“วันนี้เป็นไงบ้าง ลูกรัก?” ฉันเอ่ยถามโนอาโทรศัพท์ถูกหนีบอยู่ระหว่างหัวไหล่และกกหูขณะง่วนอยู่กับการทำความสะอาด ฉันพยายามคุยกับลูกชายให้ได้มากที่สุด แม้ว่าจะทุลักทุเลอยู่บ้างแต่หัวไหล่ของฉันก็อาการดีขึ้นมาก“อย่างเจ๋งเลยครับ!” เสียงตะโกนของเด็กน้อยส่งผ่านทางโทรศัพท์จนหูฉันแทบระเบิด “เราเพิ่งกินไอศกรีมกัน แล้วตอนนี้กำลังไปเล่นสไลเดอร์ครับ ที่นี่มีสไลเดอร์ด้วยมันยาวออกไปถึงทะเลเลยครับ”เสียงแสนตื่นเต้นของเด็กน้อยทำให้ฉันสุขใจเป็นอย่างยิ่ง เขามีความสุขฉันก็มีความสุข ขอเพียงแค่เขาปลอดภัยและสนุกสนานได้อย่างเต็มที่ก็เพียงพอแล้วสำหรับฉัน“เยี่ยมไปเลยใช่ไหมลูก…เห็นไหม แม่บอกแล้วไงว่าต้องสนุกแน่นอน”ฉันหยุดทำความสะอาดแล้วทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟา คุยกับลูกให้เสร็จก่อนน่าจะดีกว่า“แล้วแม่ล่ะครับ วันหยุดเป็นยังไงบ้าง?”จะให้ฉันตอบยังไงดี? มันโคตรน่าเบื่อ ลูกชายวัยแปดขวบกำลังสนุกสนานมากกว่าฉัน คนไร้เพื่อนอย่างฉัน ไม่มีที่ให้ออกไป ไม่มีใครให้เที่ยวด้วย เพื่อนสมัยเรียนเคยชวนฉันออกไปเที่ยวอยู่บ้างแต่ก็ห่างหายกันไปหลังจากฉันเอาแต่ปฏิเสธ ลึก ๆ ในใจฉันรู้ว่าบรรดาเพื่อนชวนฉันไปเที่ยวเพียงเพราะมารยาท เพ
หลังจากอีธานวางสาย ฉันจึงรีบไปเลือกเสื้อผ้าเหมาะ ๆ มาใส่ เพราะว่าเราจะไปที่สนามฝึกซ้อมยิงปืน เสื้อผ้าที่สวมใส่แล้วดูคล่องตัวเป็นตัวเลือกที่ดี ดังนั้นฉันจึงตัดสินใจเลือกกางเกงยีนส์ เสื้อยืดและรองเท้าส้นเตี้ยมาใส่ อีธานเดินทางมาถึงภายในสิบนาทีอย่างที่บอกไว้ และเราทั้งสองจึงออกเดินทางทันที“แล้วอะไรดลใจให้คุณกลายเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ได้ล่ะคะ?” ฉันหันหน้าไปถามชายหนุ่มบรรยากาศนั้นผ่อนคลายไม่น้อย ฉันรู้สึกสบายใจเมื่ออยู่กับเขาเสมอ มันช่างดีเหลือเกิน ฉันไม่ได้สัมผัสความรู้สึกผ่อนคลายแบบนี้เมื่ออยู่กับคนอื่นมานานแล้ว“พ่อผมถูกตำรวจฆ่าตายน่ะครับ” เขาเอ่ยตอบพร้อมยักไหล่ฉันนิ่วหน้าอย่างประหลาดใจ “เจอแบบนี้คนส่วนมากคงไม่อยากจะเป็นตำรวจนะคะ” “ครับ แต่ว่าพ่อผมก็ไม่ใช่คนดีอะไร แถมเรียกว่าพ่อที่ดีไม่ได้ด้วยซ้ำ พูดกันตามจริงตอนที่เขาโดนตำรวจวิสามัญเพราะค้าอาวุธปืนเถื่อนผมกลับโล่งใจ ตอนที่เห็นว่าตำรวจจัดการสวะที่หลงคิดว่าไม่มีใครทำอะไรได้อย่างพ่อผม นี่เลยทำให้ผมตัดสินใจมาเป็นตำรวจ หวังว่าจะให้เมืองที่ผมอาศัยอยู่ปลอดภัย”อีธานเงียบไปหลังอธิบายจบแต่ฉันรับรู้ได้ว่ามันน่าจะมีอะไรมากกว่านั้น น้ำ
โรแวนผมมองตำรวจคนที่เข้ามาช่วยชีวิตเอวาเอาไว้ในวันนั้นพาเธอไป ไม่แน่ชัดว่าด้วยเหตุผลใดผมรู้สึกเกลียดเมื่อมองเห็นเขาจับมือเอวา จำเป็นต้องจับมือถือแขนกันด้วยหรือ?ผมไม่เข้าใจว่าทำไมถึงได้รู้สึกหัวเสียไม่น้อยเมื่อเห็นพวกเขาทั้งสองอยู่ด้วยกัน แต่ผมก็อดรู้สึกแบบนั้นไม่ได้ ผมไม่ชอบสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นระหว่างสองคนนั้นผมรู้สึกได้ว่ามีมือนุ่มมากุมมือผมเอาไว้ จากนั้นจึงตระหนักได้ว่าผมนั้นกำหมัดแน่นอยู่“เป็นอะไรไหมคะ?” เอมม่าเอ่ยถาม ผมจึงหันไปหาใบหน้าราวกับนางฟ้าช่วยดึงผมกลับมายังโลกความจริง‘มีเพียงเธอเท่านั้นที่ผมใฝ่หาและต้องการมาตลอด’ ผมกล่าวเตือนตนไม่ให้เผลอไผลไปนึกถึงเอวาผมไม่ได้ต้องการเอวา ดังนั้นความรู้สึกขุ่นเคืองจิตใจเช่นนี้จึงไม่ควรเกิดขึ้นเมื่อเห็นชายอื่นต้องตาต้องใจเธอสิถึงจะถูกต้อง จริงหรือเปล่า?“ไม่เป็นไรครับ” ผมตอบกลับเอมม่าพร้อมรอยยิ้มเธอส่งรอยยิ้มตอบกลับ และเหมือนครั้งแรกที่ได้เห็น รอยยิ้มเธอสะกดใจเหลือเกิน ทำให้ผมหลงใหลและหวนนึกถึงช่วงเวลาที่เราทั้งสองอยู่ด้วยกันหลายนาทีต่อมา เอวาก็เดินกลับมาพร้อมตำรวจคนนั้น เธอหัวเราะกับคำพูดของชายหนุ่ม เธอดูผ่อนคลายและสบายใจเ
“ก็นายเล่นจ้องเมียเก่ากับฮีโร่เธอซะขนาดนั้น” เกเบรียลให้เหตุผล “มันไม่ใช่ฮีโร่อะไรทั้งนั้น!”“เขาเป็นสิ…เผื่อลืมไปว่าเขาพยายามเข้าไปช่วยเอวานะ แค่นั้นก็ทำให้เธอมองเขาว่าเป็นฮีโร่แล้ว”เธอหันไปมองเจ้าหมอนั่นด้วยสายตาที่ผมไม่เคยได้รับมาก่อน ซึ่งทำให้ผมรู้สึกไม่สบายใจเอาเสียเลย“หุบปากไปเลย เกเบรียล” ผมตะคอกเจ้าน้องชายหัวเราะชอบใจ เห็นได้ชัดว่าเขาคิดว่าเรื่องนี้น่าขัน“นี่ หักห้ามใจตัวเองเอาไว้บ้างเถอะ วันนี้นายมากับเอมม่า ดังนั้นจะเอาแต่มองเอวาทั้งวี่ทั้งวันไม่ได้หรอกมั้ง เอมม่าเป็นคนที่นายรักนะจำได้ไหม อีกอย่างเธอคงสังเกตเห็นแล้วแหละว่านายโดนดึงความสนใจไป” คำถากถางดึงสติผมกลับมา ผมหันไปมองเอมม่าและพบว่าเธอกำลังนั่งอยู่ มือคู่นั้นวางบนหน้าตักใบหน้าเหี่ยวเฉา โธ่เอ้ย! เกเบรียลพูดถูกทั้งหมด เอมม่าไม่ควรต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ เราควรเริ่มเดินหน้าความสัมพันธ์กันใหม่ แต่ตอนนี้ผมกลับมัวแต่สนใจเอวาที่ดูเหมือนว่าเริ่มเปิดใจให้คนใหม่ไปแล้วผมวางปืนลงและเดินไปนั่งข้างเอมม่า“ผมขอโทษนะเอมม่า วันนี้ใจผมไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลย”ผมไม่ได้โกหกแต่อย่างใด เพราะเหตุผลบางอย่าง วันนี้เอวาทำเอาผมปั
เอวา“ถ้างั้น โรแวนก็เป็น?” อีธานเอ่ยถามขณะเราทั้งสองขับรถกลับบ้านหลังจากเหตุการณ์ในห้องน้ำเมื่อครู่ ฉันไม่ต้องการอยู่ใกล้กับโรแวนอีก ดังนั้นสามสิบนาทีต่อมาฉันจึงขอร้องให้อีธานช่วยพาฉันกลับบ้าน“เป็นสามีเก่าของฉันค่ะ” ฉันตอบคำถามนั้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ และเราทั้งสองต่างก็เงียบกันไปฉันยังทำใจเชื่อไม่ลงจริง ๆ ว่าโรแวนจะเหิมเกริมขนาดไล่ต้อนให้ฉันจนมุมในห้องน้ำเช่นนั้น ซึ่งนั่นยังแย่ไม่พอ เขายังเกือบจูบฉันอีกด้วย จูบฉันเนี่ยนะ! โรแวนไม่เคยเป็นฝ่ายเริ่มรุกจูบฉันมาก่อนเลย ดังนั้นแค่บอกว่าฉันตกใจก็คงจะยังน้อยไปฉันเกือบยอมจำนนเสียแล้ว เพราะว่านี่เป็นสิ่งที่ฉันใฝ่หามาโดยตลอด แต่ฉันตระหนักได้ว่าเขาอยู่กับเอมม่า เขาน่าจะจูบเธอแล้วทำอะไร ๆ กับเธอด้วย เรื่องนี้ทำให้ฉันรวบรวมกำลังผลักเขาออกไปให้ห่าง ฉันยอมให้เขาเล่นสนุกกับฉันไม่ได้ พอกันเสียที เขามีเอมม่าอยู่ด้วยและฉันไม่มีสถานะอะไรอีก นอกจากเป็นแม่ของลูกชายเขาเพียงเท่านั้นโรแวนไม่เคยนึกหึงหวงหรือรู้สึกเป็นเจ้าเข้าเจ้าของฉันมาก่อน เขาเคยทำแบบนี้กับเอมม่าสมัยยังเป็นวัยรุ่น และฉันคิดว่าเร่าร้อนไม่น้อย ฉันจินตนาการไปว่ามันจะดีเพียงใดหากโรแวน
หลังจากถูกปลุกให้ตื่นด้วยความรู้สึกหงุดหงิด ฉันสวมใส่ชุดคลุมอาบน้ำและรีบร้อนลงไปด้านล่าง ใครก็ตามที่กล้ามากวนใจฉันแบบนี้เตรียมตัวหูชาได้เลยฉันบิดประตูเปิดออกไป พร้อมสบถใส่ผู้อยู่ตรงหน้า แต่ฉันก็ต้องชะงักไป บุคคลที่ฉันไม่เคยคาดคิดเลยว่าจะได้เจอมายืนอยู่ตรงหน้าบ้านฉันตอนนี้“มาที่นี่ต้องการอะไร เอมม่า?” ฉันต่อว่าฉันยังไม่ตื่นดีพอที่จะรับมือกับเธอ“ฉันถ่อมาถึงที่นี่เพราะอยากมาเตือนให้หล่อนอยู่ให้ห่างจากโรแวนเสีย เขาเป็นของฉัน ฉันไม่ยอมให้ปล่อยให้หล่อนขโมยเขาไปอีกเด็ดขาด” เธอแผดเสียงใส่คิ้วของเธอขมวดเป็นปมแน่น และเปลวเพลิงแห่งความเดือดดาลลุกโชนอยู่ภายในดวงตาฉันแค่นหัวเราะ “เธอแหกขี้ตามาบ้านฉันตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าเพื่อจะเตือนให้อยู่ห่างจากโรแวนเนี่ยนะ? เธอหาเรื่องผิดคนแล้วล่ะมั้ง เอมม่า”ฉันไม่ใช่เด็กน้อยผู้ใสซื่อแสนโง่เขลาที่โดนเธอทิ้งห่างแบบไม่เห็นฝุ่นแล้ว ฉันคงจะเป็นคนบ้าถ้าปล่อยให้เธอมาเหยียบย่ำฉันได้ “โรแวนเป็นของฉันนะ เอวา! เขาเป็นของฉันมาโดยตลอด ฉันเสียเวลาไปเก้าปีไม่ได้อยู่กับคนที่ฉันรัก เพราะหล่อน และฉันก็ไม่ยอมให้หล่อนได้ทำตามใจอีกเป็นครั้งสองแน่”“ฉันไม่มีวันจะกลับไปอ
ศีรษะของฉันปวดตุบไปหมด ที่จริงปวดหัวนั่นมันแค่ส่วนเล็กน้อย ความเจ็บปวดแล่นทั่วร่างกาย ฉันพยายามลืมตาแต่กลับทำไม่ได้ ราวกับเปลือกตาทั้งสองถูกหินหนักถ่วงเอาไว้ ฉันพยายามร้องเรียกหาโนอา แต่กลับไม่มีเสียงใดเล็ดลอดจากลำคอได้เลยฉันกำลังขยับตัว หรือไม่ก็ใครสักคนเคลื่อนย้ายร่างกายฉัน ยิ่งขยับเขยื้อนร่างกายมากเท่าใด ความเจ็บปวดยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น ฉันหวังเพียงว่าให้เขาพาฉันไปอย่างช้า ๆ หรือไม่ก็เลิกขยับตัวฉันไปเลย“ตามหมอมาที!” ใครสักคนตะโกนออกมาฉันไม่เข้าใจว่าพวกเขากำลังพูดเรื่องอะไรแล้วทำไมต้องเรียกหาหมอ หรือแม้แต่ตอนนี้เกิดอะไรขึ้น ฉันพยายามประคองสติเอาไว้ให้ได้แต่ความมืดมิดโอบกอดฉันเอาไว้อีกครั้งก่อนที่ฉันจะดำดิ่งลงไปในความมืด…เมื่อได้สติกลับมาอีกครั้ง ฉันไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดแต่อย่างใด กระนั้นดวงตายังลืมไม่ขึ้นรวมถึงยังขยับเขยื้อนร่างกายไม่ได้ด้วย ฉันรู้สึกแขนขาหนักอึ้งเหมือนถูกถ่วงเอาไว้ ราวกับว่าฉันถูกกักขังไว้ภายในร่างกายตนเอง ฉันได้ยินเสียงผู้คนรอบกายพูดคุยกันอยู่ไกล ๆ เหมือนว่าคนเหล่านั้นพูดอยู่ใต้น้ำหรืออะไรแบบนั้น ไม่มีเรื่องใดที่เกิดขึ้นตอนนี้สมเหตุสมผลเลย และฉันไม่เข้าใจว่
“คุณชาร์พครับ ดีใจที่คุณฟื้นขึ้นมานะครับ… ก่อนนี้เราห่วงกันอยู่” คุณหมอเกริ่นพร้อมรอยยิ้ม “ตอนนี้คุณรู้ว่าตอนนี้ตนเองอยู่ที่ไหนและเกิดอะไรขึ้นกับคุณหรือเปล่าครับ?”ฉันพยักหน้าตอบรับ “ที่โรงพยาบาลค่ะ… มีบางอย่างผลักฉันกระเด็นออกมาอย่างแรงตอนที่ปลดล็อกรถน่ะค่ะ ฉันเลยหัวฟาดเพราะแรงผลักนั่น”ฉันพยายามไม่นึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับฉันตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้น เพราะรู้สึกหวาดกลัวที่จะยอมรับความเป็นจริงที่ว่าฉันเกือบจากโลกไปนี้แล้ว“ครับ รถของคุณระเบิด คุณกระเด็นออกมาเพราะแรงระเบิดนั้น” เขาหยุดพูดครู่หนึ่ง “แล้วปีนี้ปีอะไรครับ?” ฉันตอบคำตอบคุณหมอไปมือของเขาก็จดรายละเอียด โรแวนกุมมือฉันแน่น ฉันเหลือบมองเขาอยู่บ้าง บางสิ่งปรากฎในแววตาคู่นั้น แต่มันหายไปก่อนที่ฉันจะทันได้เข้าใจความหมายฉันรู้สึกตื่นตระหนกไม่น้อยเลย ไม่เคยคิดเคยฝันมาก่อนว่าจะเกิดเหตุรถยนต์ระเบิดเช่นนี้ ด้วยความตึงเครียดจากเรื่องต่าง ๆ ทำให้ฉันรู้สึกปวดหัวและความรู้สึกเจ็บปวดเริ่มกลับมา“เอาเป็นว่าการที่คุณระบุว่าปีนี้คือปีอะไรได้ คุณจำชื่อตนเองได้ รู้ว่าคุณวูดส์คือใครถือได้ว่าเป็นสัญญาณที่ดี แต่ว่าเราจะขอทำการทดสอบเพิ่มเติมนะครั
ฮาร์เปอร์สัปดาห์นี้วุ่นวายสุด ๆ เหมือนฉันวิ่งทำธุระตั้งแต่กลับมาที่เมืองนี้โดยไม่ได้พักเลยสักนิดอย่างน้อยตอนนี้ลิลลี่ก็ดูสบายขึ้นแล้ว เกเบรียลไม่ยอมส่งที่นอนของเธอมาเพราะบอกว่าที่นอนที่นี่สบายกว่า แต่เขายอมส่งผ้าปูที่นอนกับผ้าห่มมาให้แทน ซึ่งมันช่วยได้เยอะเลย ตอนนี้เธอหลับสบายตลอดทั้งคืนส่วนเกเบรียล ฉันจะเริ่มจากตรงไหนดี? เขากลับมาบ้านแม้จะดึกดื่นขนาดไหน แต่ก็เท่านั้นเอง เราสองคนพยายามหลบหน้ากัน ต่างทำเหมือนกับว่าอีกฝ่ายไม่มีตัวตนอยู่ในชีวิต ฉันคิดว่าแบบนี้ดีกว่า อย่างน้อยลิลลี่จะได้ไม่เห็นเราทะเลาะกันตลอดเวลา“แม่คะ แม่อยากคุยกับหนูเหรอ?” เสียงของลิลลี่ดึงฉันกลับมาสู่ปัจจุบันฉันวางผ้าที่กำลังพับอยู่ลง แล้วนั่งลงบนเตียงก่อนจะส่งสัญญาณให้เธอมานั่งด้วยกัน เธอเดินข้ามห้องมาพร้อมขมวดคิ้ว ก่อนจะนั่งลงข้าง ๆ ฉันเราอยู่ในห้องของฉัน อย่างที่เดาได้ว่าเกเบรียลกับฉันไม่ได้นอนห้องเดียวกัน ซึ่งนั่นเป็นสิ่งหนึ่งที่ฉันไม่รู้ว่าจะอธิบายให้ลิลลี่เข้าใจอย่างไร เพราะเธอต้องสงสัยแน่ ๆ ในเมื่อก่อนหน้านี้ฉันกับเลียมเคยนอนร่วมห้องกัน“แม่คะ?”“ขอโทษนะลูก มีบางอย่างที่แม่อยากจะอธิบายให้หนูฟัง” ฉั
แผ่นหลังของผู้หญิงคนนั้นหันมาทางฉัน รวมถึงกันเนอร์ด้วย ฉันไม่ต้องกังวลเรื่องคาลวินเพราะเขาดูเหมือนตกอยู่ในห้วงความหลงใหล เขาใส่ใจกับทุกสิ่งที่ผู้หญิงคนนั้นพูด พร้อมรอยยิ้มอ่อนโยนเด่นชัดบนริมฝีปากอีกครั้งที่ความรู้สึกไม่สบายใจจมลึกลงในหัวใจของฉัน ทำไมฉันถึงรู้สึกเหมือนหายใจได้ไม่ทั่วท้อง? เหมือนมีหินก้อนใหญ่ติดอยู่ในลำคอฉันเพ่งสายตามองไปยังพวกเขา แม้จะไม่ได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูดเพราะโต๊ะอยู่ห่างออกไป แต่ความสงบสุขและความสุขบนใบหน้าของคาลวินก็เพียงพอที่จะบอกฉันว่าเกิดอะไรขึ้น เขากำลังออกเดต และกันเนอร์ก็มาด้วย ผู้หญิงคนนั้นดูเหมือนไม่ได้รังเกียจอะไร แต่ฉันไม่มีวันปล่อยให้ผู้หญิงคนอื่นมาแทนที่ฉันในชีวิตของลูกชายเด็ดขาดถึงแม้ฉันจะมองไม่เห็นกันเนอร์ แต่ฉันรู้ว่าเขาเหมือนกับคาลวิน กันเนอร์เองก็มีความสุขที่ได้อยู่ที่นั่น เพราะถ้าไม่ใช่แบบนั้น คาลวินคงพาลูกชายกลับไปแล้วแต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ฉันยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น ทั้งที่รู้สึกเหมือนหัวใจถูกฉีกออกเป็นชิ้น ๆ ฉันไม่รู้ว่าฉันนั่งอยู่นานแค่ไหน แต่สุดท้ายก็ทนไม่ไหว การได้เห็นเขามีความสุขกลับทำให้ฉันเจ็บปวดอย่างประหลาด มันเหมือนหัวใจถูกบดขยี้
คำพูดของมอลลี่ยังคงก้องอยู่ในหัว แม้กระทั่งตอนที่เรากำลังกินของหวาน ฉันชอบไอศกรีมมาก แต่วันนี้ฉันกลับไม่สามารถสนุกกับมันได้เลย โดยเฉพาะเมื่อเธอสามารถทำให้ฉันเริ่มสงสัยในทุกสิ่งที่ฉันเชื่อมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา"ทำไมเธอเงียบจัง?" มอลลี่ถามขณะที่วางแก้วมิลค์เชคลง "หรือเธอกำลังคิดถึงสิ่งที่ฉันเพิ่งพูด?"ประโยคสุดท้ายมาพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ขณะที่เธอเอนหลังพิงเก้าอี้"เปล่า" ฉันโกหก "แค่กำลังคิดว่าฉันจะทำยังไงให้คาลวินกับกันเนอร์ยกโทษให้ฉัน ไม่ว่าฉันจะมองมุมไหนก็ไม่มีทางออกที่ดีเลย"ในฐานะทนายความ ฉันเคยชินกับการมองสถานการณ์จากหลายมุมมองเวลาปกป้องลูกความของฉัน นั่นคือสิ่งที่ทำให้ฉันเก่งในสิ่งที่ฉันทำ ฉันไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดมือและพิจารณาทุกผลลัพธ์ที่เป็นไปได้ ฉันทำแบบนั้นกับสถานการณ์นี้แล้ว แต่กลับไม่พบความหวังเลยฉันอาจไม่ได้รักคาลวิน แต่ฉันรู้จักเขาเป็นอย่างดี เขาเคยให้โอกาสฉันนับครั้งไม่ถ้วนเพื่อให้ฉันจัดลำดับความสำคัญของชีวิตให้ถูกต้อง แต่ฉันกลับไม่ทำ คาลวินเป็นคนที่เมื่อเขาถึงจุดที่ทนไม่ไหว มันก็จบ ไม่มีการย้อนกลับ ไม่มีโอกาสอีก ไม่มีการให้อภัยฉันจะนั่งหลอกตัวเองที่นี่ก็ได้ แต่ฉัน
"ทำไมฉันถึงยอมให้เธอชวนฉันออกไปกินข้าวกลางวันด้วยนะ?" ฉันบ่นพลางมองทิวทัศน์ด้านนอกที่ผ่านไปอย่างรวดเร็วฉันไม่ได้ออกจากบริเวณของครอบครัวมานานแล้ว ครั้งสุดท้ายน่าจะเป็นตอนที่ฉันไปงานแต่งงานของเอวา บอกตามตรง ฉันตกใจมากตอนที่เธอเชิญฉันไปงานนั้น ในบรรดาคนทั้งหมด ฉันคิดว่าฉันน่าจะเป็นคนที่เธอไม่อยากให้ไปร่วมงานแต่งงานมากที่สุด“ก็เพราะเธอจำเป็นต้องออกไปข้างนอกบ้างไง” มอลลี่ตอบพลางดึงฉันกลับมาสู่บทสนทนา“ฉันก็ออกจากบ้านนะ มอลลี่” ฉันพูดปกป้องตัวเองเสียงหัวเราะเยาะของเธอทำให้ฉันหงุดหงิดมาก“เดินไปที่สวนไม่เรียกว่าการออกไปข้างนอกหรอกย่ะ” เธอตอบโต้ “เลิกบ่นแล้วนั่งพักผ่อนเถอะ เธอจะสนุกกับการออกไปเที่ยวเล็ก ๆ ครั้งนี้ รับรองเลย”“ไม่มั้ง”เมื่อพูดจบ ฉันเอนหลังพิงเก้าอี้แล้วหลับตาลง ความคิดในหัวของฉันวิ่งวุ่นไปเป็นพันเรื่องในแต่ละนาที ฉันจับพวกมันไว้ไม่ได้หรือควบคุมมันไม่ได้เลยตั้งแต่คุยกับมอลลี่ในห้อง ความคิดของฉันก็วิ่งพล่านไปทั่ว ฉันรู้ว่ามันคงไม่ง่าย แต่เธอพูดถูก ฉันจะมัวแต่นั่งอยู่ในห้อง จมปลักและสาปแช่งความโง่ของตัวเองต่อไปไม่ได้ ถ้าฉันยังเป็นแบบนี้ ฉันอาจไม่มีโอกาสได้อยู่กับลูกชา
เอมม่า"ออกจากห้องบ้างเถอะนะ เอมม่า ลูกไม่ควรใช้เวลาทั้งวันติดอยู่ในห้องรก ๆ แบบนี้" แม่บอกฉัน แต่ฉันไม่แม้แต่จะเหลือบมอง เฝ้าแต่จดจ้องอยู่ที่ซีรีส์เศร้าที่กำลังดูอยู่ฉันนั่งอยู่บนเตียง ยังสวมชุดนอนอยู่ พร้อมของว่างกระจายอยู่รอบ ๆ ผ้าห่ม มีเครื่องดื่มหลากหลายชนิดและถังไอศกรีมที่ฉันกำลังจมปลักอยู่ ผ้าม่านถูกปิดมืดสนิทเพราะฉันเพิ่งติดตั้งม่านกันแสงเมื่อไม่กี่เดือนก่อน"นั่นแหละที่หนูพยายามบอกมันอยู่เนี่ย แต่มันไม่ยอมฟังหนูเลยคะแม่" มอลลี่พูดขึ้นฉันรู้สึกได้ว่าเธอกำลังจ้องฉันด้วยสายตาดุดัน แต่ฉันไม่สนใจเลยสักนิด ฉันแค่อยากอยู่คนเดียวเพื่อจมอยู่กับความทุกข์ของตัวเอง เพราะท้ายที่สุดแล้ว ฉันก็เป็นคนที่ทำให้ตัวเองต้องมาเจอเรื่องแบบนี้"กันเนอร์จะพูดว่ายังไงถ้าหลานเห็นลูกในสภาพนี้? ทั้งตัวเองและห้องก็ดูไม่ได้เลย ไม่รู้เลยว่าลูกหวีผมครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ หรืออาบน้ำครั้งสุดท้ายตอนไหน" แม่พูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจฉันสะดุ้งขึ้นทันทีที่ได้ยินชื่อกันเนอร์ แล้วหันไปหาแม่ทันที"ลูกถามถึงหนูเหรอ? อยากเจอหนูใช่ไหม?" ฉันถามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหวังแม่ใช้เวลาอยู่กับเขา เช่นเดียวกับทราวิส
ทันทีที่พวกเราเข้าไปในโบสถ์ ฉันก็สังเกตเห็นโรแวนในทันที เขาอยู่ในชุดสูทสีดำเช่นเดียวกับน้องชายของเขา เราเดินไปยังด้านหน้าของโบสถ์พร้อมกับที่บาทหลวงเดินเข้ามา"สวัสดีครับ คุณฮาร์เปอร์" โรแวนกล่าวทักทายอย่างสุภาพพร้อมรอยยิ้มที่ดูอบอุ่นฉันถึงกับตกตะลึง โรแวนดูเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ไม่เหมือนกับคนที่ฉันเคยรู้จักมาก่อน เมื่อก่อนเขามักจะดูเย็นชาและห่างเหิน เหมือนมีบางอย่างคอยถ่วงจิตใจเขาไว้ และมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ แต่ตอนนี้เขากลับดูอบอุ่นราวกับความมืดที่เคยครอบงำเขาได้เลือนหายไป"สะ…สวัสดีค่ะ" ฉันตอบกลับอย่างตะกุกตะกักฉันอดสงสัยไม่ได้ว่าเขากลับไปคืนดีกับแฟนเก่าหรือยัง เพราะทุกคนรู้ว่าเขาเปลี่ยนไปหลังจากเสียเธอไปและต้องแต่งงานกับเอวา ใช่ นั่นคงจะเป็นเหตุผล เขาเกลียดเอวา การเปลี่ยนแปลงนี้น่าจะเกี่ยวกับเอมม่า พี่สาวของเอวา"เริ่มกันเลยไหม?" บาทหลวงพูดขัดขึ้นมา และเราสามคนก็พยักหน้าตอบรับฉันยืนอยู่ข้าง ๆ เกเบรียล ในขณะที่โรแวนยืนอยู่ด้านหลังเราฉันพยายามไม่สนใจคำกล่าวของบาทหลวง เพราะฉันไม่ได้มีอะไรขัดแย้งกับโบสถ์ แต่ฉันคิดว่ามันคงง่ายกว่านี้ถ้าเกเบรียลตกลงทำพิธีที่อำเภอแทนไม่รู้ว่าผ
ฉันบรรจงลงแปรงปัดหน้าเป็นครั้งสุดท้ายก่อนมองตนเองในกระจก ฉันรู้สึกสติกระเจิงเพราะว่าวันนี้เป็นวันแต่งงานครั้งที่สาม ตอนฉันคิดอย่างนั้นมันก็ดูเหมือนเป็นเรื่องแย่ถูกไหม? สิ่งเดียวที่ทำให้ฉันรู้สึกสงบใจได้นั่นคือการที่ฉันได้แต่งงานกับชายที่เคยแต่งงานด้วยเมื่อหลายปีก่อนหน้า ซึ่งก็คือสามีคนแรกของฉันฉันสวมใส่ชุดและหยิบกระเป๋าพร้อมเดินออกจากห้อง อากาศที่แทรกผ่านกายเหมือนประกายไฟฟ้าที่ปกคลุมวิญญาณเอาไว้เกเบรียลนำร่างหนังสือสัญญาฉบับใหม่มาให้ในเย็นวันนั้นทันทีที่เรียบร้อย และวันต่อมา เราก็เดินทางไปหาบาทหลวงเพื่อดำเนินการเรื่องต่าง ๆ“พร้อมไหม?” เกเบรียลเอ่ยถามเมื่อเราเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่นรอฉันไม่ได้ตอบอะไร รู้สึกเหมือนความคิดมันติดชะงัก ฉันจึงพยักหน้าตอบกลับเท่านั้น“แล้วทำไมหนูไปด้วยไม่ได้?” ลิลลี่สะอื้นไห้ซึ่งทำให้ฉันหันไปหาเธอลูกสาวนั่งอยู่บนโซฟารูปตัวแอลด้วยหน้าบึ้งตึง มือกอดอกแน่น เธอไม่ใช่เด็กที่อารมณ์ร้อนแต่อย่างไร เพียงแค่ไม่เคยชินกับสถานนี้ก็เท่านั้น “มีแค่ผู้ใหญ่ที่ไปได้นะลูก” ฉันตัดบทอย่างง่าย ๆ “คุณชารอนอยู่นี่แล้วไงลูก เดี๋ยวเธอจะดูแลลูกเองจนกว่าเราจะกลับมา”ชารอน
เขาผลักสำเนาเอกสารข้ามโต๊ะ ฉันรับเอาไว้และอ่าน ฉันต้องให้ทนายส่วนตัวช่วยตรวจสอบอีกครั้งหนึ่งหลังจากนี้ แต่ก็เป็นเรื่องที่ดีที่ได้อ่านข้อสัญญาด้วยตนเองก่อน สิ่งหนึ่งที่พี่ชายฉันสอนมา ก็คือคนเราไม่ควรลงนามในเอกสารอะไรหากไม่ได้อ่านด้วยตนเองก่อนเรื่องต่าง ๆ ที่เราได้คุยกันไว้ก่อนหน้าระบุเอาไว้ในนี้หมดแล้ว สัญญาฉบับนี้มีผลอยู่อย่างน้อยสองปี และเมื่อสิ้นสุดสัญญานี้ ฉันจะได้รับบริษัทยูนิตี้ เวนเจอร์และค่าเลี้ยงดูชดเชยด้วย รวมถึงเกเบรียลยังช่วยดูแลเรื่องต่าง ๆ ของลิลลี่ต่อด้วย เขาแสดงเจตจำนงว่าต้องการรับเลี้ยงลิลลี่เป็นบุตรสาว รวมถึงจะต้องใช้นามสกุล วู้ด ตามด้วยสิ่งเหล่านี้สำคัญต่อฉันมากที่สุด และหลังจากอ่านทบทวนอยู่หลายครั้ง ฉันก็วางสำเนาเอกสารนี้ลง“มีข้อกังขาอะไรไหม?” เขาเอ่ยถามพร้อมยื่นปากให้ “ไม่มีนะ แต่เพิ่มข้อตกลงเข้าไปอีก” ฉันจ้องมองปากกาแต่ยังไม่หยิบขึ้นมา“ข้อตกลงแบบไหนล่ะ?”ฉันสูดหายใจเข้าลึกพร้อมเงยหน้าขึ้น “ข้อแรก ฉันต้องการความซื่อสัตย์ การแต่งงานของเราก่อนหน้านี้เป็นความลับ ซึ่งก็ทำให้คุณมีสิทธิ์นอกใจฉันได้ อย่างที่บอกไปจุดนี้ควรได้รับการประกาศออกไปอย่างเป็นทางการ มันได
ฮาร์เปอร์นี่ก็เกือบอาทิตย์หนึ่งแล้วตั้งแต่ที่เกเบรียลทิ้งเราเอาไว้กับคนขับรถของเขาและขับรถออกไป เราไม่ได้ข่าวคราวอะไรจากเขาเลย และไม่ได้เห็นหน้าเขาเลยด้วยซ้ำ เนื่องจากเจ้าตัวไม่ได้อยู๋ที่นั่นด้วย ซึ่งทำให้ฉันเชื่อว่าเขาไปอยู่กับหวานใจคนใดคนหนึ่งแน่เรื่องการลงหลักปักฐานเป็นเรื่องยากลำบากโดยเฉพาะสำหรับลิลลี่ ลูกสาวเป็นประเภทที่ไม่สามารถนอนหลับได้สนิทหากไม่ใช่เตียงนอนที่คุ้นเคย แน่นอนว่าเตียงนอนนั้นสุดยอด ฟูกนอนนุ่มสบายกว่าอันเดิมที่บ้านเก่าเรามาก กระนั้นมันก็ไม่ใช่เตียงนอนของลิลลี่อยู่ดีเมื่อถึงจุดนี้ ฉันคงต้องร้องขอให้เกเบรียลช่วยย้ายเตียงอันเดิมหากหลายสิ่งยังคงเป็นสภาพนี้อยู่ ลิลลี่แทบนอนไม่หลับหรือนอนได้เพียงสามถึงสี่ชั่วโมงแล้วก็ตื่นนอนอยู่ดี ฉันต้องคอยอยู่เป็นเพื่อนลูกเพื่อให้เธอได้นอนหลับสบายฉันรู้สึกไม่สบายใจเลย มักเอาแต่สงสัยว่าฉันตัดสินใจถูกแล้วหรือไม่ที่ยอมตกลงแต่งงานอีกครั้งหนึ่ง ใช้ชีวิตร่วมกับเกเบรียลเปรียบเสมือนอยู่ในนรก….หรือว่าถึงขั้นต้องต่อสู้เพื่อแย่งสิทธิ์เลี้ยงดูลิลลี่มา? ฉันรักลูกสาวเป็นอย่างมาก แต่ฉันรู้สึกพร้อมจริง ๆ เหรอสำหรับเรื่องการแต่งงานกับเกเบรียลอีก