผ่พร้อมกับบ่าวรับใช้เพียงไม่กี่คน ถึงแม้ว่าหวังเยว่ซินจะมีฐานะเป็นถึงฮูหยินเอกของจวน แต่ทว่าความเป็นอยู่ในตอนนี้อาจกล่าวได้ว่าไม่ค่อยดีเท่าไหร่นักยังดีที่บ่าวในเรือนนี้ล้วนต่างจงรักภักดีต่อนายของตนทั้งสองยิ่งกว่าชีวิต เนื่องจากมารดาไม่ได้รับความรักจากบิดา อีกทั้งมีเรื่องราวที่ผิดใจกันก่อนหน้าจึงทำให้เรือนน้อยท้ายจวนหลังนี้ไม่ได้รับเงินทองจากเรือนหลักมาจุนเจือนับเป็นเวลาเกือบปีเเล้ว มีแต่เพียงสินสมรสเดิมที่มารดาของเขาได้จากตระกูลเดิมก่อนที่จะแต่งเข้าตระกูลจางเพียงเท่านั้น นับวันก็ยิ่งหมดไปจากการจับจ่ายใช้สอยซื้อของจิปาถะต่าง ๆเมื่อไม่มีอำนาจในตระกูลและไม่เป็นที่รักของสามีนับว่าพอทนไหวอยู่บ้าง เพียงเเต่ไม่ถึงหนึ่งปีที่ผ่านมาในเหตุการณ์ล่าสุดที่เป็นเหตุทำให้หนิงอ้ายต้องล้มป่วยหนัก มารดาของเขาต้องการความเป็นธรรมในเรื่องดังกล่าวนี้แต่สามีของนางก็มิได้นำพาอันใด อีกทั้งยังขับไสไล่ส่งพวกเขาทั้งคู่จากเรือนหลักของจวนด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ทั้งมารดาและหนิงอ้ายจำเป็นต้องมาอาศัยในพื้นที่ส่วนหลังของจวนห่างไกลจากเรือนหลักของตระกูลจางเช่น
หนิงอ้ายนั่งมองฝูงปลาที่กำลังแหวกว่ายอยู่ในสระบัวท่ามกลางบรรยากาศยามเช้าเงียบสงบ ผมสีดำสนิทเปล่งประกายเงางามถูกมัดรวบด้วยผ้าผูกสีขาวเพียงครึ่งปล่อยส่วนที่เหลือให้ยาวสยายจรดกลางหลัง เส้นผมบางส่วนหลุดลุ่ยไปตามกรอบหน้าเรียวมนรูปไข่ที่คล้ายคลึงกับมารดาไปมากถึงเก้าในสิบส่วน ดวงตาเรียวหงส์ประกายความซุกซนสดใส ริมฝีปากบางรูปกระจับสีชมพูระเรื่อ จมูกเรียวโด่งรับกับใบหน้างดงามราวกับเป็นเซียนหญิงคงไม่เกินจริงไปนัก“หนิงเอ๋อร์ แน่ใจใช่หรือไม่ว่าหายดีแล้ว? แม่เป็นห่วงเจ้ายิ่งนัก” เย่วซินถามขึ้นพร้อมกับเดินไปหาบุตรชายที่นั่งอยู่ในศาลาริมสระบัวข้างเรือน“ข้าหายดีแล้วท่านแม่ อีกทั้งยังรู้สึกแข็งแรงขึ้นมากกว่าเดิมด้วยขอรับ...” หนิงอ้ายตอบกลับไปเพื่อให้อีกฝ่ายคลายความกังวลก่อนตัดสินใจเอ่ยในสิ่งที่ได้ครุ่นคิดมาอย่างดีแล้วในตลอดหนึ่งเดือนนี้“ท่านคิดเห็นอย่างไรหากว่าข้าอยากเป็นผู้ฝึกตนและต้องการปลุกพลังวิญญาณขอรับ?”“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเอ่ยสิ่งใดออกมา?” เย่วซินที่ได้ยินจึงถามกลับไปด้วยความประหลาดใจ เพราะหลังจากที่เด็กหนุ่มไม่สามารถปลุกพลังวิญญาณได้ในตอนอายุเจ็ดปีบุตรชายของนางก็ไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องนี้เลยสักคร
เยว่ซินเดินนำหนิงอ้ายเข้ามาในเรือนก่อนที่จะหายเข้าไปในห้องนอน ก่อนจะออกมาพร้อมกับของในมือแล้วจึงตรงไปยังห้องโถงรับรองของเรือนนี้ สิ่งที่เยว่ซินถืออยู่ในมือเป็นหีบไม้ขนาดย่อมสีดำทองฉลุลวดลายงดงามอ่อนช้อยแต่แฝงไปด้วยกลิ่นอายความดุดัน หนิงอ้ายสัมผัสได้ถึงพลังบางอย่างที่อยู่ในกล่องคล้ายกับจะเรียกร้องหาเป็นความรู้สึกคุ้นเคยตีตื้นขึ้นมาในอกมันมีทั้งความสุขปนเศร้าตีรวนจนแยกไม่ออกหลังจากที่หีบได้ถูกเปิดออกปรากฎแก่สายตาจึงเห็นว่าภายในหีบไม้แกะสลักนี้ถูกบุด้วยผ้าสีแดงกำมะหยี่เนื้อดีตกแต่งด้วยหมุดทองสวยงาม เยว่ซินได้บอกว่าสิ่งนี้เป็นมรดกสืบทอดจากตระกูลหวังที่บิดามอบให้และตอนนี้นางได้ส่งต่อมาให้เขาเป็นเจ้าของแล้วในที่สุด ประกอบไปด้วยตำราเคล็ดวิชาจำนวนสามเล่ม ตำราแรกคือเคล็ดวิชาสยบอัสนีเมฆาอันเป็นเคล็ดวิชาดูดซับปราณฟ้าดินประจำตระกูล สองคือเคล็ดวิชากระบี่สักกะดารารายอันเป็นวิชากระบี่เลื่องชื่อในยุทธภพ ส่วนเล่มสุดท้ายนั่นคือเคล็ดวิชาก้าวย่างทะยานหมื่นลี้เป็นเคล็ดวิชาตัวเบาประจำของตระกูลหวัง ทั้งสามตำรานี้ล้วนเป็นฉบับจริงทั้งสิ้นยังมีจี้หยกสีแดงทับทิมที่เยว่ซินทราบเพียงสิ่งนี้คล้ายกับเครื่องรางปกป้
หนิงอ้ายรู้สึกดีใจและพึงพอใจเป็นอย่างมากที่เขาสามารถทำการปลุกพลังวิญญาณได้สำเร็จและกลายเป็นผู้ฝึกตนราชทินนามก่อเกิดวิญญาณระดับสิบได้เช่นนี้ หลังจากที่จัดการตัวเองเรียบร้อยแล้วไม่รอช้าออกจากไปหามารดาที่ห้องโถงของเรือนนี้ในทันที“หนิงเอ๋อร์ รู้สึกอย่างไรบ้างเจ้า?” เยว่ซินที่สัมผัสได้ถึงพลังลมปราณอ่อน ๆ จากตัวของเด็กหนุ่ม นั่นย่อมหมายความว่าในตอนนี้อีกฝ่ายสามารถข้ามผ่านเป็นผู้ฝึกตนได้สำเร็จแล้ว อย่างไรนางก็ถามกลับไปเพื่อความแน่ใจอีกครั้งว่าอีกฝ่ายไม่ได้รับผลกระทบใดยอมรับว่าตลอดทั้งคืนนางได้แต่เป็นห่วงกระวนกระวายจนนอนหลับไม่สนิท ในขณะที่หนิงอ้ายกำลังปลุกพลังวิญญาณนางได้ยินเสียงกรีดร้องของเด็กหนุ่มอย่างทรมานดังขึ้นอยู่หลายชั่วยามจนหายเงียบไปที่สุด ในใจของนางเต็มไปด้วยความเป็นห่วงยิ่งนัก แต่นางก็ไม่สามารถเข้าไปขัดขวางในขณะทำการปลุกพลังวิญญาณของเด็กหนุ่ม เพราะหากทำอย่างย่อมที่จะส่งผลเสียต่อเด็กหนุ่มมากมายเพียงใดก็สุดจะรู้ได้บิดาของนางก็เคยบอกเอาไว้ว่าในการปลุกพลังวิญญาณจะสำเร็จหรือไม่ขึ้นอยู่กับลิขิตฟ้าชะตาสวรรค์ถือว่าเป็นการทดสอบทั้งร่างกายและจิตใจของผู้ฝึกตนเพราะเมื่อได้ทำการเลือกใช้ชีวิ
วันเวลาผันผ่านไปหนิงอ้ายสามารถเลื่อนระดับลมปราณเป็นผู้ฝึกตนระดับขุนพลวิญญาณขั้นกลางแล้ว อีกเพียงไม่กี่ขั้นย่อยก็จะสามารถเลื่อนระดับเป็นผู้ฝึกตนขุนพลวิญญาณขั้นสูงได้สำเร็จ ด้วยระยะเวลาสั้นเพียงนี้กับความก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดดที่ทอดสายตาไปทั่วทั้งยุทธภพแล้วยังยากที่จะพบเห็นได้โดยง่าย ทั้งที่หกเดือนก่อนหน้าเด็กหนุ่มยังเป็นเพียงคนธรรมดาไร้ซึ่งพลังลมปราณที่พึ่งเข้าสู่วิถีของผู้ฝึกตนเพียงเท่านั้น หากมีผู้ใดล่วงรู้ในสิ่งนี้ย่อมสร้างความแตกตื่นในแวดวงของผู้ฝึกตนได้อย่างแน่นอน…“หนิงเอ๋อร์ ตอนนี้เจ้าเป็นผู้ฝึกตนระดับขุนพลวิญญาณแล้วเจ้าสัมผัสได้ถึงวิญญาณยุทธ์ของเจ้าได้แล้วหรือไม่? แสดงวิญญาณยุทธ์ของเจ้าให้มารดาดูเสียหน่อย...” เยว่ซินเอ่ยขึ้นกับบุตรชายของตน เนื่องจากเด็กหนุ่มในตอนนี้ถึงเขตขั้นราชทินนามขุนพลวิญญาณแล้วย่อมสามารถเรียกใช้วิญญาณยุทธ์ต้นกำเนิดของตนออกมาได้“ขอรับท่านแม่...”วิญญาณยุทธ์ปักษาสวรรค์เพลิงศักดิ์สิทธิ์ สถิตร่าง!!วูบ!หนิงอ้ายยกมือประสานขึ้นพร้อมกับปล่อยพลังวิญญาณระดับขุนพลวิญญาณของตนออกมา ก่อเกิดเป็นหมอกควันสีแดงทองที่ผนึกขึ้นเป็นปีกปักษาเพลิงขนาดใหญ่ตรงด้านหลัง กลิ่นอาย
แต่ละวันของหนิงอ้ายแทบจะเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง เริ่มตั้งแต่ตื่นเช้ามาออกกำลังโดยการวิ่งรอบจวนเสร็จแล้วก็ทานข้าวกับเยว่ซินผู้เป็นมารดา ในช่วงสายทำการศึกษาวิชาตำราต่าง ๆ เพื่อทบทวนความรู้ ช่วงเย็นทำการฝึกฝนวรยุทธรวมไปถึงการควบคุมใช้ปราณธาตุให้คล่องแคล่ว ยามกลางคืนอย่างน้อยวันละสองชั่วยามก็จะทำการนั่งดูดซับพลังปราณฟ้าดิน ด้วยความที่หนิงอ้ายทั้งคนเก่าและเขาในตอนนี้นั้นนิสัยแทบจะเหมือนกันทุกอย่างยิ่งเมื่อสนใจกับสิ่งใดแล้วก็จะจดจ่อมุ่งมั่นทำให้เต็มที่เสมอจึงทำให้มารดาหรือบ่าวรับใช้ในเรือนไม่รู้สึกถึงความแตกต่างกันโดยเฉพาะกับลู่ซีเป็นบ่าวรับใช้คนสนิทที่คอยดูแลหนิงอ้ายมาตั้งแต่ประมาณเจ็ดปี ย่อมรู้สึกถึงในความเปลี่ยนแปลงในนิสัยเล็กน้อยบางอย่าง แต่เมื่อคิดว่าคุณชายของตนนั้นผ่านอะไรมามากมายตั้งแต่เด็กถึงตอนนี้ไม่แปลกที่คุณชายจะมุ่งมั่นในการฝึกฝนให้ตนเองแข็งแกร่งขึ้นเพื่อที่จะดูแลตนเองและปกป้องสิ่งที่รักได้ แน่นอนว่าลู่ซีคนนี้สาบานจะอยู่เคียงข้างคุณชายของตนเสมอไม่เปลี่ยนไป“คุณชาย ท่านไม่คิดจะทำอย่างอื่นเลยหรือขอรับ?” ลู่ซีสอบถามเป็นกังวลเล็กน้อยเนื่องจากท่านเย่วซินมารดาของคุณชายนั้นเห็นว่าหนิ
มองจากด้านนอกของหอประมูลพยัคฆ์รัตติกาลว่ามีพื้นที่กว้างขวางแล้ว ชั้นใต้ดินด้านล่างก็มีพื้นที่มากมายไปไม่แตกต่างกันเสียด้วยซ้ำ เพราะตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามาในบริเวณหนิงอ้ายก็พบว่าทั้งชั้นใต้ดินนี้มีที่คุมขังสัตว์อสูรมากมาย แน่นอนว่ากรงขังต่าง ๆ เหล่านี้ต่างถูกกำกับด้วยบทเวทย์ป้องกันและบทเวทย์ที่ใช้ข่มพลังของสัตว์อสูรโดยเฉพาะนอกจากนั้นยังมีกรงเหล็กขนาดน้อยใหญ่แตกต่างกันไปที่มีการจำแนกสัตว์อสูรเป็นประเภทของแต่ละปราณธาตุสังกัด ด้วยความที่ผู้ฝึกตนสามารถทำการผูกพันธะกับสัตว์อสูรซึ่งอาจจะเพียงแค่หนึ่งครั้งในชีวิต ดังนั้นการเลือกสัตว์อสูรรับใช้ดังกล่าวผู้ฝึกตนจะเลือกโดยการอิงตามปราณธาตุที่ตนเองถนัดเพื่อจะเป็นประโยชน์ในการต่อสู้ของตนเองมากที่สุด“แล้วต้องมีพลังวิญญาณระดับใดกันจึงจะสามารถทำการผูกพันธะกับสัตว์อสูรได้?” หนิงอ้ายถามกลับลู่ซีไปอีกครั้ง“ความจริงแล้วผู้ฝึกตนระดับแรกเริ่มหรือระดับก่อเกิดวิญญาณก็สามารถทำการผูกพันธะกับสัตว์อสูรได้แล้วขอรับ แต่เงื่อนไขคือสามารถทำได้เพียงหนึ่งครั้งเท่านั้นจนกว่าจะมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งซึ่งคือผู้ผูกพันธะหรือสัตว์อสูรได้ตายลงไป ที่สำคัญคือขึ้นอยู่กับสัตว์อสูรว่าจ
ยอมรับตามตรงว่าก่อนหน้านี้มีหลายครั้งที่นทีได้แต่ครุ่นคิดอยู่ในใจ ว่าเพราะอะไรทำไมเขาถึงได้มาอยู่ในโลกใบนี้ได้กัน หรืออาจเป็นเพราะหนิงอ้ายคนเก่าต้องการให้เขาแก้แค้นอย่างนั้นหรือ? แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่ เพราะตัวเขาไม่เคยสัมผัสได้ถึงความรู้สึกในแง่ลบเหล่านี้เลยสักนิด เจ้าของร่างเดิมยังคงเด็กเกินไปจึงมีแต่ความอ่อนโยนจิตใจดี ซึ่งมันแตกต่างไม่ใช่ตัวเขาเป็นอย่างมากเลยทีเดียวนทีเมื่อได้รับโอกาสที่ได้มีชีวิตใหม่อีกครั้ง มีเยว่ซินผู้เป็นมารดาที่รักและเป็นห่วงเขาอยู่เสมอ ผู้อาวุโสหวังฮุ่ยที่เสียสละเวลาสั่งสอนความรู้อย่างไม่หวงแหน ลู่ซีที่เปรียบเสมือนเพื่อนสนิท ไหนจะเจ้าเจียวซิ่นที่เขารักเอ็นดูเหมือนลูกน้อยคนหนึ่ง ดังนั้นเขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้นกว่านี้เพื่อที่จะปกป้องคนที่เขารักได้ ในตอนนี้เขาสามารถใช้เคล็ดวิชาย่างก้าวทะยานหมื่นลี้ได้อย่างคล่องแคล่วและมีความคุ้นชินกว่าเดิมมาก ยิ่งเมื่อเขาได้นำมาประสานเข้ากับศิลปะการต่อสู้จากโลกเดิมที่เขาคุ้นเคยแล้ว เวลาได้ฝึกซ้อมกับผู้อาวุโสหวังฮุ่ยกับเหล่าองครักษ์คนอื่น ๆ แม้เขาจะเสียเปรียบในด้านร่างกายแต่ทว่าสิ่งที่เขานำมาพลิกแพลงในตอนนี้กลับสามารถช่วงชิงความได้เป
ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู
ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง
คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต
การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์
หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร
ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต
มหาพิภพพิสดารแห่งนี้ประกอบไปด้วยสามพิภพ สี่มหาสมุทร แปดมหาทวีป โดยที่สามพิภพนั้นจะแบ่งเป็นดินแดนพิภพระดับสูง ดินแดนพิภพระดับกลางและพิภพระดับล่าง โดยมีสี่ทะเลมหาสมุทรตั้งอยู่ 4 ทิศล้อมรอบที่เชื่อว่าเป็นที่พักพิงของเทพบรรพกาลสูงสุดทั้งสาม และแปดมหาทวีปที่ได้มีการแบ่งการปกครองตามทิศทั้งแปดของดินแดนพิภพระดับกลาง ด้วยเพราะต่างมีผู้ปกครองดินแดนอันเป็นตัวตนที่ไม่ธรรมดาสามัญทั้งสิ้น ดังนั้นการเดินทางข้ามผ่านแต่ละเขตดินแดนจึงจำเป็นต้องมีเงื่อนไขกฎเกณฑ์ที่แตกต่างกันไปสำหรับการเดินทางข้ามเขตแดนทั้งสามพิภพโดยเฉพาะดินแดนพิภพระดับสูงและดินแดนพิภพระดับกลางนั้น เงื่อนไขสำคัญคือผู้ฝึกตนที่บ่มเพาะพลังปราณในดินแดนพิภพระดับกลาง หากไม่สามารถเลื่อนระดับเป็นราชทินนามอัครพรหมยุทธ์วิญญาณหรือครอบครองพลังวิญญาณในระดับที่101ได้ย่อมไม่อาจก้าวล้ำมายังดินแดนพิภพระดับสูงนี้ได้ด้วยขีดจำกัดของกายเนื้อที่ไม่สามารถรองรับพลังปราณฟ้าดินบริสุทธิ์เข้มข้นที่ไหลเวียนหล่อเลี้ยงทั่วทั้งมหาพิภพ เพราะหากไร้ซึ่งความแข็งแกร่งของสายโลหิตและพลังปราณที่ล้ำลึกที่เพียงพอ ไม่กี่ชั่วลมหายใจร่างกายและจิตวิญญาณย่อมถูกบดขยี้ไปสิ้นแต่ในทางก
ไม่น่าเชื่อว่าเพียงหนึ่งราตรีที่ผ่านพ้น สำนักหมาป่าทมิฬจะถูกฆ่าล้างสำนักจนไม่เหลือแม้แต่ผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว การจู่โจมโดยไม่อาจตั้งตัวนั้นได้ส่งผลให้เหล่าสมาชิกในสำนักต้องสังเวยชีวิตอย่างน่าสลดใจ สิ่งนี้กล่าวว่าได้สร้างความตื่นตะลึงแก่กลุ่มอิทธิพลมืดในยุทธภพอยู่ไม่น้อย แม้ว่าสำนักหมาป่าทมิฬจะเป็นสำนักที่พึ่งก่อตั้งได้ไม่กี่สิบปีแต่ก็มีชื่อเสียงโด่งดังในด้านความโหดเหี้ยมและไร้ความปรานี การล่มสลายของสำนักในครั้งนี้จึงกลายเป็นปริศนาที่ยากจะคาดเดาได้ว่าจะเกิดขึ้นสิ่งที่น่าตื่นตะลึงนั่นคืออดีตผู้ก่อตั้งสำนักนั้นเป็นถึงราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณที่มีรากฐานบ่มเพาะไม่ธรรมดาสามัญรวมไปถึงเจ้าสำนักคนปัจจุบันนั้นก็เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นสูงที่มากไปด้วยความสามารถไม่อ่อนด้อยแม้จะขึ้นชื่อในเรื่องของความวิปริตมากกว่าก็ตาม ไม่นับรวมถึงบรรดาผู้อาวุโสที่ล้วนต่างเป็นราชทินนามระดับสูงที่ไม่อาจดูแคลนได้ทั้งสถานที่ตั้งยังรายล้อมไปด้วยมหาค่ายกลเขตแดนธรรมชาติที่ใช่ว่าจะสามารถบุกฝ่าทะลวงไปได้โดยง่าย ข่าวการกวาดล้างสำนักหมาป่าทมิฬได้แพร่สะพัดออกไปราวกับไฟลามทุ่ง ไม่รู้ว่าทางสำนักได้ไปรับภารกิจหรือได้ล
ท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดและเศษซากร่างไร้วิญญาณของศัตรูที่พ่ายแพ้ หนิงอ้ายเรียกใช้พลังปราณตวัดเอาแหวนมิติและสมบัติวิเศษประจำตัวของผู้ตกตายทั้งหมดย้ายเข้ามาในแหวนมิติของตนอย่างไรสิ่งเหล่านี้ย่อมสามารถทำประโยชน์ได้อยู่ไม่น้อย ในใจเขาไม่นึกรังเกียจเลยเพียงนิด การเข่นฆ่าสังหารแล้วช่วงชิงสิ่งของของผู้ที่ตกตายไปนั้นเป็นสิ่งที่พบเจอได้ทั่วไปในยุทธภพจากนั้นหนิงอ้ายได้ระดมเรียกเปลวเพลิงบริสุทธิ์จากปราณทิวาธาตุเข้าแผดเผาเศษซากชิ้นเนื้อรวมไปถึงจิตวิญญาณของบรรดานักฆ่าเหล่านี้ให้สูญสลายโดยไม่อาจหวนคืนในวัฏจักรสังขารได้อีก จากเศษเสี้ยวความทรงจำที่เขาสัมผัสได้นั้นคนกลุ่มนี้หาใช่เป็นคนดีแต่อย่างใด ตลอดช่วงอายุที่ผ่านมาก็ล้วนแต่กระทำต่ำช้า สังหารผู้บริสุทธิ์มาไม่น้อย เพียงเท่านี้ย่อมไม่อาจชดเชยได้เสียด้วยซ้ำไม่ถึงครึ่งเค่อให้หลัง ห้วงมิติที่ถูกผนึกไว้เมื่อไร้ซึ่งผู้บัญชาการยามนี้ม่านพลังประหลาดดังกล่าวจึงได้ซ่านสลายไปในที่สุด เผยให้เห็นหมู่เมฆาที่ล่องลอยประดับเหนือท้องฟ้า เสียงแมลงน้อยใหญ่ดังขึ้นทั่วทั้งผืนป่าโดยรอบขับขานบรรเลงสอดประสานเป็นท่วงทำนองเสนาะหู แสงไฟเวทย์จากอาคารบ้านเรือน เสียงโหวกเหวกโวยวาย