#โรงพยาบาล
ฉันกำลังจะเดินไปเยี่ยมน้องสาว แต่เจอคุณหมอที่รักษาอาการป่วยของนาลินพอดี แถมคุณหมอยังเรียกให้ฉันตามมาที่ห้องทำงาน “คุณวารินเจอตัวพอดีช่วยตามผมมาที่ห้องทำงานสักครู่นะครับ ผมมีเรื่องสำคัญจะคุยกับคุณ” ฉันค่อนข้างแปลกใจนิดหน่อย ระหว่างที่เดินตามคุณหมอไปก็คิดไปด้วยว่ามีเรื่องอะไร ภาวนาขอให้เป็นข่าวดี #ภายในห้องทำงานของคุณหมอ “มีอะไรหรือเปล่าคะ” ฉันถามคุณหมอ ซึ่งในตอนนี้สีหน้าของคุณหมอดูลำบากใจที่จะพูดพอสมควร ทำให้ฉันเริ่มรู้สึกใจคอไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ คุณหมอถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วพูด “ตอนนี้อาการของน้องสาวคุณค่อนข้างน่าเป็นห่วงมากนะครับ” “…..” ฉันจิกเล็บลงบนฝ่ามือของตัวเองเพื่อเป็นการระบายความรู้สึกที่มันจุกแน่นไปทั้งอก หลังจากที่ได้ยินคุณหมอบอกมาแบบนั้น “ทีมแพทย์ของเรายังไม่มีหมอที่เชี่ยวชาญทางโรคที่น้องสาวของคุณเป็น หมอแนะนำให้ส่งตัวไปรักษาที่อังกฤษนะครับ เพราะที่นั่นมีทีมแพทย์ที่เชี่ยวชาญ” “ส่งตัวไปรักษาที่ อะ อังกฤษอย่างนั้นหรอคะ” “ใช่ครับ เรื่องค่าใช้จ่ายก็จะค่อนข้างสูง แต่หมอรับประกันได้ว่าน้องสาวของคุณต้องหายดีแน่ๆ” “คะ ค่ารักษาจะประมาณเท่าไหร่คะหากรินต้องส่งตัวน้องไปรักษาที่อังกฤษ” “ประมาณสามล้านครับ” “สะ สามล้านหรอคะ…” หัวใจดวงน้อยของฉันมันเหมือนกำลังมีคนกำและค่อยๆ บีบรัดจนแน่น เงินตั้งสามล้านฉันจะหามาได้ยังไง ลำพังแค่เงินเดือนยังแทบไม่พอใช้จ่ายเลยหลังจากคุยกับหมอ ฉันก็แอบมาร้องไห้ในห้องน้ำเพราะไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อ ฉันไม่มีปัญญาหาเงินมากมายขนาดนั้นมาได้เพียงเวลาแค่ไม่กี่วันหรอก มันมากเกินไป มากเกินกว่าความสามารถของฉัน ฉันไม่อยากต้องมาเห็นน้องสาวของตัวเองจากไปแบบนี้ เธอเพิ่งอายุสิบเก้าปี ยังต้องมีอนาคตที่สดใส ทำไมกัน ทำไมต้องเป็นน้องสาวของฉัน ทำไมความโชคร้ายถึงมาเกิดขึ้นกับเรา 30 นาทีผ่านไป… ฉันพยายามทำตัวเองให้เป็นปกติที่สุด ล้างหน้าล้างตา จากนั้นก็เดินออกจากห้องน้ำเพื่อไปหานาลิน ตอนนี้นาลินหลับอยู่ นอกจากใบหน้าที่ซีดเผือดแล้ว ตัวของเธอเองก็เริ่มซีด พอเห็นน้องสาวที่อยู่ในสภาพนี้น้ำตาที่พยายามกลั้นเอาไว้มันก็เริ่มจะไหลออกมาอีกครั้ง “พี่ริน…” เสียงแหบแห้งของนาลินเอ่ยขึ้น มันเบามากซะจนฉันแทบจะไม่ได้ยิน ฉันก้มหน้าลงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อให้น้ำตาไม่ไหลออกมา ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองน้องสาว “หนูคงไม่รอดแล้วใช่มั้ยพี่ริน…” คำถามของน้องสาวทำให้ฉันถึงกับกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ได้ ในที่สุดหยดน้ำใสๆ มันก็ไหลลงมาอาบพวงแก้มทั้งสองข้าง“อย่าพูดแบบนี้สินาลิน เธอต้องรอด อย่าทิ้งพี่ไปไหนนะ” “หนูรู้ว่าพี่รินทำงานหนักเพื่อหาเงินมารักษาหนู แต่คง
หลังจากที่ฉันพูดคำนั้นออกไปบรรยากาศภายในห้องก็เงียบสนิท คุณเหนือไม่ได้เอ่ยคำใดออกมานอกจากมองหน้าฉันนิ่งๆ หัวใจดวงน้อยของฉันมันกำลังเต้นรัว ถ้าชีวิตของฉันมันมีทางเลือกมากกว่านี้ ก็คงไม่ต้องแบกหน้ามาเสนอตัวให้เขา คงไม่ต้องยอมกลืนน้ำลายตัวเอง “หึ!! ทำไมจู่ๆ เธอถึงได้เปลี่ยนใจ” คุณเหนือถามขึ้นทำลายความเงียบ “น้องสาวของรินกำลังแย่ คุณเหนือช่วยน้องรินด้วยนะคะ ถ้าคุณเหนืออยากให้รินทำอะไร รินยอมหมดทุกอย่าง ขะ ขอแค่น้องสาวของรินหาย…”คุณเหนือลุกขึ้นเต็มความสูง แล้วก้าวขาเดินมาหยุดตรงหน้าของฉัน มือหนาช้อนปลายคางของฉันขึ้นไปสบตากับตัวเอง สายตาเย็นชาคู่นั้นมันทำให้ฉันวูบไหวไปชั่วขณะ“ถ้าฉันอยากทำอะไรเธอจะยอมทุกอย่างจริงๆ ใช่มั้ยหื้ม…” ใบหน้าคมคายก้มลงมาใกล้ๆ จนฉันสัมผัสได้ถึงลมหายใจร้อนผ่าวของเขา “….ค่ะ ทุกอย่าง” คุณเหนือดันร่างของฉันให้เดินถอยหลังไปเรื่อยๆ จนมาชนกับโต๊ะทำงาน มือหนาทั้งสองข้างจับสะโพกของฉันแล้วออกแรงยกตัวฉันขึ้นมานั่งบนโต๊ะทำงานของตัวเอง “คะ คุณเหนือ…” ฉันรีบดันอกแกร่งเอาไว้เมื่อคุณเหนือโน้มใบหน้าลงมาหวังจะจูบ จากนั้นฉันก็เบือนหน้าหนี“เธอบอกฉันเองว่ายอมทุกอย่าง”“…ไม่ใช่ตอ
วันต่อมา….“วารินไปกินข้าวกันเถอะ” พี่เอมเอ่ยปากชวนเมื่อถึงเวลาพักเที่ยง ในตอนนี้พนักงานต่างพากันพักเบรกเพื่อไปกินข้าว“ค่ะ ^_^” ฉันเก็บของเสร็จแล้วก็ลุกขึ้นเตรียมจะเดินตามพี่เอมไป แต่จู่ๆ คุณทิศเหนือก็เดินมาหยุดตรงหน้าฉัน ซึ่งฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาเดินมาตั้งแต่เมื่อไหร่“ฉันมีงานจะให้เธอช่วยตรวจสักหน่อย”“งานอะไรคะคุณเหนือ เดี๋ยวฉันทำให้ก็ได้วารินยังเป็นเด็กฝึกอยู่….”“ฉันต้องการให้วารินเป็นคนทำ” พูดจบคุณเหนือก็เดินกลับไปที่ห้องทำงานของตัวเอง“ถ้าอย่างนั้นพี่เอมลงไปกินข้าวก่อนเลยนะคะ ไม่ต้องรอริน”“ระวังตัวด้วยนะริน”“ไม่ต้องห่วงนะคะ ถ้ามีอะไรรินจะรีบโทรหาพี่เอมทันที” ฉันยิ้มแห้งๆ ให้พี่เอม ก่อนจะรีบเดินตามคุณเหนือมาที่ห้องทำงาน#ภายในห้องทำงาน“ไหนบอกว่าจะให้มาคุยหลังเลิกงานไงคะ”“พอดีว่าฉันใจร้อน มานั่งนี่สิ” พูดจบคุณเหนือก็ตบลงตรงที่ว่างข้างๆ ตัวเองเพื่อเป็นการเชื้อเชิญให้ฉันไปนั่งแน่นอนว่าฉันไม่อาจจะขัดใจเขาได้ ไม่ว่าจะเหตุผลอะไรเมื่อฉันนั่งลงข้างๆ กับตัวเขาแล้ว คุณเหนือก็เอากระดาษตรงหน้ายื่นมาให้ฉัน“อ่านซะ”ฉันขมวดคิ้วเป็นปมอย่างแปลกใจก่อนที่จะหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาอ
นิ้วใหญ่แตะลงมาบนกลีบกุหลาบของฉันโดยไม่มีอะไรปิดกั้น ทำเอาฉันถึงกับสะดุ้งและรู้สึกอับอายเพราะนี่มันคือครั้งแรกที่ฉันอ้าขาแบบนี้ให้ผู้ชายทั้งที่ไม่อยากจะรู้สึก แต่กลับห้ามตัวเองไม่ได้ เมื่อนิ้วใหญ่ค่อยๆ ขยี้ลงบนติ่งเกสรของฉันเบาๆ“เธอกำลังคบหาอยู่กับผู้ชายคนไหนหรือเปล่า ?”“ไม่ค่ะ อ๊ะ ฉะ ฉันไม่มีแฟน” พอได้ยินคำตอบของฉัน คุณเหนือก็กระตุกยิ้มมุมปากออกมาอย่างพอใจ“เรื่องส่งตัวน้องสาวเธอไปรักษาที่ต่างประเทศ ฉันจะเป็นคนจัดการเอง”“คะ คุณเหนือรู้ได้ยังไง ว่าน้องสาวของรินต้องถูกส่งตัว อื้อ~”เสียงของฉันถูกกลืนหายลงไปในลำคอเมื่อคุณเหนือก้มหน้าลงมาประกบริมฝีปากจูบฉัน โดยที่ยังไม่ทันได้ตั้งรับ ด้วยความที่ไม่เคยจูบกับชายใดมาก่อน ทำให้ฉันไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไง ได้แต่อยู่นิ่งๆ ให้คุณเหนือเป็นคนทำนิ้วใหญ่ยังคงขยี้ติ่งเกสรของฉันเบาๆ สลับกับลากไล้มันขึ้นลง แปลกที่ฉันเริ่มรู้สึกดีกริ๊ง~ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมา ทำให้คุณเหนือถอนริมฝีปากออกไปจากริมฝีปากของฉัน รวมทั้งนิ้วที่กำลังแตะตรงนั้นของฉันอยู่ก็ถูกดึงออกไปด้วยเมื่อคุณเหนือหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับมันก็ทำให้ฉันรู้สึกหายใจหายคอได้สะดวกขึ้น ก่อนที่จะค่
เรียวขาของฉันถูกจับให้แยกออกจากกัน เผยให้เห็นความสวยงามที่แดงฉ่ำเย้ายวนคนตรงหน้า ก่อนที่นิ้วใหญ่จะแตะลงมาบนติ่งเกสรแล้วขยี้มันอย่างเบามือ“เธอรู้ไหมว่าฉันต้องการเธอมากขนาดไหนวาริน” คุณเหนือกระซิบถามเสียงกระเส่า ทำเอาหัวใจของฉันกระตุกสั่นไหว“อ๊ะ คะ คุณเหนือ ทำตรงนี้ไม่ได้นะคะ” ฉันรีบท้วง เพราะด้านหลังที่ฉันยืนอยู่มันคือกระจกใสบานใหญ่ที่มองเห็นวิวรอบๆ กรุงเทพ“ไม่ว่าฉันจะทำตรงไหนเธอก็ไม่มีสิทธิ์ขัดใจ” คุณเหนือกระซิบบอก “อย่าลืมสิว่าฉันจ่ายเงินให้เธอไปแล้ว เพราะฉะนั้นเธอก็คือสิ่งของของฉัน”สะ สิ่งของ เขาเปรียบฉันเหมือนกับสิ่งของอย่างนั้นเหรอฉันไม่มีเวลาได้คิดอะไรฟุ้งซ่าน มันเริ่มรู้สึกหายใจได้ไม่ทั่วท้องและแทบจะทรงตัวยืนไม่อยู่เมื่อถูกนิ้วใหญ่บดขยี้ติ่งเกสรแรงขึ้นเรื่อยๆ จนร่างของฉันเกร็งกระตุกครั้งแล้วครั้งเล่าเขาทำแบบนี้แล้วฉันจะหักห้ามความรู้สึกได้ยังไงกัน ยิ่งตอนที่เขาคลึงปลายนิ้วมือกับติ่งกระสันทำเอาฉันเสียวซ่านใจแทบขาดจนเก็บเสียงครางไว้ไม่อยู่“อ๊า อ๊า อ๊าง~”ความรู้สึกแปลกใหม่ที่เพิ่งเคยได้สัมผัส แต่มันกลับทำให้ฉันรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูกริมฝีปากหนาของคุณเหนืองับลงมาบนใบหูของฉัน
วันต่อมา….ฉันมาทำงานที่บริษัทตามปกติในตอนนี้ข้าวของ พวกของใช้เสื้อผ้า ถูกลูกน้องของคุณเหนือย้ายมาไว้ที่คอนโด ส่วนเรื่องส่งตัวน้องสาวของฉันไปรักษาที่ต่างประเทศ ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนดำเนินการ เรื่องค่าใช้จ่ายฉันได้จัดการเรียบร้อยแล้ว เย็นวันนี้ฉันจะไปเยี่ยมนาลินที่โรงพยาบาลฉันเดินมายังโต๊ะทำงานของตัวเองแต่ก็ต้องแปลกใจเมื่อโต๊ะทำงานที่นั่งประจำได้หายไป“อ้าววาริน มองหาโต๊ะทำงานอยู่เหรอจ๊ะ ^_^” พี่เอมถามฉัน“ใช่ค่ะ”“คุณเหนือสั่งให้ย้ายไปอยู่ที่หน้าห้องทำงานของเขาน่ะ บอกว่าอยากให้วารินเรียนรู้งานกับเลขา”“ยะ อย่างนั้นเหรอคะ…” ฉันตอบไปอย่างงุนงง เขาคิดจะทำอะไรก็ไม่ต้องบอก ไม่ต้องถามฉันเลยหรือยังไงกันฉันเดินมาที่หน้าห้องทำงานของคุณเหนือ เห็นว่ามีโต๊ะทำงานของตัวเองตั้งอยู่จริงๆ“น้องริน คุณเหนือฝากบอกให้เข้าไปพบน่ะจ้ะ” พอฉันเดินมาถึงพี่เลขาก็บอกกับฉันในทันที“…ค่ะ”ฉันค่อยๆ เปิดประตูเข้าไปภายในห้องทำงานของผู้บริหาร ในตอนนี้คุณเหนือกำลังยืนสูบบุหรี่อยู่ตรงระเบียงสายตาของฉันโฟกัสไปยังแผ่นหลังกว้างตรงหน้า ไม่ว่าจะด้านหน้าหรือด้านหลัง ผู้ชายคนนี้ก็ดูดีไม่มีที่ติจู่ๆ ใบหน้าของฉันมันก็แดงก่ำเมื
#โรงพยาบาลฉันมาเยี่ยมน้องสาวก่อนที่เธอจะถูกส่งตัวไปรักษาที่ต่างประเทศ“พี่ริน หนูกลัว” นาลินรีบบอกเมื่อเห็นว่าฉันเดินเข้ามาในห้องที่เธอนอนพักฟื้นอยู่ฉันก้าวขาเดินมาหย่อนก้นนั่งลงข้างๆ กับเตียง แล้วกุมมือนาลินเอาไว้“ไม่ต้องกลัว เธอต้องหายเชื่อพี่นะ” พูดแล้วฉันก็ค่อยๆ ยกมือขึ้ลูบหัวนาลิน “พี่จะรอวันที่น้องสาวคนสวยของพี่หายเป็นปกติ ถ้าหายดีแล้วพี่สัญญาว่าจะพาเธอไปเที่ยวทุกที่ที่เธออยากจะไป”“….พี่รินสัญญาแล้วนะคะ”“พี่สัญญา ^_^” ฉันฝืนยิ้มทั้งที่ตอนนี้มันอยากจะร้องไห้ออกมาตั้งแต่เล็กจนโตเราสองพี่น้องไม่เคยแยกจากกันไปไหนไกล แต่ครั้งนี้นาลินต้องถูกส่งตัวไปรักษาไกลถึงต่างประเทศ หากฉันมีเงินมากพอและไม่มีหน้าที่อะไรที่ต้องทำก็คงจะตามไปด้วยแต่ฉันต้องอยู่เป็น ‘สิ่งของ’ ที่คุณเหนืออยากจะเรียกใช้เมื่อไหร่ก็ได้หลังจากเยี่ยมนาลินเสร็จฉันก็มาหาพราว เพื่อนที่สนิทที่สุดของฉัน เรานัดกันมาเดินเล่นที่ห้างหลังจากไม่ได้เจอหน้ากันร่วมเดือน“ริน ทางนี้” เสียงของพราวเรียกบอกฉันพร้อมกับโบกมือไปมาเพื่อให้ฉันมองเห็นตัวเอง แต่การทำแบบนั้นมันกลับทำให้พราวตกเป็นเป้าสายตาของคนอื่นฉันรีบเดินจ้ำเท้าไปหาเพื่อน เ
คุณเหนือเดินนำฉันมาที่รถของตัวเอง ซึ่งจอดอยู่ตรงที่จ]อดวีไอพี บริเวณนี้จะไม่มีรถของใครจอดอยู่เลยสักคัน“ขึ้นรถ”“ตะ แต่รินเอารถมา…”“ฉันบอกให้เธอขึ้นรถ” คุณเหนือกดเสียงต่ำ ทำให้ฉันรีบเปิดประตูเข้ามานั่งด้านในอย่างว่าง่ายเมื่อฉันเข้ามานั่งด้านในรถ คุณเหนือก็เปิดประตูเข้ามานั่งตรงเบาะคนขับ เขาปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตที่สวมใส่อยู่ออก แล้วถอดมันก่อนจะโยนมันไปไว้ที่เบาะหลัง จากนั้นก็ดึงเน็กไทลงพร้อมกับปลดกระดุมเสื้อสองสามเม็ดใบหน้าเกรี้ยวกราดหันมาจ้องฉันอย่างเอาเรื่อง “เอาเงินที่ฉันให้มาเลี้ยงผู้ชาย ?”“มะ ไม่ อื้อ…” ไม่ทันที่
10 เดือนผ่านไปตอนนี้ฉันกำลังนอนให้นมลูกอยู่ในห้อง พ่อกับแม่เพิ่งมาเยี่ยมแล้วกลับไปนี่เอง ส่วนพี่ติณเขามีประชุมที่บริษัท น้ำอิงลูกสาวของฉันตอนนี้ได้สิบเดือนแล้ว นั่งได้คลานได้ ตอนนี้กำลังหัดเดินแต่ยังเดินเป็นก้าวๆ ไม่ได้ต้องคอยจับ เวลาพูดอะไรเขาก็จะมองๆ พอเข้าใจบ้าง ยิ่งเวลาดื้อแล้วถูกดุนี่นะมองหาพ่อก่อนเลย พอเห็นพ่อก็จะร้องไห้ใหญ่ เอาแต่ใจใช่เล่นเลยแหละตอนนี้น้ำอิงอ้วนจ้ำม่ำมากๆ เลย เพื่อนๆ ของฉันต่างเอ็นดูความจ้ำม่ำจนต้องแวะเวียนกันมาคอยเล่นกับหลานบ่อยๆ พี่ติณก็ติดลูกมากๆ ตั้งแต่คลอดเขาเอางานมาทำที่บ้าน จะเข้าบริษัทก็แค่ตอนมีประชุม แถมพวกผ้าอ้อมของลูกแล้วก็เสื้อผ้าพี่ติณเป็นคนซักเองหมด ฉันมีหน้าที่แค่นอนให้นมลูกอย่างเดียวเลย พอให้นมลูกสาวของฉันก็หลับคาอก ฉันค่อยๆ ประคองตัวลูกอย่างเบามือเอามานอนที่เปล เป็นเปลไกวแบบไฟฟ้าพี่ติณซื้อเอาไว้เพราะกลัวว่าถ้าไกวเองแล้วฉันจะปวดแขน กริ้ง~ พอเอาลูกนอนเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ฉันรู้ได้ทันทีว่าคนที่โทรมาต้องเป็นพี่ติณแน่ๆ “ลูกหลับแล้วค่ะ” พอรับสายฉันก็รีบกระซิบบอก พี่ติณโทรมาแบบวีดีโอคลอ(ขอดูหน้าลูกหน่อย) เป็นแบบนี้ประจำเวลาที่ออกไปบริษัทถึง
#ภายในห้อง ตกดึกตอนนี้พี่ติณเริ่มงอแงหนักขึ้นเพราะว่าฉันไม่ยอมให้ทำเรื่องบนเตียงจริงๆ “ทำเบาๆ แค่เอาถูๆ ก็ได้” พี่ติณล้มมานอนบนตักของฉันแล้วพูดอ้อน “ไม่ค่ะ” “ถูๆ เองไม่เอาใส่เข้าไป”“หนูบอกว่าไม่เอาไง”“จะเอาๆ” “ถ้ายังพูดไม่รู้เรื่องหนูจะงดไปสองเดือนเลยนะคะ” ฉันยื่นคำขาดด้วยสีหน้าที่จริงจัง ทำให้พี่ติณปิดปากเงียบแต่สายตาของเขากำลังมองค้อนฉันอยู่ “ไม่เป็นห่วงลูกเลยหรือไงคะ” “เป็นห่วงแต่พ่อมันก็หิวเป็นเหมือนกัน”“ใช้มือช่วยตัวเองไปก่อนก็ได้”“ไม่ชอบ ชอบทำในตัวเธอมากกว่า” “หนูจะกลับไปอยู่บ้านนะถ้าพี่ติณยังหื่นไม่เข้าเรื่องแบบนี้น่ะ” “ได้ไง แต่งงานกันแล้วนะน้ำมนต์”“ไม่รู้แหละ มันหงุดหงิดนี่คะ” ฉันดันศรีษะของพี่ติณออกจากตักเพื่อแสดงอาการไม่พอใจที่เขานั้นหมกมุ่นเรื่องบนเตียงมากเกินไป “ก็ได้ๆ ต่อไปนี้ฉันจะไม่หมกมุ่น” ฉันหันมองพี่ติณอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง “ทำได้หรอคะ”“เมียสั่งฉันก็ต้องทำให้ได้”“สามีของหนูน่ารักที่สุดเลยค่ะ ^_^” ฉันยิ้มหวานให้พี่ติณแต่พอจะแตะตัวเขา เขาก็ลุกขึ้นยืนแล้วบอก “ฉันจะไปห้องพระ”“ไปทำอะไรที่ห้องพระคะ ?” ที่ผ่านมาฉันไม่เคยเห็นพี่ติณเข้าห้องพระเลยนะ วันนี้
“ผะ ผม….” อาจารย์หนุ่มแสดงอาการกลัวออกมาอย่างเห็นได้ชัด “มานี่!!” พี่ติณจ้องฉันเขม็ง ฉันจึงรีบเดินไปหาเขาทันที จากนั้นพี่ติณก็พูดต่อ “ให้เวลาห้าวินาที รีบไปให้พ้นก่อนที่กูจะยิงมึง” สิ้นสุดคำพูดที่ดุดันของพี่ติณอาจารย์หนุ่มก็รีบวิ่งออกไปอย่างไม่คิดชีวิต เขาคงกลัวตายมากๆ “อย่ามองหนูแบบนั้นนะ พี่ติณสั่งให้ลูกน้องหาอาจารย์มาสอน หนูไม่ได้เลือกเองสักหน่อย” ฉันรีบบอกเพราะถูกสายตาเอาผิดของพี่ติณจ้องอยู่ “เธอยอมให้มันอยู่ใกล้” “หนูแค่ไม่เข้าใจที่เขาสอน เขาเลยเดินมาบอก”“แล้วต้องใกล้ขนาดนั้น ? กลิ่นตัวหอม ?” พี่ติณกำลังหาเรื่องฉันอยู่ ไม่คิดจะฟังที่พูดเลยหรือไง นิสัยเดิมอีกแล้ว “แต่หนูก็ไม่ได้ทำอะไรที่ไม่ดีนะคะ หนูรู้ว่าตัวเองมีสามีแล้ว” “แล้วตอนมันยืนใกล้ๆ ทำไมไม่ลุกหนี ถ้าฉันไม่มาเห็นเธอจะลุกขึ้นหนีมันหรือเปล่า ?”“การลุกหนีมันเสียมารยาทนะคะ อีกอย่างเขาไม่ได้ทำอะไรที่เป็นการลวนลามหนูเลยด้วยซ้ำ”“ฉันไม่ชอบเธอก็รู้”“เปลี่ยนอาจารย์สอนเป็นผู้หญิงให้หมดทุกคนเลยก็ได้ค่ะ ถ้าเป็นผู้ชายแล้วพี่ติณไม่สบายใจ” “เปลี่ยนแน่!!” ฉันผิดอะไรหรอพี่ติณถึงได้มีท่าทางโกรธมากขนาดนี้ ทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรเสีย
วันเวลาล่วงเลยผ่านไปจนกระทั่งถึงวันที่สำคัญมากที่สุดของชีวิต เป็นวันที่มีความสุขมากที่สุดอีกวัน วันที่ฉันกับพี่ติณเข้าพิธีแต่งงานกัน เราจัดงานแบบเรียบง่ายเชิญแค่แขกคนสนิท ถึงแม้จะจัดในโรงแรมหรู แต่เราคุยกันแล้วว่าอยากให้บรรยากาศมันอบอุ่นมากกว่ามีคนมากมายพลุกพล่าน ในงานจึงมีแขกมาร่วมแสดงความยินดีไม่มากนัก ส่วนมากจะเป็นญาติทางฉันและเพื่อนๆ ที่ฉันสนิทเพราะพี่ติณตัวคนเดียว จะมีก็แต่ลูกน้องของเขาที่มาร่วมแสดงความยินดี “เจ้าสาวของฉันทำไมถึงสวยขนาดนี้นะ” พี่ติณพูดเสียงหวานเมื่อพ่อส่งมอบตัวฉันให้กับเขา “อย่าพูดแบบนั้นสินะหนูเขินนะ” ฉันบิดตัวไปมาเล็กน้อยเพราะความเขินอายเราทั้งคู่เดินไปบนพรมสีขาวสะอาดตา มีคนคอยโปรยกุหลาบตลอดทางที่เดินและมีเพลงคลาสสิคเปิดขึ้นมา บรรยากาศในงานอบอวลไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข ทุกคนที่มาต่างแสดงความยินดีให้เราทั้งคู่จากใจจริง ทำให้งานวันนี้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ในตอนนี้ฉันกับพี่ติณเราคือสามีภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย เราจะครองคู่กันไปชั่วนิจนิรันดร์…. วันต่อมา ฉันย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านของพี่ติณเมื่อวานพ่อกับแม่มาส่ง พ่อร้องไห้ด้วย ฉันเองก็ร้องไห้ รู้สึกว่าแทบไม่ได้อยู
พี่ติณมาส่งฉันที่บ้าน แต่คืนนี้เขาไม่ได้นอนที่บ้านฉันหรอกนะ อย่างที่พ่อเคยบอกว่ายังไงหลังแต่งงานเราก็ได้อยู่ด้วยกันอยู่แล้ว พ่อกับแม่เรียกฉันกับพี่ติณมาคุยกันที่ห้องรับแขกเพื่อนัดแนะเรื่องสถานที่จัดงานแต่งงานของเรา“การ์ดเชิญหนูชอบลายนี้ค่ะน่ารักดี เอาแบบนี้นะคะพี่ติณ^_^” “ครับ ^_^” “แล้วสถานที่ล่ะคะ เราจะใช้ที่โรงแรมไหนดี”“แม่กับพ่อเลือกไว้หลายที่เลยลูกลองดูสิ” ฉันกับพี่ติณนั่งดูภาพโรงแรม แต่จนถึงตอนนี้เราก็ยังเลือกกันไม่ได้ว่าจะจัดงานแต่งที่โรงแรมไหนดี มันยังไม่ถูกใจ “จัดที่โรงแรมของผมก็ได้นะครับ” เสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากหน้าห้องรับแขก พอหันไปก็เห็นเฮียเหนือที่ยืนอยู่ “…ไอ้เหนือ” พี่ติณพูดขึ้นมาเบาๆ “ผมผ่านมาก็เลยแวะมาเยี่ยมคุณอาครับ” เฮียเหนือหันมามองฉัน แล้วพูดต่อ “เฮียยินดีด้วยนะ ถึงเจ้าบ่าวจะเป็นมันก็เถอะ” “เป็นกูแล้วทำไม มึงก็รู้มาตั้งแต่แรกว่ากูคิดยังไงกับน้ำมนต์”“เพราะแบบนี้พอมึงรู้ว่ากูถูกจับให้หมั้นกับน้ำมนต์เลยยิ่งโกรธอาละวาดแก้แค้นกู ?”พี่ติณพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วพูด “กูมีเรื่องจะคุยกับมึง”“กูต้องไปคุยด้วย ?”“ตามใจมึง” พูดจบพี่ติณก็เดินไป ส่ว
หลังจากคุยธุระเสร็จคุณธนาก็เดินทางกลับ ส่วนฉันกับพี่ติณก็กลับมาที่ห้องทำงาน แถมเขายังล็อกประตู“ละ ล็อคห้องทำไมคะ เดี๋ยวถ้าเลขามีธุระสำคัญ….” “ฉันกำลังจะทำโทษเด็กขี้อ่อย” พี่ติณพูดสวนขึ้น ทำเอาขนมันลุกซู่“หนูเปล่าอ่อยนะ” “ยิ้มให้คนอื่นที่ไม่ใช่ฉัน แบบนี้เรียกว่าอ่อย” พี่ติณกล่าวหากันหน้าตาเฉย มาโทษว่าฉันอ่อยคุณธนาทั้งที่ในท้องยังมีลูกของเขาอยู่ “แบบนี้พี่ติณยิ้มให้คุณธนาเหมือนกันแปลว่าอ่อยหรือเปล่าคะ ?”“ไม่ต้องมายอกย้อน ฉันเป็นผู้ชายส่วนเธอเป็นผู้หญิง”“หวงไม่เข้าเรื่องเลยค่ะ แบบนี้หนูไม่ชอบ”“ฉันก็ไม่ชอบ!!” จู่ๆ เขาก็มาขึ้นเสียงดังใส่ โอเค!! ฉันผิดมากเลยสินะ “ขึ้นเสียงใส่หนูงั้นหรอ บอกกี่ครั้งแล้วว่าไม่ชอบให้มาเสียงดังใส่” “…..” พอถูกฉันว่าพี่ติณก็เถียงไม่ออก “ถ้าอะไรนิดหน่อยก็เอามาเป็นเรื่องใหญ่เราคงอยู่ด้วยกันไม่ได้หรอกนะคะ” “หมายความว่ายังไง ?“ ลมหายใจร้อนผ่าวของพี่ติณถูกพ่นออกมาแรงๆ เมื่อได้ยินคำพูดของฉัน “หมายความว่าหนูจะไม่แต่งงานกับพี่ติณ ถ้ายังเป็นแบบนี้” มันคือความหงุดหงิดส่วนหนึ่งและความที่ฉันอยากจะดัดนิสัยของพี่ติณด้วยอีกส่วนหนึ่ง เขาเอาแต่ขี้หึงไม่ลืมหูลืมตาแบบ
เช้าวันใหม่หลังจากฉันกับพี่ติณตื่นนอนเราก็จับมือกันมาบอกพ่อกับแม่เรื่องที่ฉันตกลงแต่งงานกับพี่ติณแล้ว เฮียเพลิงก็มากินข้าวเช้าที่บ้านด้วยวันนี้เฮียต้องกลับต่างประเทศแล้ว แต่เหมือนเฮียยังมีอะไรที่ค้างคาอยู่ในใจ ดูท่าไม่อยากกลับสักเท่าไหร่ วันนี้ฉันเข้ามาที่บริษัทกับพี่ติณเพราะไม่อยากนั่งเบื่อๆ รอที่บ้าน ถึงจะตกลงแต่งงานแล้วพ่อก็อยากให้พี่ติณไปๆ มาๆ ที่บ้านมากกว่าจะให้ฉันไปอยู่ที่บ้านเขา พ่อบอกว่าหลังแต่งงานยังไงฉันก็ต้องได้ย้ายไปอยู่ที่บ้านพี่ติณอยู่แล้ว ตอนนี้จึงอยากให้ฉันอยู่ที่บ้าน “พี่ติณพรุ่งนี้หนูไปเจอเพื่อนๆ นะคะ มีนัดกินข้าวตอนเย็น ^_^” ฉันนั่งคุยแชตกับเพื่อนรอพี่ติณทำงาน เพื่อนๆ มีนัดกินข้าวสังสรรค์กันเป็นงานเล็กๆ ของกลุ่มเราที่นานๆ ครั้งจะมาเจอกันแค่กินข้าวไม่มีแอลกอฮอล์ ฉันต้องขออนุญาตพี่ติณก่อน “ไปกี่โมง ?”“หกโมงเย็นค่ะ”“ไม่ให้ไปด้วย ?” “หนูนัดกับเพื่อนในกลุ่มที่สนิทกัน พี่ติณไปด้วยคนอื่นคงจะเกร็งๆ” “มีพิรุธนะแบบนี้” พี่ติณมองฉันด้วยสายตาที่กำลังจับผิดอยู่“พิรุธอะไรคะอย่ามาหาเรื่องหนูนะ” “จะให้ไปส่งไหมพรุ่งนี้” “เดี๋ยวให้คนขับรถที่บ้านไปส่งก็ได้ค่ะ ^_^” แกร็ก! ป
“เราไปบอกพ่อกับแม่กันนะคะ ^_^” พี่ติณสวมแหวนให้ฉันจากนั้นก็อุ้มฉันขึ้นมาวางที่เตียงทั้งยังใส่แค่ผ้าขนหนูอยู่ “นอนได้แล้วพรุ่งนี้ค่อยบอกทุกคนก็ได้ ฉันปิดไฟนะ”“แต่หนูยังไม่ได้ใส่เสื้อผ้าเลยนะ ถ้าพี่ติณจะนอนก็นอนก่อนเลยค่ะ แต่งตัวเสร็จเดี๋ยวหนูปิดไฟเอง” ฉันพยุงตัวเองลุกขึ้นแต่ก็ถูกพี่ติณกดให้นอนราบกับเตียงเหมือนเดิมพี่ติณขึ้นมาคร่อมจากนั้นก็โน้มใบหน้าลงมากระซิบบอกข้างๆ ใบหู “ไม่ต้องใส่เสื้อผ้าก็ได้ เพราะเดี๋ยวเธอก็ได้ถอดมันออกอยู่ดี” “บ่อยเกินไปแล้วนะคะ” พอฉันบอกแบบนั้นพี่ติณก็ขมวดคิ้วถาม “อะไรบ่อย ?”“ก็มีเซ็กส์ไงคะ”“วันนี้เป็นวันดีเธอยอมแต่งงานกับฉัน มันก็ต้องฉลองเป็นธรรมดา”“เจ้าเล่ห์” ฉันพูดค้อน “ขอนะครับ” ไม่พูดเปล่าพี่ติณยังยิ้มหวานอีกด้วย ไม่ใจอ่อนได้ไงล่ะ “ทีตอนอยากได้เนี่ยพูดเพราะจังเลยนะคะ” “พูดแบบนี้ปกติ” พี่ติณพูดพร้อมกับใช้มือค่อยๆ ดึงผ้าขนหนูที่พันตัวฉันออก เผยให้เห็นเรือนร่างที่ไร้เสื้อผ้าปิดคลุม “ปะ ปิดไฟก่อนสิคะ” ฉันยกมือขึ้นมาปิดหน้าอกของตัวเองอย่างเขินอายเพราะความสว่างของห้อง “อยากเห็นหน้าเมียชัดๆ”“ไม่เอาค่ะ หนูอาย”“สวยไปทั้งตัวขนาดนี้ทำไมต้องอาย” ปากหวาน
“ตะ แต่หนูยังไม่พูดเรื่องแต่งงานเลยนะคะ”“ในเมื่อลูกเปิดโอกาสให้ตาติณแล้วแม่ว่าการแต่งงานก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ยิ่งท้องโตขึ้นเรื่อยๆ คนจะนินทาเอานะลูก”“หนูรู้ค่ะหนูให้โอกาสพี่ติณแต่ยังไม่อภัยให้เขานี่คะ” “ถึงขั้นนี้แล้วยังไม่ให้อภัยฉันอีกหรือไง” พี่ติณถาม “อยากดูๆ ไปก่อนนี่คะ อย่าเร่งหนูสิ เอาไว้คลอดแล้วเราค่อยแต่งงานกันก็ได้”“คลอดแล้วคงไม่มีเวลาขนาดนั้นหรอกลูก ไหนจะยุ่งกับการเลี้ยงลูกอีก”“ไม่เป็นไรครับถ้าน้ำมนต์ยังไม่อยากแต่งผมก็จะไม่บังคับ ตอนนี้ผมคงยังดีไม่พอที่เธอจะเปิดใจมากขนาดนั้น” พี่ติณพูดขัดขึ้นมา ฟังจากน้ำเสียงก็รู้แล้วว่าเขากำลังน้อยใจอยู่ “……..” ฉันได้แต่เงียบ ไม่ใช่ว่าไม่อยากแต่งหรอกนะจะขอแต่งงานทั้งทีทำไมถึงไม่ทำให้โรแมนติกกว่านี้ก็ไม่รู้ ถ้าถูกขอแต่งงานแบบโรแมนติกฉันคงจะตอบตกลงไปแล้วก็ได้ สักครั้งหนึ่งในชีวิตผู้หญิงก็ต้องการอะไรแบบนี้ อยากสัมผัสความรู้สึกที่ถูกคุกเข่าขอแต่งงานบ้าง แต่พี่ติณไม่เคยคุกเข่าขอฉันเลย “ต่อไปนี้ก็ทำตัวให้มันดีๆ ให้สมกับที่จะเข้ามาเป็นลูกเขยบ้านนี้ล่ะ” พ่อพูดกับพี่ติณ“ครับอา ผมขอโทษจริงๆ กับเรื่องที่ผ่านมา”“แล้วนี่ได้คุยปรับความเข้าใจ