เวินหนี่คาดเดาไว้บ้างแล้ว เธอจึงถามว่า “ใครเป็นคนบอกคะ?”จางลี่หงชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะตอบด้วยความลังเล “ไม่รู้ชื่อหรอก ไม่ทันได้ถามชื่อด้วยซ้ำ เห็นแค่ว่าเป็นเด็กสาวคนหนึ่ง ฉันนี่มันโง่จริง ๆ ที่ไปเชื่อคำพูดของคนแปลกหน้า!”เธอร้องไห้หนักขึ้น เมื่อเริ่มตระหนักว่าถูกหลอกใช้เวินซู่ที่ไม่สามารถรับมือกับการถูกด่าทอและโจมตีจากผู้ชมออนไลน์ได้ สีหน้าของเธอจึงซีดเผือดและร้องไห้ออกมาในขณะที่พูด “ฉันจะทำยังไงดี ฉันจบเห่แล้วแน่ ๆ ไม่มีบริษัทไหนจะรับฉันฝึกงานแล้ว พี่ พี่ช่วยฉันที ฉันไม่ไปฝึกงานที่บริษัทตระกูลเย่ก็ได้ แต่ช่วยอธิบายให้หน่อยว่าฉันไม่ใช่คนเลวร้ายขนาดนั้น ไม่อย่างนั้น ฉันจะไปเจอผู้คนได้ยังไง จะหางานทำได้ยังไง!”แม่ลูกทั้งสองคนต่างพากันอ้อนวอนขอความช่วยเหลือจากเวินหนี่“หนีหนี่ ฉันขอร้องล่ะ ไม่ต้องทำเพื่อฉันก็ได้ แต่ทำเพื่อน้องสาวเธอเถอะนะ ฉันจะคุกเข่าขอร้องเธอก็ได้!” จางลี่หงรู้ว่าสถานการณ์มันร้ายแรงมาก เธอจึงยอมทำทุกอย่างเพื่อช่วยลูกสาวเอาไว้เวินหนี่ไม่ตอบอะไร การมีเมตตาต่อคนอื่นในสถานการณ์แบบนี้เท่ากับทำร้ายตัวเองเติ้งจวนเห็นท่าทางของพวกเขาจึงรีบเข้าไปดึงตัวจางลี่หงขึ้นมา “อย
เงาร่างนั้นดูเหมือนคนหนึ่งที่เธอรู้จักแต่เธอก็ไม่แน่ใจ แค่อยากจะเดินเข้าไปดูให้ชัด ๆ พอเดินไปถึงข้างถนนก็มีคนคว้ามือเธอไว้“หนีหนี่ ครั้งนี้ได้โปรดยกโทษให้อาเถอะนะ อาจะไม่หาเรื่องทำร้ายเธออีกแล้ว อาผิดไปแล้ว!” จางลี่หงกลัวว่าจะถูกตำรวจพาตัวไปและอาจจะติดคุก ขอร้องเวินหนี่ให้ยอมอภัยด้วยหวังว่าจะไม่ต้องรับผลร้ายที่ตนก่อ“ปล่อยฉันค่ะ”เวินหนี่อยากตามคนนั้นไป เมื่อเธอเห็นคนนั้นเดินไกลออกไปมากขึ้นเรื่อย ๆ เธอก็พยายามดิ้นออกจากมือของจางลี่หงจางลี่หงจับมือเธอแน่นด้วยดวงตาแดงก่ำสิ้นหวัง “แม้ว่าเธอจะไม่เห็นแก่หน้าฉัน ก็เห็นแก่อาของเธอเถอะนะ เห็นแก่ตระกูลเวิน ถ้าเราสองแม่ลูกติดคุก อาของเธอจะทำอย่างไร?”“พี่คะ!” เวินซู่คุกเข่าต่อหน้าเวินหนี่ “ได้โปรดยกโทษให้ฉันด้วย ฉันยังไม่จบการศึกษาเลย ฉันไม่อยากติดคุก ฉันกำลังจะต้องไปฝึกงานแล้ว ในสถานการณ์แบบนี้ บริษัทไหนจะยอมรับฉันอีก? ฉันไม่อยากถูกคนดูถูก ฉันเป็นน้องสาวพี่นะคะ อย่าเอาผิดกับฉันเลยได้ไหมคะ?”“ขอร้องล่ะ!”ทั้งสองดึงเวินหนี่ไว้ไม่ปล่อยให้เธอไป เวินหนี่ไม่สามารถหลุดพ้นจากการพัวพันของพวกหล่อนได้ และคนผู้นั้นหายไปแล้ว แถมข้างถนนยังมีรถ
เวินหนี่ยืนรออยู่ด้านนอกห้องผ่าตัดอย่างกระวนกระวาย ตะปูฝังเข้าไปลึกและจำเป็นต้องทำการผ่าตัดเพื่อเอาออกเธอแค่กังวลว่าเย่หนานโจวจะบาดเจ็บถึงอวัยวะภายใน“หนานโจวเป็นยังไงบ้าง?” เติ้งจวนถามอย่างเป็นกังวลหลังจากมาถึง“ยังไม่ออกมาจากห้องผ่าตัดเลยค่ะ” เวินหนี่ตอบเติ้งจวนพูด “เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ยังไง? จางลี่หงคนนี้ไม่เคยทำเรื่องดีเลยจริง ๆ ตอนนี้มาทำร้ายลูกเขยของฉันอีก!”เวินจ้าวไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่รออย่างเงียบ ๆจากนั้นคุณหมอก็ออกมาจากห้องผ่าตัด“คุณหมอ เป็นยังไงบ้างคะ?” เติ้งจวนถามแพทย์กล่าว “เอาตะปูออกมาได้แล้วครับไม่ต้องห่วง ไม่มีอวัยวะสำคัญได้รับบาดเจ็บ พักฟื้นสองสามก็ออกโรงพยาบาลได้ครับ”แล้วทุกคนก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกเวินหนี่เองก็โล่งอกเช่นกันเพราะเย่หนานโจวได้รับบาดเจ็บเพราะปกป้องเธอ เธออดโทษตัวเองไม่ได้เย่หนานโจวยังคงสลบอยู่ เขาถูกส่งตัวไปที่แผนกทั่วไปเธอนั่งอยู่ข้างนอกเงียบ ๆ คิดถึงเรื่องที่เย่หนานโจวปกป้องเธอโดยไม่คำนึงถึงอันตรายบางครั้งเขาก็ดีกับเธอแต่บางครั้งก็ใจร้ายมากเติ้งจวนคิดว่าเวินหนี่กังวลเกี่ยวกับเย่หนานโจว ดังนั้นเธอจึงปลอบใจ “หนีหนี่ หนานโ
เย่ซูเฟินสถบอย่างเย็นชา “แน่นอนว่าฉันทำเพื่อลูกชายของฉัน! ลูกชายของฉันแต่งงานกับลูกสาวของเธอแล้วได้ประโยชน์อะไร? ได้แต่มาคอยเก็บกวานเรื่องยุ่ง ๆ ให้พวกเธอ ครอบครัวของพวกเธอทำอะไรได้อีกนอกจากสร้างความลำบากให้เย่หนานโจว!”ขณะที่พูดเธอก็หัวเราะหยันแล้วพูดสิ่งที่คิดออกมา “ตอนนี้มาแสร้งทำเป็นว่ารักลูกสาวอย่างสุดซึ้งงั้นเหรอ? ทีตอนนั้นที่ขายลูกสาวได้ก็ดีใจกันมากไม่ใช่หรือไง?”“พอได้แล้ว!”เวินหนี่ขัดจังหวะเย่ซูเฟินด้วยใบหน้าที่เย็นชาเธอรู้ว่าเงินห้าสิบล้านเป็นเหตุผลที่เย่ซูเฟินดูถูกเธอและถึงแม้ว่าจะไม่มีเรื่องนี้ แต่เย่ซูเฟินก็จะไม่ชอบที่เธอแต่งงานเข้าตระกูลเย่อยู่ดีเธอตอบตกลงคุณปู่เพราะเหตุผลห้าสิบล้านนี้ก็เป็นเรื่องจริง แต่เธอเองก็ชอบเย่หนานโจวด้วย คุณปู่สังเกตเห็นเรื่องนี้ ถึงได้ให้เธอแต่งงานกับเขาหากเป็นคนอื่นเธอเองก็คงไม่แต่งหลายปีมานี้ การแต่งงานของเธอกับเย่หนานโจวนั้นไม่ได้ราบรื่นแต่มูลค่าทรัพย์สินที่เธอช่วยสร้างให้เย่หนานโจวได้นั้นมันกว่า 50 ล้านบาทแล้วเธอรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องทนถูกเย่ซูเฟินดูถูก เธอมองไปที่เย่ซูเฟิน “คุณจะพูดว่าฉันยังไงก็ได้ แต่คุณไม่สามารถพูดแบบน
ในที่สุดวันนี้เวินจ้าวก็ได้รู้สถานการณ์แท้จริงจากปากของเย่ซูเฟิน เขามองไปที่เวินหนี่ “เวินหนี่ ลูกแต่งงานกับเย่หนานโจวเพราะเงิน 50 ล้านใช่ไหม?”สีหน้าเวินหนี่ซีดเผือด เธอกัดริมฝีปาก “พ่อคะ…”“คุณปู่เป็นคนจิตใจดี จุดนี้ฉันยอมรับ แต่การแต่งงานที่ดีไม่สามารถบังคับกันได้” เวินจ้าวพูดอย่างสงบ “หนี้ 50 ล้านเราจะหาทางจ่ายคืนเอง”เติ้งจวนก็ไม่มีอะไรจะพูดอีกแล้ว เธอนึกว่าตัวเองได้ลูกเขยดีที่สามารถฝากเวินหนี่ไว้กับเขาได้เสียอีกแต่สุดท้ายกลับ…ในเมื่อเรื่องราวดำเนินมาถึงจุดนี้ การหย่าคือข้อสรุปสุดท้าย แล้วจะยังลังเลอะไรอีก?เวินหนี่คิดอยู่ครู่หนึ่งและดูเหมือนว่าไม่จำเป็นต้องฝืนต่อไปแล้ว เธอลดสายตาลงแล้วพูดว่า “เข้าใจแล้วค่ะ”เย่หนานโจวมองไปที่เวินหนี่ ไม่รู้ว่าเธอต้องการจะพูดอะไรเวินหนี่พูดอย่างตรงไปตรงมา “พ่อคะแม่คะ ในเมื่อมาถึงจุดนี้แล้ว หนูก็ไม่มีอะไรจะซ่อนอีก หนูมีข้อตกลงแต่งงานกับแย่หนานโจวเป็นเวลาสามปี เงิน 50 ล้านแลกกับชีวิตวัยเยาว์ของหนู …”เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เวินหนี่ก็ไม่รู้ว่าทำไม ดวงตาของเธอรู้สึกแสบขึ้นมาเล็กน้อย แต่เธอก็ยังพยายามกลั้นน้ำตาไว้ “หลังจากสามปี หนูกับเย่ห
ทั้งสองครอบครัวต่างก็ตกใจเย่ซูเฟินมองไปที่เด็กสาวตรงหน้าและตกใจเกินกว่าจะโต้ตอบ เธอถามย้ำอีกครั้ง “เธอพูดว่าอะไรนะ? เธอกำลังตั้งท้องลูกของลูกชายฉันงั้นเหรอ?”โจวเสี่ยวหลินรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย ไม่รู้ว่าหากพูดออกไปแล้วจะเกิดผลอะไรตามมา แต่ทำได้แค่เพียงลองเสี่ยงดูเท่านั้นเธอพยักหน้า “ใช่ค่ะ... ฉันท้องลูกของประธานเย่ค่ะ!”คราวนี้ได้ยินกันอย่างชัดเจนว่าเธอกำลังตั้งท้องลูกของเย่หนานโจวเวินจ้าวและเติ้งจวนตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนสีหน้าของพวกเขาจะดูน่าเกลียด พวกเขาไม่คิดว่าเย่หนานโจวถึงขนาดจะแอบมีลูกกับคนอื่นอยู่ข้างนอก!แล้วลูกสาวของพวกเขาใช้ชีวิตแบบไหนในตระกูลเย่กันแน่?เย่ซูเฟินมีความสุขมาก แม้ว่าจะไม่ใช่ลูกของลู่ม่านเซิง แต่ขอเพียงไม่ใช่เวินหนี่ก็ถือว่าเป็นข่าวดีเด็กคนนี้เกิดมามีสายเลือดของตระกูลเย่ลู่ม่านเซิงมีร่างกายอ่อนแอ หากเธอไม่สามารถให้กำเนิดบุตรได้ นี่ก็คือทางเลือกสุดท้าย“จริงเหรอ?” เย่ซูเฟินเปลี่ยนสีหน้าและพูดด้วยรอยยิ้ม “ท้องกี่เดือนแล้ว?”โจวเสี่ยวหลินรู้สึกประหลาดใจที่เห็นเย่ซูเฟินยิ้ม และดูสนใจเด็กในท้องของเธอมากเรื่องราวกลับง่ายกว่าที่เธอคิดเธอหลงคิด
เวินหนี่รู้ว่าเย่ซูเฟินเป็นคนยังไง เธอพูดเรื่องไร้สาระพวกนี้ก็เพียงเพื่อทำให้ตัวเองรู้สึกสบายใจเดิมทีเติ้งจวนไม่อยากจะพูดอะไรอีก แต่เย่ซูเฟินพูดออกมาแบบนั้นทำให้เธอไม่มีความสุข “พูดออกมาได้อย่างมั่นหน้าจังเลยนะคะ ลูกชายของคุณต่างหากที่นอกใจแถมแอบไปมีลูกข้างนอก นี่มันคือการนอกใจของคู่สมรส!”เย่ซูเฟินโต้กลับ “อย่าพูดไร้สาระ ลูกสาวของเธอตั้งท้องไม่ได้ แล้วยังจะห้ามไม่ให้ลูกชายฉันไปมีลูกข้างนอกด้วยหรือไง?”“หุบปาก!” เย่หนานโจวพูดขึ้นอย่างเย็นชาเย่ซูเฟินมองเขา และเห็นว่าใบหน้าของเขาเริ่มซีดลง เธอจึงก็สงบลงเล็กน้อย “เอาล่ะ แม่ไม่พูดแล้ว ร่างกายของลูกยังอ่อนแอ รีบไปนอนที่เตียงก่อนเถอะ”เวินจ้าวพูดขึ้น “พูดอะไรไปก็ไม่มีประโยชน์แล้ว เราไปกันเถอะลูก”เย่หนานโจวมองไปที่เวินหนี่ ทั้งสองสบตากัน แล้วเวินหนี่ก็หลบสายตาอย่างรวดเร็ว “ค่ะพ่อ”เธอไม่เถียงและเดินไปหาเวินจ้าวโดยไม่หันกลับมามองเย่หนานโจวมองดูแผ่นหลังที่เด็ดขาดของเธอ คิ้วของเขาขมวดมุ่นโดยที่ไม่ละสายตาไปจากเธอ แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้พูดห้ามเธอเอาไว้“หนานโจว” เย่ซูเฟินพยุงเขาโจวเสี่ยวหลินก็รีบเข้ามาพยุงช่วยเช่นกัน เย่ซูเฟินกล่าว
แล้วเธอก็มองไปที่เย่หนานโจวสีหน้าซีดเผือดที่นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยการที่เขาชอบผู้หญิงคนนี้แสดงให้เห็นว่าเขายังคิดถึงลู่ม่านเซิงอยู่งั้นก็ยิ่งง่าย ความสนใจของโจวเสี่ยวหลินอยู่ที่เย่หนานโจว เธอพูดกับเย่ซูเฟินว่า “พี่หนานโจวไม่มีคนดูแล ให้ฉันมาดูแลเขาดีไหมคะ?”“ได้ยังไงกัน” เยซูเฟินไม่อยากให้เธออยู่ที่นี่ “เธอกำลังท้องอยู่ ต้องระวังให้มาก เธอกลับตระกูลเย่กับฉัน หนานโจวมีคนดูแลมากมาย เธอแค่ดูแลตัวเองให้ดีก็พอ”โจวเสี่ยวหลินอยากอยู่ดูแลเย่หนานโจว และตอนนี้เวินหนี่ก็ไม่อยู่ ดีไม่ดีอาจพัฒนาความสัมพันธ์ได้แต่ในเมื่อเย่ซูเฟินพูดแบบนั้น เธอก็ปฏิเสธได้ยาก ดังนั้นเธอจึงได้แต่ตอบไปว่า “ก็ได้ค่ะ”เธอมองไปทางเขาอย่างโหยหารอเย่หนานโจวอาการดีขึ้นและกลับบ้าน พวกเธอก็จะได้เจอกันบ่อย ๆโจวเสี่ยวหลินเริ่มคาดหวังอีกครั้งส่วนเย่ซูเฟินยังคงตั้งความหวังไว้กับลู่ม่านเซิง ตอนนี้เย่หนานโจวได้รับบาดเจ็บรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล แถมยังทะเลาะแตกหักกับเวินหนี่ หากลู่ม่านเซิงมา เธอก็จะสามารถใช้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้ได้ในใจเธอยอมรับเพียงลู่ม่านเซิงเป็นลูกสะใภ้เท่านั้นเธอส่งข้อความหาลู่ม่านเซิงอย่างรว
อาจ้านตอบว่า “ช้าอีกหน่อยแล้วกัน สถานที่เดิม”หญิงผมแดงยิ้มอย่างมีเลศนัย “ได้เลย ฉันจะรอคุณตรงเวลานะ”พูดจบหญิงผมแดงก็รีบเดินออกจากบริเวณของเขาไป พอเธอจากไปแล้ว อาจ้านก็ค่อย ๆ เอาหัวใจของสัตว์กลับใส่ที่เดิม จากนั้นเขาก็เย็บปิดแผลอย่างประณีต แม้ว่าเมื่อครู่จะดูโหดร้ายเลือดสาดสักแค่ไหน แต่ในตอนนี้หัวใจของสัตว์นั้นก็ยังสามารถเต้นได้อีกครั้งเมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จแล้ว อาจ้านถอดถุงมือที่เปื้อนเลือดออก ล้างมือด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อและสบู่หลายรอบ จนกระทั่งไม่เหลือกลิ่นใด ๆ แล้วจึงออกไป เขาขับรถมุ่งหน้าไปยังฟาร์มที่หน้าประตูมีคนยืนเฝ้าอยู่ พอเห็นรถของอาจ้านเข้ามาก็รีบเปิดประตูให้เข้าไป ด้านในฟาร์มมีการปลูกดอกไม้บางชนิดตกแต่งไว้ แต่มีเพียงสตรอเบอร์รีเท่านั้นที่เป็นพืชหลักของฟาร์มสตรอเบอร์รีในแปลงไม่ได้ถูกเก็บไปขาย หลายลูกปล่อยให้เน่าอยู่บนพื้น อาจ้านลงจากรถ สายตาเขาเหลือบมองทุ่งสตรอเบอร์รีที่ได้รับการดูแลมาอย่างดีอย่างพอใจ บนใบหน้าจึงเผยรอยยิ้มจาง ๆผู้คุมหน้าประตูส่งตะกร้าให้ อาจ้านรับตะกร้ามาแล้วเดินตรงเข้าสู่แปลงสตรอเบอร์รี ทุ่งเบื้องหน้าเต็มไปด้วยผลสตรอเบอร์รีที่สุกงอมจนเป็นส
[ฉันว่าคุณพูดถูกนะ เทียบกันแล้วฉันชอบคลิปสั้นของจางจื่อฉีมากกว่า ชอบบทของเธอในละครเรื่องนั้นจริงๆ!]ใบหน้าของลู่ม่านเซิงแทบเปลี่ยนเป็นสีเขียวด้วยความโกรธคนพวกนี้พูดบ้าอะไรกัน! บอกว่าจางจื่อฉีถ่ายได้ดีกว่าเธออย่างนั้นหรือ? เป็นไปได้ยังไง! เธอหน้าตาสวยกว่าจางจื่อฉีตั้งเยอะผู้ช่วยของเธอที่อยู่ข้าง ๆ เห็นยอดไลค์ในคลิปสั้นของจางจื่อฉีพุ่งทะลุสิบล้านแล้ว จึงพูดจาดูถูกขึ้นมาทันที “พวกชาวเน็ตเขียนอะไรกัน เห็น ๆ อยู่ว่าคุณเซิงสวยกว่า จางจื่อฉีน่ะอาศัยแค่กระแสความทรงจำ ไม่ได้มีความสามารถจริงจังอะไรเลย แถมดันไปถ่ายคลิปสั้นแบบนี้อีก มันเป็นสิ่งที่คนธรรมดาเขาเล่นกันทั้งนั้น ดาราจะไปโพสต์คลิปบนแอปแบบนี้ได้ยังไง ไร้เกียรติมาก!”ผู้ช่วยของเธอดูถูกวิธีการนี้มาก เพราะส่วนใหญ่ดาราที่โพสต์บนแอปสั้นมักจะเป็นพวกที่ไม่ค่อยดัง พยายามหารายได้จากตรงนี้ เธอจึงไม่สนใจสิ่งนี้เลย“อ๊า!” ลู่ม่านเซิงโมโหถึงกับปามือถือลงพื้น!ผู้ช่วยที่ตอนแรกตั้งใจจะปลอบเธอ ถึงกับหน้าซีดเมื่อเห็นลู่ม่านเซิงปามือถือด้วยความโกรธ “คุณเซิง…”ลู่ม่านเซิงโกรธจนตาแดงก่ำ “ทำไมยอดไลค์ของจางจื่อฉีถึงได้ถึงสิบล้าน มีคนชอบเธอตั้งมา
ทางด้านลู่ม่านเซิงก็กำลังถ่ายทำเช่นกันเธอแต่งกายสไตล์ย้อนยุคแบบเดียวกับจางจื่อฉี“ดีมากเลย เซิงเซิง สวยมาก!” ช่างภาพกล่าวพลางถ่ายจากหลายมุม“มุมนี้ดูดีมาก ได้ภาพสวยเลย!”ช่างภาพชมเธอไม่หยุดระหว่างถ่ายทำลู่ม่านเซิงเองก็มั่นใจในตัวเองสูง เธอตั้งใจถ่ายมาก เพราะรู้ดีว่าเสน่ห์และความงามของเธอเหนือกว่าจางจื่อฉี ซึ่งในวงการบันเทิงแล้ว ความงามถือเป็นข้อได้เปรียบอย่างหนึ่ง หลายคนดังได้จากเพียงรูปลักษณ์เธอเองก็แสดงละครได้ดี แถมยังมีหน้าตาที่โดดเด่น จึงมั่นใจว่าจะเอาชนะจางจื่อฉีได้แน่นอนจริง ๆ แล้วเป้าหมายของเธอไม่ใช่จางจื่อฉี แต่เป็นเวินหนี่เธอจงใจไม่ให้ความร่วมมือกับจางจื่อฉีเพื่อโค่นล้มเวินหนี่ หากเธอชนะจางจื่อฉีได้ ก็จะถือว่าชนะเวินหนี่ด้วยและหากชนะครั้งนี้ก็จะมีครั้งต่อไปเมื่อดูภาพถ่ายของตัวเอง เธอก็พึงพอใจมาก เชื่อมั่นว่าจะขึ้นเทรนด์ในโลกออนไลน์ได้“รีบปล่อยภาพนี้ไปให้เร็วที่สุดนะ ใช้ความร้อนแรงของงานในวันนี้ให้เต็มที่” ลู่ม่านเซิงสั่ง“แน่นอนครับ คาดว่าค่ำนี้น่าจะได้เห็นกันแล้ว!”ริมฝีปากของลู่ม่านเซิงเผยรอยยิ้มมั่นใจ คิดว่าความสำเร็จอยู่ในมือเธอแล้วค่ำวันนั้น สื่อ
เธอยังคงเป็นคนของบริษัทเย่หนานโจว หากเกิดปัญหาอะไรขึ้น บริษัทก็ย่อมต้องคุ้มครองเธออยู่แล้ว ช่วงนี้ยังมีข่าวมากมายที่ออกมาช่วยลบล้างข่าวเสียของลู่ม่านเซิงอีกด้วยเวินหนี่มองลู่ม่านเซิงในชุดนี้อย่างเย้ยหยัน “เลียนแบบจนได้ดี มันสนุกมากไหม?”คำพูดนี้จี้จุดของลู่ม่านเซิง แต่คราวนี้เธอไม่สนใจ เธอต้องการชนะเสียครั้งหนึ่ง จึงยิ้มตอบอย่างมั่นใจ “เวินหนี่ เธอไม่ได้อยู่ในวงการบันเทิง จะไปรู้ได้ยังไงว่าอะไรที่คนดูชอบ คนที่สวยก็ย่อมมีคนติดตามมากกว่า หรือเธอว่าไม่จริง?”ความหมายก็คือเธอเชื่อว่าตัวเองสวยกว่าจางจื่อฉี แต่แม้ว่าลู่ม่านเซิงจะพูดอย่างนั้น จางจื่อฉีก็มีฝีมือการแสดงที่เหนือกว่า ความเป็นนักแสดงมืออาชีพทำให้ไม่จำเป็นต้องแข่งขันกันเรื่องความสวยจางจื่อฉียืนอยู่อย่างสงบ สีหน้าเยือกเย็น ไม่คิดจะโต้เถียงใด ๆ กับลู่ม่านเซิง ราวกับไม่อยากเสียเวลาถกเถียงกับเธอเลยเวินหนี่ก็ไม่ได้สนใจจะโต้แย้งอะไรในเรื่องนี้ เธอเอ่ยขึ้นเพื่อให้ลู่ม่านเซิงเข้าใจอย่างชัดเจนว่า การพึ่งพาคนอื่นนั้นไม่ได้ยั่งยืน “ในเมื่อเธอชอบนัก ก็เอาไปเถอะ จางจื่อฉีไม่ใช่ว่าจะอยู่ไม่ได้ถ้าไม่ได้ใช้ที่นี่”พอเห็นเวินหนี่รู
เวินหนี่ถ่ายรูปให้จางจื่อฉีไปหลายรูป แม้เธอจะไม่ใช่คนที่โดดเด่นเพราะความสวยงาม แต่ด้วยฝีมือการแสดงของเธอที่ยอดเยี่ยม ก็ทำให้นักแสดงชายหลายคนมีชื่อเสียงได้เช่นกัน ความไม่ถือตัวและความเป็นกันเองของจางจื่อฉีเป็นสิ่งที่เวินหนี่ชื่นชมเมื่อการแสดงแฟชั่นโชว์เกือบสิ้นสุดลง เวินหนี่เดินหาช่างภาพเพื่อนำไปถ่ายภาพเสร็จสมบูรณ์พอเสี่ยวอิ่งเห็นจางจื่อฉี เธอก็ร้องกรี๊ดออกมาด้วยความตื่นเต้น “จางจื่อฉี! ฉันได้เจอตัวจริงแล้ว!”เวินหนี่เห็นเสี่ยวอิ่งมีปฏิกิริยาขนาดนี้ก็อดแซวไม่ได้ “ตื่นเต้นขนาดนั้นเลยเหรอ?”เสี่ยวอิ่งตอบอย่างไม่ลังเล “แน่นอนสิ! ฉันดูละครที่เธอเล่นมาตั้งหลายเรื่อง นี่มันเหมือนฝันไปเลย ฉันได้เจอไอดอลของฉัน ฉันชอบเธอมาก ๆ เลยล่ะ!”จางจื่อฉียิ้มแล้วเดินเข้ามาทักทาย “สวัสดี ฉันคือจางจื่อฉีค่ะ” เธอเอื้อมมือออกไปจับมือกับเสี่ยวอิ่งเสี่ยวอิ่งมองมือของจางจื่อฉีด้วยความตื่นเต้น ราวกับอยู่ในความฝัน เธอจับมือจางจื่อฉีแล้วพูดอย่างซาบซึ้งจนแทบร้องไห้ “นี่ฉันฝันไปหรือเปล่า? ฉันดูละครที่คุณแสดงมาทุกเรื่องเลยนะคะ ฉันรู้ประวัติของคุณด้วย คุณมาจากต่างจังหวัดแล้วต่อสู้ในวงการบันเทิงตั้งนาน ฉ
เมื่อเปรียบเทียบความสามารถของลู่ม่านเซิงในการสร้างกระแสดังในทางลบ กับความหยิ่งในศักดิ์ศรีของจางจื่อฉีที่ปฏิเสธไม่รับเล่นบทละครที่ไม่ได้คุณภาพแล้ว เวินหนี่ก็รู้สึกได้ถึงความจริงที่ว่าในวงการบันเทิงยุคนี้ ทุกอย่างเกิดขึ้นและดับลงอย่างรวดเร็ว นักแสดงหน้าใหม่ผลัดเปลี่ยนมาแทนที่อย่างรวดเร็ว ขณะที่คนเก่าก็ถูกลืมไปได้ง่ายบางคนอาจโด่งดังจากละครเรื่องเดียว แต่ถ้าไม่มีผลงานต่อไปคอยสนับสนุนจากคนดังแถวหน้าก็อาจตกไปเป็นระดับล่างได้ในพริบตา การแข่งขันในวงการนี้โหดร้ายและไร้ปรานี ต่อให้เวินหนี่ไม่ได้อยู่ในวงการบันเทิงเอง เธอก็ยังเห็นความเป็นจริงเหล่านี้ได้อย่างชัดเจนแม้การเล่นละครที่ด้อยคุณภาพจะทำให้ชื่อเสียงไม่ดี แต่ถ้ามันสามารถเรียกความสนใจจากผู้คนได้ นักแสดงคนนั้นก็สามารถนับเป็น ‘สินค้าทางการตลาด’ ที่ประสบความสำเร็จแล้วเวินหนี่มองจางจื่อฉีและพูดว่า “คุณเป็นนักแสดงที่ดีค่ะ ไม่ใช่แค่ฝีมือการแสดงที่ดี แต่ยังไม่ยอมตามกระแสแบบทั่วไป คนที่เป็นแบบนี้หาได้ยากมาก ขอให้เชื่อเถอะค่ะว่าสักวันคุณจะต้องโด่งดังแน่นอน”จางจื่อฉีรู้สึกดีใจเมื่อได้ยินคำชมจากเวินหนี่ เธอจึงยิ้มและพูดด้วยความขอบคุณ “ตอนน
นักข่าวที่มางานนี้ไม่ได้มีเพียงแค่พวกเธอ เพราะสื่อออนไลน์พัฒนาไปไว ทุกคนต่างก็พยายามเป็นคนแรกในการปล่อยข่าว รายงานแรกที่แม่นยำที่สุดย่อมได้เรตติ้งดีที่สุดแม้งานเดินแบบเวทีทีสเตจนี้จะไม่ใช่ข่าวใหญ่ แต่การถ่ายทอดสดก็ทำให้ทุกสื่อแข่งกันเพื่อเป็นอันดับหนึ่งของกระแสบนรันเวย์ตอนนี้มีนางแบบเดินอยู่บ้างแล้ว บรรดาดาราหลายคนก็อยู่ที่นั่งฝั่งผู้ชม เวินหนี่กำลังมองหามุมที่ดีที่สุดในการถ่ายภาพ“คุณเวิน”ทันใดนั้นเสียงเรียกเธอก็ดังขึ้นจากด้านหลัง เวินหนี่หันกลับไปก็พบว่าจางจื่อฉีกำลังยืนอยู่ตรงนั้น เธอเหลือบมองไปรอบ ๆ เห็นแต่ทีมงานและดาราที่อยู่ด้านใน“คุณจาง ทำไมคุณถึงออกมาอยู่ตรงนี้คะ?”จางจื่อฉีตอบอย่างเป็นกันเอง “ไม่ต้องเรียกฉันว่าคุณจางหรอก เรียกว่าจื่อฉีก็พอ”เวินหนี่รู้สึกดีกับอีกฝ่ายอยู่แล้ว “ทำไมคุณถึงออกมาอยู่ตรงนี้ล่ะคะ? เข้าไปด้านในเถอะนะ ตรงนี้มีแต่ทีมงาน เดี๋ยวถ้าโดนนักข่าวรุมถ่ายจะลำบากเอานะคะ!”เวินหนี่รู้ดีว่าพวกนักข่าวนั้นดุดันแค่ไหน การที่จางจื่อฉีออกมาแบบนี้อาจทำให้เธอเสี่ยงต่ออันตรายได้จางจื่อฉีไม่ได้รู้สึกเดือดร้อนอะไร เธอมองไปยังพวกนักข่าวและช่างภาพที่กำล
เย่หนานโจวหัวเราะเย็นชา “เคยเห็นการยินยอมพร้อมใจแบบนี้ด้วยหรือไง?”ปลายสายถึงกับเงียบ ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ก็ในเมื่อทุกคนเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว ก็ควรจะรับผิดชอบตัวเอง ไม่ถึงกับถูกหลอกกันง่าย ๆ เขารู้สึกว่าเย่หนานโจวกังวลเกินไปแต่พอคิดอีกที คงเป็นเพราะความห่วงใยที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้ จึงเข้าใจได้ว่าความกังวลของเย่หนานโจวก็มีเหตุผลอยู่เย่หนานโจวเปิดม่านหน้าต่างออก มองออกไปข้างนอก ดวงตาสีเข้มเต็มไปด้วยความกังวลใจ "เธอแทบไม่ได้ใกล้ชิดกับผู้ชายคนไหนเลย ถ้ามีใครสักคนเข้ามาหว่านล้อมไม่กี่คำแล้วเธอดันหลงเชื่อขึ้นมาล่ะ? มันก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เลย"ทุกอย่างเป็นไปได้ทั้งนั้น เขาจะประมาทไม่ได้เลยแม้แต่น้อยหลังจากวางสาย เย่หนานโจวเดินกลับไปที่ห้องเปลี่ยนชุด เวินหนี่เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยและเดินออกมาพอดี เห็นเขาเดินเข้ามาตรงเวลา เธอจึงหยิบไดร์เป่าผมขึ้นมา “ฉันจัดการเองได้”เย่หนานโจวไม่คัดค้าน แต่จ้องมองเธอแล้วกล่าวว่า “ฉันต้องไปทำธุระสักพัก คราวหน้าค่อยมาใหม่แล้วกัน”“ค่ะ” เวินหนี่พูดขณะเป่าผม โดยไม่หันไปมองเขาเมื่อจัดการเสร็จเรียบร้อย เวินหนี่เดินออกมาพร้อมกับเย่หนานโจว“หน
เย่หนานโจวมองเวินหนี่ด้วยสายตาที่จับจ้องไปยังเธอไม่วางตาโดนมองแบบนี้แล้ว เวินหนี่ก็เริ่มรู้สึกหวั่นใจเล็กน้อย “ว่ายน้ำเสร็จแล้วหรือยังคะ? ถ้าเสร็จแล้ว ช่วยปล่อยให้ฉันออกไปจะได้ไหม?”เย่หนานโจวสบตาเธอด้วยแววตาที่ลึกล้ำขึ้นทุกที “เธอไม่ได้โกหกฉันแน่นะ?”เวินหนี่ใจเต้นแรง รู้สึกเหมือนร่างกายถูกพันธนาการไว้ด้วยเส้นเชือกที่มองไม่เห็น เธอจึงเงยหน้าขึ้นจ้องตาเขากลับ “ฉันไม่ได้โกหก”เย่หนานโจวขมวดคิ้วเล็กน้อย ค่อย ๆ คลายมือที่จับเธอไว้ แล้วพูดเสียงต่ำ “เธอโกหกฉันมาแล้วครั้งหนึ่ง ฉันจะไม่ยอมให้เธอโกหกอีกเป็นครั้งที่สอง”เวินหนี่นิ่งเงียบ ตอนนี้ในสถานการณ์ระหว่างพวกเขา ไม่ว่ามันจะเป็นการโกหกหรือไม่ ก็แทบไม่มีความสำคัญอะไรอีกแล้ว การปกป้องตัวเองด้วยการโกหกก็เป็นเรื่องหนึ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เย่หนานโจวไม่ทำให้เธอลำบากใจไปมากกว่านี้ เขาปล่อยให้เธอไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องเปลี่ยนชุดที่เตรียมไว้ให้เวินหนี่เดินเข้าไปข้างในทันที แล้วเลขาหญิงก็ตามเข้ามาพร้อมเสื้อผ้าชุดใหม่ในมือ เป็นชุดกีฬาที่สวมใส่สบายและโปร่ง “คุณเวินคะ นี่เป็นชุดที่ท่านประธานเตรียมไว้ให้ค่ะ”เวินหนี่ทั้งตัวเปียกชุ่มไปหม