“ฉันต้องไปแล้ว รบกวนคุณช่วยอยู่กับโนอาก่อนได้ไหม? เพราะฉันเองก็ยังไม่รู้ว่าจะต้องอยู่ที่โรงพยาบาลนานแค่ไหน” ฉันเอ่ยประโยคเหล่านี้ออกไป มือพลางคว้ากระเป๋าข้างกายอย่างใจลอย“ได้ ผมขอไปรับแม่มาดูแลโนอาแทนก่อน แล้วจะรีบตามไป” โรแวนตอบรับ เพียงแต่รู้สึกราวกับเป็นเสียงกระซิบซึ่งดังแว่วเข้ามาในหูที่อึ้ออึงของฉันเท่านั้นฉันจำอะไรที่เหลือนอกเหนือจากการบอกลาลูกชายตัวน้อยไม่ได้ ฉันรีบดันตนเองขึ้นรถยนต์และขับรถมุ่งหน้าไปยังโรงพยาบาลพร้อมความคิดที่ล่องลอยกระหวัดถึงความทรงจำตอนที่เติบโตขึ้นมา ใคร ๆ ก็ต่างพากันพูดว่าฉันเป็นพวกขาดความอบอุ่น ตอนเป็นเด็กทั้งคุณพ่อและคุณแม่ไม่ได้ใส่ใจฉันมากเท่าที่ควร ลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของพ่อคงเป็นพี่สาว เอมม่า พ่อเคยเรียกเธอว่าสาวน้อยของพ่อด้วยซ้ำ ส่วนแม่ก็ประคบประหงมพี่ชาย ทราวิส พ่อรูปหล่อของแม่เสียยังกับอะไรดี ส่วนฉันก็เป็นแค่ เอวา ที่ไม่มีใครรักฉันรู้สึกเหมือนไม่เป็นที่ต้องการของใคร ๆ ไม่มีใครต้อนรับ ไม่ว่าจะกับพ่อแม่รวมถึงพี่น้องท้องเดียวกัน ไม่ว่าจะพิสูจน์ตนเองเท่าใด มีผลการเรียนระดับแนวหน้า กีฬาเด่น หรือกิจกรรมดีเพียงใด สถานที่เดียวซึ่งเหมาะกับฉันคืออยู่ข
ฉันเอนกายอยู่บนเก้าอี้โรงพยาบาลแสนเย็นเฉียบพลางกำหนดลมหายใจเข้าออก น้ำตาของแม่ไม่มีท่าทีว่าจะหยุดเลย คำปลอบประโลมไหน ๆ คงส่งไปไม่ถึงจิตใจเธอ ฉันเจ็บปวดแทนแม่ ฉันเข้าใจเรื่องนี้ดีว่าการสูญเสียคนที่เรารักไปอย่างไม่ทันตั้งตัวนั้นไม่ง่ายเลยแม้แต่น้อยเรื่องนี้ยังเป็นเรื่องที่น่าตระหนก ฉันเผื่อใจเอาไว้ว่าพ่อจะหายดีแต่กลับกลายเป็นหายไปจากโลกแทนเสียนี่ ฉันเลยไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกอย่างไรดีความคิดเห็นของเราไม่เคยลงรอยกันและพ่อก็คงจะเกลียดฉันแต่ฉันก็รักเขา เขาเป็นพ่อผู้ให้กำเนิด ฉันจะไม่รักเขาได้อย่างไรกัน?“ไหวไหม?” โรแวนเอ่ยถามพลางนั่งลงข้างฉันชายหนุ่มเดินทางมาถึงได้ประมาณชั่วโมงกว่า และคำถามเมื่อครู่เป็นครั้งแรกที่เขาพูดกับฉันนับตั้งแต่มาถึง ฉันรับมือกับความกังวลของเขาไม่ถูก อย่างไรเสียเขาคนนี้ไม่เคยเก็บเอาความรู้สึกของฉันไปใส่ใจมาก่อน“ไหวค่ะ” ฉันฝืนตอบกลับตั้งแต่ที่รู้ข่าวฉันก็ยังไม่ได้หลั่งน้ำตาแม้เลยสักหยด อาจเพราะยังตกใจจนทำอะไรไม่ถูกหรือน้ำตาของฉันที่มีให้พ่อนั้นเหือดแห้งไปหมดแล้วก็เป็นได้ ตอนนี้สิ่งเดียวที่ฉันควรทำมากที่สุดคือประคองสติตนเองให้ไหวแทนทุกคนที่สติแตกไปแล้วเท้าคู่
คุณทั้งหลายเคยรู้สึกเหมือนตกนรกทั้งเป็นหรือเปล่า? ฉันกำลังรู้สึกเช่นนั้นอยู่เมื่อมองพวกเขา ราวกับมีใครเดินเข้ามากระชากดวงใจออกจากอกก็มิปานหากฉันเป็นคนกระชากก้อนเนื้อไร้ค่านี้และปาทิ้งไปให้พ้นตาเองได้สาบานว่าจะทำเสียตอนนี้ เพราะมันช่างเจ็บจนไร้คำบรรยายใด ๆ มาเปรียบได้ฉันต้องการหนีไปให้พ้นแต่กลับทำไม่ได้ สายตาของฉันจับจ้องทั้งสอง ไม่ว่าสมองจะสั่งให้หลีกหนีจากภาพตรงหน้าเท่าใด แต่ฉันก็ไม่อาจละสายตาไปจากฉากรักหวานชื่นเสียดแทงนัยน์ตานี้ได้ฉันเฝ้ามองทั้งสองผละอ้อมกอดจากกัน โรแวนแววตาอ่อนโยนเมื่อมองหญิงในดวงใจ ฉันมองฝ่ามือที่กำลังบรรจงประคองแก้มของเอมม่า ชายหนุ่มดึงร่างของหญิงผู้เป็นที่รักเข้าใกล้เล็กน้อย เขาไม่ได้จูบเธอเพียงแต่เอาหน้าผากแนบชิดกันเขาดูสงบสุขราวกับเดินทางมาเจอที่พักผ่อนของตนเสียที ในที่สุดเขาก็รู้สึกเติมเต็ม‘ผมคิดถึงคุณ’ ฉันอ่านการขยับปากเรียวบางนั้นออกฉันไม่อยากคิดว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นตอนนี้หากทั้งสองไม่ได้พบกันในสถานการณ์เช่นนี้ หากทั้งสองพบกันตอนที่ฉันและเขาแต่งงานกันอยู่ โรแวนจะนอกใจไปหาเอมม่าเลยหรือเปล่า?ส่วนศีลธรรมของฉันรีบโต้แย้งว่าไม่เป็นเช่นนั้นแน่แต่กลับไม
ไร้วี่แววของเหตุร้ายใด ๆ ในวันนี้ แสงแดดทอประกายตลอดเส้นทางที่คุ้นตา ดูเหมือนทุกสิ่งจะดำเนินไปได้ด้วยดีเมื่อเดินทางไปถึง โบถส์ก็เนืองแน่นไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา ทุกคนต่างพากันมาเคารพพ่อเป็นครั้งสุดท้ายฉันเดินตรวจตราดูความเรียบร้อยของสถานที่จัดงานด้วยความพอใจเมื่อเห็นว่าทุกอย่างดำเนินไปอย่างที่ควร คนอื่นแทบไม่ได้ยื่นมือเข้ามาช่วยในช่วงการจัดเตรียมงานศพ เรียกได้ว่าฉันเป็นแม่งานผู้รับผิดชอบทุกสิ่งในงานนี้ฉันไม่ได้บ่นอะไรทั้งนั้น คิดเสียว่าเป็นการตอบแทนบุญคุณผู้เป็นพ่อที่ให้กำเนิดฉันมา ยังไงเสียเขาก็ป้อนข้าวป้อนน้ำ ซื้อเสื้อผ้าและให้ที่ซุกหัวนอนแก่ฉันช่วงพิธีการกำลังจะเริ่มและผู้ร่วมงานส่วนใหญ่เข้านั่งประจำที่นั่ง ฉันตัดสินใจหลบไปนั่งอยู่อีกมุมเพราะรู้สึกผิดที่ผิดทางหากต้องไปนั่งรวมกับครอบครัวนั้น โดยเฉพาะหากต้องไปนั่งข้างเอมม่า“แม่ครับ เรามานั่งตรงนี้กันทำไมครับ… เราไม่ควรไปนั่งข้าง ๆ คุณยายหรือ?” โนอาตัวน้อยเอ่ยถามพร้อมกับชี้นิ้วไปในทิศทางที่คนอื่นนั่งอยู่แน่นอนว่าเราย่อมได้รับสายตาแปลก ๆ แต่ฉันก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ เพราะยังไงการที่ฉันเป็นแกะดำที่ไม่เคยได้รับการยอมรับจากครอบค
โรแวนความรู้สึกบางอย่างแล่นผ่านห้วงความคิดของคุณไป ยามที่คุณเห็นร่างของภรรยาเก่า ผู้เป็นแม่ของลูกโดนยิงและมีเลือดนองเต็มพื้นสุสานอันเยือกเย็น เป็นความรู้สึกที่ผมไม่เคยคิดว่าจะมีให้เอวาเมื่อผมเห็นกลุ่มชายฉกรรจ์หันกระบอกปืนเข้าใส่เรา ผมไม่ทันได้คิดอะไร ผมรู้ว่าโนอาปลอดภัยอย่างแน่นอนเพราะอยู่กับคุณปู่คุณย่า ดังนั้นสามัญสำนึกสั่งการให้ร่างกายกระโจนเข้าไปปกป้องเอมม่าทันที ผมเต็มใจตายเพื่อเธอและผมก็พร้อมจะทำเช่นนั้นผมรู้สึกโล่งใจเมื่อเห็นพวกมือปืนหนีไปเพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาควบคุมสถานการณ์ กระนั้นความโล่งใจก่อนหน้ากลับมลายสิ้นทันทีที่ได้ยินเจ้าหน้าที่เรียกหารถพยาบาล ความฉงนกระตุ้นให้ผมหันไปเพื่อหาคำตอบว่าใครกันที่เคราะห์ร้าย เข่าผมแทบทรุดลงกับพื้นเพราะคาดไม่ถึงว่าผู้เคราะห์ร้ายต้องเจ็บเจียนตายคือเอวาจากนั้นสถานการณ์ที่สับสนอลหม่านจึงเริ่มขึ้น รถพยาบาลมาถึงที่เกิดเหตุและเจ้าหน้าที่ตำรวจสวมเสื้อกันกระสุนคนนั้นกันท่าไม่ยอมห่างจากเอวาจนกว่าจะแน่ใจว่าเธอจะปลอดภัยเมื่อถึงมือแพทย์ผมรู้สึกขุ่นเคืองที่เขาไม่ยอมห่างเอวาเพราะเธอเป็นภรรยาของผม แม้ว่าจะเป็นอดีตก็ตาม แต่ที่มากกว่านั้นก็คือผม
เอวาฉันลืมตาตื่นพร้อมความปวดร้าวบริเวณหลังและแขนแล่นผ่านไปทั่วร่าง โนอานอนหลับอยู่กับฉันเพราะเมื่อคืนหลังจากดูโทรทัศน์ด้วยกัน เจ้าตัวน้อยงอแงไม่ยอมไปนอนคนเดียว รอยยิ้มปรากฎบนใบหน้าทันทีที่ความทรงจำเมื่อคืนผุดขึ้น เด็กน้อยยืนยันว่าจะทำหน้าที่ดูแลฉันอย่างแข็งขันตลอดทั้งคืนขณะนี้ราวแปดโมงเช้าได้ อาหารเช้าควรพร้อมรับประทานก่อนลูกชายจะตื่นนอน ฉันก้าวลงจากเตียงโดยที่ไม่ปลุกเขาเข้าแม้ว่าจะลำบากเล็กน้อยก็ตาม หลังจากเสร็จกิจวัตรประจำวันยามเช้าเรียบร้อย ฉันจึงเดินลงไปด้านล่าง หยุดฝีเท้าก่อนจะก้าวเข้าห้องครัวพลางสงสัยกับตนเองว่าจะทำอาหารออกมาด้วยแขนเพียงข้างเดียวได้อย่างไรขณะที่เดินไปหยิบวัตถุดิบมาเตรียมทำแพนเค้ก ความทรงจำเมื่อวานพลันแล่นเข้ามาในห้วงความคิด ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นราวกับเป็นภาพลวงจนฉันสงสัยว่ามันเกิดขึ้นจริงหรือไม่ หากไม่มีผ้าพันแผลบริเวณไหล่กับแขนที่อยู่ในสายคล้องช่วยย้ำเตือนถึงความจริง ฉันคงคิดว่าเป็นเพียงฝันร้ายเท่านั้นเมื่อฉันตื่นขึ้นมาในโรงพยาบาลหลังจากหมดสติไป ฉันก็ตื่นกลัวไม่น้อย บรรดาแพทย์และพยาบาลต่างพากันรีบเข้ามาสงบสติฉันและยืนยันว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี พยาบาลบอกฉัน
โรแวนผมเห็นจังหวะที่อารมณ์ของเอวาเปลี่ยนเป็นเฉยชา วินาทีที่แสงแห่งความอบอุ่นก่อนหน้าแปรเปลี่ยนเป็นความหนาวเหน็บทำให้ผมรู้สึกสะท้านถึงขั้วหัวใจ“คุณมาทำอะไรที่นี่?” น้ำเสียงของเธอปราศจากซึ่งอารมณ์ใด ขณะที่ผมฝืนแทรกตัวเข้าไปด้านในบ้านราวกับว่าเอวากำลังสนทนากับชายแปลกหน้าอยู่ ราวกับว่าผมเป็นแค่ฝุ่นผงไร้ค่าสำหรับเธอไปเสียแล้ว ผมจ้องมองใบหน้านั้นโดยอ่านสิ่งใดไม่ออก ผมอยู่กับผู้หญิงคนนี้มาเกือบสิบปีแต่ตอนนี้กลับหาคำดี ๆ เพียงสักคำพูดกับเธอยังไม่ได้ผมมองแขนของเธอที่ยังคล้องอยู่บนสายห้อย จุดประสงค์วันนี้คือมาตรวจดูอาการของเธอและรับโนอา เพราะนี่เป็นช่วงสุดสัปดาห์ซึ่งเป็นเวลาของผมกับลูกชายภาพของชายหนุ่มก่อนหน้าที่เห็นว่าเดินออกไปผุดขึ้นมา ผมก็คิ้วกระตุก ต้องเป็นชายคนนี้แน่ที่เอวามอบรอยยิ้มให้ เมื่อตระหนักได้ดังนี้ ผมอดไม่ได้ที่กัดฟันกรอด“ผู้ชายคนนั้นมาทำอะไรที่นี่?” ผมเอ่ยถามแทนที่จะตอบเธอพร้อมทั้งเก็บซ่อนอารมณ์เดือดดาลที่หาเหตุผลที่มาไม่ได้เอาไว้ผมรู้ว่าผู้ชายคนนั้นเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจและยังเป็นคนที่เข้ามาช่วยชีวิตเอวาเอาไว้ แต่เขาก็ล้ำเส้นเกินไป ผมไม่ชอบผู้ชายคนนั้นและไม่ต้องการใ
“แล้วคุณอยากให้ผมพูดอะไรละ? ในเมื่อผมไม่เคยหลอกลวงคุณเลย คุณเองก็รู้มาตลอดนี่ว่าผมรักเธอ” เอวาขว้างผ้าเช็ดจานด้วยความโกรธเกรี้ยว “รู้แบบนั้นแล้วก็กล้ามาแตะต้องร่างกายของฉันอีกหรือ? ให้ตายเถอะ ฉันโคตรจะเกลียดคุณเลย ไม่รู้เลยจริง ๆ ว่าคุณมีดีอะไรฉันถึงได้หลงคุณนักหนา ไม่รู้เลยจริง ๆ ว่าต้องมานั่งเสียเวลาชีวิตขนาดนี้ไปทำไมกัน”ผมกัดฟันกรอด แต่ละคำของเธอทวีความเดือดดาลของผมขึ้น แน่นอนเราทั้งสองหลับนอนด้วยกันช่วงแต่งงาน แต่นั่นเป็นความสุขและสนุกทางกายเท่านั้น ผมให้คำสัตย์สาบานไว้ตอนแต่งงาน แม้ว่าผมจะไม่ได้รักเธอแต่ผมก็ไม่ได้ผิดคำสัตย์สาบานด้วยการนอกใจเธอ“ผมไม่ได้มาคุยเรื่องอดีต ผมมาเพราะอยากคุยเรื่องโนอา” ผมพูดเปลี่ยนประเด็นเรื่องราวเริ่มเลยเถิดไปไกลแล้ว ผมจำเป็นต้องพูดประเด็นที่ผมเดินทางมาที่นี่ และรีบจากไปก่อนจะทำหรือพูดอะไรที่ผมต้องมานั่งเสียใจภายหลังชื่อของโนอาเสมือนเครื่องเตือนสติหญิงสาว ดังนั้นเอวาจึงไม่ตอบโต้กลับ เพียงเดินไปเปิดตู้และนำขวดยาออกมา เธอเปิดขวดยาด้วยมือเพียงข้างเดียวและกินยาเข้าไปสองเม็ดเมื่ออ่านฉลากยาผ่านสายตา ผมจึงตระหนักได้ว่านั่นคือยาบรรเทาอาการปวด“แขนคุ
ขณะที่เราคุยกัน ดวงตาของเอวาก็ยังคงมองกลับไปหาโรแวน คุณจะเห็นความรักในแววตาเธอ จากทุกสิ่งที่เขาทำกับเธอ เธอก็ยังคงให้โอกาสเขาอีกครั้งและแน่นอนดวงตาของโรแวนก็คอยมองไปที่ภรรยาของเขาเช่นกัน มันเหมือนกับว่าเขาไม่สามารถละสายตาจากเธอได้ รวมถึงมือของเขาด้วยเพราะเขาหาทางแตะเนื้อต้องตัวเธอตลอดฉันรู้จากเกเบรียลว่าโรแวนโหดร้ายกับเอวาขนาดไหนในช่วงสามปีของชีวิตแต่งงาน เขาปฏิบัติเหมือนเธอไร้ค่า แต่ตอนนี้เธอดูเหมือนจะเป็นโลกทั้งใบของเขา ความรักที่เขามีต่อเธอแสดงออกมาให้เห็นชัด ฉันไม่เคยคิดว่าเขาจะเปลี่ยนเพื่อเธอมากขนาดนี้ แต่หลักฐานการเปลี่ยนแปลงและความรักของเขาประจักษ์อยู่ตรงหน้าฉัน“มีอะไรกวนใจสิท่า” เอวากระซิบ ดึงฉันออกจากห้วงความคิดฉันหันหน้าไปหา ดวงตากวาดทั่วใบหน้าของเธอ "เธอให้อภัยโรแวนจริง ๆ เหรอ? ทำได้ยังไง? เธอปล่อยวางอดีตได้ไง?”ฉันเพียงแค่ไม่เข้าใจ และถ้าฉันจะพูดตามตรง ฉันกลัวที่จะก้าวเดินไปพร้อมกับเกเบรียลในอนาคตดวงตาเอวาเลื่อนไปมองสามีก่อนที่จะกลับมาที่ฉัน"ฉันยกโทษให้เขาแล้วนะและนั่นเป็นเรื่องง่ายที่สุดด้วย ส่วนเรื่องยากคือการปล่อยวางและลืมมันไป ฉันจะไม่โกหกเธอหรอกนะฮาร์เปอร์
“รีบไปกันก่อนจะสายเถอะค่ะ” ฉันบอกหลังจากที่เราหายใจหายคอกันทันแล้วเขาพยักหน้าขณะที่มือลูบไล้มือของฉันก่อนประสานนิ้วของเราเข้าด้วยกันและดึงฉันออกจากห้องนอน"คุณสวยมากเลยค่ะ คุณฮาร์เปอร์!" หนูเซียร่าร้องออกมา น้ำเสียงเต็มไปด้วยความยินดีเมื่อเธอเห็นฉัน"ใช่! แม่สวยมากเลยค่ะ" ลิลลี่กล่าวเสริมพร้อมกระโดดโลดเต้น“ขอบใจจ้ะ สาว ๆ”อีกครู่หนึ่งเซียร่าก็จะกลับบ้านเพราะต้องไปโรงเรียนวันพรุ่งนี้ เนื่องจากทั้งฉันและกาเบรียลไม่อยู่ที่นี่เพื่อรอส่งเธอกลับบ้าน เราจึงได้จัดเตรียมกับคนขับรถให้ไปส่งเธอ เขาจะดูแลให้เธอกลับบ้านอย่างปลอดภัย"ตอนนี้พวกลูกต้องทำตัวดี ๆ กับคุณชารอนด้วยนะ อย่าสร้างปัญหาให้เธอด้วย เข้าใจกันไหมเอ่ย?" ฉันหยอกล้อเชิงตักเตือน“ไม่สร้างปัญหาแน่นอนค่ะ” ทั้งสองพูดพร้อมกันตั้งแต่ที่สบตากับเซียร่า ฉันก็คอยจะมองเธอเสมอ อย่างที่ฉันบอกมีบางอย่างเกี่ยวกับเธอที่ดึงดูดฉัน บางสิ่งที่ดูคุ้นเคยหลังจากบอกลาเด็กหญิงทั้งสองคน เกเบรียลและฉันก็ออกเดินทาง ระหว่างทางเราไม่ได้พูดอะไรกันมากนัก แต่เขาจับมือฉันไว้ตลอดเวลาซึ่งทำให้ฉันรู้สึกสบายใจเราไปถึงสถานที่จัดงานในเวลาอันรวดเร็ว และฉันเริ่ม
“เสร็จเรียบร้อยแล้วค่ะ”เพราะฉันหาชุดที่เหมาะกับโอกาสเช่นนี้ไม่ได้ เกเบรียลก็เลยให้ความช่วยเหลือ ทีมงานทั้งหมดมาถึงเมื่อประมาณสามชั่วโมงที่แล้วเพื่อช่วยฉันแต่งหน้าและแต่งตัวการแต่งหน้านั้นไร้ที่ติ ช่างแต่งหน้าเลือกใช้แนวหรูหรา ดวงตาแต่งแต้มด้วยอายแชโดว์อันนุ่มนวลแต่โดดเด่นซึ่งช่วยเพิ่มความลุ่มลึกของดวงตาเพิ่มด้วยขนตายาวหนา ทำให้แววตาน่าดึงดูดมากยิ่งขึ้น ช่างแตะแต้มสีทองระยิบระยับที่หัวตาทำให้ดวงตาดูสว่างขึ้นช่วยดึงดูดความสนใจมาที่ดวงตาแสนอบอุ่นนี้ ในขณะที่ทรงผมม้วนเป็นลอนหลวม เงางามเหมือนผ้าไหมภายใต้แสงอ่อนโยนเรื่องชุด เราเลือกชุดราตรีสีแดงยาวเพราะสีแดงกลายเป็นสีโปรดที่เกเบรียลชอบให้ฉันสวม ชุดราตรีเป็นการผสมผสานที่น่าทึ่งระหว่างความเย้ายวนและความสง่างาม ถักทอจากผ้าซาตินสีแดงทับทิมเข้มทิ้งตัวอย่างสวยงามไปตามส่วนโค้งเว้า คอเสื้อเว้าลงเล็กน้อยพอที่จะขับเสน่ห์ออกมา ในขณะที่รายละเอียดลูกไม้อันสลับซับซ้อนตามริมผ้าช่วยเพิ่มความหรูหรา เสื้อท่อนบนที่พอดีเน้นบริเวณเอว ตัวกระโปรงบานออกเล็กน้อยยาวพริ้วลากพื้นเมื่อฉันขยับ ผ้าจะเล่นแสง ส่องประกายเหมือนของผืนน้ำขณะที่เผยเรียวขาให้เห็นเพียงเล็ก
"เข้ามาได้" ในที่สุดเขาก็ตอบ ขณะฉันกำลังจะยอมแพ้คิดว่าเขายังหลับอยู่เมื่อเปิดประตูฉันก็เข้าไป ฉันพบเขานั่งอยู่บนเตียง เมื่อเขาเห็นฉัน เขาก็ขยับลงมานั่งอยู่ตรงขอบเตียง ฉันปิดประตูและเดินตรงไปหาเขา"วันของสาว ๆ เป็นยังไงบ้างครับ?" เขาเอ่ยถาม น้ำเสียงงัวเงีย“ว้าวมากค่ะ”“ยังไงครับ?”“ถามอะไรหน่อยได้ไหมคะ? ช่วยสัญญาด้วยนะคะว่าจะพูดความจริง”เขาหันมาหาฉันอย่างเต็มที่ ตอนนี้เขาตื่นเต็มที่แล้ว ดวงตาจ้องมองมาที่ใบหน้าของฉันราวกับว่าเขากำลังพยายามคิดว่าฉันกำลังจะถามอะไร หลังจากนั้นสักครู่ เขาก็พยักหน้า"ฉันรู้ว่าพี่แอนดรูว์ต้องแบล็กเมล์คุณให้แต่งงานกับฉันในครั้งแรกแน่ พอคิดเรื่องที่คุณอกหักแล้ว คุณคงไม่เต็มใจจะแต่งงานในตอนนั้นแน่นอนค่ะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับต้องมาแต่งงานผู้หญิงที่คุณแทบไม่รู้จัก ช่วยบอกทีได้ไหมคะว่าพี่เขาใช้อะไรบังคับคุณ?"ฉันบอกได้ว่าเขาไม่อยากทำจริง ๆ แต่ฉันต้องการคำตอบ ฉันอยากรู้ว่าพี่แอนดรูว์สามารถจัดการเรื่องแต่งงานระหว่างเราได้อย่างไร“ฮาร์เปอร์…”“นะคะ?”“พอโรแวนแต่งงานกับเอวา พี่เขาก็ดูแย่ลงจริง ๆ พี่เขาดูไม่ดีเลย แอนดรูว์ได้หลักฐานว่าโรแวนดื่มเหล้าและใช้ยาเส
อย่างที่ฉันบอก ฉันให้อภัยเกเบรียลแล้ว แต่ทำไมฉันยังคงยึดติดกับอดีตอีก? ทำไมฉันยังคงเปรียบเทียบเขากับตัวตนที่เขาเคยเป็น? เห็นได้ชัดว่าเขาเปลี่ยนไปแล้ว แต่สมองยังคงสงสัยเขาคุณรู้จักคำกล่าวที่ว่า 'ถ้าเขาอยากทำ เขาคงทำไปแล้ว?' นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับเกเบรียลในตอนนี้ ในตอนนั้นเขาไม่อยากทำ เขาไม่อยากรักฉัน เขาไม่อยากสนใจฉัน ให้ตายสิ เขาแค่ไม่อยากได้ฉันด้วยซ้ำ... และเพราะเขาไม่อยากได้ฉัน เขาเลยปฏิบัติกับฉันเหมือนไม่สำคัญอะไรลึกลงไปฉันเข้าใจเขาดี ถ้าฉันคิดไม่ผิด เขาแต่งงานกับฉันหนึ่งปีครึ่งหลังจากที่ผู้หญิงคนนั้นหักอกเขา หากพี่แอนดรูว์รู้ พี่คงจะแบล็กเมล์เขาหรืออะไรบางอย่างเพื่อให้เกเบรียลแต่งงานกับฉันแน่ฉันไม่ได้คิดถึงมันตอนที่เราแต่งงานกัน อันที่จริงฉันไม่อยากคิดถึงมันเพราะมันจะทำลายภาพลวงตาที่ฉันสร้างว่าเขาแต่งงานกับฉันเพราะเขารู้สึกอะไรบางอย่างกับฉัน หลายปีต่อมาฉันยอมรับว่าเกเบรียลแต่งงานกับฉันเพราะเขาถูกบังคับให้ทำ ไม่ใช่เพราะเขาต้องการฉันทำได้แค่จินตนาการว่าเขารู้สึกอย่างไร เขาอาจจะยังไม่หายอกหักจากแฟนเก่า เขาโกรธและขมขื่น และอาจจะคิดว่าผู้หญิงทุกคนก็เหมือนกัน จากนั้นเขาถูกบังค
"ใช่เลย! เขาไม่ต้องหลบซ่อนอีกต่อไปแล้ว" เธอเปล่งประกายความสุขและความตื่นเต้นแพร่กระจายไปทั่ว "เขาถึงกับขอแต่งงานอย่างไม่เป็นทางการแล้วด้วยนะ""หมายความว่ายังไงก่อนเรื่องขอแต่งงานแบบไม่เป็นทางการ?" ฉันถามด้วยความงงงวยเมื่อมองจากท่าทีของคนอื่น พวกเธอก็สับสนเช่นกัน ปกติก็มีแค่ขอกับไม่ได้ขอแต่งงาน ถูกขอแต่งงานอย่างไม่เป็นทางการมันคืออะไรกัน"คืองี้ตอนที่ฉันบอกเขาว่าท้องน่ะ เขาบอกว่าเขาตั้งใจจะขอแต่งงาน แต่ด้วยเจ้าตัวน้อยนี่มาเซอร์ไพรส์เราก่อน เขาเลยจะเลื่อนการขอแต่งงานขึ้นมาเพื่อให้เราแต่งงานกันก่อนที่ลูกจะเกิดไง" เธอตอบ ดวงตายังคงเปล่งประกายด้วยความปิติและความสุขอย่างแท้จริงนั่นสมเหตุสมผล ฉันเข้าใจว่าทำไมเธอถึงเรียกคำพูดนั้นว่าเป็นการขอแต่งงานอย่างไม่เป็นทางการมีเสียงกรีดร้องด้วยความยินดีดังขึ้นขณะที่เรากอดเธอและแสดงความยินดีอีกครั้ง การที่ผู้ชายของเธอกลับมามีผลกระทบอย่างมาก ตอนนี้เธอดูเหมือนเป็นอิสระ ภาระที่เธอแบกไว้เมื่อครั้งที่เราเจอกันไม่มีอีกต่อไป เธอเปล่งประกายหลังจากที่รีเปอร์กลับมาอยู่กับเธอ"แล้วเธอล่ะ เล็ตตี้?" ฉันหันไปหาเธอ "เธอคบกับทราวิสมานานแล้วนะ ทำไมเขายังไม่ขอแ
ฉันถอนหายใจและพยายามควบคุมลมหัวใจ นี่คือบทสนทนาหนึ่งที่ฉันไม่เคยคิดว่าจะได้คุยกับลิลลี่ในวัยนี้ สิ่งหนึ่งที่ฉันรู้สึกขอบคุณคือเธอไม่ได้ถามว่าเด็กทารกมาจากที่ไหนกันแน่ นั่นคงจะเป็นบทสนทนาที่ยากมาก“เดี๋ยวแม่ขอกลับไปห้องก่อนแล้วค่อยออกไปนะ” ฉันบอกพวกเขาและเพิกเฉยต่อการพูดคุยเกี่ยวกับเด็กทารกไปเลย“ยังไม่ได้บอกผมเลยว่าจะไปไหน” เกเบรียลถามย้ำฉันคงจะบอกเขาไปแล้วถ้าไม่ได้มัวแต่นึกปัดป้องตนเองอยู่ แต่เขาทำให้ฉันไขว้เขวไปหมด“ฉันจะออกไปกินข้าวกลางวันกับพวกเอวาค่ะ”ฉันรู้สึกอยากจะยกเลิกนัดกับพวกเธอแล้วนอนพักผ่อน แต่ฉันตัดสินใจไม่ทำแบบนั้น เอวาโทรมาสองสามวันก่อนที่เราจะออกจากโตเกียว เธอเอ่ยถามว่าฉันจะไปร่วมทานอาหารกลางวันกับพวกเธอในวันเสาร์ได้ไหม ฉันตอบตกลงทันทีโดยไม่ได้คิดว่าฉันจะเหนื่อยแค่ไหนหลังจากเที่ยวบินสิบสามชั่วโมงรอยยิ้มปรากฏบนริมฝีปากของเขา "ดีใจจริง ๆ ที่เห็นว่าคุณมีเพื่อน"“ค่ะพวกเธอเจ๋งมากเลย”"พูดถึงเพื่อน" ลิลลี่พูดแทรก "คืนนี้เซียร่ามานอนค้างที่บ้านเรานะคะ"“แม่จำได้จ้ะ ลูกรัก” ฉันเอ่ยตอบ “หนูมีอะไรฝากมาแม่ซื้อเตรียมตัวสำหรับคืนนี้บ้างไหมลูก?”เธอส่ายหัว “หนูขอขนมกับน
ฮาร์เปอร์ฉันมองตัวเองในกระจกเป็นครั้งสุดท้าย ฉันสวมกางเกงยีนส์เอวสูงและเสื้อผ้าไหม ผมมวยขึ้นเป็นมวยยุ่ง ๆ และนอกจากมาสคาร่าและคอนซีลเลอร์ ฉันไม่ได้แต่งหน้ามากนักเรากลับถึงบ้านประมาณสามทุ่มได้ ลิลลี่หลับไปแล้ว ดังนั้นเราจึงเข้านอนทันทีที่ถึงบ้านฉันหยิบกระเป๋าออกมาจากห้องขณะมองดูเวลา ฉันมีเวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงก่อนที่ฉันจะต้องไปที่ร้านอาหาร"จะไปไหนครับ?" เกเบรียลถามทันทีที่ฉันก้าวเข้าไปในห้องครัวให้ตายสิ ผู้ชายคนนี้ดูดีมากฉันรักเกเบรียลที่สวมใส่ชุดสูท เขาดูร้อนแรงมากในชุดสูทเสมอ แต่มันก็มีบางอย่างเวลาที่เขาแค่เท้าเปล่าพร้อมสวมเสื้อยืดรัดรูปและกางเกงวอร์ม แล้วก็เวลาที่เขาไม่ได้ใส่เสื้อแต่ใส่แค่กางเกงวอร์มเอวหลวม ๆ ด้วยไม่ว่าจะภาพลักษณ์แบบไหน ฉันก็เห็นมาทั้งหมดแล้ว และฉันยังตัดสินใจไม่ได้ว่าภาพลักษณ์ไหนที่ฉันชอบที่สุด ไม่แน่อาจเป็นตอนที่เขาไม่ใส่อะไรเลยก็ได้นะ "ฮาร์เปอร์?" เสียงขบขันของเขาดังขึ้น "น้ำลายไหลเยิ้มหมดแล้ว"ฉันหัวเราะเบา ๆ พยายามซ่อนความเขินอายไว้ "เยิ้มที่ไหนล่ะ"วันนี้เขาอยู่ในเสื้อยืดรัดรูปและกางเกงวอร์มตัวหนึ่งและเขาดูน่าอร่อยมาก ฉันอยากจะใช้ลิ้นตนเองทดสอ
คอนนี่ฉันแทบจะยืนไม่อยู่ขณะที่ขึ้นลิฟต์ไปที่เพนท์เฮาส์ของฉัน นี่ก็เป็นอีกหนึ่งวันผ่านไป ที่ฉันทำงานล่วงเวลาจนเป็นเรื่องปกติเพื่อที่ตนเองจะได้ไม่ต้องกลับมาเจอกับห้องนอนที่ว่างเปล่าฉันคิดถึงรีเปอร์มากจริง ๆตอนที่ฉันได้เห็นเขาครั้งแรกที่โรงพยาบาลหลังจากที่เอวาถูกยิงครั้งนั้น ฉันไม่ได้คิดอะไรมากเกี่ยวกับแรงดึงดูดที่ฉันรู้สึกต่อเขา แน่นอนว่าแรงดึงดูดนั้นเกิดขึ้นทันที และฉันแค่รู้สึกเหมือนจิตวิญญาณตนเองรู้จักเขา แต่เขาคือรีเปอร์เชียวนะ ชายคนเดียวกับที่เคยลักพาตัวเพื่อนสนิทของฉันไปถ้าพูดกันตามตรง ฉันไม่เคยรู้สึกกับผู้ชายคนไหนเหมือนที่ฉันรู้สึกกับรีเปอร์ในครั้งแรกนั้นเลย ฉันไม่เคยรู้สึกดึงดูดกับผู้ชายตั้งแต่ครั้งแรกที่ฉันเห็นพวกเขา มันเป็นสิ่งที่ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นเมื่อฉันได้รู้จักพวกเขามากขึ้น ทว่ากับรีเปอร์มันแตกต่างออกไป และนั่นทำให้ฉันกลัวแทบตายฉันคิดว่าการพบกันครั้งแรกนั้นจบแล้ว ว่ามันจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันได้เจอเขา และในไม่ช้าแรงดึงดูดก็จะจากหายไป และนั่นคือความตั้งใจที่เกิดขึ้น จนกระทั่งเขาปรากฏตัวที่หน้าห้องฉันในคืนหนึ่งฉันควรจะรู้สึกอับอายที่จะบอกว่าฉันยอมนอนกับเขาในคืนนั้