เอวา“ถ้างั้น โรแวนก็เป็น?” อีธานเอ่ยถามขณะเราทั้งสองขับรถกลับบ้านหลังจากเหตุการณ์ในห้องน้ำเมื่อครู่ ฉันไม่ต้องการอยู่ใกล้กับโรแวนอีก ดังนั้นสามสิบนาทีต่อมาฉันจึงขอร้องให้อีธานช่วยพาฉันกลับบ้าน“เป็นสามีเก่าของฉันค่ะ” ฉันตอบคำถามนั้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ และเราทั้งสองต่างก็เงียบกันไปฉันยังทำใจเชื่อไม่ลงจริง ๆ ว่าโรแวนจะเหิมเกริมขนาดไล่ต้อนให้ฉันจนมุมในห้องน้ำเช่นนั้น ซึ่งนั่นยังแย่ไม่พอ เขายังเกือบจูบฉันอีกด้วย จูบฉันเนี่ยนะ! โรแวนไม่เคยเป็นฝ่ายเริ่มรุกจูบฉันมาก่อนเลย ดังนั้นแค่บอกว่าฉันตกใจก็คงจะยังน้อยไปฉันเกือบยอมจำนนเสียแล้ว เพราะว่านี่เป็นสิ่งที่ฉันใฝ่หามาโดยตลอด แต่ฉันตระหนักได้ว่าเขาอยู่กับเอมม่า เขาน่าจะจูบเธอแล้วทำอะไร ๆ กับเธอด้วย เรื่องนี้ทำให้ฉันรวบรวมกำลังผลักเขาออกไปให้ห่าง ฉันยอมให้เขาเล่นสนุกกับฉันไม่ได้ พอกันเสียที เขามีเอมม่าอยู่ด้วยและฉันไม่มีสถานะอะไรอีก นอกจากเป็นแม่ของลูกชายเขาเพียงเท่านั้นโรแวนไม่เคยนึกหึงหวงหรือรู้สึกเป็นเจ้าเข้าเจ้าของฉันมาก่อน เขาเคยทำแบบนี้กับเอมม่าสมัยยังเป็นวัยรุ่น และฉันคิดว่าเร่าร้อนไม่น้อย ฉันจินตนาการไปว่ามันจะดีเพียงใดหากโรแวน
หลังจากถูกปลุกให้ตื่นด้วยความรู้สึกหงุดหงิด ฉันสวมใส่ชุดคลุมอาบน้ำและรีบร้อนลงไปด้านล่าง ใครก็ตามที่กล้ามากวนใจฉันแบบนี้เตรียมตัวหูชาได้เลยฉันบิดประตูเปิดออกไป พร้อมสบถใส่ผู้อยู่ตรงหน้า แต่ฉันก็ต้องชะงักไป บุคคลที่ฉันไม่เคยคาดคิดเลยว่าจะได้เจอมายืนอยู่ตรงหน้าบ้านฉันตอนนี้“มาที่นี่ต้องการอะไร เอมม่า?” ฉันต่อว่าฉันยังไม่ตื่นดีพอที่จะรับมือกับเธอ“ฉันถ่อมาถึงที่นี่เพราะอยากมาเตือนให้หล่อนอยู่ให้ห่างจากโรแวนเสีย เขาเป็นของฉัน ฉันไม่ยอมให้ปล่อยให้หล่อนขโมยเขาไปอีกเด็ดขาด” เธอแผดเสียงใส่คิ้วของเธอขมวดเป็นปมแน่น และเปลวเพลิงแห่งความเดือดดาลลุกโชนอยู่ภายในดวงตาฉันแค่นหัวเราะ “เธอแหกขี้ตามาบ้านฉันตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าเพื่อจะเตือนให้อยู่ห่างจากโรแวนเนี่ยนะ? เธอหาเรื่องผิดคนแล้วล่ะมั้ง เอมม่า”ฉันไม่ใช่เด็กน้อยผู้ใสซื่อแสนโง่เขลาที่โดนเธอทิ้งห่างแบบไม่เห็นฝุ่นแล้ว ฉันคงจะเป็นคนบ้าถ้าปล่อยให้เธอมาเหยียบย่ำฉันได้ “โรแวนเป็นของฉันนะ เอวา! เขาเป็นของฉันมาโดยตลอด ฉันเสียเวลาไปเก้าปีไม่ได้อยู่กับคนที่ฉันรัก เพราะหล่อน และฉันก็ไม่ยอมให้หล่อนได้ทำตามใจอีกเป็นครั้งสองแน่”“ฉันไม่มีวันจะกลับไปอ
ศีรษะของฉันปวดตุบไปหมด ที่จริงปวดหัวนั่นมันแค่ส่วนเล็กน้อย ความเจ็บปวดแล่นทั่วร่างกาย ฉันพยายามลืมตาแต่กลับทำไม่ได้ ราวกับเปลือกตาทั้งสองถูกหินหนักถ่วงเอาไว้ ฉันพยายามร้องเรียกหาโนอา แต่กลับไม่มีเสียงใดเล็ดลอดจากลำคอได้เลยฉันกำลังขยับตัว หรือไม่ก็ใครสักคนเคลื่อนย้ายร่างกายฉัน ยิ่งขยับเขยื้อนร่างกายมากเท่าใด ความเจ็บปวดยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น ฉันหวังเพียงว่าให้เขาพาฉันไปอย่างช้า ๆ หรือไม่ก็เลิกขยับตัวฉันไปเลย“ตามหมอมาที!” ใครสักคนตะโกนออกมาฉันไม่เข้าใจว่าพวกเขากำลังพูดเรื่องอะไรแล้วทำไมต้องเรียกหาหมอ หรือแม้แต่ตอนนี้เกิดอะไรขึ้น ฉันพยายามประคองสติเอาไว้ให้ได้แต่ความมืดมิดโอบกอดฉันเอาไว้อีกครั้งก่อนที่ฉันจะดำดิ่งลงไปในความมืด…เมื่อได้สติกลับมาอีกครั้ง ฉันไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดแต่อย่างใด กระนั้นดวงตายังลืมไม่ขึ้นรวมถึงยังขยับเขยื้อนร่างกายไม่ได้ด้วย ฉันรู้สึกแขนขาหนักอึ้งเหมือนถูกถ่วงเอาไว้ ราวกับว่าฉันถูกกักขังไว้ภายในร่างกายตนเอง ฉันได้ยินเสียงผู้คนรอบกายพูดคุยกันอยู่ไกล ๆ เหมือนว่าคนเหล่านั้นพูดอยู่ใต้น้ำหรืออะไรแบบนั้น ไม่มีเรื่องใดที่เกิดขึ้นตอนนี้สมเหตุสมผลเลย และฉันไม่เข้าใจว่
“คุณชาร์พครับ ดีใจที่คุณฟื้นขึ้นมานะครับ… ก่อนนี้เราห่วงกันอยู่” คุณหมอเกริ่นพร้อมรอยยิ้ม “ตอนนี้คุณรู้ว่าตอนนี้ตนเองอยู่ที่ไหนและเกิดอะไรขึ้นกับคุณหรือเปล่าครับ?”ฉันพยักหน้าตอบรับ “ที่โรงพยาบาลค่ะ… มีบางอย่างผลักฉันกระเด็นออกมาอย่างแรงตอนที่ปลดล็อกรถน่ะค่ะ ฉันเลยหัวฟาดเพราะแรงผลักนั่น”ฉันพยายามไม่นึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับฉันตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้น เพราะรู้สึกหวาดกลัวที่จะยอมรับความเป็นจริงที่ว่าฉันเกือบจากโลกไปนี้แล้ว“ครับ รถของคุณระเบิด คุณกระเด็นออกมาเพราะแรงระเบิดนั้น” เขาหยุดพูดครู่หนึ่ง “แล้วปีนี้ปีอะไรครับ?” ฉันตอบคำตอบคุณหมอไปมือของเขาก็จดรายละเอียด โรแวนกุมมือฉันแน่น ฉันเหลือบมองเขาอยู่บ้าง บางสิ่งปรากฎในแววตาคู่นั้น แต่มันหายไปก่อนที่ฉันจะทันได้เข้าใจความหมายฉันรู้สึกตื่นตระหนกไม่น้อยเลย ไม่เคยคิดเคยฝันมาก่อนว่าจะเกิดเหตุรถยนต์ระเบิดเช่นนี้ ด้วยความตึงเครียดจากเรื่องต่าง ๆ ทำให้ฉันรู้สึกปวดหัวและความรู้สึกเจ็บปวดเริ่มกลับมา“เอาเป็นว่าการที่คุณระบุว่าปีนี้คือปีอะไรได้ คุณจำชื่อตนเองได้ รู้ว่าคุณวูดส์คือใครถือได้ว่าเป็นสัญญาณที่ดี แต่ว่าเราจะขอทำการทดสอบเพิ่มเติมนะครั
โรแวน“โรแวน เอวาเป็นไงบ้าง?” เคทผู้เป็นแม่ของเอวาเอ่ยถามความกังวลแฝงมากับน้ำเสียงนั้นออกมาจากใจจริง สัมผัสได้ว่าเคทต้องพยายามมากเท่าใดที่จะหักห้ามไม่ให้ตนเองร้องไห้ สองสามวันนี้เป็นช่วงเวลาที่ยากลำบาก ผมเองก็ยังทำใจกับการที่เกือบเสียเอวาไปไม่ได้“เมื่อวานเอวาตื่นขึ้นมาคุยสักสองสามนาทีแล้วก็นอนต่อ แต่คุณแม่ไม่ต้องกังวลเพราะหมอบอกว่านี่เป็นอาการปกติของคนไข้ที่ได้รับการกระทบกระเทือนทางสมองครับ”ผมได้ยินเสียงเธอถอนหายใจด้วยความโล่งอก เคทเปลี่ยนไปนับตั้งแต่สามีเธอจากโลกนี้ไป เธอต้องการสนิทสนมกับเอวา แต่เอวากลับตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะไม่ข้องแวะอะไรกับครอบครัวตัวเองอีก ที่จริงเธอไม่ต้องการจะข้องเกี่ยวอะไรกับพวกเราเลยสักคน“ลูกจะไม่เป็นไรใช่ไหม? จะกลับมาหายดีเป็นปกติใช่ไหม?”“ครับ คุณหมอดูมั่นใจ แต่ว่าพวกเขาเองก็ยังยืนยันไม่ได้นะครับว่าเอวาจะกลับมาสมบูรณ์เต็มร้อยเหมือนเดิม ตอนนี้ยังคงเร็วเกินไปที่จะบอกแหละครับ แต่หมอบอกว่าผู้ป่วยสมองกระทบกระเทือนอาจมีอาการแทรกซ้อนอื่น ๆ ได้”ซึ่งจุดนี้ทำให้ผมรู้สึกกังวลไม่หาย ด้วยความสัตย์จริงผมต้องการเพียงแค่ให้เธอกลับมาหายดีเป็นปกติ“อย่ากังวลไปเลยครั
ผมหันหลังกลับไปเห็นเอมม่า ผู้ที่ยืนอยู่ข้างเธอนั้นคือทราวิส เขาดูไม่จืดเลยเมื่อเทียบกับเอมม่า“เอวาได้สติหรือยัง?” ทราวิสเอ่ยถามเสียงอ่อนสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ทำให้เขาตระหนกไม่น้อย ไม่เพียงแต่ทราวิสเท่านั้น ทุกคนก็ไม่ต่างกัน เขาเกือบจะสูญเสียน้องสาวไป และนั่นทำให้เขาได้ตระหนัก“ยัง” ผมตอบกลับ“คุณกลับบ้านไปก่อนดีกว่านะ โรแวน” เอมม่าเอ่ย “ไปอาบน้ำล้างเนื้อตัวเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วค่อยกลับมาก็ได้นะ สภาพคุณตอนนี้เหมือนซอมบี้เลย”“ผมไม่กลับ เอมม่า” ผมปฏิเสธออกไปผมไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น หากว่ามีอะไรเกิดขึ้นขณะผมไม่อยู่ที่นี่เล่า?“ถ้าคุณทรุดลงไปอีกคนหนึ่งเล่า มันไม่ได้ดีต่อเอวาหรือใครเลยนะ… กลับบ้านเถอะ ฉันมั่นใจว่าคุณอาบน้ำแต่งตัวให้เรียบร้อยมันใช้เวลาไม่นานหรอก” เอมม่าโต้แย้งทราวิสมองผมพร้อมทั้งเสริมขึ้น “เอมม่าพูดถูกแล้วโรแวน ฉันสัญญาเลยนะว่าจะไม่ให้เอวาคลาดสายตาสักวินาทีเดียว”ผมหันไปมองเอวา เธอยังคงนอนหลับอยู่และดูเหมือนว่าจะยังไม่ตื่นเร็ว ๆ นี้“ถ้างั้นก็ได้ แต่ห้ามทิ้งเธอให้อยู่คนเดียวเด็ดขาดนะ” ผมกล่าวคำขาดเธอเพิ่งโดนลอบฆ่ามา ใครจะไปรู้ว่าคนร้ายพวกนั้นอาจพยายามกลับมาจัด
อีธานนั่งอยู่ฝั่งขวาของเอวาพร้อมการ์ดหลายใบ ส่วนเอวานั่งเอนอยู่ ถ้าไม่นับว่ามีผ้าพันแผลพันอยู่รอบศีรษะรวมถึงรอยขีดข่วนบนใบหน้า เธอก็กำลังยิ้มอยู่ซึ่งแปรเปลี่ยนสีหน้าของเธออย่างสิ้นเชิงเมื่อเห็นหน้าของผม รอยยิ้มนั้นเลือนหายไปทันตา“ออกไป” เธอออกคำสั่งผมเดาได้เลยว่าเธอกลับมาเย็นชาอีกครั้ง“ไม่ออกไปแน่ เอวา” ผมโต้ตอบกับเธออย่างใจเย็นพร้อมเดินไปนั่งฝั่งซ้ายของเธอใบหน้านั้นเริ่มเต็มไปด้วยความเดือดดาล สายตาฉายแววคมปลาบ เมื่อวานนี้เธอยังดี ๆ อยู่แล้วตอนนี้มันเกิดขึ้นอะไรขึ้นกันแน่?“ฉันไม่อยากเห็นหน้าคุณที่นี่ ดังนั้นช่วยออกไปเสียตอนนี้ พาสองคนข้างนอกนั้นไปด้วย… ฉันไม่ต้องการพวกคุณสักคนที่นี่”ผมเดาว่าเธอหมายถึงเอมม่าและทราวิส มีบางสิ่งเกิดขึ้นแน่นอน เมื่อวานนี้ท่าทีของเธอเป็นมิตรอย่างมากแต่วันนี้กลับกลายเป็นคนละคน ผมไม่ควรปล่อยเธอไว้กับเอมม่าและทราวิสจริง ๆ“คุณใจเย็นก่อนนะเอวา คุณยังไม่หายดี ดังนั้นไม่ควรทำให้ตัวเองเครียดขนาดนี้นะ” อีธานกล่าวขัดจังหวะเจ้าหนุ่มนั่นกุมมือเธออย่างอ่อนโยน เธอหันมองมือทั้งสองที่ประสานกันจากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าของเขา สายตาเธอช่างอ่อนโยนและความ
เอวา“ผมคิดถึงแม่จัง ทำไมแม่ไม่โทรมาหาผมเลย?” โนอาถามฉันด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้าสิ่งที่ฉันปรารถนามากที่สุดตอนนี้คือโอบกอดลูกชายเอาไว้ในอ้อมแขน เพื่อให้มั่นใจว่าฉันยังอยู่กับเขา ยังไม่ได้ปล่อยให้เขาเป็นเด็กกำพร้าแม่“แม่ขอโทษนะลูกรัก โทรศัพท์แม่หายเลยต้องยืมของพ่อลูกมาแทนก่อนน่ะจ้ะ”“ขอวิดีโอคอลได้ไหมครับ? ผมอยากเห็นหน้าแม่” เด็กน้อยเอ่ยปากฉันรับรู้ได้ว่าโนอาจับสังเกตสิ่งผิดปกติได้ แต่ฉันก็ไม่สามารถให้เขาเห็นฉันนอนป่วยอยู่บนเตียงโรงพยาบาลได้เพราะเด็กชายต้องเป็นกังวลและอยากกลับบ้านแน่ แถมตอนนี้ฉันยังกลายเป็นเป้าหมาย ฉันก็ยิ่งไม่อาจเสี่ยงพาคนที่จ้องโจมตีฉันให้ไปเจอลูกชายได้ฉันยังไม่อยากเชื่อว่าจะมีโอกาสที่ฉันกลายเป็นเป้าหมายหลักของเหตุครั้งนี้ ไม่อยากเชื่อว่ามีคนต้องการให้ฉันตาย“ตอนนี้ยังไม่ได้นะลูก พอดีว่าที่แม่อยู่ตอนนี้เขาไม่ให้วิดีโอคอล” ฉันโกหกออกไป“กฏงี่เง่าชะมัด! ใครมันเป็นคนสร้างกฎแบบนี้นะ?” เด็กชายโวยวายผ่านโทรศัพท์แม้รู้ว่าลูกชายอารมณ์เสียมากเพียงใด แต่ฉันก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้“โนอา…”“ผมแค่อยากเห็นหน้าแม่นี่ครับ ให้พ่อทำให้พวกเขาไม่ยุ่งกับแม่ได้ไหม?