เอมม่าโผล่หน้ามาที่นี่ทำไม? ใครปล่อยให้เธอเข้ามา ฉันไม่ต้องการเห็นหน้าเธอ ฉันไม่ต้องการให้เธอเข้าใกล้ฉัน ใครจะไปรู้ว่าตอนที่ฉันหลับอยู่ เอมม่าจะทำอะไรลงไปบ้าง“ฉันไม่ได้วางแผนอะไรไว้ทั้งนั้นก็แค่พูดไปตามเนื้อผ้า ฉันภาวนาว่าแก๊งบ้านั้นจะไม่ได้เผลอฆ่าหล่อนตายไปก่อน เพราะฉันอยากให้หล่อนได้เห็นว่าฉันขโมยทุกอย่างมาจากหล่อน แบบที่หล่อนเคยทำกับฉัน รวมถึงลูกชายของหล่อนด้วย อีกไม่นานเขาก็ต้องเรียกฉันว่าแม่”เราทั้งสองเป็นญาติพี่น้องกันได้ยังไงเนี่ย? ฉันรู้ดีว่าสิ่งที่ฉันทำกับเธอลงไปนั้นผิดมหันต์ แต่ให้ตายสิฉันยังชดใช้บาปไม่เพียงพอหรือ?“เธอมันเลวเอมม่า แต่จำใส่กระโหลกเอาไว้นะ โนอาไม่มีวันมองเธอเป็นแม่แน่…จำไม่ได้หรือไง ที่สนามบินวันนั้น เขาไม่ได้ชายตามองเธอด้วยซ้ำ? เธอไม่มีค่าอะไรสำหรับเขาเลย ต่อให้แต่งงานกับโรแวนแล้ว เธอก็ยังไม่มีค่ากับเขาหรอก”ใบหน้าของเธอบิดเบี้ยว ความเดือดดาลเข้าแทนที่สีหน้าของผู้ชนะที่เธอมีเมื่อครู่ไปจนหมด“ก็ดี…อย่างน้อยยามค่ำคืนโรแวนก็จะครางชื่อฉันออกมาอยู่ดี ฉันกับเขาจะบรรเลงเพลงรักกันให้ฉ่ำจนฉันท้อง และเมื่อถึงตอนนั้น เขาก็จะลืมทั้งเธอและเจ้าเด็กเหลือขอนั่น ฉันจะท
“หมายความว่ายังไง?” โรแวนนิ่วหน้า“เราทั้งสองต่างรู้ดีว่าฉันเป็นคนที่คุณไม่อยากเจอหน้ามากที่สุด แล้วคุณมาทำอะไรที่นี่? คุณควรไปอยู่ที่บ้านกับเอมม่าแล้วมีความสุขที่ได้กลับมาอยู่ด้วยกันไม่ใช่หรือ?” ฉันเอ่ยถามอย่างขมขื่น คำพูดของเอมม่ายังวนเวียนอยู่ในหัวเขาถอนหายใจ “คุณกำลังหาหาเรื่องทะเลาะนะ แต่ผมไม่เล่นด้วยหรอก…ผมแค่มารับคุณออกจากโรงพยาบาลแล้วก็พาคุณกลับบ้าน”“ฉันไม่ต้องการความช่วยเหลือจากผู้ชายที่เกลียดฉันเข้าไส้หรอกนะ! กลับไปเถอะโรแวน เราต่างรู้ดีว่าคุณไม่อยากมาอยู่ตรงนี้”“งั้นหรือ? คุณไม่ต้องการความช่วยเหลือจากผมเลยหรือ? แล้วคุณจะโทรขอให้ใครมาช่วยพาออกจากโรงพยาบาลกันเล่า? เพื่อนสักคนก็ยังไม่มีเลยเอวา”“อีธานไง อีธานพาฉันกลับบ้านได้” นั่นคือความจริงที่ว่าฉันไม่มีเพื่อนเลย แต่ถ้าฉันขอ อีธานจะต้องมาช่วยแน่นอนสีหน้าของโรแวนแปรเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าว มือของเขากำแน่น สันกรามสบกันดังกรอด“ข้ามศพผมไปก่อนเถอะ” เขาคำรามลั่น “คุณมีทางเลือกสองทางนะเอวา จะยอมกลับบ้านกับผมดี ๆ หรือว่าจะนอนอยู่ที่โรงพยาบาลต่ออีกสักสองสามวัน ไม่ว่ายังไงเจ้าหมอนั่นก็ไม่มีทางมารับคุณกลับบ้านได้หรอก”“พูดจริง
ฉันตื่นขึ้นมาพบว่าตนเองอยู่ลำพังบนเตียง ฉันอดถอนหายใจไม่ได้ เพราะรู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเพียงความฝัน ไม่มีวันที่โรแวนจะนอนอยู่บนเตียงเดียวกันฉันได้ ฉันจำสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากผล็อยหลับที่โรงพยาบาลไม่ได้เลย ฉันได้รับยาหลายขนานเกินไปจนเริ่มจินตนาการถึงสิ่งที่ไม่เป็นจริงฉันค่อย ๆ ก้าวลงจากเตียง แต่ต้องเปลี่ยนเป็นนั่งเสียก่อนเพราะเวียนหัวจนห้องหมุน จากนั้นอีกสองสามนาที ฉันจึงค่อย ๆ เดินมุ่งไปยังห้องน้ำอย่างระมัดระวังที่สุดและอาบน้ำ ฉันเพียงต้องชำระล้างกลิ่นโรงพยาบาลที่ติดตามร่างกายออกให้หมดฉันมีหลายสิ่งจะต้องทำ แต่กลับไม่รู้ว่าจะต้องเริ่มที่ไหนก่อนดี ตอนนี้ฉันไม่มีทั้งโทรศัพท์และรถยนต์ เจ้าหน้าที่ตำรวจบอกฉันว่าโทรศัพท์ฉันพังไปแล้วตอนที่ตัวฉันกระเด็นไปกระแทกกับพื้น ฉันสามารถลางานกับทางโรงเรียนได้สองสามสัปดาห์ แต่ฉันต้องหาทางจัดการปัญหาเรื่องรถก่อนกลับไปทำงานกว่าที่ฉันจะแต่งตัวเรียบร้อย ศีรษะของฉันก็ปวดจนแทบทนไม่ไหว‘ให้ตายสิ! ยาแก้ปวดอยู่ไหนนะ’ ฉันคุยกับตนเองฉันเดินลงมาชั้นล่างพลางสงสัยว่าฉันจะเอาชีวิตรอดอย่างไรในช่วงสองสามวันนี้ ฉันยังอ่อนแออยู่เพียงแค่ยกนิ้วขึ้นมายังเป็นเร
“ฉันชื่อสการ์เล็ตค่ะ แต่จะเรียกว่าเล็ตตี้ก็ได้นะ…ฉันเป็นแฟนของพี่ชายคุณค่ะ”ฉันไม่ควรหลวมตัวฟังเสียงในหัวแสนโง่เง่าของฉันจริง ๆ “โอเค พอกันแค่นี้นะ…เชิญออกไปด้วยค่ะ”ฉันไม่มีอะไรต้องพูดกับคนที่เกี่ยวข้องกับครอบครัวเช่นนั้น เพราะอย่างไรเสียคงมีนิสัยไม่ต่างกันและฉันก็พอแล้วกับการยอมให้คนเช่นนี้เข้ามาในชีวิต“ได้โปรดฟังฉันก่อนนะคะ” เธอขอร้องและฉันก็ยอมฟังทั้งที่ขัดกับความตั้งใจ ฉันไม่รู้ว่าเธอมีอะไรในตัวเพราะฉันรู้สึกสบายใจเมื่ออยู่ใกล้เธอ ทั้งที่เธอเป็นคนแปลกหน้าและฉันไม่ใช่คนที่จะเชื่อใจใครได้ง่าย ๆ “จะว่ายังไงดี ฉันรู้ว่าที่ทราวิสทำมันไม่ดี ฉันอาจรักเจ้าซื่อบื้อนั่น แต่ฉันก็ยอมรับด้วยว่าเขาทำตัวเลวร้ายกับคุณมาก ไม่ว่าคุณจะเคยทำเรื่องอะไรมาก็ตาม แต่คุณก็ไม่ควรจะถูกปฏิบัติอย่างที่เขากับคนอื่นในครอบครัวทำกับคุณ”“ฉันตั้งใจจะมาพบคุณสักพักแล้วล่ะค่ะ แต่ฉันกลัวว่าคุณจะไล่ฉันออกไป พอได้ยินข่าวเรื่องที่เกิดขึ้นกับคุณ ฉันจึงคิดว่าต้องมา ฉันรู้ว่าคุณยังไม่รู้จักฉันหรือแม้แต่จะเชื่อใจฉัน แต่ฉันหวังว่าคุณจะให้โอกาสฉันได้เปลี่ยนแปลงเรื่องนี้นะคะ”ฉันเปลี่ยนอิริยาบถ ยกขาขึ้นมาบนโซฟาและเอน
“ฉันชื่อลิเดียค่ะ คุณชาร์ป” พยาบาลกล่าวโดยยังคงยิ้มอยู่ฉันมองเธออย่างพินิจพิเคราะห์ จากนั้นจึงหันไปหาเล็ตตี้ซึ่งก็ทำแบบเดียวกัน“ฉันไม่เคยจ้างพยาบาลมานะคะ” ฉันบอกทั้งสองคน “ฉันอยากจะบอกว่าคุณมาผิดบ้านแล้ว แต่นั่นก็ดูเป็นไปไม่ได้เพราะคุณรู้ชื่อฉัน ดังนั้นจึงเหลือเพียงตัวเลือกเดียว นั่นก็คือมีคนอื่นจ้างคุณมา หรือไม่นี่อาจจะเป็นเพียงกลอุบายของใครบางคน”อย่าเข้าใจฉันผิดนะ การมีพยาบาลมาดูแลฉันในช่วงสองสามวันหรือสองสามสัปดาห์ข้างหน้าก็คงจะดี แต่นี่มันแปลกจริง ๆลิเดียวางกระเป๋าของเธอลงก่อนจะหันมาหาฉัน “คนที่จ้างฉันมาคือคุณวูดส์ค่ะ และเขายังบอกให้ฉันต้องเริ่มงานทันทีด้วยค่ะ”เสียงโอดครวญอย่างรำคาญใจหลุดออกจากริมฝีปากของฉัน ฉันรู้สึกประหลาดใจและโกรธในเวลาเดียวกันที่เขาทำแบบนี้ พอฉันตัดสินใจว่าไม่ต้องการความช่วยเหลือจากเขา เขาก็อยากเป็นฮีโร่ขึ้นมาทันที แล้วเขาอยู่ไปไหนมาตลอดเวลาที่ฉันต้องการเขาในช่วงที่เราแต่งงานกัน? เขาเมินฉันและปฏิบัติกับฉันราวกับว่าฉันไม่มีตัวตนมาเสมอ“ฉันขอโทษที่คุณเสียเวลามาที่นี่ แต่คุณกลับไปเถอะค่ะ” ฉันบอกเธอขณะนอนลงพิงโซฟาช้า ๆฉันจะไม่รับอะไรจากโรแวนเด็ดขาด สิ่
เธอทักทายเขากลับ ฉันก็จ้องมองพวกเขาสองคนอย่างเงียบ ๆ ดูเหมือนว่าฉันจะเป็นคนเดียวที่ไม่รู้ว่าพี่ชายตัวเองมีแฟนอยู่ ฉันสงสัยว่าฉันจะได้รู้เรื่องนี้หรือไม่หากเล็ตตี้ไม่ได้มาหาฉันด้วยตัวเองฉันค่อย ๆ ลุกขึ้นและหันไปหาโรแวน “ฉันซาบซึ้งในสิ่งที่คุณพยายามทำเพราะฉันเป็นแม่ของลูกชายคุณ แต่มันไม่จำเป็น ฉันจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว”ลึก ๆ ฉันรู้ว่านี่คือเหตุผลที่เขาทำแบบนั้น ไม่ใช่เพราะเขาแคร์ฉันหรืออะไร แต่เพราะฉันเป็นแม่ของโนอา ท้ายที่สุดแล้วเขาก็มักจะเตือนฉันถึงความจริงข้อนี้อยู่บ่อยครั้งใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาขมวดคิ้ว “ไม่ใช่อย่างนั้น…”“ฉันไม่ต้องการความช่วยเหลือจากคุณจริง ๆ ดังนั้นคุณช่วยบอกเขาให้เอารถคืนไปและเลิกจ้างเธอได้ไหม?” ฉันขัดจังหวะเขาก่อนที่เขาจะพูดจบประโยคโดยชี้ไปที่ชายคนนั้นแล้วชี้ไปที่ลิเดีย“คุณไม่ต้องการความช่วยเหลือจริง ๆ เหรอ? ผมไม่เห็นรถคันใหม่ที่ไหนเลยหรือแม้แต่โทรศัพท์ใหม่ และดูจากความซีดเซียวของคุณ ผมบอกได้เลยว่าคุณเหนื่อยมากแล้ว… คุณต้องพักผ่อนและมีคนคอยดูแลคุณ”“อย่างที่ฉันบอก ฉันจัดการทุกอย่างเองได้… ฉันจะสั่งโทรศัพท์เครื่องใหม่พรุ่งนี้และฉันก็มีรถในใจแล้ว ฉ
สีหน้าของเขาแข็งกร้าวขึ้น เขาก้าวเข้ามาใกล้ฉัน “ใช้ชีวิตให้มันมีเหตุผลสักครั้งเถอะเอวา”“ฉันมีเหตุผล ฉันไม่ต้องการความช่วยเหลือจากคุณ ฉันขอหย่าเพื่อที่คุณจะได้ออกไปจากชีวิตของฉันสักที… ทำไมจู่ ๆ คุณถึงอยากจะช่วยฉันทั้งที่คุณไม่เคยสนใจฉันมาก่อนเลย?”“คุณเป็นแม่ของโนอา ยังไงผมต้องสนใจคุณอยู่แล้ว และหากคุณลืมไป ผมไม่สามารถออกไปจากชีวิตคุณได้จริง ๆ หรอก เพราะเรามีลูกชายด้วยกัน ซึ่งทำให้ชีวิตของเราต้องพัวพันกันอยู่ตลอด” เขากัดฟันพูด แววตาลุกเป็นไฟ“อีกแค่สิบปีเท่านั้น และอีกอย่างการเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตโนอา ไม่ได้หมายความว่าคุณต้องเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตฉันด้วย” ฉันเถียงฉันเริ่มเหนื่อยมากแล้ว ฉันจึงนั่งลงบนเก้าอี้บาร์ด้วยความรู้สึกเหมือนหัวของฉันหนักเป็นตัน ฉันแค่อยากจะนอนอย่างเดียว“รับรถไว้ซะ” เขาสั่งอีกครั้ง“ทำไมคุณไม่เก็บมันไว้ฝังลงหลุมพร้อมคุณเองล่ะ?” ฉันตะคอกด้วยความรู้สึกเหมือนว่าฉันถึงขีดจำกัดของตัวเองแล้วไม่ใช่ว่าฉันไม่รู้จักบุญคุณหรืออะไร ฉันแค่ไม่อยากเป็นหนี้บุญคุณเขา ฉันยังไม่อยากให้เอ็มม่ามาเยี่ยมเยียนอีก ฉันมั่นใจว่าเธอคงไม่พอใจแน่ ๆ หากรู้ว่าโรแวนกำลังพยายามทำอะไรอยู่
ฉันจัดระเบียบฮู้ดของตัวเองเพื่อให้ดูดีขึ้นแทนที่จะดูเหมือนว่าฉันเพิ่งผ่านความเป็นความตายมา“ทำไมแม่ถึงใส่หมวกไหมพรมเหรอครับ?” โนอามองมาที่ฉันอย่างสงสัยเราคุยกันทางวิดิโอคอลหลังจากที่ฉันเลื่อนการสนทนาไปหลายครั้ง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะฉันแทบจะลืมตาไม่ได้นานเกินห้านาที แต่วันนี้ฉันรู้สึกดีขึ้นมากแล้วฉันเอนหลังพิงหัวเตียง ฉันใส่หมวกไหมพรมไว้เพื่อปิดแผล โนอายังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับฉันและฉันจะไม่มีวันให้เขารู้“ช่วงนี้อากาศเย็น แม่เลยรู้สึกหนาวนิดหน่อยจ้ะ” ฉันโกหกฉันรู้สึกผิดที่โกหกเขา แต่ฉันก็รู้ว่าแบบนี้ดีที่สุดแล้ว ฉันไม่จำเป็นต้องทำให้เขาเป็นกังวล“เรามีฮีตเตอร์นะครับแม่ แม่เปิดฮีตเตอร์ก็ได้นี่ครับ”“มันไม่ทำงาน สงสัยมันจะพัง และแม่ลืมหาใครมาซ่อมมันน่ะ”บ้าเอ้ย ฉันเกลียดการโกหกเขาจริง ๆ ส่วนหนึ่งของฉันรู้สึกเหมือนเป็นแม่ที่แย่มากเพราะดูเหมือนว่าฉันไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากโกหกเขาตั้งแต่ที่พ่อฉันเสีย แต่อีกส่วนหนึ่งของฉันก็เข้าใจว่ามันจำเป็น“อ๋อ ครับ” เขาพึมพำอย่างไม่มั่นใจ“แล้ววันนี้ลูกทำอะไรมาบ้างจ้ะ?” ฉันถามเพื่อเปลี่ยนเรื่องทุกอย่างที่เขาทำทำให้ฉันตื่นเต้น แม้ว่าฉันจะไม่ได
เกเบรียลผมยังคงรู้สึกถึงสัมผัสเนียนนุ่มของผิวเธอเหมือนกับมันซึมลึกอยู่ใต้ผิวของผมเอง ชั่วขณะหนึ่งผมอยากใช้นิ้วหัวแม่มือไล้ไปตามข้อต่อที่เต้นเป็นจังหวะอยู่ด้านในแขนของเธอฮาร์เปอร์คนใหม่นี้น่าสนใจ เธอร้อนแรง และท่าทางแบบใหม่นี้ทำให้ผมรู้สึกติดใจได้ ผมชอบผู้หญิงที่มั่นใจ เร้าอารมณ์ และมีบุคลิกที่ร้อนแรง ผมชอบที่พวกเธอท้าทายและไม่ยอมแพ้เธอกลายเป็นผู้หญิงแบบนั้นและมันทำให้ผมสนใจ เธอเป็นคนที่ร้อนแรงและไม่กลัวที่จะบอกให้ผมไปตายซะ ผมจะไม่สนใจได้อย่างไรเล่า?ตอนที่เราแต่งงานกันนั้นเธอน่าเบื่อ บุคลิกที่น่าเบื่อทำให้เธอดูจืดชืดในสายตาของผม ไม่มีอะไรน่าสนใจเกี่ยวกับเธอเลย ในขณะที่ผมชอบผู้หญิงที่มีเขี้ยวเล็บ เธอกลับเชื่อฟังมากเกินไป คิดแต่จะทำให้ผมพอใจและดึงดูดความสนใจกันอย่างเดียวเธอยอมลดตัวทุกอย่างเพียงเพื่อให้ผมสนใจ หากเพียงเธอผลักผมให้ออกห่างไปผมก็คงจะสนใจเธอแล้ว ฮาร์เปอร์เมื่อก่อนเป็นคนขี้อายและกลัวแถมขาดความมั่นใจในตัวเอง สิ่งนั้นมันทำให้ผมรู้สึกไม่อยากสนใจเธอเลยผมถอนหายใจแล้วก็ผลักความคิดเหล่านั้นออกไป พยายามขับไล่ความสงสัยที่มีต่อฮาร์เปอร์ เบคเกตต์ ที่ตอนนี้เป็นวู้ดออกไป วินาทีถั
“คุณต้องการอะไร เกเบรียล? อย่างที่เห็น ฉันไม่อยากคุยตอนนี้” ฉันลุกขึ้นจากพื้นพร้อมกับเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาไม่หยุดคำพูดของลิลลี่ยังคงดังก้องอยู่ในหัวของฉัน มันบาดลึกซ้ำไปซ้ำมา ฉันเอามือสางผม พยายามไล่ความเจ็บปวดที่ท่วมท้นออกไป ฉันรู้ว่าสักวันมันต้องเกิดขึ้น และฉันก็รู้ว่าเธออาจจะรับมันไม่ได้ดีนักลองคิดดูสิ คุณจะรับมันไหวไหมถ้าแม่มาบอกว่าผู้ชายที่คุณคิดว่าเป็นพ่อมาตลอดกลับกลายเป็นคนอื่นไป? ว่าคุณถูกหลอกมาตลอด และไม่มีใครคิดจะบอกความจริงจนกระทั่งมันเลี่ยงไม่ได้ ฉันเข้าใจเธอ ฉันเข้าใจปฏิกิริยาของเธอ ฉันแค่ไม่รู้ว่าจะตอบสนองต่อคำพูดและความเจ็บปวดในดวงตาของเธออย่างไร“ลิลลี่ไม่ได้ตั้งใจพูดแบบนั้นหรอก” เกเบรียลพูดพลางเดินเข้ามาในห้องฉันจ้องเขม็งไปที่เขา ความรู้สึกบางอย่างที่น่าเกลียดพุ่งขึ้นในใจ “แล้วคุณจะรู้ได้ยังไง? คุณแทบจะไม่รู้จักเธอเลยด้วยซ้ำ แล้วจะมาบอกฉันว่าเธอไม่ได้ตั้งใจได้ไง”“แล้วมันเป็นความผิดใครล่ะ?” เขาสวนกลับทันที จ้องฉันด้วยสายตาโกรธจัดฉันทั้งโกรธทั้งเสียใจ ฉันกำลังหาที่ระบาย หาทางที่จะดึงความสนใจตัวเองออกจากความเจ็บปวดที่ถาโถม เกเบรียลจึงกลายเป็นเป้าหมายของฉัน เพราะ
ฮาร์เปอร์สัปดาห์นี้วุ่นวายสุด ๆ เหมือนฉันวิ่งทำธุระตั้งแต่กลับมาที่เมืองนี้โดยไม่ได้พักเลยสักนิดอย่างน้อยตอนนี้ลิลลี่ก็ดูสบายขึ้นแล้ว เกเบรียลไม่ยอมส่งที่นอนของเธอมาเพราะบอกว่าที่นอนที่นี่สบายกว่า แต่เขายอมส่งผ้าปูที่นอนกับผ้าห่มมาให้แทน ซึ่งมันช่วยได้เยอะเลย ตอนนี้เธอหลับสบายตลอดทั้งคืนส่วนเกเบรียล ฉันจะเริ่มจากตรงไหนดี? เขากลับมาบ้านแม้จะดึกดื่นขนาดไหน แต่ก็เท่านั้นเอง เราสองคนพยายามหลบหน้ากัน ต่างทำเหมือนกับว่าอีกฝ่ายไม่มีตัวตนอยู่ในชีวิต ฉันคิดว่าแบบนี้ดีกว่า อย่างน้อยลิลลี่จะได้ไม่เห็นเราทะเลาะกันตลอดเวลา“แม่คะ แม่อยากคุยกับหนูเหรอ?” เสียงของลิลลี่ดึงฉันกลับมาสู่ปัจจุบันฉันวางผ้าที่กำลังพับอยู่ลง แล้วนั่งลงบนเตียงก่อนจะส่งสัญญาณให้เธอมานั่งด้วยกัน เธอเดินข้ามห้องมาพร้อมขมวดคิ้ว ก่อนจะนั่งลงข้าง ๆ ฉันเราอยู่ในห้องของฉัน อย่างที่เดาได้ว่าเกเบรียลกับฉันไม่ได้นอนห้องเดียวกัน ซึ่งนั่นเป็นสิ่งหนึ่งที่ฉันไม่รู้ว่าจะอธิบายให้ลิลลี่เข้าใจอย่างไร เพราะเธอต้องสงสัยแน่ ๆ ในเมื่อก่อนหน้านี้ฉันกับเลียมเคยนอนร่วมห้องกัน“แม่คะ?”“ขอโทษนะลูก มีบางอย่างที่แม่อยากจะอธิบายให้หนูฟัง” ฉั
แผ่นหลังของผู้หญิงคนนั้นหันมาทางฉัน รวมถึงกันเนอร์ด้วย ฉันไม่ต้องกังวลเรื่องคาลวินเพราะเขาดูเหมือนตกอยู่ในห้วงความหลงใหล เขาใส่ใจกับทุกสิ่งที่ผู้หญิงคนนั้นพูด พร้อมรอยยิ้มอ่อนโยนเด่นชัดบนริมฝีปากอีกครั้งที่ความรู้สึกไม่สบายใจจมลึกลงในหัวใจของฉัน ทำไมฉันถึงรู้สึกเหมือนหายใจได้ไม่ทั่วท้อง? เหมือนมีหินก้อนใหญ่ติดอยู่ในลำคอฉันเพ่งสายตามองไปยังพวกเขา แม้จะไม่ได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูดเพราะโต๊ะอยู่ห่างออกไป แต่ความสงบสุขและความสุขบนใบหน้าของคาลวินก็เพียงพอที่จะบอกฉันว่าเกิดอะไรขึ้น เขากำลังออกเดต และกันเนอร์ก็มาด้วย ผู้หญิงคนนั้นดูเหมือนไม่ได้รังเกียจอะไร แต่ฉันไม่มีวันปล่อยให้ผู้หญิงคนอื่นมาแทนที่ฉันในชีวิตของลูกชายเด็ดขาดถึงแม้ฉันจะมองไม่เห็นกันเนอร์ แต่ฉันรู้ว่าเขาเหมือนกับคาลวิน กันเนอร์เองก็มีความสุขที่ได้อยู่ที่นั่น เพราะถ้าไม่ใช่แบบนั้น คาลวินคงพาลูกชายกลับไปแล้วแต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ฉันยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น ทั้งที่รู้สึกเหมือนหัวใจถูกฉีกออกเป็นชิ้น ๆ ฉันไม่รู้ว่าฉันนั่งอยู่นานแค่ไหน แต่สุดท้ายก็ทนไม่ไหว การได้เห็นเขามีความสุขกลับทำให้ฉันเจ็บปวดอย่างประหลาด มันเหมือนหัวใจถูกบดขยี้
คำพูดของมอลลี่ยังคงก้องอยู่ในหัว แม้กระทั่งตอนที่เรากำลังกินของหวาน ฉันชอบไอศกรีมมาก แต่วันนี้ฉันกลับไม่สามารถสนุกกับมันได้เลย โดยเฉพาะเมื่อเธอสามารถทำให้ฉันเริ่มสงสัยในทุกสิ่งที่ฉันเชื่อมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา"ทำไมเธอเงียบจัง?" มอลลี่ถามขณะที่วางแก้วมิลค์เชคลง "หรือเธอกำลังคิดถึงสิ่งที่ฉันเพิ่งพูด?"ประโยคสุดท้ายมาพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ขณะที่เธอเอนหลังพิงเก้าอี้"เปล่า" ฉันโกหก "แค่กำลังคิดว่าฉันจะทำยังไงให้คาลวินกับกันเนอร์ยกโทษให้ฉัน ไม่ว่าฉันจะมองมุมไหนก็ไม่มีทางออกที่ดีเลย"ในฐานะทนายความ ฉันเคยชินกับการมองสถานการณ์จากหลายมุมมองเวลาปกป้องลูกความของฉัน นั่นคือสิ่งที่ทำให้ฉันเก่งในสิ่งที่ฉันทำ ฉันไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดมือและพิจารณาทุกผลลัพธ์ที่เป็นไปได้ ฉันทำแบบนั้นกับสถานการณ์นี้แล้ว แต่กลับไม่พบความหวังเลยฉันอาจไม่ได้รักคาลวิน แต่ฉันรู้จักเขาเป็นอย่างดี เขาเคยให้โอกาสฉันนับครั้งไม่ถ้วนเพื่อให้ฉันจัดลำดับความสำคัญของชีวิตให้ถูกต้อง แต่ฉันกลับไม่ทำ คาลวินเป็นคนที่เมื่อเขาถึงจุดที่ทนไม่ไหว มันก็จบ ไม่มีการย้อนกลับ ไม่มีโอกาสอีก ไม่มีการให้อภัยฉันจะนั่งหลอกตัวเองที่นี่ก็ได้ แต่ฉัน
"ทำไมฉันถึงยอมให้เธอชวนฉันออกไปกินข้าวกลางวันด้วยนะ?" ฉันบ่นพลางมองทิวทัศน์ด้านนอกที่ผ่านไปอย่างรวดเร็วฉันไม่ได้ออกจากบริเวณของครอบครัวมานานแล้ว ครั้งสุดท้ายน่าจะเป็นตอนที่ฉันไปงานแต่งงานของเอวา บอกตามตรง ฉันตกใจมากตอนที่เธอเชิญฉันไปงานนั้น ในบรรดาคนทั้งหมด ฉันคิดว่าฉันน่าจะเป็นคนที่เธอไม่อยากให้ไปร่วมงานแต่งงานมากที่สุด“ก็เพราะเธอจำเป็นต้องออกไปข้างนอกบ้างไง” มอลลี่ตอบพลางดึงฉันกลับมาสู่บทสนทนา“ฉันก็ออกจากบ้านนะ มอลลี่” ฉันพูดปกป้องตัวเองเสียงหัวเราะเยาะของเธอทำให้ฉันหงุดหงิดมาก“เดินไปที่สวนไม่เรียกว่าการออกไปข้างนอกหรอกย่ะ” เธอตอบโต้ “เลิกบ่นแล้วนั่งพักผ่อนเถอะ เธอจะสนุกกับการออกไปเที่ยวเล็ก ๆ ครั้งนี้ รับรองเลย”“ไม่มั้ง”เมื่อพูดจบ ฉันเอนหลังพิงเก้าอี้แล้วหลับตาลง ความคิดในหัวของฉันวิ่งวุ่นไปเป็นพันเรื่องในแต่ละนาที ฉันจับพวกมันไว้ไม่ได้หรือควบคุมมันไม่ได้เลยตั้งแต่คุยกับมอลลี่ในห้อง ความคิดของฉันก็วิ่งพล่านไปทั่ว ฉันรู้ว่ามันคงไม่ง่าย แต่เธอพูดถูก ฉันจะมัวแต่นั่งอยู่ในห้อง จมปลักและสาปแช่งความโง่ของตัวเองต่อไปไม่ได้ ถ้าฉันยังเป็นแบบนี้ ฉันอาจไม่มีโอกาสได้อยู่กับลูกชา
เอมม่า"ออกจากห้องบ้างเถอะนะ เอมม่า ลูกไม่ควรใช้เวลาทั้งวันติดอยู่ในห้องรก ๆ แบบนี้" แม่บอกฉัน แต่ฉันไม่แม้แต่จะเหลือบมอง เฝ้าแต่จดจ้องอยู่ที่ซีรีส์เศร้าที่กำลังดูอยู่ฉันนั่งอยู่บนเตียง ยังสวมชุดนอนอยู่ พร้อมของว่างกระจายอยู่รอบ ๆ ผ้าห่ม มีเครื่องดื่มหลากหลายชนิดและถังไอศกรีมที่ฉันกำลังจมปลักอยู่ ผ้าม่านถูกปิดมืดสนิทเพราะฉันเพิ่งติดตั้งม่านกันแสงเมื่อไม่กี่เดือนก่อน"นั่นแหละที่หนูพยายามบอกมันอยู่เนี่ย แต่มันไม่ยอมฟังหนูเลยคะแม่" มอลลี่พูดขึ้นฉันรู้สึกได้ว่าเธอกำลังจ้องฉันด้วยสายตาดุดัน แต่ฉันไม่สนใจเลยสักนิด ฉันแค่อยากอยู่คนเดียวเพื่อจมอยู่กับความทุกข์ของตัวเอง เพราะท้ายที่สุดแล้ว ฉันก็เป็นคนที่ทำให้ตัวเองต้องมาเจอเรื่องแบบนี้"กันเนอร์จะพูดว่ายังไงถ้าหลานเห็นลูกในสภาพนี้? ทั้งตัวเองและห้องก็ดูไม่ได้เลย ไม่รู้เลยว่าลูกหวีผมครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ หรืออาบน้ำครั้งสุดท้ายตอนไหน" แม่พูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจฉันสะดุ้งขึ้นทันทีที่ได้ยินชื่อกันเนอร์ แล้วหันไปหาแม่ทันที"ลูกถามถึงหนูเหรอ? อยากเจอหนูใช่ไหม?" ฉันถามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหวังแม่ใช้เวลาอยู่กับเขา เช่นเดียวกับทราวิส
ทันทีที่พวกเราเข้าไปในโบสถ์ ฉันก็สังเกตเห็นโรแวนในทันที เขาอยู่ในชุดสูทสีดำเช่นเดียวกับน้องชายของเขา เราเดินไปยังด้านหน้าของโบสถ์พร้อมกับที่บาทหลวงเดินเข้ามา"สวัสดีครับ คุณฮาร์เปอร์" โรแวนกล่าวทักทายอย่างสุภาพพร้อมรอยยิ้มที่ดูอบอุ่นฉันถึงกับตกตะลึง โรแวนดูเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ไม่เหมือนกับคนที่ฉันเคยรู้จักมาก่อน เมื่อก่อนเขามักจะดูเย็นชาและห่างเหิน เหมือนมีบางอย่างคอยถ่วงจิตใจเขาไว้ และมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ แต่ตอนนี้เขากลับดูอบอุ่นราวกับความมืดที่เคยครอบงำเขาได้เลือนหายไป"สะ…สวัสดีค่ะ" ฉันตอบกลับอย่างตะกุกตะกักฉันอดสงสัยไม่ได้ว่าเขากลับไปคืนดีกับแฟนเก่าหรือยัง เพราะทุกคนรู้ว่าเขาเปลี่ยนไปหลังจากเสียเธอไปและต้องแต่งงานกับเอวา ใช่ นั่นคงจะเป็นเหตุผล เขาเกลียดเอวา การเปลี่ยนแปลงนี้น่าจะเกี่ยวกับเอมม่า พี่สาวของเอวา"เริ่มกันเลยไหม?" บาทหลวงพูดขัดขึ้นมา และเราสามคนก็พยักหน้าตอบรับฉันยืนอยู่ข้าง ๆ เกเบรียล ในขณะที่โรแวนยืนอยู่ด้านหลังเราฉันพยายามไม่สนใจคำกล่าวของบาทหลวง เพราะฉันไม่ได้มีอะไรขัดแย้งกับโบสถ์ แต่ฉันคิดว่ามันคงง่ายกว่านี้ถ้าเกเบรียลตกลงทำพิธีที่อำเภอแทนไม่รู้ว่าผ
ฉันบรรจงลงแปรงปัดหน้าเป็นครั้งสุดท้ายก่อนมองตนเองในกระจก ฉันรู้สึกสติกระเจิงเพราะว่าวันนี้เป็นวันแต่งงานครั้งที่สาม ตอนฉันคิดอย่างนั้นมันก็ดูเหมือนเป็นเรื่องแย่ถูกไหม? สิ่งเดียวที่ทำให้ฉันรู้สึกสงบใจได้นั่นคือการที่ฉันได้แต่งงานกับชายที่เคยแต่งงานด้วยเมื่อหลายปีก่อนหน้า ซึ่งก็คือสามีคนแรกของฉันฉันสวมใส่ชุดและหยิบกระเป๋าพร้อมเดินออกจากห้อง อากาศที่แทรกผ่านกายเหมือนประกายไฟฟ้าที่ปกคลุมวิญญาณเอาไว้เกเบรียลนำร่างหนังสือสัญญาฉบับใหม่มาให้ในเย็นวันนั้นทันทีที่เรียบร้อย และวันต่อมา เราก็เดินทางไปหาบาทหลวงเพื่อดำเนินการเรื่องต่าง ๆ“พร้อมไหม?” เกเบรียลเอ่ยถามเมื่อเราเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่นรอฉันไม่ได้ตอบอะไร รู้สึกเหมือนความคิดมันติดชะงัก ฉันจึงพยักหน้าตอบกลับเท่านั้น“แล้วทำไมหนูไปด้วยไม่ได้?” ลิลลี่สะอื้นไห้ซึ่งทำให้ฉันหันไปหาเธอลูกสาวนั่งอยู่บนโซฟารูปตัวแอลด้วยหน้าบึ้งตึง มือกอดอกแน่น เธอไม่ใช่เด็กที่อารมณ์ร้อนแต่อย่างไร เพียงแค่ไม่เคยชินกับสถานนี้ก็เท่านั้น “มีแค่ผู้ใหญ่ที่ไปได้นะลูก” ฉันตัดบทอย่างง่าย ๆ “คุณชารอนอยู่นี่แล้วไงลูก เดี๋ยวเธอจะดูแลลูกเองจนกว่าเราจะกลับมา”ชารอน