เอวาฉันลืมตาตื่นพร้อมความปวดร้าวบริเวณหลังและแขนแล่นผ่านไปทั่วร่าง โนอานอนหลับอยู่กับฉันเพราะเมื่อคืนหลังจากดูโทรทัศน์ด้วยกัน เจ้าตัวน้อยงอแงไม่ยอมไปนอนคนเดียว รอยยิ้มปรากฎบนใบหน้าทันทีที่ความทรงจำเมื่อคืนผุดขึ้น เด็กน้อยยืนยันว่าจะทำหน้าที่ดูแลฉันอย่างแข็งขันตลอดทั้งคืนขณะนี้ราวแปดโมงเช้าได้ อาหารเช้าควรพร้อมรับประทานก่อนลูกชายจะตื่นนอน ฉันก้าวลงจากเตียงโดยที่ไม่ปลุกเขาเข้าแม้ว่าจะลำบากเล็กน้อยก็ตาม หลังจากเสร็จกิจวัตรประจำวันยามเช้าเรียบร้อย ฉันจึงเดินลงไปด้านล่าง หยุดฝีเท้าก่อนจะก้าวเข้าห้องครัวพลางสงสัยกับตนเองว่าจะทำอาหารออกมาด้วยแขนเพียงข้างเดียวได้อย่างไรขณะที่เดินไปหยิบวัตถุดิบมาเตรียมทำแพนเค้ก ความทรงจำเมื่อวานพลันแล่นเข้ามาในห้วงความคิด ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นราวกับเป็นภาพลวงจนฉันสงสัยว่ามันเกิดขึ้นจริงหรือไม่ หากไม่มีผ้าพันแผลบริเวณไหล่กับแขนที่อยู่ในสายคล้องช่วยย้ำเตือนถึงความจริง ฉันคงคิดว่าเป็นเพียงฝันร้ายเท่านั้นเมื่อฉันตื่นขึ้นมาในโรงพยาบาลหลังจากหมดสติไป ฉันก็ตื่นกลัวไม่น้อย บรรดาแพทย์และพยาบาลต่างพากันรีบเข้ามาสงบสติฉันและยืนยันว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี พยาบาลบอกฉัน
โรแวนผมเห็นจังหวะที่อารมณ์ของเอวาเปลี่ยนเป็นเฉยชา วินาทีที่แสงแห่งความอบอุ่นก่อนหน้าแปรเปลี่ยนเป็นความหนาวเหน็บทำให้ผมรู้สึกสะท้านถึงขั้วหัวใจ“คุณมาทำอะไรที่นี่?” น้ำเสียงของเธอปราศจากซึ่งอารมณ์ใด ขณะที่ผมฝืนแทรกตัวเข้าไปด้านในบ้านราวกับว่าเอวากำลังสนทนากับชายแปลกหน้าอยู่ ราวกับว่าผมเป็นแค่ฝุ่นผงไร้ค่าสำหรับเธอไปเสียแล้ว ผมจ้องมองใบหน้านั้นโดยอ่านสิ่งใดไม่ออก ผมอยู่กับผู้หญิงคนนี้มาเกือบสิบปีแต่ตอนนี้กลับหาคำดี ๆ เพียงสักคำพูดกับเธอยังไม่ได้ผมมองแขนของเธอที่ยังคล้องอยู่บนสายห้อย จุดประสงค์วันนี้คือมาตรวจดูอาการของเธอและรับโนอา เพราะนี่เป็นช่วงสุดสัปดาห์ซึ่งเป็นเวลาของผมกับลูกชายภาพของชายหนุ่มก่อนหน้าที่เห็นว่าเดินออกไปผุดขึ้นมา ผมก็คิ้วกระตุก ต้องเป็นชายคนนี้แน่ที่เอวามอบรอยยิ้มให้ เมื่อตระหนักได้ดังนี้ ผมอดไม่ได้ที่กัดฟันกรอด“ผู้ชายคนนั้นมาทำอะไรที่นี่?” ผมเอ่ยถามแทนที่จะตอบเธอพร้อมทั้งเก็บซ่อนอารมณ์เดือดดาลที่หาเหตุผลที่มาไม่ได้เอาไว้ผมรู้ว่าผู้ชายคนนั้นเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจและยังเป็นคนที่เข้ามาช่วยชีวิตเอวาเอาไว้ แต่เขาก็ล้ำเส้นเกินไป ผมไม่ชอบผู้ชายคนนั้นและไม่ต้องการใ
“แล้วคุณอยากให้ผมพูดอะไรละ? ในเมื่อผมไม่เคยหลอกลวงคุณเลย คุณเองก็รู้มาตลอดนี่ว่าผมรักเธอ” เอวาขว้างผ้าเช็ดจานด้วยความโกรธเกรี้ยว “รู้แบบนั้นแล้วก็กล้ามาแตะต้องร่างกายของฉันอีกหรือ? ให้ตายเถอะ ฉันโคตรจะเกลียดคุณเลย ไม่รู้เลยจริง ๆ ว่าคุณมีดีอะไรฉันถึงได้หลงคุณนักหนา ไม่รู้เลยจริง ๆ ว่าต้องมานั่งเสียเวลาชีวิตขนาดนี้ไปทำไมกัน”ผมกัดฟันกรอด แต่ละคำของเธอทวีความเดือดดาลของผมขึ้น แน่นอนเราทั้งสองหลับนอนด้วยกันช่วงแต่งงาน แต่นั่นเป็นความสุขและสนุกทางกายเท่านั้น ผมให้คำสัตย์สาบานไว้ตอนแต่งงาน แม้ว่าผมจะไม่ได้รักเธอแต่ผมก็ไม่ได้ผิดคำสัตย์สาบานด้วยการนอกใจเธอ“ผมไม่ได้มาคุยเรื่องอดีต ผมมาเพราะอยากคุยเรื่องโนอา” ผมพูดเปลี่ยนประเด็นเรื่องราวเริ่มเลยเถิดไปไกลแล้ว ผมจำเป็นต้องพูดประเด็นที่ผมเดินทางมาที่นี่ และรีบจากไปก่อนจะทำหรือพูดอะไรที่ผมต้องมานั่งเสียใจภายหลังชื่อของโนอาเสมือนเครื่องเตือนสติหญิงสาว ดังนั้นเอวาจึงไม่ตอบโต้กลับ เพียงเดินไปเปิดตู้และนำขวดยาออกมา เธอเปิดขวดยาด้วยมือเพียงข้างเดียวและกินยาเข้าไปสองเม็ดเมื่ออ่านฉลากยาผ่านสายตา ผมจึงตระหนักได้ว่านั่นคือยาบรรเทาอาการปวด“แขนคุ
เอวา“ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีครับแม่ว่าทำไมผมต้องไปด้วย อยู่กับแม่แบบนี้ไม่ได้หรือ?” โนอาบ่นอุบ ความบูดบึ้งปรากฎบนใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาเด็กน้อยไม่พอใจตั้งแต่วินาทีที่ฉันอธิบายกับลูกว่าต้องไปอยู่กับคุณปู่คุณย่าช่วงหนึ่งลูกชายกระโดดโลดเต้นในแวบแรก และกลายเป็นหน้าหงอยเมื่อพบว่าทั้งพ่อและแม่ตนไม่ได้ไปด้วยทางโรงเรียนของโนอาเข้าใจถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นอย่างดี แม้แต่คุณครูก็เข้าใจเช่นกัน ดังนั้นจึงตั้งใจส่งบทเรียนและการบ้านผ่านทางแม่เพื่อให้เด็กชายไม่ห่างหายการเรียนนานจนเกินไป “แม่บอกแล้วนี่ลูก นี่เป็นวันหยุดพักผ่อนแบบปู่ย่ายายหลานไง…ดังนั้น ก็ต้องมีแค่ลูก คุณปู่ คุณย่าแล้วก็คุณยายไปไงจ๊ะ”หลังจากพูดคุยกับกับหัวหน้าทีมคุ้มกัน ได้รับการยืนยันว่าทุกคนจะไปเก็บซ่อนตัวแถบเมืองชายทะเล“ลูกจะไปเที่ยวทะเลด้วยนะ ลูกขอให้พ่อกับแม่พาไปเที่ยวไม่ใช่เหรอ?” ฉันเสริมคำบรรยายด้วยรอยยิ้มแสนหยอกเย้าคำว่า ‘ทะเล’ สามารถล่อซื้อจิตใจเด็กชายได้โดยง่าย คำบ่นอุบต่าง ๆ นานาก่อนหน้าเงียบลงทันตาโนอานั้นชื่นชอบทะเลและมหาสมุทรเป็นชีวิตจิตใจ เด็กน้อยชอบทะเลมากเสียจนครั้งหนึ่งเคยร้องไห้งอแงทั้งอาทิตย์ หล
โรแวนก้าวเข้ามาประชิดร่างฉัน แววตาเขาแผดเผาและรูจมูกขยับอย่างโมโหจัด ฉันยังคงยืนกรานไม่ยอมให้เขามาข่มขู่ฉันได้“ผมไม่ไป ยกเลิกอูเบอร์แล้วก็ย้ายก้นไปขึ้นรถผมเดี๋ยวนี้” ชายหนุ่มกัดฟันกรอด ราวมีพายุพัดโหมในแววตามือของฉันกำแน่นเป็นสัญญาณแห่ความเดือดดาลที่กำลังปะทุ ยามปกติฉันคงยอมถอยเพราะไม่ต้องการยั่วโทสะเขา แต่ตอนนี้ฉันไม่สนแล้ว“เลิกมั่นหน้ามั่นใจสักที…คิดว่าใหญ่มาจากไหนมิทราบ? ฉันไม่ใช่ลูกหมาที่คุณจะมาชี้นิ้วออกคำสั่งได้นะ” ฉันเริ่มขึ้นเสียงเพราะเดือดจัดหลายปีที่ผ่านมาฉันยอมให้เขาบงการฉันมาตลอด หลายปีที่ผ่านมาฉันยอมเงียบปากเพียงเพื่อรักษาความสัมพันธ์อันดีที่คิดว่าเราทั้งสองมีต่อกัน กระนั้นฉันได้รับสิ่งใดตอบแทนมาเล่า? ความอดทนและอดกลั้นช่วยนำสิ่งใดมาบ้าง? ไม่มีเลยเว้นเพียงความทุกข์กายและทุกข์ใจ“เอวา…” โรแวนเรียกชื่อฉันเพื่อเตือนสติ“พ่อกับแม่ทะเลาะกันอีกแล้วหรือครับ?” น้ำเสียงเล็กของโนอาสลายบรรยากาศตึงเครียดตรงหน้าฉันหันไปเจอกับสายตาแสนเศร้าของเด็กน้อย ให้ตายสิ! ฉันไม่ต้องการให้โนอาเห็นเราทั้งสองเป็นเช่นนี้ ลูกไม่ควรเห็นเราทะเลาะกันตลอดเวลา“เปล่าจ้ะ เราไม่ได้ทะเลาะกัน เราแค่
“แม่คุณถามถึงคุณอยู่นะ พักหลังมานี้ได้คุยกับท่านบ้างหรือเปล่า?”ฉันส่งเสียงรำคาญใจ “คุณพูดมากไม่หยุดจนประสาทฉันเริ่มกินแล้วนะโรแวน ช่วยทำเหมือนฉันไร้ตัวตนต่อไปเหมือนที่เคยทำมาตลอดได้ไหม?”มือชายหนุ่มกำพวงมาลัยแน่น ฉันเห็นเขาขบกรามเขม็ง รู้สึกได้เลยว่าเขาหัวเสียไม่น้อย อาจเป็นเพราะฉันไม่ได้เป็นลูกไก่ในกำมือเขาแล้วก็เป็นได้ กระดานพลิกแล้วและเขาไม่ชอบเลยสักนิดฉันเคยทุ่มสุดตัวเพื่อให้ชายหนุ่มมีความสุข พยายามเป็นอย่างที่เขาต้องการ พยายามเป็นเช่นเอมม่า ทำทุกอย่างเพื่อให้กลายเป็นดั่งศรีภรรยาที่เขาหมายปอง ตอนนี้ฉันไม่สวมบทบาทนั้นแล้วและดูเหมือนเขาจะไม่พอใจกับการที่ฉันเลิกเป็นเบี้ยล่างอย่างมาก ฉันยกยิ้มการปั่นประสาทชายหนุ่มทำให้บางสิ่งในจิตใจบรรเทาลงได้นับจากนั้นตลอดการเดินทางก็เป็นไปอย่างเงียบเชียบ เราทั้งสองนั่งนิ่งในเบาะนั่งของตนขณะที่โนอาหัวเราะกับการ์ตูนอย่างมีความสุข หนึ่งชั่วโมงให้หลังเราจึงเดินทางถึงสนามบิน ฉันจูงมือโนอาเอาไว้และโรแวนก็ทำหน้าที่พนักงานขนกระเป๋า“ผมตื่นเต้นอยากเห็นทะเลจังครับ” โนอาเอ่ยพร้อมกระโดดโลดเต้นอย่างเริงร่า“ถ้างั้นก็ไปเลยไหม…พวกเราไม่ถ่วงเวลาลูกแล้ว” โรแ
หนึ่งสัปดาห์แล้วที่โนอาเดินทางไป ฉันรู้สึกเหมือนจับต้นชนปลายถูกเมื่อไร้ลูกชายอยู่ข้างกาย หนึ่งสัปดาห์คงเป็นช่วงเวลายาวนานที่สุดแล้วที่เราสองแม่ลูกห่างกัน ฉันไม่อายเลยหากบอกว่ารับมือได้ไม่ดีนักโนอาเป็นดั่งต้นไม้ใหญ่ หากปราศจากเขา ฉันก็ไร้สิ่งค้ำจุนจิตใจ ราวกับเรือลำน้อยไหลไปตามกระแสน้ำเมื่อขาดสมอ ทุกวันฉันเฝ้ารอรับสายจากลูกเพราะเป็นสิ่งเดียวที่สงบจิตใจฉันได้ โทรศัพท์พร้อมเสียงหวานใสของลูกทำให้ฉันไม่สติแตกการติดต่อจากโรแวนขาดหายไปนับตั้งแต่เมื่อสัปดาห์ก่อนที่สนามบิน เศษเสี้ยวจิตใจฉันยังโหยหาเขาอยู่ แต่ฉันรู้ดีว่านี่เป็นทางออกที่ดีที่สุด ระหว่างเราไม่มีอนาคตใดและฉันคงทำใจใช้ชีวิตเคียงคู่กับชายที่ไม่มีใจให้ฉันไม่ได้ สรุปก็คือตอนนี้ทุกอย่างเงียบสงบ ไม่มีใครติดต่อมาเพื่อแจ้งข่าวสารใดกับฉันเลย เพราะก็ไม่มีเหตุยิงกันหรือว่าไม่ได้มีใครตายอีก ก็สบายใจได้เปราะหนึ่งว่ากลุ่มฆาตกรนั้นคงไปหลบซ่อนตัวแล้วทันใดนั้น ฉันเดินชนกับใครสักคนจนตื่นจากห้วงความคิด“ขอโทษด้วยค่ะ ฉันไม่ทันมองเห็นคุณ” ฉันกล่าวคำขอโทษออกไปพลางก้มเก็บหนังสือของตนที่หล่นเกลื่อนฉันเพิ่งเลิกงานและอยู่ในระหว่างทางกลับบ้าน วันน
เราทั้งสองยืนอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง ฉันยืนขยับเท้าไปมาอย่างทำตัวไม่ถูก อีธานจ้องมองฉันด้วยดวงตาสีฟ้าสดใสราวกับว่าจะมองทะลุไปถึงจิตวิญญาณก็มิปาน ฉันจึงหลบเลี่ยงสายตาจับจ้องคู่นั้น“อีธาน” เสียงเรียกของบางคนดังขึ้น ฉันจึงหันไปตามทิศทางนั้น พบว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกคนกำลังกวักมือเรียกอยู่“กำลังไป” อีธานตะโกนตอบรับ จากนั้นหันกลับมาหา “ดีใจที่ได้เจอกันอีกนะครับคนสวย คงจะได้เจอกันอีกใช่ไหม?“ค่ะ” ฉันตอบด้วยเสียงแผ่วเบาจากนั้นชายหนุ่มจึงโอบกอดฉันโดยไม่ทันให้ได้ตั้งตัวก่อนเดินจากไป ฉันยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นได้แต่คิดว่าเมื่อครู่คืออะไรกันแน่ฉันใช้เวลาสักครู่หนึ่งดึงสติกลับมาและเริ่มก้าวเดินต่อไปพลางคิดว่าจำเป็นต้องซื้อของใช้เสียหน่อย ฉันจึงตัดสินใจเดินไปยังร้านขายของเพราะไม่ได้ห่างจากโรงเรียนมากนักตอนนี้ฉันไม่ได้ใช้ผ้าคล้องแขนเล้วแม้ว่าแขนข้างที่ได้รับบาดเจ็บจะรู้สึกเจ็บหรือปวดอยู่บ้าง แต่แขนก็ยังใช้งานได้ปกติ สิ่งของที่จำเป็นต้องซื้อแล่นเข้ามาในความคิดรวมถึงปฏิสัมพันธ์ระหว่างฉันกับอีธานวิธีที่เขาปฏิบัติต่อฉันช่างแตกต่างกับโรแวนอย่างที่ฉันไม่รู้จะบอกว่าอย่างไร ไม่เคยมีใครเอ่ยชมว่าฉันสวยสัก
เอมม่าฉันจ้องมองความยุ่งเหยิงตรงหน้า ไม่แน่ใจจริง ๆ ว่าจะจัดการกันมันอย่างไร ช่วงสองสามวันที่ผ่านมา ฉันรู้สึกแปลก ๆ และไม่สามารถระบุเหตุผลที่แน่ชัดได้ว่าทำไมถึงรู้สึกแบบนี้ฉันพยายามคิดทบทวนแล้ว แต่ก็ไม่มีอะไรผุดขึ้นมาในหัวเลย สิ่งที่ฉันรู้คือ ฉันรู้สึกแปลก ๆ เหมือนมีอะไรผิดปกติ หรือกำลังจะมีเรื่องร้าย ๆ เกิดขึ้น ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม ฉันก็ไม่สามารถสลัดความรู้สึกนี้ออกไปได้ มันยังคงอยู่และทับถมอยู่ภายในจิตใจเคยรู้สึกแบบนั้นกันไหม? รู้สึกเหมือนมีลางสังหรณ์ว่ากำลังจะมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น? มันทำให้ฉันหงุดหงิด เพราะฉันไม่สามารถบอกได้แน่ชัดและมันกำลังทำให้ฉันคลั่งตายอยู่แล้วฉันถอนหายใจพลางมองลงไปยังมือที่สวมถุงมืออยู่ คุณหมอมีอาแนะนำว่าฉันควรทำอะไรสักอย่างเพื่อเบี่ยงเบนความกังวลและผ่อนคลายให้มากขึ้น เมื่อวานฉันคุยกับเอวา และบังเอิญพูดถึงเรื่องนี้ เธอแนะนำว่าฉันควรลองทำสวนดูบ้าง ตามที่เธอพูด มันเคยช่วยเธออยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนเธอเครียดและต้องการทำอะไรสักอย่างเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจเอวาบอกฉันว่าเธอเคยปลูกผัก แต่เธอแนะนำให้ฉันลองปลูกดอกไม้ดูถ้าไม่อยากปลูกผักดังนั้นฉันก็เ
"ฉันจะคุยกับพ่อแม่ให้เอง" พวกเราหันไปมองอย่างประหลาดใจเมื่อเห็นเอวาหยุดยืนอยู่ห่างออกไปไม่กี่ก้าว สายตาจ้องมองไปยังทราวิส "เราแก้แค้นกันมานานเกินพอแล้ว""ส่วนตัวมองว่ามันยังไม่นานพอนะ" รีเปอร์แทรกขึ้นมา น้ำเสียงเต็มไปด้วยความขยะแขยง "พอลองนึกดูว่าพวกแกปฏิบัติต่อเอวายังไง ถ้าเป็นฉันก็คงไม่หยุดหรอก""พูดจริงเหรอ? แล้วน้องแกล่ะ? มันหลอกใช้เธอเลยนะเว้ย" ทราวิสระเบิดอารมณ์ ความโกรธปรากฏชัด"ก็จริง แต่มันเองก็ต้องชดใช้สิ่งมันทำอีกนานเลย... แล้วแกกับบ้านแกล่ะ? อีธานหลอกใช้เธอแค่สองสามเดือน แต่สุดท้ายก็ตกหลุมรักเธอ ส่วนแกมันคนละเรื่องกันเลย แกปฏิบัติกับเธอเหมือนขยะมาตั้งแต่เธอยังเด็กอยู่เลย แกชดเชยความผิดที่แกทำไว้ได้จริงเหรอวะ?"โรแวนตัวแข็งทื่อเมื่อได้ยินชื่ออีธานและความรักที่เขามีต่อเอวา ผมรู้จักพี่ชายตนเองดี และพวกเราเคยคุยเรื่องนี้กันสองสามครั้ง ความมั่นคงของพี่ชายยังสั่นคลอนเมื่อพูดถึงอีธาน มันทำให้เขาเจ็บปวดเมื่อนึกว่าตอนนั้นหากอีธานไม่ทำพลาด เอวาคงจะตกหลุมรักเขาจนหมดหัวใจ และตนคงหมดหวังกับเอวาไปแล้วผมพยายามบอกเขาเสมอว่าหัวใจของเอวาเป็นของเขามาโดยตลอด ผมพยายามยืนยันกับพี่ชายว่าถ้า
เกเบรียลพวกเรามองพ่อเดินออกมุ่งตรงไปหาแม่ของพวกเรา ตามที่เขาพูดพวกเราน่าเบื่อเป็นบ้า เขาเลยไปหาแม่แทน หากมองตามที่เขาพูด แม่เป็นเพื่อนคุยที่ดีกว่าพวกเรามากนักทันทีที่เขาพ้นไปจากระยะที่ได้ยินบทสนทนาได้ ทราวิสหันมาหาพวกเรา คิ้วขมวดมุ่น"ฉันไม่เข้าใจว่ามันมาที่นี่ทำไม" ทราวิสบ่น ขณะจ้องมองรีเปอร์ด้วยสายตาอาฆาต"อยากมีปัญหาหรือไง?" รีเปอร์ถาม แม้ว่าน้ำเสียงของเขาจะสงบ แต่ก็มีกระแสอันตรายที่ไม่อาจปฏิเสธได้ซ่อนอยู่สายตาเขาเปล่งประกาย แม้ในขณะที่เขายังคงทำตัวสงบและเยือกเย็น ควรจะเป็นคำเตือนที่เพียงพอว่าไม่มีใครควรขัดขวางเขาได้ เขาคือความอันตรายที่จับต้องได้ แต่เพื่อนสนิทของผมเป็นคนโง่เกินกว่าที่จะตระหนักถึงสิ่งนั้น ตระหนักว่ารีเปอร์ไม่ใช่พวกไก่อ่อน แม้ว่าตอนนี้เขาจะดูไม่เป็นพิษเป็นภัยก็ตาม“เออ เอาไหมล่ะ” ทราวิสคำราม "แกฆ่าพ่อฉันนะ แล้วยังมีหน้ามาที่นี่เหรอ?""ฉันมาที่นี่กับคู่หมั้น ปัญหาของนายก็เชิญไปจัดการเอาเองสิ"โรแวนกับผมมองหน้ากัน เมื่อความตึงเครียดระหว่างรีเปอร์กับทราวิสเพิ่มขึ้น ถ้าพวกเราไม่จัดการเรื่องนี้ สิ่งต่าง ๆ จะบานปลายอย่างรวดเร็ว และสิ่งที่ผมไม่ต้องการมากที่สุดคือ
ฉันมีผลิตภัณฑ์ของพวกเธออยู่ชิ้นหนึ่ง และมันเป็นชิ้นโปรดเลย จริง ๆ ต้องบอกว่าเคยมีมากกว่าเพราะตอนนี้ฉันไม่ได้ใช้มันแล้วตั้งแต่เกเบรียลกับฉันอยู่ด้วยกัน ยังไงก็ตามคุณแทบจะไม่รู้สึกถึงความแตกต่างเลยตอนที่ใช้เพราะมันให้ความรู้สึกเหมือนของจริงมากพวกเขามีของเล่นอื่น ๆ ด้วย แต่แท่งสวรรค์เนี่ยชิ้นโปรดเลย"แบบว่ามันต้องวิจัยกันเยอะเลยแหละเธอ และพวกเราทุกคนก็มีส่วนร่วมด้วย การวิจัยและการทดลอง สนุกอย่าบอกใครเลย" เอวาเสริมพร้อมรอยยิ้ม"ในเมื่อเธอชอบผลิตภัณฑ์ของเราแบบนี้" เล็ตตี้พูดพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ "มาเป็นหุ้นส่วนเลยไหมล่ะ?"ฉันขมวดคิ้วขณะที่คิด "ฉันไม่รู้นะ เกเบรียลคืนบริษัทของครอบครัวฉันมาให้แล้วด้วย การที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับบริษัทขายของเล่นทางเพศจะไม่ทำให้ภาพลักษณ์ของบริษัทเสียเหรอ? เธอรู้ว่าคนเรามันช่างติขนาดไหน""ไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นเลยจ้ะ" เอวาพูด "พวกเราเป็นเหมือนหุ้นส่วนลับ ๆ กันหมด เราจ้างทั้งคนที่รับตำแหน่งประธานกับรองประธานนั้นแหละ แต่พวกเขาเป็นฉากหน้าของบริษัทเท่านั้น เราเป็นคนจัดการเรื่องต่าง ๆ และแน่นอนว่าพวกเขาช่วยด้วย แต่ไม่มีใครรู้ว่าเราเป็นผู้ก่อตั้ง ยกเว้นพวกเขาสองคน
"นี่โรคะ" เอวาพูดเสียงดัง"ลูกจะต้องบริสุทธิ์และไร้เดียงสาไปจนถึงวันที่แก่และผมหงอกจนหมดหัวนั่นแหละ จบเรื่อง" พูดจบเขาก็เดินกระทืบเท้าออกไป ความคิดที่ว่าไอริสจะมีเซ็กส์ในวันหนึ่งเห็นได้ชัดว่ารบกวนจิตใจเขาไม่น้อยเอวาหันมาหาฉัน "ฉันไม่เข้าใจเลยนะ! กะอีแค่คิดว่าไอริสจะไปมีอะไรกับใครมันกวนใจเขามากขนาดนี้ได้ยังไง ขนาดเรายังมีอะไรกันตลอดเลย? ฉันก็เป็นลูกสาวของคนอื่นเหมือนกันนะและเขาก็ยังทำแบบนั้นกับฉันเลย!"ฉันหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะลูบแขนเธอเป็นการปลอบโยน "ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันคิดว่าผู้ชายน่ะ เวลาพูดถึงลูกสาวของตัวเองก็เป็นเหมือนกันหมดแหละ เกเบรียลก็พูดอะไรทำนองเดียวกันเกี่ยวกับลิลลี่เหมือนกันนะ... อีธานก็จะตอบสนองแบบเดียวกัน และรีเปอร์ก็จะเหมือนกันถ้ามีลูกสาว พ่อของฉันเคยพูดว่าเขาจะไม่ยอมให้ผู้ชายคนไหนเข้าใกล้ฉันเลยด้วย และฉันพนันได้เลยว่าถ้าเธอถามพ่อตัวเอง เขาก็คงคิดแบบเดียวกันตอนที่เธอเกิดมานั่นแหละ ให้ตายสิ ฉันรู้ว่าเขาคงเกลียดความคิดที่ว่าเธอและโรแวนมีอะไรกัน ในหัวของเขา เขาคงอยากจะเชื่อว่าโนอากับไอริสถูกนกกระสาคาบมาส่งมากกว่าแหละ"เอวาหัวเราะ รอยขมวดคิ้วบนใบหน้าหายไป "ฉันเกือบลืมบอกเธอ
ฮาร์เปอร์ฉันมองไปรอบ ๆ พยายามตรวจสอบให้แน่ใจว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีหรือเปล่า เราย้ายมาอยู่ที่บ้านใหม่วันนี้ และเราตัดสินใจจัดงานเลี้ยงขึ้นบ้านใหม่กัน มันไม่ได้เป็นงานใหญ่โตอะไรมากนัก มีเพียงเพื่อนสนิทและครอบครัวเท่านั้น"ทุกอย่างพร้อมแล้วใช่ไหมคะ?" ฉันเอ่ยถามแม่ครัวของเราเธอตื่นตาตื่นใจกับบ้านหลังนี้มากและตกหลุมรักห้องครัวเข้าเต็มเปา เหมือนที่ฉันเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ ห้องครัวเป็นความฝันของแม่ครัวทุกคน ถ้าไม่ใช่เพราะเธอต้องกลับบ้านไปหาครอบครัว ฉันสาบานได้เลยว่าเธอคงนอนอยู่ที่นี่ ฉันหมายถึงในห้องครัวเลย ไม่ใช่ในตัวบ้าน"ค่ะ" เธอส่งยิ้ม ดวงตาเป็นประกายด้วยความสุขและความตื่นเต้น "ทุกอย่างพร้อมแล้วค่ะ"อย่างที่ฉันบอก เราไม่ได้ต้องการงานเลี้ยงใหญ่โตขนาดนั้น มีเพียงพ่อแม่ของเกเบรียล โรแวนและเอวา ทราวิสและเล็ตตี้ คอนนี่และรีเปอร์ โนอา ไอริส กันเนอร์ และหนูเซียร่าเสียงกริ่งประตูดังขึ้น และฉันออกจากห้องครัวไปเปิดประตู ลิลลี่ยังแต่งตัวไม่เสร็จ และเกเบรียลหายตัวไปไหนก็ไม่ทราบได้เมื่อไม่กี่วันก่อน ฉันรวบรวมความกล้าและลองตรวจครรภ์ดู ทั้งสิบครั้งผลออกมาเป็นบวกทั้งหมด แต่ฉันยังไม่ได้บอกเกเบรี
ผมประสานมือวางบนเคาน์เตอร์ครัว ไม่รู้ว่าจะแสดงท่าทีหรือพูดอะไรตอบกลับลูกไปดี“แล้วลูกรู้สึกยังไงล่ะ?” ในที่สุด ผมก็ถามเขาหลังจากเงียบไปสักพัก"ผมไม่รู้ครับ ผมไปคุยกับโนอามาด้วยนะพ่อ และเขาเล่าว่าเธอขอโทษเขาเรื่องที่เข้าแทรกกลางระหว่างน้าโรแวนกับน้าเอวาน่ะครับ"นั่นเป็นข่าวใหม่สำหรับผมเลย ดูเหมือนว่าเอมม่ากำลังเดินสายขอโทษคนที่เธอทำผิดอยู่ รวมถึงพวกเด็ก ๆ ซึ่งคนส่วนใหญ่จะมองข้ามไป"เมื่อสองสามอาทิตย์ก่อน เธอขอโทษพ่อด้วยเหมือนกันนะ" ผมสารภาพ“แล้วพ่อรู้สึกยังไงล่ะครับ”“นี่ลองเล่นเป็นพ่ออยู่เหรอไง?” ผมหัวเราะเล็กน้อย “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเรานะ แต่พ่อเป็นห่วงลูกมากกว่าน่ะสิ”เขาถอนหายใจ "ผมไม่รู้ครับ ผมยังโกรธเธอและรู้สึกแย่มาก ๆ อยู่เลย หน้าอกมันรู้สึกเจ็บตอนคิดถึงความเจ็บปวดที่เคยรู้สึก ตอนผู้หญิงคนนั้นเขาไม่ได้ต้องการผม""พ่อเข้าใจนะลูก และลูกก็มีสิทธิ์ที่จะโกรธด้วย เรื่องที่ลูกเจ็บปวดมันไม่มีใครมาว่าลูกได้หรอกนะ เข้าใจไหม? แม้ว่าจะไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกยังไงก็ไม่เป็นไรหรอก อารมณ์อาจจะวุ่นวายและขัดแย้งกันได้ในบางครั้ง"ผมพยายามอธิบายให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผมไม่อยากให้กันเนอ
ผมดูวิดีโอที่คินลีย์ส่งมาพร้อมหัวเราะเบา ๆ เพราะความตลก เธอส่งวิดีโอสัตว์ตลก ๆ เรื่อยเปื่อยมาให้ผม เพราะเธอรู้ว่ามันทำให้ผมหัวเราะออกมาได้ ไม่เคยมีวันไหนเลยที่จะนั่งว่าง ๆ โดยที่ไม่ได้รับวิดีโอจากเธอ ถ้าพูดตามตรง ผมตั้งตารอที่จะเห็นวิดีโอพวกนั้นในห้องแชทองเราความสัมพันธ์ระหว่างเราสมบูรณ์แบบมาก นอกจากเอมม่าแล้ว ผมไม่เคยจริงจังกับผู้หญิงคนไหนมาก่อน แน่นอนว่าสมัยมหาวิทยาลัย ผมก็เลือกจะก้าวไปข้างหน้าแต่มันกลายเป็นการนอนกับผู้หญิงไม่เลือกหน้ามากกว่าการตัดใจจากเอมม่าอย่ามองผมแบบนั้น ผู้หญิงทุกคนที่ผมนอนด้วยรู้สถานการณ์ต่าง ๆ ดี พวกเธอรู้ว่าไม่มีอะไรระหว่างเราได้ และมันเป็นแค่กิจกรรมฆ่าเวลา ผมทำให้มันชัดเจนมากก่อนขึ้นเตียงกับพวกเธอ พวกเธอเข้าใจและยอมรับ ชีวิตเรียบง่ายจนกระทั่งเอมม่ากับผมมาเจอกันอีกครั้งหลังจากนอนกับเอมม่าครั้งแรก ผมก็ยุติกิจกรรมแบบความสัมพันธ์ชั่วข้ามคืนไป จากนั้นเอมม่าก็ตั้งครรภ์และคุณก็รู้เรื่องที่เหลือ ผมไม่ได้อยู่กับผู้หญิงคนอื่นเลยนับตั้งแต่คืนแรกกับเธอ ผมรู้ว่ามันน่าสมเพช แต่ถ้าให้แก้ตัวแบบโง่ ๆ ก็คงเป็นเพราะผมกำลังมีความรักอยู่ ไม่ว่าหัวใจผมจะเจ็บปวดขนาดไหนแต่ผมค
"รู้สึกยังไงที่ได้เจอกันเนอร์คะ?" คุณหมอมีอาเอ่ยถาม ดวงตาเฉียบแหลมเช่นเคย เธอจ้องมองฉันราวกับว่าเธอสามารถมองทะลุเข้าไปในจิตวิญญาณได้เนื่องจากฉันกลับไปทำงานแล้ว เราจึงต้องปรับตารางเวลาให้เข้ากับตารางเวลาใหม่ของฉัน การเข้ารับบำบัดส่วนใหญ่จึงถูกกำหนดไว้ระหว่างสี่โมงครึ่งถึงหกโมงเย็นฉันรู้อยู่แล้วว่าคำตอบคืออะไร ฉันไม่ต้องคิดเกี่ยวกับมันเลย การคิดถึงวันนั้นกลับทำให้น้ำตาคลอเบ้าอีกครั้ง"ใจสลายค่ะ" ฉันแทบจะกระซิบคำพูดออกมารู้สึกเหมือนว่าพรั่งพรูออกมาจากภายใน จากส่วนลึกที่สุดของจิตวิญญาณ ฉันพยายามบังคับเสียงสะอื้นที่เหมือนกำลังจะหลุดออกมา แต่มันไร้ประโยชน์ มันหลุดออกมาจากตัวฉันพร้อมความเจ็บปวด ทำให้ฉันหายใจไม่ออก"ยังไงคะ?" คุณหมอมีอาเอ่ยถามพร้อมกับยื่นกระดาษทิชชู่ให้ฉันฉันรับมันมาเช็ดน้ำตาที่ไหลลงมาบนใบหน้า มันไม่ได้ช่วยอะไรเลยเพราะมันยังคงไหลเหมือนแม่น้ำเชี่ยว ฉันโกรธน้ำตานี้ที่ไหลออกมาไม่หยุด จึงขยำทิชชู่อย่างหงุดหงิดก่อนโยนมันลงในถังขยะ"ฉันเห็นมันในดวงตาของลูกค่ะ ว่าลูกเกลียดฉัน" ฉันเริ่มพูด ยอมพ่ายแพ้ปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาบนใบหน้า "มีความโกรธมากมายสะท้อนอยู่ในดวงตาคู่นั้น มีคว