บทที่ 4
ข้าเป็นหญิงยังไม่มีพันธะ
“ เจ้าห้า ข้าถามเจ้าจริงๆนะ ว่าเจ้าเสียดายนางหรือไม่ ทำไมชอบทำตาขวางใส่ข้าเหลือเกิน พูดถึงรูปร่างของนางทีไร เจ้าทำตาขวางใส่ข้าทุกที อย่างกับหึงหวงนางเช่นนั้นแหละ แต่ถึงตอนนี้เจ้าจะคิดเปลี่ยนใจมาหึงหวงนางดังเช่นคู่หมั้นก็ไม่ทันเสียแล้ว นางเดินมานั่นแล้วแต่กับบุรุษอื่นนะ ” เขาพยักเพยิดให้น้องชายมองไปที่ตรงบันไดทางขึ้นที่ร่างอวบอิ่มของเจียเหลียนฮวาเพิ่งเดินขึ้นบันไดมากับบุรุษผู้หนึ่ง และเจ้าหมอนั่นก็หล่อเหลาไม่น้อย รูปร่างสูงสง่าผึ่งผาย ดูเป็นบุรุษที่น่าสนใจผู้หนึ่ง อ๋องซีหยางหันขวับไปมองทันที กรามแกร่งของเขาขบเข้าหากันแน่น เพิ่งนอนร้องครวญครางใต้ร่างเขาเมื่อคืนจนถึงตอนสายแท้ๆ ตอนเย็นก็มากับชายอื่นทันทีแถมยังไม่มีสาวใช้ติดตามอีกด้วย นางเป็นคุณหนูในห้องหออีกทั้งเป็นบุตรของเสนาบดีฝ่ายซ้ายเจียเฉินอี้ นางออกมากินอาหารกับบุรุษสองต่อสองมิได้เกรงคำครหาของผู้อื่นเลยหรือไร ดวงตาคมจ้องมองนางตาขวาง มือหนาข้างตัวกำแน่น
ด้านเจียเหลียนฮวานางเดินมากับรองแม่ทัพไป๋เฟยหลงสหายสนิทของพี่ชายของนางที่เป็นขุนนางใต้สังกัดของบิดา เขามักจะมาที่จวนเสนาบดีเจียบ่อยๆเพื่อสนทนาหรือเล่นหมากรุกกับพี่ชายของนาง จึงสนิทกับนางไปด้วย วันนี้เขามาชวนนางออกมากินอาหาร คงจะได้ยินจากพี่ชายของนางว่านางส่งของหมั้นคืนอ๋องซีหยางแล้ว จึงสงสารกลัวนางจะเสียใจเพราะเขาก็รู้มานานแล้วว่านางหลงรักอ๋องผู้นั้นและคาดหวังไว้มากว่าจะเป็นพระชายาของเขา แต่เมื่อส่งของหมั้นคืนเขาไปแล้วสิ่งที่นางหมายมั่นมาหลายปีก็คงเป็นอันจบลงแล้ว พี่เฟยหลงจึงคิดปลอบใจนางด้วยการพาออกมาเปิดหูเปิดตา มิใช่เหลียนฮวามิเสียใจ นางเสียใจมาก และร้องไห้อย่างหนักและยิ่งรู้ว่าเขามีใจให้สหายสนิทของนางถึงกับจะสู่ขอมาเป็นชายา แต่นางจะพยายามคิดเสียว่ามันเป็นโชคชะตาของพวกเขามิได้เกี่ยวข้องกับนางอีกต่อไปแล้ว จึงมิได้โกรธเคืองผู้ใดแต่นางมิอยากให้บิดาและพี่ชายรับรู้และพลอยกังวลไปกับนางด้วย นางจึงได้แสดงออกดังเช่นนางมิได้เป็นไร และนางตัดใจจากอ๋องผู้นั้นได้แล้ว แต่นางก็พยายามตัดใจจริงๆและจะต้องทำให้ได้ด้วย
“ ฮวาเอ๋อ เจ้าสั่งอาหารเถิด เจ้าชอบกินอะไรก็สั่งมาตามนั้น พี่กินได้หมดทุกอย่าง ” รองแม่ทัพไป๋เอ่ยขึ้น ฮวาเอ๋อยิ้มให้เขาแล้วเอ่ยสั่งอาหารที่ขึ้นชื่อของภัตตาคารแห่งนี้มาสี่อย่าง “ พี่เฟยหลง ท่านจะดื่มสุราหรือไม่ “ นางหันไปถามเขา รองแม่ทัพหนุ่มพยักหน้า ” เจ้าสั่งมาเพียงหนึ่งกาก็พอ พี่จะดื่มนิดหน่อย เจ้าก็ควรจะดื่มสักหน่อยนะจะได้รู้สึกดีขึ้น ” เขาเอ่ยและมองใบหน้าที่ไม่ค่อยจะสดใสนักของนาง “ ถ้าเช่นนั้นเอามากาเดียวก็พอแล้ว ข้าจะดื่มเป็นเพื่อนพี่เฟยหลงแค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น พอให้เจริญอาหาร ” เสี่ยวเอ้อเมื่อรับรายการอาหารแล้วก็เดินจากไป ทั้งสองหนุ่มสาวจึงนั่งคุยกันเรื่องสัพเพเหระระหว่างที่รออาหาร
แต่ทั้งหมดนั้นอยู่ในสายตาคมที่มองตรงมาที่คนทั้งสองอย่างไม่คลาดสายตา “ เจ้าห้า จะมองพวกเขาทำไมกัน ตอนนี้เจ้ากับนางมิได้เป็นอะไรกันแล้ว จะไปจ้องมองนางขนาดนั้นทำไมกัน หากมีผู้ใดเห็นเข้าก็จะเข้าใจไปว่าเจ้าหึงหวงนาง ” อ๋องซีหยางค่อยๆหันกลับมามองใบหน้าของพี่ชาย “ ข้ามิได้หึงหวงนาง ข้าดีใจเสียด้วยซ้ำที่นางถอนหมั้นไปเองง่ายๆไม่ต้องให้ข้าต้องเดือดร้อนหาวิธีการให้วุ่นวาย ข้าเพียงแค่คิดว่านางจะไปได้สักกี่น้ำกัน เจ้าหมอนั่นเป็นสหายของพี่ชายนาง คงจะหาบุรุษที่ไหนไม่ได้เลยจะคว้าสหายของพี่ชายมาทำสามี ใครจะไปอยากได้นางเป็นเมียกัน ” เขาเอ่ยตอบพี่ชายของตนเอง แต่มันก็มิได้เต็มปากเหมือนที่ผ่านมานัก ระหว่างที่ทั้งสองร่ำสุราตาของเขาก็ยังคอยเมียงมองไปที่โต๊ะที่อดีตคู่หมั้นนั่งกินอาหารกับบุรุษที่เป็นสหายของพี่ชายของนาง และครุ่นคิดอยู่แต่ว่านางชักจะยิ้มมากไปหรือไม่ เขาเกิดความรู้สึกหมั่นไส้ขึ้นมาอย่างมากมาย และตนเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม เขารู้สึกขัดหูขัดตายิ่งนักที่นางยิ้มหวานให้กับชายอื่นที่ไม่ใช่เขา
เมื่อกินอาหารและร่ำสุรากันได้ที่ องค์ชายสามจึงได้เอ่ยว่า “ เรากลับกันเสียทีเถิด ข้ามีธุระจะต้องไปจัดการก่อนกลับตำหนัก เจ้าเองก็ดูจะเมาไม่น้อย กลับพร้อมกับข้าเลยดีกว่า ข้าจะไปส่งเจ้าที่หน้าตำหนัก เจ้ามิได้ให้องครักษ์ติดตามมาด้วย กลับกับข้าเถิด ” จากนั้นเขาก็กวักมือเรียกเสี่ยวเอ้อมาคิดเงิน แล้วจึงได้ลุกขึ้นพร้อมกันเพื่อจะเดินลงไปจากภัตตาคารแห่งนี้ แต่เท้าของอ๋องหนุ่มมันไม่รักดี แทนที่จะเดินหลีกไปอีกทางจะได้ไม่ต้องเผชิญหน้ากับอดีตคู่หมั้น แต่มันก็เกเรอยากจะเดินไปเฉียดโต๊ะของนางจนได้ “ ถวายบังคมองค์ชายสามและท่านอ๋องพะยะคะ ” รองแม่ทัพไป๋เฟยหลงหันไปมองเห็นองค์ชายสามเดินมากับท่านอ๋องซีหยางเข้าพอดี เขาจึงได้ลุกขึ้นทำความเคารพ พลอยทำให้เจียเหลียนฮวาจำต้องลุกขึ้นทำความเคารพทั้งคู่ด้วย “ ถวายบังคมองค์ชายสามกับท่านอ๋องเพคะ ” นางย่อตัวอย่างอ่อนช้อยแต่ดวงตามิได้มองมาทางอ๋องหนุ่มเลย นางมองเลยเขาไปยังพี่สามและยิ้มให้เขาอย่างแจ่มใส
อ๋องหนุ่มจ้องมองใบหน้าของนาง ใบหน้าหวานที่ตอนนี้แก้มแดงก่ำ นางดื่มเหล้าจนเมาหรือว่าเขินอายที่อยู่กับบุรุษกันแน่ หญิงร่าน แพศยา เจ้าจะให้ความหวังชายสักกี่คนกันถึงจะพอใจ อ๋องหนุ่มรำพึงในใจอย่างอดไม่ไหว “ เหลียนฮวาไม่ได้พบกันเสียนาน เพราะข้ามีราชการไปต่างเมืองบ่อยๆ เมื่อไปเยี่ยมพระมารดาก็มิเคยพบเจ้าเลย สบายดีหรือไม่ ได้ยินว่าตอนนี้ถอนหมั้นกับเจ้าห้าแล้ว ” เหลียนฮวายิ้มน้อยๆให้กับองค์ชายสาม “ เพคะ ถอนหมั้นแล้ว ตอนนี้หม่อมฉันเป็นอิสระแล้วนะเพคะ หากองค์ชายสามมีบุรุษใดที่น่าสนใจก็แนะนำหม่อมฉันได้นะเพคะ ฮวาเอ๋อตอนนี้กลายเป็นหญิงที่ยังมิได้ออกเรือนแล้วนะเพคะ “ เหลียนฮวาเอ่ยขึ้นแล้วหัวเราะเบาๆเหมือนมิได้พูดเรื่องของตนเองกระนั้น
” แล้วรองแม่ทัพไป๋เล่า มิใช่พวกเจ้าคบหาดูใจกันอยู่หรือ “ องค์ชายสามแกล้งหลอกถามนาง และอยากจะดูปฏฺิกิริยาน้องชายของตนเองด้วยว่าหึงหวงอดีตคู่หมั้นของเขาหรือไม่ ” เจียเหลียนฮวาทำท่าเอียงอายเล็กน้อยแล้วเอ่ยว่า “ หม่อมฉันนั้นคิดเพคะ แต่พี่เฟยหลงเขาจะคิดเหมือนหม่อมฉันหรือไม่ ก็ต้องลองถามเขาดูเพคะ ” คำพูดเหมือนล้อเล่นของนางนั้นส่งผลต่อทั้งสามบุรุษที่ยืนอยู่ในวงสนทนานั้น องค์ชายสามมีสีหน้าแปลกใจที่นางดูไม่ทุกข์ร้อนเมื่อเขาเอ่ยเรื่องถอนหมั้นกับชายที่นางหลงรักมานาน ส่วนแม่ทัพไป๋เฟยหลงใบหน้าแดงระเรื่อและมีท่าทีขัดเขินเหมือนเขาเองก็มีใจตอบนางแต่ยังมิกล้าเกี้ยวนาง ส่วนอดีตคู่หมั้นเช่นอ๋องซีหยาง ใบหน้าหล่อเหลาบึ้งตึงยิ่งนัก มือหนากำแน่น ดวงตาของเขาเหมือนมีไฟลุกโชนอยู่ในนั้น
บทที่ 5ไม่รักแต่มันหวงในใจของเขามันร้อนรุม หญิงแพศยา เมื่อคืนนอนใต้ร่างร้องครวญครางปานจะขาดใจอยู่กับชายผู้หนึ่งแต่ตอนเย็นของอีกวันกลับเกี้ยวชายอีกผู้หนึ่งได้อย่างหน้าด้านๆ ร่านยิ่งนัก ไม่มีใครเปรียบปาน เขาครุ่นคิดในใจอย่างโมโหยิ่งนัก แต่มิรู้จะทำเช่นไร จึงได้เอ่ยประชดประชันออกไป “ หญิงเช่นเจ้า เกี้ยวชายก่อน ดังเช่นหญิงไม่ไว้ตัว แถมยังมากินข้าวกับชายไม่ให้สาวใช้ตามมาด้วยอีก เป็นถึงคุณหนูจวนเสนาบดีแต่ไม่ไว้ตัวเสียเลย จะมีชายใดอยากจะได้เจ้าไปเป็นภรรยากัน หากแค่เพียงเชยชมเล่นก็อีกเรื่องหนึ่ง ” เขาเอ่ยขึ้นแล้วจ้องมองสบตาของนางอย่างจะเย้ยหยัน แม้ใบหน้าของเจียเหลียนฮวาจะร้อนวูบขึ้น เพราะคำพูดที่ดูถูกดูแคลนนั้น แต่นางก็ระงับอารมณ์เอาไว้แล้วเอ่ยตอบไปว่า “ มิเห็นเป็นอะไรนี่เพคะท่านอ๋อง ตอนนี้เหลียนฮวาเป็นหญิงยังมิได้ออกเรือน ยังไม่มีพันธะใดก็ย่อมต้องมองหาบุรุษที่พึงใจเพื่อจะได้ออกเรือนกับเขา ใช่ไหมเจ้าค่ะพี่เฟยหลง ” นางหันไปเอ่ยถามชายที่ยืนมองทั้งคู่อยู่ รองแม่ทัพไป๋หันมาหาเหลียนฮวาทันที “ ใช่จ๊ะ พี่ก็กำลังคิดว่าจะลองคบหาดูใจกับฮวาเอ๋ออยู่ เจ้าจะขัดข้องหรือไม่ ” รองแม่ทัพหนุ่มที่หาโอกาสพูดค
ยามซื่อวันต่อมา ที่วังหลวงในที่ประชุมขุนนาง ที่มีฮ่องเต้เป็นประธานและมีเหล่าองค์ชายหลายองค์รวมถึงอ๋องห้าซีหยางและอ๋องแปดอยู่ในที่ประชุมด้วย ทั้งหมดถกปัญหาอุทกภัยที่หัวเมืองชานตงอย่างเคร่งเครียดฮ่องเต้มอบให้อ๋องแปดไปจัดการเรื่องนี้กับขุนนางที่เกี่ยวข้องกับเรื่องการทำเขื่อน ให้ไปตรวจสอบและแก้ไขปัญหาให้เรียบร้อย อ๋องแปดรับพระบัญชาและเร่งออกไปจากท้องพระโรงเพื่อจัดการปัญหานี้ จากนั้นที่ประชุมก็ปรึกษาถึงเรื่องอื่นๆกันต่อไป จนเสร็จสิ้นการประชุมเมื่อฮ่องเต้เสด็จออกจากท้องพระโรงไปแล้ว เหล่าราชวงศ์และขุนนางก็กำลังจะทะยอยกันกลับ อ๋องซีหยางพยายามเดินไปเฉียดเสนาบดีเจีย เผื่อเขาจะสอบถามเรื่องเกี่ยวกับการถอนหมั้นเขาจะได้บ่ายเบี่ยงว่าเขามิได้อยากจะถอนหมั้นแต่เป็นเพราะเหลียนฮวางอนเขาจึงได้ส่งของหมั้นคืน หากท่านเสนาบดีเจียไม่ขัดข้องเขาจะส่งของหมั้นกลับคืนไป แม้เหลียนฮวาโวยวายเขาก็จะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เสีย แล้วก็รวบรัดนางกลับมาเป็นคู่หมั้นดังเดิม แต่เสนาบดีเจียกลับมิได้สนใจจะเอ่ยถึงเรื่องนี้เลย เหมือนเขามิได้ติดใจอะไรที่บุตรสาวเพียงคนเดียวถูกถอนหมั้น เขากลับเอ่ยถึงเรื่องราชการทั่วไป ขณะนั้นเสนาบดีจงก็เ
“ ข้าซื้อให้เจ้าตอบแทนที่ยอมให้ข้าปักปิ่นลงไปบนเรือนผมของเจ้าเพื่อดูว่าเหมาะสมกับสตรีที่ข้าพึงใจหรือไม่ ” เสียงทุ้มเอ่ยวาจาที่มันระคายใจนางออกมาอีก ฮวาเอ๋อเงยหน้าขึ้นจากคันฉ่องที่นางกำลังส่องมองเรือนผมของตนเองอยู่อ๋องหนุ่มเดินตามมาตอแยนางอีกแล้ว แถมยังเดินตามมายืนซ้อนหลังจนตัวแทบจะติดกับร่างอวบของนาง เหลียนฮวาใช้มือดันอกแกร่งของเขาให้ถอยห่างออกไป “ ข้าบอกท่านแล้วมิใช่หรือว่าอย่ามายุ่งกับข้า แล้วมายืนเสียแทบจะตัวติดกัน ผู้อื่นจะเข้าใจผิดเอาได้ ท่านจะเลือกเครื่องประดับให้สตรีที่ท่านพึงใจก็เลือกไป แต่อย่ามาใกล้ข้า เราไม่ได้เป็นอะไรกัน และข้าไม่พึงใจท่าน และไม่ต้องการสิ่งตอบแทนเพราะข้าไม่ได้เต็มใจจะช่วยท่านเลือกเสียหน่อย ” นางเอ่ยอย่างหงุดหงิดและเริ่มโมโหกรุ่นขึ้นมาแล้ว เหลียนฮวาหยิบเครื่องประดับที่นางเลือกแล้วสองชิ้นและไม่มีอารมณ์ที่จะเลือกซื้อหาชิ้นอื่นอีกเพราะไม่อยากจะอยู่ในร้านเดียวกับเขา เดินตรงไปที่โต๊ะบัญชีของเถ้าแก่เนี๊ยะเจ้าของร้านแล้ววางมันลงบนโต๊ะเพื่อให้นางคิดเงิน แต่ร่างหนาที่ยังเดินตามมาตอแยกับนางก็วางปิ่นระย้าและกำไลพลอยสีเขียวนั้นรวมกับของที่นางวางเอาไว้แล้วเอ่ยว่า “ เ
แม้นางจะยังเหลือสติอีกเล็กน้อยที่จะดิ้นรนให้ตนเองนั้นหลุดรอดเงื้อมมือของเขา แต่ก็ถูกเขาเล้าโลมนางอย่างหนักมือขึ้นอีกเพราะรู้เท่าทันว่ากวางน้อยเนื้อหวานของเขากำลังจะดิ้นหลุดมือไป มือหนาฟอนเฟ้นอกอวบใหญ่ของนางอย่างมันมือ “ อ๊า อ๊าา อ๊าา อ๊าาย อย่านะ อ๊าา” ร่างอวบครวญครางอย่างเสียวซ่าน เมื่อถูกนิ้วแกร่งบีบผลอิงเถาของนางอย่างมันมือ เขาบีบเค้นอกอวบใหญ่อย่างหนักมือและนิ้วแกร่งก็ดึงผลอิงเถาของนางแล้วขยี้มันเบาๆ จนร่างอวบดิ้นพล่าน “ อ๊าย อ๊า ท่านอ๋องไม่นะ เราถอนหมั้นกันแล้ว ไม่นะ อย่า อ๊ายย อ๊าาง ” นางพยายามดิ้นรนด้วยสติที่ยังพอหลงเหลือ ร้องประท้วงบอกเขาผสานกับร้องครวญครางอย่างทนไม่ไหว “ เจ้ามิได้เป็นคู่หมั้นของเปิ่นหวาง แต่เจ้าเป็นเมีย ได้ยินหรือไม่ เปิ่นหวางคือผัวของเจ้า มันเปลี่ยนความจริงข้อนี้ไปไม่ได้แล้ว หากเจ้ามีบุรุษใดอีก เปิ่นหวางจะไปบอกมันว่าเราคือผัวเมียกัน ” ขณะที่เอ่ยวาจาตอกย้ำให้นางรู้ว่านางเป็นเมียของเขานั้น มือหนาก็ดึงผ้าคาดเอวของนางออกจนหลุดลุ่ย แล้วมือหนาก็ล้วงเข้าไปในสาปเสื้อของนางแล้วฟอนเฟ้นอกอวบใหญ่ของนางอย่างมันมือสลับกับคีบผลอิงเถาของนั้นแล้วขยี้มันจนร่างอวบดิ้นพล่านอย่า
ยามซื่อวันต่อมา (เก้าโมงเช้า) คุณหนูจงซูลี่มาขอพบเหลียนฮวาจากที่นางไม่ได้มาหลายวันแล้ว นับจากที่ท่านอ๋องกับสหายของนางถอนหมั้นกัน ตอนนั้นคุณหนูจงคิดว่านางกำลังจะมาแทนที่สหายของตนเอง เพราะนางรู้มาว่าท่านอ๋องซีหยางแอบหลงรักนางเพราะนางเรียบร้อยอ่อนหวาน เป็นสตรีที่ดูว่านอนสอนง่ายเหมาะสมกับตำแหน่งพระชายาของเขามีคนมาบอกนางว่าท่านอ๋องกล่าวเช่นนี้ในหมู่องค์ชายและสหายของเขาหลายครั้ง นางจึงคิดว่าสิ่งที่นางได้ยินมาเป็นความจริงและตัวนางก็แอบมีใจให้อ๋องซีหยางมานานเช่นเดียวกับสหายของนางคุณหนูเจียเหลียนฮวา แต่เมื่อนางได้ยินข่าวว่าทั้งสองถอนหมั้นกันแล้วเพราะท่านอ๋องไม่ต้องการแต่งงานกับเหลียนฮวา ซูลี่จึงคิดว่าท่านอ๋องคงจะทนหญิงร้ายกาจและอารมณ์ร้อนเช่นเหลียนฮวาไม่ไหว เขาคงจะอับอายที่นางอาละวาดต่อหน้าผู้อื่นหลายๆครั้ง เมื่อมีหญิงอื่นมาวอแวกับเขานางก็จะจัดการทันทีอย่างไม่ไว้หน้า และตามหึงหวงเขาจนกระทั่งเขาคงจะรำคาญจนทนไม่ไหว จึงได้ถอนหมั้นไป วันนี้คุณหนูจงซูลี่จึงได้ตัดสินใจมาพบเหลียนฮวา ทั้งๆที่พยายามตีตัวออกห่างเพราะนางเตรียมตัวเพื่อที่จะได้แต่งเป็นพระชายาของท่านอ๋องซีหยาง นางคิดว่าอีกไม่นานเขาคงจะมาสู
หลายวันต่อมามีงานเลี้ยงฉลองให้กับเหล่าทหารในบังคับบัญชาของแม่ทัพตะวันออกที่เพิ่งรบชนะ หนึ่งในนั้นคือรองแม่ทัพไป๋เฟยหลง เวลายามเว่ย(บ่ายโมงกว่าๆ) รถม้าของแม่ทัพไป๋ก็จอดลงที่หน้าจวนเสนาบดีเจีย เขามารับเจียเหลียนฮวาเพื่อไปร่วมงานเลี้ยงฉลองในวังหลวงด้วยกัน พี่ชายของนางไปร่วมงานกับบิดาของนางทั้งสองออกเดินทางล่วงหน้าไปกว่าชั่วยามแล้ว แต่เหลียนฮวานัดกับพี่เฟยหลงไว้ว่าจะไปพร้อมกัน เหลียนฮวาเดินขึ้นรถม้าของรองแม่ทัพไป๋โดยมีเขาประคองนางขึ้นไปแล้วตัวเขาก็เดินตามขึ้นไปบนรถม้า จากนั้นรถม้าคันนั้นก็แล่นออกจากหน้าจวนแม่เสนาบดีเจียมุ่งตรงไปตามถนนสายหลักที่มุ่งสู่วังหลวง เมื่อรถม้ามาจอดลงที่หน้าประตูทางเข้าวังหลวง ทั้งสองก็พากันลงจากรถม้าแล้วเดินเข้าประตูวังหลวงมุ่งตรงไปที่ห้องจัดเลี้ยงภายในวังหลวง ที่เป็นเรือนขนาดใหญ่ที่ด้านในโล่งกว้าง มีที่ประทับของฮ่องเต้และฮองเฮารวมถึงราชวงศ์และที่นั่งของขุนนางลำดับต่างๆ ที่จัดที่นั่งประจำตัวของแต่ละคนเอาไว้แล้ว ทั้งสองเดินมาถึงประตูวังชั้นในที่เป็นทางเข้าไปสู่งานเลี้ยงขันทีที่ยืนอยู่หน้าประตูก็ร้องขานชื่อเสียงดังขึ้นทันที “ รองแม่ทัพไป๋เฟยหลงกับคุณหนูเจียเหลียนฮ
อ๋องหนุ่มรวบร่างของเหลียนฮวาพาดบ่าพาเดินลัดเลาะไปทางตำหนักที่่อยู่ไม่ไกลโถงจัดเลี้ยงนัก แต่เป็นตำหนักที่ไม่มีคนอยู่ เพราะเจ้าของย้ายไปอยู่ตำหนักอื่นและปิดทิ้งเอาไว้ อ๋องหนุ่มเปิดประตูเข้าไป แบกร่างอวบของเหลียนฮวาเดินตรงเข้าไปด้านในจนพบห้องนอนใหญ่ ห้องนอนนี้มีเตียงสี่เสาหลังใหญ่อยู่กลางห้อง เขาแบกร่างอวบของนางวางลงบนเตียง เหลียนฮวาที่ดิ้นรนทุบไหล่เขามาตลอดทาง แต่นางมิกล้าร้องดังจนเกินไปด้วยกลัวจะมีผู้พบเห็นแล้วนางจะเสื่อมเสียไปยิ่งกว่านี้ นางถอนหมั้นกับเขาแล้วมิอยากเกี่ยวข้องกับเขาอีก ตอนนี้นางกำลังคิดจะคบหากับรองแม่ทัพไป๋ แม้นางมิได้รักเขา แต่คิดว่าเขาเป็นพี่ชายที่น่ารักและเป็นบุรุษที่น่าสนใจ นางควรจะเปิดใจมองบุรุษอื่นๆที่มิใช่อ๋องผู้นี้ดูบ้าง“ ท่านจับหม่อมฉันมาทำไมกัน มิกลัวผู้อื่นจะเห็นเข้าหรือไร เรามิได้เป็นอะไรกันแล้ว ข่าวเรื่องถอนหมั้นก็มีคนรับรู้กันทั้งเมืองหลวง และหม่อมฉันกำลังจะคบหากับพี่เฟยหลง ท่านก็กำลังจะไปสู่ขอจงซูลี่ไม่ใช่หรือเพคะ อย่ามาทำเช่นนี้เลย ” อ๋องหนุ่มยกยิ้มน้อยๆที่มุกปากหนา “ เจ้าเป็นเมียข้าแล้ว ใช่เรามิได้เป็นเพียงคู่หมั้นแต่เราคือผัวเมียกัน เจ้าคิดจะไปหลอกช
อ๋องหนุ่มเจ็บแสบนิดๆแต่เขาก็มิได้อนาทรเพราะเขาเองก็สุขสมเหลือเกินที่ได้ขย่มร่างอวบของเมียรักที่เขาแสนจะคิดถึงนางมาหลายวันแล้ว เมื่อเสร็จสมเขาจับร่างอวบพลิกคว่ำแล้วกดกระแทกนางจากด้านหลังทันทีอย่างรุนแรง ทั้งสองร้องครวญครางผสานกันอย่างสุขสม เสียงเตียงใหญ่นั้นไหวโยกอย่างรุนแรง หัวเตียงกระแทกผนังเสียงดังสนั่น ผสานไปกับเสียงร้องครวญครางกระเส่าอย่างสุขสมของอดีตคู่หมั้นทั้งสอง อ๋องหนุ่มที่โหยหาร่างอวบของนางมาหลายวันแล้ว ตั้งแต่ได้นางเป็นเมีย เขามิเคยเสพสมกับหญิงใดอีกเลย จึงได้เร่งกระแทกนางไม่ยั้งและจับร่างอวบนั้นพลิกไปมาอยู่หลายท่วงท่า จนเมื่อจับร่างอวบของนางนอนคว่ำหน้ากับฟูกนอนหนานุ่มนั้น ดึงก้นงอนงามของนางขึ้นแล้วบีบเค้นมันอย่างเมามัน ตบมันอย่างแรงสองครั้งด้วยความหมั่นเขี้ยว แล้วเขาก็สอดเจ้าลูกชายตาเดียวที่มันยังไม่อิ่มเอมในรสรักจากนางเข้าไปในร่องอวบของนางจากทางด้านหลังจนมิดลำกายใหญ่นั้น แล้วก็เร่งกระแทกนางจากทางด้านหลังอย่างเร่าร้อนร่างหนาของอ๋องหนุ่มนอนคว่ำคร่อมร่างอวบของเหลียนฮวาอยู่ บั้นเอวหนาเร่งกระแทกร่องอวบของนางอย่างรวดเร็ว เร่งจังหวะจนรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เสียงเนื้อกระทบเนื้อดังก้