แล้วเธอก็มองไปที่เย่หนานโจวสีหน้าซีดเผือดที่นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยการที่เขาชอบผู้หญิงคนนี้แสดงให้เห็นว่าเขายังคิดถึงลู่ม่านเซิงอยู่งั้นก็ยิ่งง่าย ความสนใจของโจวเสี่ยวหลินอยู่ที่เย่หนานโจว เธอพูดกับเย่ซูเฟินว่า “พี่หนานโจวไม่มีคนดูแล ให้ฉันมาดูแลเขาดีไหมคะ?”“ได้ยังไงกัน” เยซูเฟินไม่อยากให้เธออยู่ที่นี่ “เธอกำลังท้องอยู่ ต้องระวังให้มาก เธอกลับตระกูลเย่กับฉัน หนานโจวมีคนดูแลมากมาย เธอแค่ดูแลตัวเองให้ดีก็พอ”โจวเสี่ยวหลินอยากอยู่ดูแลเย่หนานโจว และตอนนี้เวินหนี่ก็ไม่อยู่ ดีไม่ดีอาจพัฒนาความสัมพันธ์ได้แต่ในเมื่อเย่ซูเฟินพูดแบบนั้น เธอก็ปฏิเสธได้ยาก ดังนั้นเธอจึงได้แต่ตอบไปว่า “ก็ได้ค่ะ”เธอมองไปทางเขาอย่างโหยหารอเย่หนานโจวอาการดีขึ้นและกลับบ้าน พวกเธอก็จะได้เจอกันบ่อย ๆโจวเสี่ยวหลินเริ่มคาดหวังอีกครั้งส่วนเย่ซูเฟินยังคงตั้งความหวังไว้กับลู่ม่านเซิง ตอนนี้เย่หนานโจวได้รับบาดเจ็บรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล แถมยังทะเลาะแตกหักกับเวินหนี่ หากลู่ม่านเซิงมา เธอก็จะสามารถใช้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้ได้ในใจเธอยอมรับเพียงลู่ม่านเซิงเป็นลูกสะใภ้เท่านั้นเธอส่งข้อความหาลู่ม่านเซิงอย่างรว
ลู่ม่านเซิงพูดขึ้น “ฉันต้องไปโรงพยาบาลค่ะ”“ถ้าเธอไปโรงพยาบาล แล้วที่นี่จะทำยังไง?” ผู้กำกับถ่ายทำมานาน แต่เขาก็ไม่เคยพบใครที่จะหยุดถ่ายทำกะทันหันเพราะจะไปโรงพยาบาลมาก่อนลู่ม่านเซิงกล่าว “ผู้กำกับคะ หนานโจวได้รับบาดเจ็บตอนนี้เขาอยู่ที่โรงพยาบาล ฉันเป็นกังวลและอยากไปดูเขาค่ะ”เมื่อผู้กำกับได้ยินว่าเป็นเย่หนานโจวและเย่หนานโจวก็เป็นคนแนะนำลู่ม่านเซิงมา ยังไงเขาก็ต้องยอมเธอสักหน่อย“เอาล่ะ เธอไปเถอะ” แม้ว่าผู้กำกับจะไม่พอใจกับการที่งานล่าช้าไปหนึ่งวัน แต่เขาทำได้เพียงอดทนลู่ม่านเซิงดีใจมาก เป็นเรื่องดีที่เธอจะไม่สูญเสียบทบาทนี้เนื่องจากการทิ้งงานของตัวเอง เธอยิ้มและพูดว่า “ขอบคุณค่ะผู้กำกับ ไว้ถ่ายหนังเสร็จเมื่อไหร่ ฉันกับหนานโจวจะเลี้ยงอาหารคุณนะคะ”พูดจบเธอก็จากไปอย่างรวดเร็วส่วนนักแสดงคนอื่นนั้นต่างก็ไม่พอใจ“ผู้กำกับ จะให้คนอื่นมาเสียเวลาเพราะเธอคนเดียวไม่ได้นะคะ แม่ของฉันป่วยฉันยังไม่กลับไปดูเลย แล้วเธอมีสิทธิ์อะไร?”ผู้กำกับมองคนที่ขุ่นเคืองเหล่านั้น แล้วพูดอย่างโหดร้าย “เพราะเธอคือลู่ม่านเซิง เธอมีคนหนุนหลังไง!”คำพูดเหล่านี้ทำให้ทุกคนพูดไม่ออก“ลู่ม่านเซิงคนนี้โปรไฟล์
ไม่ว่าจะโกรธแค่ไหนก็ไม่ควรเอาชีวิตตัวเองมาล้อเล่นเย่หนานโจวฟังคำพูดของเผยชิงเสียเมื่อไหร่ ในหัวของเขาเต็มไปด้วยภาพแผ่นหลังอันเด็ดเดี่ยวของเวินหนี่ขณะที่เดินจากไปเธอมีสิทธิ์หันหลังให้เขาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?“โทรหาเวินหนี่” เย่หนานโจวพูดอย่างเย็นชาเผยชิงตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ไม่ค่อยเข้าใจว่าเย่หนานโจวต้องการทำอะไรเรื่องการแต่งงานของพวกเขาดำเนินมาถึงจุดนี้ก็ทำให้เขาตกตะลึงมากแล้วไม่แปลกใจเลยที่พวกเขาแต่งงานกันอย่างลับ ๆเมื่อก่อนเขานึกว่าเวินหนี่เป็นคนถ่อมตัว ส่วนประธานเย่ก็เคารพความคิดของเธอจึงไม่ได้บอกกับทุกคนแต่ที่แท้กลับเป็นการแต่งงานที่ไร้ซึ่งความรักช่างน่าเสียดายจริง ๆเขาเคยคิดว่าประธานเย่ชอบเวินหนี่ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้ชอบเธอเหมือนกับที่ตนจินตนาการไว้เขายังคงหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา “ครับ ประธานเย่”เผยชิงโทรหาเวินหนี่ ในขณะนี้ เวินหนี่พึ่งกลับถึงบ้านพร้อมกับพ่อแม่ของเธอ เวินจ้าวยืนกรานที่จะออกจากโรงพยาบาล หมอบอกว่าอาการกระดูกหักไม่ได้ร้ายแรงขนาดนั้น จึงอนุญาตให้เขากลับบ้านได้หลังจากเหตุการณ์ใหญ่โตในโรงพยาบาล ทุกคนก็นิ่งเงียบ ไม่มีใครเอ่ยถึงเรื่อ
เผยชิงมองไปที่เย่หนานโจวอีกครั้ง “เลขาเวินบอกว่ามันอยู่ฝั่งซ้ายของตู้เสื้อผ้า ให้คนรับใช้หาให้ครับ”เย่หนานโจวขมวดคิ้ว “แล้วเสื้อคลุมล่ะ? สีน้ำตาลอ่อนตัวนั้น”“เสื้อคลุมตัวนั้นแขวนอยู่ในตู้เสื้อผ้า” เวินหนี่ตอบ “ฉันไม่อยากใส่สเวตเตอร์แล้ว ฉันอยากใส่ชุดสูทและเนคไทสีน้ำเงินอันนั้น” เย่หนานโจวกล่าวขึ้นอีกครั้งเวินหนี่ขมวดคิ้ว “มีเนคไทสีน้ำเงินตั้งมากมาย คุณอยากใส่อันไหน?”“แถบแนวตั้ง”เวินหนี่ตอบกลับไป “อยู่ในช่องที่ 28 ของกล่องเนคไท”เพื่อป้องกันไม่ให้เย่หนานโจวถามอะไรอีก เวินหนี่จึงพูดออกมาทุกอย่าง “ประธานเย่ นอกจากชุดที่นำไปซักแห้ง ชุดทั้งหมดอยู่ในตู้เสื้อผ้าค่ะ คนรับใช้สามารถหามันได้ ส่วนเสื้อผ้าหน้าหนาวฉันเก็บไว้ในห้องเก็บเสื้อ ฉันแยกประเภทเอาไว้แล้ว คนรับใช้สามารถหาได้ง่ายเช่นกัน ส่วนเนคไทก็รวมอยู่ที่เดียวกัน วางไว้ในแต่ละล็อคและแยกสีไว้เรียบร้อยแล้ว ไม่น่าจะมีข้อผิดพลาดอะไร…”ไม่ว่าเย่หนานโจวจะถามอะไร เวินหนี่ก็สามารถตอบโต้ได้อย่างรวดเร็วไม่ว่าจะเป็นเสื้อโค้ทหรือเสื้อสเวตเตอร์ รวมถึงเนคไทที่มีลวดลายทุกอันเธอก็จำได้อย่างชัดเจนเธอสามารถท่องได้อย่างคล่องแคล่วโดยไม่ต้องกล
“ครับ รบกวนคุณด้วยนะครับ” เผยชิงกล่าวอย่างสุภาพ เมื่อมองไปที่เย่หนานโจว สีหน้าของเขาก็ดูอ่อนลงเล็กน้อย และเผยชิงถอนหายใจด้วยความโล่งอกเดิมทีเวินหนี่ต้องการทานอาหารเย็นกับพ่อแม่ของเธอมื้อนี้คงไม่ได้กินเสียแล้ว เมื่อเห็นเติ้งจวนกำลังจัดเตียง เธอจึงเดินเข้าไปแล้วพูดว่า “แม่คะ หนูต้องออกไปข้างนอกสักหน่อย คงไม่ได้อยู่ทานข้าวเย็นกับแม่และพ่อนะคะ”เติ้งจวนเงยหน้าขึ้น “เกิดอะไรขึ้น?”“เรื่องงานน่ะค่ะ”เติ้งจวนเดินไปหาเวินหนี่แล้วพูดว่า “หนีหนี่ ถ้าลูกอยากเปลี่ยนงานก็เปลี่ยนเถอะนะ บนโลกนี้มีงานดี ๆ ตั้งมากมาย”เธอคิดแทนเวินหนี่ เพราะหากพวกเขาหย่ากัน และเธอยังคงทำงานกับเย่หนานโจว มันคงจะอึดอัดน่าดู “ค่ะแม่”เวินหนี่เองก็คิดเอาไว้แล้ว หากหย่าแล้วเธอก็คงไม่สามารถอยู่เคียงข้างเย่หนานโจวต่อไปได้คงจะดีกว่าที่จะตัดขาดและแยกทางทันที เธอออกจากบ้านและกลับไปที่คฤหาสน์ตระกูลเย่ เมื่อเธอกลับไปคนรับใช้ก็ยังคงเรียกเธอว่า “คุณหญิง” ด้วยความเคารพมันเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเวินหนี่ถอดรองเท้าออกแล้วถามคนรับใช้อีกครั้งว่า “หาเสื้อสเวตเตอร์ไม่เจอเหรอ?”คนรับใช้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เธอดูสับสน
เวินหนี่เห็นการกระทำของเธอ แม้ว่าการแต่งงานของเธอกับเย่หนานโจวจะพังทลาย แต่เตียงนั้นก็เป็นเตียงที่เธอนอน เธอไม่ชอบให้ใครแตะต้องมัน ดังนั้นจึงก็คว้ามือของโจวเสี่ยวหลินไว้ “เธอรู้เหรอว่าเป็นตัวไหน?”โจวเสี่ยวหลินชะงักชั่วคราวและคิดว่ามันง่ายมาก “ก็แค่สเวตเตอร์ตัวเดียวไม่ใช่เหรอ? ฉันเอาไปส่งให้ก็ได้เหมือนกัน”สิ่งที่เวินหนี่ทำได้ เธอเองก็สามารถทำได้เช่นกันสีหน้าของเวินหนี่ไร้อารมณ์ “เธอต้องการนั่งในตำแหน่งนี้ ก็ขึ้นอยู่กับว่าเธอมีคุณสมบัติเหมาะสมหรือเปล่า” เธอมองไปที่เตียงขนาดใหญ่ “เย่หนานโจวชอบอะไร ไม่ชอบอะไรเธอต้องแยกแยะให้ได้อย่างชัดเจน ไม่ใช่แค่สเวตเตอร์ตัวเดียว แต่ต้องแยกว่าวันนี้เขาจะสวมสีขาวหรือสีดำ เพราะถ้าเขาไม่ชอบ...มันจะแย่มาก”“อย่ามาหลอกฉันซะให้ยาก!” โจวเสี่ยวหลินไม่เชื่อ ครั้งก่อนเวินหนี่ก็เตือนเธอแบบนี้ เพียงเพราะอยากให้เธอคิดว่ามันยากและยอมถอยมากกว่า “อากาศเริ่มหนาวแล้ว พี่หนานโจวแค่อยากใส่เสื้อผ้าหนา ๆ ทำตัวให้อุ่นก็พอ จะต้องมีเงื่อนไขอะไรมากมาย?”เธอเปิดตู้เสื้อผ้าออกเสื้อผ้าด้านในจัดไว้อย่างชัดเจน มองเห็นได้อย่างง่ายดายเธอคว้าเสื้อสเวตเตอร์หนา ๆ ก่อนจะหยิบเสื้
เวินหนี่มักจะดูเย็นชา ไม่สนโลกและไม่ค่อยโกรธใครไม่ว่าโจวเสี่ยวหลินจะข้ามเส้นมากแค่ไหน เธอก็ไม่สนใจและไม่เคยจะพูดอะไรเลย และก็เพราะแบบนี้เวินหนี่ โจวเสี่ยวหลินจึงกล้าที่จะอวดดีถึงขั้นที่เธอคิดว่าเวินหนี่ไม่มีสถานะใดในตระกูลเย่และอยู่ต่ำกว่าเธอเสียด้วยซ้ำ ทำให้เธอมีความมั่นใจมากพอที่จะคิดว่าจะสามารถกดเวินหนี่ได้ผลคือจู่ ๆ เวินหนี่ก็ระเบิดและตบหน้าเธอโจวเสี่ยวหลินทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อย เย่หนานโจวอยู่ในห้องพัก เธอจะทะเลาะกับเวินหนี่ไม่ได้และต้องแสดงความอ่อนแอเท่านั้น เธอทำได้เพียงพูดด้วยท่าทางเสียใจและดวงตาแดงก่ำ “ฉัน...ฉันเปล่านะคะ”แน่นอนว่าเวินหนี่รู้จักอุบายแสร้งทำเป็นผู้ถูกกระทำนี้ดีเธอไม่อยากทนอีกต่อไปแล้วเพราะสุดท้ายแล้วมันไม่ได้มีประโยชน์อะไร กลับจะทำให้คนอื่นคิดว่าเธอกลัวและจะหาเรื่องมาทำให้เธอลำบาก “เมื่อกี้เธอไม่ใช่แบบนี้นี่ บอกว่าฉันจงใจวางแผนร้ายกับเธอไม่ใช่เหรอ เธอมองตัวเองสูงเกินไปแล้ว กลับไปส่องกระจกที่บ้านซะ ดูว่าเธอมีอะไรที่ทำให้ฉันต้องวางแผนร้ายใส่บ้าง? พอได้เข้ามาในตระกูลเย่ก็คิดว่าตัวเองเป็นนายงั้นเหรอ มากสุดเธอมันก็แค่ผู้หญิงที่ไม่ทราบที่มาที่ไปเท่านั้น”เม
“ฉันเอามันมาให้คุณแล้ว” เวินหนี่หยิบมันออกมาจากถุง “ตัวนี้ใช่ไหมคะ”เดิมทีเย่หนานโจวอารมณ์เสียมาก แต่เมื่อเขาเห็นว่าเธอเอามันมาเองไม่ได้ให้คนอื่นเอามาสีหน้าของเขาก็เบาลงมาก แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะถามว่า “เธอเอามาแล้วทำไมยังต้องให้หล่อนมา?”เวินหนี่มองไปที่โจวเสี่ยวหลิน “ถามเธอเองสิคะ เธอยืนกรานที่จะมาที่นี่เองหรือเปล่า แถมยังไม่ฟังคำแนะนำของฉัน อย่าโยนความผิดมาที่ฉัน”เย่หนานโจวมองไปที่โจวเสี่ยวหลินอีกครั้งเดิมทีโจวเสี่ยวหลินต้องการแสดงความอ่อนแอเพื่อทำให้เย่หนานโจวงสารเธอ แต่เมื่อถูกมองด้วยสายตาแบบนั้นเธอก็รู้ว่าตัวเองทำพลาดครั้งใหญ่ จึงพูดขึ้นอย่างระมัดระวัง “ฉัน... ฉันแค่อยากจะดูแลคุณ ฉันขอโทษค่ะ มันเป็นความผิดของฉันเองที่ไม่เข้าใจ ต่อไปฉันจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้วและฉันจะฟังคำแนะนำของคุณค่ะ”ดวงตาของเย่หนานโจวเย็นชา “ไสหัวออกไป”นี่เป็นครั้งแรกที่โจวเสี่ยวหลินถูกเย่หนานโจวปฏิบัติอย่างเย็นชา เขาไม่เหมือนผู้ชายที่คุยกับเธอในวิลล่าเลยตอนนั้นเขายังสงสารเธอและอยากช่วยให้เธอได้เรียนมหาวิทยาลัยเธอคิดว่าในที่สุดโลกนี้ก็มีคนที่สงสารเธอสักที แต่มันกลับกลายเป็นความสวยงามในช่วงเวลาสั้น ๆ เ
อาจ้านตอบว่า “ช้าอีกหน่อยแล้วกัน สถานที่เดิม”หญิงผมแดงยิ้มอย่างมีเลศนัย “ได้เลย ฉันจะรอคุณตรงเวลานะ”พูดจบหญิงผมแดงก็รีบเดินออกจากบริเวณของเขาไป พอเธอจากไปแล้ว อาจ้านก็ค่อย ๆ เอาหัวใจของสัตว์กลับใส่ที่เดิม จากนั้นเขาก็เย็บปิดแผลอย่างประณีต แม้ว่าเมื่อครู่จะดูโหดร้ายเลือดสาดสักแค่ไหน แต่ในตอนนี้หัวใจของสัตว์นั้นก็ยังสามารถเต้นได้อีกครั้งเมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จแล้ว อาจ้านถอดถุงมือที่เปื้อนเลือดออก ล้างมือด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อและสบู่หลายรอบ จนกระทั่งไม่เหลือกลิ่นใด ๆ แล้วจึงออกไป เขาขับรถมุ่งหน้าไปยังฟาร์มที่หน้าประตูมีคนยืนเฝ้าอยู่ พอเห็นรถของอาจ้านเข้ามาก็รีบเปิดประตูให้เข้าไป ด้านในฟาร์มมีการปลูกดอกไม้บางชนิดตกแต่งไว้ แต่มีเพียงสตรอเบอร์รีเท่านั้นที่เป็นพืชหลักของฟาร์มสตรอเบอร์รีในแปลงไม่ได้ถูกเก็บไปขาย หลายลูกปล่อยให้เน่าอยู่บนพื้น อาจ้านลงจากรถ สายตาเขาเหลือบมองทุ่งสตรอเบอร์รีที่ได้รับการดูแลมาอย่างดีอย่างพอใจ บนใบหน้าจึงเผยรอยยิ้มจาง ๆผู้คุมหน้าประตูส่งตะกร้าให้ อาจ้านรับตะกร้ามาแล้วเดินตรงเข้าสู่แปลงสตรอเบอร์รี ทุ่งเบื้องหน้าเต็มไปด้วยผลสตรอเบอร์รีที่สุกงอมจนเป็นส
[ฉันว่าคุณพูดถูกนะ เทียบกันแล้วฉันชอบคลิปสั้นของจางจื่อฉีมากกว่า ชอบบทของเธอในละครเรื่องนั้นจริงๆ!]ใบหน้าของลู่ม่านเซิงแทบเปลี่ยนเป็นสีเขียวด้วยความโกรธคนพวกนี้พูดบ้าอะไรกัน! บอกว่าจางจื่อฉีถ่ายได้ดีกว่าเธออย่างนั้นหรือ? เป็นไปได้ยังไง! เธอหน้าตาสวยกว่าจางจื่อฉีตั้งเยอะผู้ช่วยของเธอที่อยู่ข้าง ๆ เห็นยอดไลค์ในคลิปสั้นของจางจื่อฉีพุ่งทะลุสิบล้านแล้ว จึงพูดจาดูถูกขึ้นมาทันที “พวกชาวเน็ตเขียนอะไรกัน เห็น ๆ อยู่ว่าคุณเซิงสวยกว่า จางจื่อฉีน่ะอาศัยแค่กระแสความทรงจำ ไม่ได้มีความสามารถจริงจังอะไรเลย แถมดันไปถ่ายคลิปสั้นแบบนี้อีก มันเป็นสิ่งที่คนธรรมดาเขาเล่นกันทั้งนั้น ดาราจะไปโพสต์คลิปบนแอปแบบนี้ได้ยังไง ไร้เกียรติมาก!”ผู้ช่วยของเธอดูถูกวิธีการนี้มาก เพราะส่วนใหญ่ดาราที่โพสต์บนแอปสั้นมักจะเป็นพวกที่ไม่ค่อยดัง พยายามหารายได้จากตรงนี้ เธอจึงไม่สนใจสิ่งนี้เลย“อ๊า!” ลู่ม่านเซิงโมโหถึงกับปามือถือลงพื้น!ผู้ช่วยที่ตอนแรกตั้งใจจะปลอบเธอ ถึงกับหน้าซีดเมื่อเห็นลู่ม่านเซิงปามือถือด้วยความโกรธ “คุณเซิง…”ลู่ม่านเซิงโกรธจนตาแดงก่ำ “ทำไมยอดไลค์ของจางจื่อฉีถึงได้ถึงสิบล้าน มีคนชอบเธอตั้งมา
ทางด้านลู่ม่านเซิงก็กำลังถ่ายทำเช่นกันเธอแต่งกายสไตล์ย้อนยุคแบบเดียวกับจางจื่อฉี“ดีมากเลย เซิงเซิง สวยมาก!” ช่างภาพกล่าวพลางถ่ายจากหลายมุม“มุมนี้ดูดีมาก ได้ภาพสวยเลย!”ช่างภาพชมเธอไม่หยุดระหว่างถ่ายทำลู่ม่านเซิงเองก็มั่นใจในตัวเองสูง เธอตั้งใจถ่ายมาก เพราะรู้ดีว่าเสน่ห์และความงามของเธอเหนือกว่าจางจื่อฉี ซึ่งในวงการบันเทิงแล้ว ความงามถือเป็นข้อได้เปรียบอย่างหนึ่ง หลายคนดังได้จากเพียงรูปลักษณ์เธอเองก็แสดงละครได้ดี แถมยังมีหน้าตาที่โดดเด่น จึงมั่นใจว่าจะเอาชนะจางจื่อฉีได้แน่นอนจริง ๆ แล้วเป้าหมายของเธอไม่ใช่จางจื่อฉี แต่เป็นเวินหนี่เธอจงใจไม่ให้ความร่วมมือกับจางจื่อฉีเพื่อโค่นล้มเวินหนี่ หากเธอชนะจางจื่อฉีได้ ก็จะถือว่าชนะเวินหนี่ด้วยและหากชนะครั้งนี้ก็จะมีครั้งต่อไปเมื่อดูภาพถ่ายของตัวเอง เธอก็พึงพอใจมาก เชื่อมั่นว่าจะขึ้นเทรนด์ในโลกออนไลน์ได้“รีบปล่อยภาพนี้ไปให้เร็วที่สุดนะ ใช้ความร้อนแรงของงานในวันนี้ให้เต็มที่” ลู่ม่านเซิงสั่ง“แน่นอนครับ คาดว่าค่ำนี้น่าจะได้เห็นกันแล้ว!”ริมฝีปากของลู่ม่านเซิงเผยรอยยิ้มมั่นใจ คิดว่าความสำเร็จอยู่ในมือเธอแล้วค่ำวันนั้น สื่อ
เธอยังคงเป็นคนของบริษัทเย่หนานโจว หากเกิดปัญหาอะไรขึ้น บริษัทก็ย่อมต้องคุ้มครองเธออยู่แล้ว ช่วงนี้ยังมีข่าวมากมายที่ออกมาช่วยลบล้างข่าวเสียของลู่ม่านเซิงอีกด้วยเวินหนี่มองลู่ม่านเซิงในชุดนี้อย่างเย้ยหยัน “เลียนแบบจนได้ดี มันสนุกมากไหม?”คำพูดนี้จี้จุดของลู่ม่านเซิง แต่คราวนี้เธอไม่สนใจ เธอต้องการชนะเสียครั้งหนึ่ง จึงยิ้มตอบอย่างมั่นใจ “เวินหนี่ เธอไม่ได้อยู่ในวงการบันเทิง จะไปรู้ได้ยังไงว่าอะไรที่คนดูชอบ คนที่สวยก็ย่อมมีคนติดตามมากกว่า หรือเธอว่าไม่จริง?”ความหมายก็คือเธอเชื่อว่าตัวเองสวยกว่าจางจื่อฉี แต่แม้ว่าลู่ม่านเซิงจะพูดอย่างนั้น จางจื่อฉีก็มีฝีมือการแสดงที่เหนือกว่า ความเป็นนักแสดงมืออาชีพทำให้ไม่จำเป็นต้องแข่งขันกันเรื่องความสวยจางจื่อฉียืนอยู่อย่างสงบ สีหน้าเยือกเย็น ไม่คิดจะโต้เถียงใด ๆ กับลู่ม่านเซิง ราวกับไม่อยากเสียเวลาถกเถียงกับเธอเลยเวินหนี่ก็ไม่ได้สนใจจะโต้แย้งอะไรในเรื่องนี้ เธอเอ่ยขึ้นเพื่อให้ลู่ม่านเซิงเข้าใจอย่างชัดเจนว่า การพึ่งพาคนอื่นนั้นไม่ได้ยั่งยืน “ในเมื่อเธอชอบนัก ก็เอาไปเถอะ จางจื่อฉีไม่ใช่ว่าจะอยู่ไม่ได้ถ้าไม่ได้ใช้ที่นี่”พอเห็นเวินหนี่รู
เวินหนี่ถ่ายรูปให้จางจื่อฉีไปหลายรูป แม้เธอจะไม่ใช่คนที่โดดเด่นเพราะความสวยงาม แต่ด้วยฝีมือการแสดงของเธอที่ยอดเยี่ยม ก็ทำให้นักแสดงชายหลายคนมีชื่อเสียงได้เช่นกัน ความไม่ถือตัวและความเป็นกันเองของจางจื่อฉีเป็นสิ่งที่เวินหนี่ชื่นชมเมื่อการแสดงแฟชั่นโชว์เกือบสิ้นสุดลง เวินหนี่เดินหาช่างภาพเพื่อนำไปถ่ายภาพเสร็จสมบูรณ์พอเสี่ยวอิ่งเห็นจางจื่อฉี เธอก็ร้องกรี๊ดออกมาด้วยความตื่นเต้น “จางจื่อฉี! ฉันได้เจอตัวจริงแล้ว!”เวินหนี่เห็นเสี่ยวอิ่งมีปฏิกิริยาขนาดนี้ก็อดแซวไม่ได้ “ตื่นเต้นขนาดนั้นเลยเหรอ?”เสี่ยวอิ่งตอบอย่างไม่ลังเล “แน่นอนสิ! ฉันดูละครที่เธอเล่นมาตั้งหลายเรื่อง นี่มันเหมือนฝันไปเลย ฉันได้เจอไอดอลของฉัน ฉันชอบเธอมาก ๆ เลยล่ะ!”จางจื่อฉียิ้มแล้วเดินเข้ามาทักทาย “สวัสดี ฉันคือจางจื่อฉีค่ะ” เธอเอื้อมมือออกไปจับมือกับเสี่ยวอิ่งเสี่ยวอิ่งมองมือของจางจื่อฉีด้วยความตื่นเต้น ราวกับอยู่ในความฝัน เธอจับมือจางจื่อฉีแล้วพูดอย่างซาบซึ้งจนแทบร้องไห้ “นี่ฉันฝันไปหรือเปล่า? ฉันดูละครที่คุณแสดงมาทุกเรื่องเลยนะคะ ฉันรู้ประวัติของคุณด้วย คุณมาจากต่างจังหวัดแล้วต่อสู้ในวงการบันเทิงตั้งนาน ฉ
เมื่อเปรียบเทียบความสามารถของลู่ม่านเซิงในการสร้างกระแสดังในทางลบ กับความหยิ่งในศักดิ์ศรีของจางจื่อฉีที่ปฏิเสธไม่รับเล่นบทละครที่ไม่ได้คุณภาพแล้ว เวินหนี่ก็รู้สึกได้ถึงความจริงที่ว่าในวงการบันเทิงยุคนี้ ทุกอย่างเกิดขึ้นและดับลงอย่างรวดเร็ว นักแสดงหน้าใหม่ผลัดเปลี่ยนมาแทนที่อย่างรวดเร็ว ขณะที่คนเก่าก็ถูกลืมไปได้ง่ายบางคนอาจโด่งดังจากละครเรื่องเดียว แต่ถ้าไม่มีผลงานต่อไปคอยสนับสนุนจากคนดังแถวหน้าก็อาจตกไปเป็นระดับล่างได้ในพริบตา การแข่งขันในวงการนี้โหดร้ายและไร้ปรานี ต่อให้เวินหนี่ไม่ได้อยู่ในวงการบันเทิงเอง เธอก็ยังเห็นความเป็นจริงเหล่านี้ได้อย่างชัดเจนแม้การเล่นละครที่ด้อยคุณภาพจะทำให้ชื่อเสียงไม่ดี แต่ถ้ามันสามารถเรียกความสนใจจากผู้คนได้ นักแสดงคนนั้นก็สามารถนับเป็น ‘สินค้าทางการตลาด’ ที่ประสบความสำเร็จแล้วเวินหนี่มองจางจื่อฉีและพูดว่า “คุณเป็นนักแสดงที่ดีค่ะ ไม่ใช่แค่ฝีมือการแสดงที่ดี แต่ยังไม่ยอมตามกระแสแบบทั่วไป คนที่เป็นแบบนี้หาได้ยากมาก ขอให้เชื่อเถอะค่ะว่าสักวันคุณจะต้องโด่งดังแน่นอน”จางจื่อฉีรู้สึกดีใจเมื่อได้ยินคำชมจากเวินหนี่ เธอจึงยิ้มและพูดด้วยความขอบคุณ “ตอนน
นักข่าวที่มางานนี้ไม่ได้มีเพียงแค่พวกเธอ เพราะสื่อออนไลน์พัฒนาไปไว ทุกคนต่างก็พยายามเป็นคนแรกในการปล่อยข่าว รายงานแรกที่แม่นยำที่สุดย่อมได้เรตติ้งดีที่สุดแม้งานเดินแบบเวทีทีสเตจนี้จะไม่ใช่ข่าวใหญ่ แต่การถ่ายทอดสดก็ทำให้ทุกสื่อแข่งกันเพื่อเป็นอันดับหนึ่งของกระแสบนรันเวย์ตอนนี้มีนางแบบเดินอยู่บ้างแล้ว บรรดาดาราหลายคนก็อยู่ที่นั่งฝั่งผู้ชม เวินหนี่กำลังมองหามุมที่ดีที่สุดในการถ่ายภาพ“คุณเวิน”ทันใดนั้นเสียงเรียกเธอก็ดังขึ้นจากด้านหลัง เวินหนี่หันกลับไปก็พบว่าจางจื่อฉีกำลังยืนอยู่ตรงนั้น เธอเหลือบมองไปรอบ ๆ เห็นแต่ทีมงานและดาราที่อยู่ด้านใน“คุณจาง ทำไมคุณถึงออกมาอยู่ตรงนี้คะ?”จางจื่อฉีตอบอย่างเป็นกันเอง “ไม่ต้องเรียกฉันว่าคุณจางหรอก เรียกว่าจื่อฉีก็พอ”เวินหนี่รู้สึกดีกับอีกฝ่ายอยู่แล้ว “ทำไมคุณถึงออกมาอยู่ตรงนี้ล่ะคะ? เข้าไปด้านในเถอะนะ ตรงนี้มีแต่ทีมงาน เดี๋ยวถ้าโดนนักข่าวรุมถ่ายจะลำบากเอานะคะ!”เวินหนี่รู้ดีว่าพวกนักข่าวนั้นดุดันแค่ไหน การที่จางจื่อฉีออกมาแบบนี้อาจทำให้เธอเสี่ยงต่ออันตรายได้จางจื่อฉีไม่ได้รู้สึกเดือดร้อนอะไร เธอมองไปยังพวกนักข่าวและช่างภาพที่กำล
เย่หนานโจวหัวเราะเย็นชา “เคยเห็นการยินยอมพร้อมใจแบบนี้ด้วยหรือไง?”ปลายสายถึงกับเงียบ ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ก็ในเมื่อทุกคนเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว ก็ควรจะรับผิดชอบตัวเอง ไม่ถึงกับถูกหลอกกันง่าย ๆ เขารู้สึกว่าเย่หนานโจวกังวลเกินไปแต่พอคิดอีกที คงเป็นเพราะความห่วงใยที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้ จึงเข้าใจได้ว่าความกังวลของเย่หนานโจวก็มีเหตุผลอยู่เย่หนานโจวเปิดม่านหน้าต่างออก มองออกไปข้างนอก ดวงตาสีเข้มเต็มไปด้วยความกังวลใจ "เธอแทบไม่ได้ใกล้ชิดกับผู้ชายคนไหนเลย ถ้ามีใครสักคนเข้ามาหว่านล้อมไม่กี่คำแล้วเธอดันหลงเชื่อขึ้นมาล่ะ? มันก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เลย"ทุกอย่างเป็นไปได้ทั้งนั้น เขาจะประมาทไม่ได้เลยแม้แต่น้อยหลังจากวางสาย เย่หนานโจวเดินกลับไปที่ห้องเปลี่ยนชุด เวินหนี่เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยและเดินออกมาพอดี เห็นเขาเดินเข้ามาตรงเวลา เธอจึงหยิบไดร์เป่าผมขึ้นมา “ฉันจัดการเองได้”เย่หนานโจวไม่คัดค้าน แต่จ้องมองเธอแล้วกล่าวว่า “ฉันต้องไปทำธุระสักพัก คราวหน้าค่อยมาใหม่แล้วกัน”“ค่ะ” เวินหนี่พูดขณะเป่าผม โดยไม่หันไปมองเขาเมื่อจัดการเสร็จเรียบร้อย เวินหนี่เดินออกมาพร้อมกับเย่หนานโจว“หน
เย่หนานโจวมองเวินหนี่ด้วยสายตาที่จับจ้องไปยังเธอไม่วางตาโดนมองแบบนี้แล้ว เวินหนี่ก็เริ่มรู้สึกหวั่นใจเล็กน้อย “ว่ายน้ำเสร็จแล้วหรือยังคะ? ถ้าเสร็จแล้ว ช่วยปล่อยให้ฉันออกไปจะได้ไหม?”เย่หนานโจวสบตาเธอด้วยแววตาที่ลึกล้ำขึ้นทุกที “เธอไม่ได้โกหกฉันแน่นะ?”เวินหนี่ใจเต้นแรง รู้สึกเหมือนร่างกายถูกพันธนาการไว้ด้วยเส้นเชือกที่มองไม่เห็น เธอจึงเงยหน้าขึ้นจ้องตาเขากลับ “ฉันไม่ได้โกหก”เย่หนานโจวขมวดคิ้วเล็กน้อย ค่อย ๆ คลายมือที่จับเธอไว้ แล้วพูดเสียงต่ำ “เธอโกหกฉันมาแล้วครั้งหนึ่ง ฉันจะไม่ยอมให้เธอโกหกอีกเป็นครั้งที่สอง”เวินหนี่นิ่งเงียบ ตอนนี้ในสถานการณ์ระหว่างพวกเขา ไม่ว่ามันจะเป็นการโกหกหรือไม่ ก็แทบไม่มีความสำคัญอะไรอีกแล้ว การปกป้องตัวเองด้วยการโกหกก็เป็นเรื่องหนึ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เย่หนานโจวไม่ทำให้เธอลำบากใจไปมากกว่านี้ เขาปล่อยให้เธอไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องเปลี่ยนชุดที่เตรียมไว้ให้เวินหนี่เดินเข้าไปข้างในทันที แล้วเลขาหญิงก็ตามเข้ามาพร้อมเสื้อผ้าชุดใหม่ในมือ เป็นชุดกีฬาที่สวมใส่สบายและโปร่ง “คุณเวินคะ นี่เป็นชุดที่ท่านประธานเตรียมไว้ให้ค่ะ”เวินหนี่ทั้งตัวเปียกชุ่มไปหม