“แม่คุณถามถึงคุณอยู่นะ พักหลังมานี้ได้คุยกับท่านบ้างหรือเปล่า?”ฉันส่งเสียงรำคาญใจ “คุณพูดมากไม่หยุดจนประสาทฉันเริ่มกินแล้วนะโรแวน ช่วยทำเหมือนฉันไร้ตัวตนต่อไปเหมือนที่เคยทำมาตลอดได้ไหม?”มือชายหนุ่มกำพวงมาลัยแน่น ฉันเห็นเขาขบกรามเขม็ง รู้สึกได้เลยว่าเขาหัวเสียไม่น้อย อาจเป็นเพราะฉันไม่ได้เป็นลูกไก่ในกำมือเขาแล้วก็เป็นได้ กระดานพลิกแล้วและเขาไม่ชอบเลยสักนิดฉันเคยทุ่มสุดตัวเพื่อให้ชายหนุ่มมีความสุข พยายามเป็นอย่างที่เขาต้องการ พยายามเป็นเช่นเอมม่า ทำทุกอย่างเพื่อให้กลายเป็นดั่งศรีภรรยาที่เขาหมายปอง ตอนนี้ฉันไม่สวมบทบาทนั้นแล้วและดูเหมือนเขาจะไม่พอใจกับการที่ฉันเลิกเป็นเบี้ยล่างอย่างมาก ฉันยกยิ้มการปั่นประสาทชายหนุ่มทำให้บางสิ่งในจิตใจบรรเทาลงได้นับจากนั้นตลอดการเดินทางก็เป็นไปอย่างเงียบเชียบ เราทั้งสองนั่งนิ่งในเบาะนั่งของตนขณะที่โนอาหัวเราะกับการ์ตูนอย่างมีความสุข หนึ่งชั่วโมงให้หลังเราจึงเดินทางถึงสนามบิน ฉันจูงมือโนอาเอาไว้และโรแวนก็ทำหน้าที่พนักงานขนกระเป๋า“ผมตื่นเต้นอยากเห็นทะเลจังครับ” โนอาเอ่ยพร้อมกระโดดโลดเต้นอย่างเริงร่า“ถ้างั้นก็ไปเลยไหม…พวกเราไม่ถ่วงเวลาลูกแล้ว” โรแ
หนึ่งสัปดาห์แล้วที่โนอาเดินทางไป ฉันรู้สึกเหมือนจับต้นชนปลายถูกเมื่อไร้ลูกชายอยู่ข้างกาย หนึ่งสัปดาห์คงเป็นช่วงเวลายาวนานที่สุดแล้วที่เราสองแม่ลูกห่างกัน ฉันไม่อายเลยหากบอกว่ารับมือได้ไม่ดีนักโนอาเป็นดั่งต้นไม้ใหญ่ หากปราศจากเขา ฉันก็ไร้สิ่งค้ำจุนจิตใจ ราวกับเรือลำน้อยไหลไปตามกระแสน้ำเมื่อขาดสมอ ทุกวันฉันเฝ้ารอรับสายจากลูกเพราะเป็นสิ่งเดียวที่สงบจิตใจฉันได้ โทรศัพท์พร้อมเสียงหวานใสของลูกทำให้ฉันไม่สติแตกการติดต่อจากโรแวนขาดหายไปนับตั้งแต่เมื่อสัปดาห์ก่อนที่สนามบิน เศษเสี้ยวจิตใจฉันยังโหยหาเขาอยู่ แต่ฉันรู้ดีว่านี่เป็นทางออกที่ดีที่สุด ระหว่างเราไม่มีอนาคตใดและฉันคงทำใจใช้ชีวิตเคียงคู่กับชายที่ไม่มีใจให้ฉันไม่ได้ สรุปก็คือตอนนี้ทุกอย่างเงียบสงบ ไม่มีใครติดต่อมาเพื่อแจ้งข่าวสารใดกับฉันเลย เพราะก็ไม่มีเหตุยิงกันหรือว่าไม่ได้มีใครตายอีก ก็สบายใจได้เปราะหนึ่งว่ากลุ่มฆาตกรนั้นคงไปหลบซ่อนตัวแล้วทันใดนั้น ฉันเดินชนกับใครสักคนจนตื่นจากห้วงความคิด“ขอโทษด้วยค่ะ ฉันไม่ทันมองเห็นคุณ” ฉันกล่าวคำขอโทษออกไปพลางก้มเก็บหนังสือของตนที่หล่นเกลื่อนฉันเพิ่งเลิกงานและอยู่ในระหว่างทางกลับบ้าน วันน
เราทั้งสองยืนอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง ฉันยืนขยับเท้าไปมาอย่างทำตัวไม่ถูก อีธานจ้องมองฉันด้วยดวงตาสีฟ้าสดใสราวกับว่าจะมองทะลุไปถึงจิตวิญญาณก็มิปาน ฉันจึงหลบเลี่ยงสายตาจับจ้องคู่นั้น“อีธาน” เสียงเรียกของบางคนดังขึ้น ฉันจึงหันไปตามทิศทางนั้น พบว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกคนกำลังกวักมือเรียกอยู่“กำลังไป” อีธานตะโกนตอบรับ จากนั้นหันกลับมาหา “ดีใจที่ได้เจอกันอีกนะครับคนสวย คงจะได้เจอกันอีกใช่ไหม?“ค่ะ” ฉันตอบด้วยเสียงแผ่วเบาจากนั้นชายหนุ่มจึงโอบกอดฉันโดยไม่ทันให้ได้ตั้งตัวก่อนเดินจากไป ฉันยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นได้แต่คิดว่าเมื่อครู่คืออะไรกันแน่ฉันใช้เวลาสักครู่หนึ่งดึงสติกลับมาและเริ่มก้าวเดินต่อไปพลางคิดว่าจำเป็นต้องซื้อของใช้เสียหน่อย ฉันจึงตัดสินใจเดินไปยังร้านขายของเพราะไม่ได้ห่างจากโรงเรียนมากนักตอนนี้ฉันไม่ได้ใช้ผ้าคล้องแขนเล้วแม้ว่าแขนข้างที่ได้รับบาดเจ็บจะรู้สึกเจ็บหรือปวดอยู่บ้าง แต่แขนก็ยังใช้งานได้ปกติ สิ่งของที่จำเป็นต้องซื้อแล่นเข้ามาในความคิดรวมถึงปฏิสัมพันธ์ระหว่างฉันกับอีธานวิธีที่เขาปฏิบัติต่อฉันช่างแตกต่างกับโรแวนอย่างที่ฉันไม่รู้จะบอกว่าอย่างไร ไม่เคยมีใครเอ่ยชมว่าฉันสวยสัก
“วันนี้เป็นไงบ้าง ลูกรัก?” ฉันเอ่ยถามโนอาโทรศัพท์ถูกหนีบอยู่ระหว่างหัวไหล่และกกหูขณะง่วนอยู่กับการทำความสะอาด ฉันพยายามคุยกับลูกชายให้ได้มากที่สุด แม้ว่าจะทุลักทุเลอยู่บ้างแต่หัวไหล่ของฉันก็อาการดีขึ้นมาก“อย่างเจ๋งเลยครับ!” เสียงตะโกนของเด็กน้อยส่งผ่านทางโทรศัพท์จนหูฉันแทบระเบิด “เราเพิ่งกินไอศกรีมกัน แล้วตอนนี้กำลังไปเล่นสไลเดอร์ครับ ที่นี่มีสไลเดอร์ด้วยมันยาวออกไปถึงทะเลเลยครับ”เสียงแสนตื่นเต้นของเด็กน้อยทำให้ฉันสุขใจเป็นอย่างยิ่ง เขามีความสุขฉันก็มีความสุข ขอเพียงแค่เขาปลอดภัยและสนุกสนานได้อย่างเต็มที่ก็เพียงพอแล้วสำหรับฉัน“เยี่ยมไปเลยใช่ไหมลูก…เห็นไหม แม่บอกแล้วไงว่าต้องสนุกแน่นอน”ฉันหยุดทำความสะอาดแล้วทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟา คุยกับลูกให้เสร็จก่อนน่าจะดีกว่า“แล้วแม่ล่ะครับ วันหยุดเป็นยังไงบ้าง?”จะให้ฉันตอบยังไงดี? มันโคตรน่าเบื่อ ลูกชายวัยแปดขวบกำลังสนุกสนานมากกว่าฉัน คนไร้เพื่อนอย่างฉัน ไม่มีที่ให้ออกไป ไม่มีใครให้เที่ยวด้วย เพื่อนสมัยเรียนเคยชวนฉันออกไปเที่ยวอยู่บ้างแต่ก็ห่างหายกันไปหลังจากฉันเอาแต่ปฏิเสธ ลึก ๆ ในใจฉันรู้ว่าบรรดาเพื่อนชวนฉันไปเที่ยวเพียงเพราะมารยาท เพ
หลังจากอีธานวางสาย ฉันจึงรีบไปเลือกเสื้อผ้าเหมาะ ๆ มาใส่ เพราะว่าเราจะไปที่สนามฝึกซ้อมยิงปืน เสื้อผ้าที่สวมใส่แล้วดูคล่องตัวเป็นตัวเลือกที่ดี ดังนั้นฉันจึงตัดสินใจเลือกกางเกงยีนส์ เสื้อยืดและรองเท้าส้นเตี้ยมาใส่ อีธานเดินทางมาถึงภายในสิบนาทีอย่างที่บอกไว้ และเราทั้งสองจึงออกเดินทางทันที“แล้วอะไรดลใจให้คุณกลายเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ได้ล่ะคะ?” ฉันหันหน้าไปถามชายหนุ่มบรรยากาศนั้นผ่อนคลายไม่น้อย ฉันรู้สึกสบายใจเมื่ออยู่กับเขาเสมอ มันช่างดีเหลือเกิน ฉันไม่ได้สัมผัสความรู้สึกผ่อนคลายแบบนี้เมื่ออยู่กับคนอื่นมานานแล้ว“พ่อผมถูกตำรวจฆ่าตายน่ะครับ” เขาเอ่ยตอบพร้อมยักไหล่ฉันนิ่วหน้าอย่างประหลาดใจ “เจอแบบนี้คนส่วนมากคงไม่อยากจะเป็นตำรวจนะคะ” “ครับ แต่ว่าพ่อผมก็ไม่ใช่คนดีอะไร แถมเรียกว่าพ่อที่ดีไม่ได้ด้วยซ้ำ พูดกันตามจริงตอนที่เขาโดนตำรวจวิสามัญเพราะค้าอาวุธปืนเถื่อนผมกลับโล่งใจ ตอนที่เห็นว่าตำรวจจัดการสวะที่หลงคิดว่าไม่มีใครทำอะไรได้อย่างพ่อผม นี่เลยทำให้ผมตัดสินใจมาเป็นตำรวจ หวังว่าจะให้เมืองที่ผมอาศัยอยู่ปลอดภัย”อีธานเงียบไปหลังอธิบายจบแต่ฉันรับรู้ได้ว่ามันน่าจะมีอะไรมากกว่านั้น น้ำ
โรแวนผมมองตำรวจคนที่เข้ามาช่วยชีวิตเอวาเอาไว้ในวันนั้นพาเธอไป ไม่แน่ชัดว่าด้วยเหตุผลใดผมรู้สึกเกลียดเมื่อมองเห็นเขาจับมือเอวา จำเป็นต้องจับมือถือแขนกันด้วยหรือ?ผมไม่เข้าใจว่าทำไมถึงได้รู้สึกหัวเสียไม่น้อยเมื่อเห็นพวกเขาทั้งสองอยู่ด้วยกัน แต่ผมก็อดรู้สึกแบบนั้นไม่ได้ ผมไม่ชอบสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นระหว่างสองคนนั้นผมรู้สึกได้ว่ามีมือนุ่มมากุมมือผมเอาไว้ จากนั้นจึงตระหนักได้ว่าผมนั้นกำหมัดแน่นอยู่“เป็นอะไรไหมคะ?” เอมม่าเอ่ยถาม ผมจึงหันไปหาใบหน้าราวกับนางฟ้าช่วยดึงผมกลับมายังโลกความจริง‘มีเพียงเธอเท่านั้นที่ผมใฝ่หาและต้องการมาตลอด’ ผมกล่าวเตือนตนไม่ให้เผลอไผลไปนึกถึงเอวาผมไม่ได้ต้องการเอวา ดังนั้นความรู้สึกขุ่นเคืองจิตใจเช่นนี้จึงไม่ควรเกิดขึ้นเมื่อเห็นชายอื่นต้องตาต้องใจเธอสิถึงจะถูกต้อง จริงหรือเปล่า?“ไม่เป็นไรครับ” ผมตอบกลับเอมม่าพร้อมรอยยิ้มเธอส่งรอยยิ้มตอบกลับ และเหมือนครั้งแรกที่ได้เห็น รอยยิ้มเธอสะกดใจเหลือเกิน ทำให้ผมหลงใหลและหวนนึกถึงช่วงเวลาที่เราทั้งสองอยู่ด้วยกันหลายนาทีต่อมา เอวาก็เดินกลับมาพร้อมตำรวจคนนั้น เธอหัวเราะกับคำพูดของชายหนุ่ม เธอดูผ่อนคลายและสบายใจเ
“ก็นายเล่นจ้องเมียเก่ากับฮีโร่เธอซะขนาดนั้น” เกเบรียลให้เหตุผล “มันไม่ใช่ฮีโร่อะไรทั้งนั้น!”“เขาเป็นสิ…เผื่อลืมไปว่าเขาพยายามเข้าไปช่วยเอวานะ แค่นั้นก็ทำให้เธอมองเขาว่าเป็นฮีโร่แล้ว”เธอหันไปมองเจ้าหมอนั่นด้วยสายตาที่ผมไม่เคยได้รับมาก่อน ซึ่งทำให้ผมรู้สึกไม่สบายใจเอาเสียเลย“หุบปากไปเลย เกเบรียล” ผมตะคอกเจ้าน้องชายหัวเราะชอบใจ เห็นได้ชัดว่าเขาคิดว่าเรื่องนี้น่าขัน“นี่ หักห้ามใจตัวเองเอาไว้บ้างเถอะ วันนี้นายมากับเอมม่า ดังนั้นจะเอาแต่มองเอวาทั้งวี่ทั้งวันไม่ได้หรอกมั้ง เอมม่าเป็นคนที่นายรักนะจำได้ไหม อีกอย่างเธอคงสังเกตเห็นแล้วแหละว่านายโดนดึงความสนใจไป” คำถากถางดึงสติผมกลับมา ผมหันไปมองเอมม่าและพบว่าเธอกำลังนั่งอยู่ มือคู่นั้นวางบนหน้าตักใบหน้าเหี่ยวเฉา โธ่เอ้ย! เกเบรียลพูดถูกทั้งหมด เอมม่าไม่ควรต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ เราควรเริ่มเดินหน้าความสัมพันธ์กันใหม่ แต่ตอนนี้ผมกลับมัวแต่สนใจเอวาที่ดูเหมือนว่าเริ่มเปิดใจให้คนใหม่ไปแล้วผมวางปืนลงและเดินไปนั่งข้างเอมม่า“ผมขอโทษนะเอมม่า วันนี้ใจผมไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลย”ผมไม่ได้โกหกแต่อย่างใด เพราะเหตุผลบางอย่าง วันนี้เอวาทำเอาผมปั
เอวา“ถ้างั้น โรแวนก็เป็น?” อีธานเอ่ยถามขณะเราทั้งสองขับรถกลับบ้านหลังจากเหตุการณ์ในห้องน้ำเมื่อครู่ ฉันไม่ต้องการอยู่ใกล้กับโรแวนอีก ดังนั้นสามสิบนาทีต่อมาฉันจึงขอร้องให้อีธานช่วยพาฉันกลับบ้าน“เป็นสามีเก่าของฉันค่ะ” ฉันตอบคำถามนั้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ และเราทั้งสองต่างก็เงียบกันไปฉันยังทำใจเชื่อไม่ลงจริง ๆ ว่าโรแวนจะเหิมเกริมขนาดไล่ต้อนให้ฉันจนมุมในห้องน้ำเช่นนั้น ซึ่งนั่นยังแย่ไม่พอ เขายังเกือบจูบฉันอีกด้วย จูบฉันเนี่ยนะ! โรแวนไม่เคยเป็นฝ่ายเริ่มรุกจูบฉันมาก่อนเลย ดังนั้นแค่บอกว่าฉันตกใจก็คงจะยังน้อยไปฉันเกือบยอมจำนนเสียแล้ว เพราะว่านี่เป็นสิ่งที่ฉันใฝ่หามาโดยตลอด แต่ฉันตระหนักได้ว่าเขาอยู่กับเอมม่า เขาน่าจะจูบเธอแล้วทำอะไร ๆ กับเธอด้วย เรื่องนี้ทำให้ฉันรวบรวมกำลังผลักเขาออกไปให้ห่าง ฉันยอมให้เขาเล่นสนุกกับฉันไม่ได้ พอกันเสียที เขามีเอมม่าอยู่ด้วยและฉันไม่มีสถานะอะไรอีก นอกจากเป็นแม่ของลูกชายเขาเพียงเท่านั้นโรแวนไม่เคยนึกหึงหวงหรือรู้สึกเป็นเจ้าเข้าเจ้าของฉันมาก่อน เขาเคยทำแบบนี้กับเอมม่าสมัยยังเป็นวัยรุ่น และฉันคิดว่าเร่าร้อนไม่น้อย ฉันจินตนาการไปว่ามันจะดีเพียงใดหากโรแวน
มื้อค่ำที่เหลือเป็นไปอย่างเงียบสงัด เขาก็ยังต้องขอโทษฉันอยู่แต่ฉันไม่รู้จะพูดอะไรดี ถ้าจะพูดตามตรง ฉันไม่เคยคิดว่าเกเบรียลจะมาขอโทษฉันเลย ดังนั้นการที่เขาทำแบบนั้นและทำด้วยความจริงใจแบบนี้ทำให้ฉันพูดไม่ออกจริง ๆเรารับประทานมื้อค่ำเสร็จและโทรเรียกพนักงานจากด้านล่างให้มาเก็บจาน"ฉันจะไปนอนแล้วนะ มีอะไรที่คุณอยากได้ก่อนหรือเปล่า?" ฉันถามเมื่อจานอาหารถูกเก็บไปและพนักงานจากโรงแรมก็ออกจากห้องไปแล้วลึก ๆ ในใจฉันกำลังตกใจและกังวลที่จะต้องนอนในห้องเดียวกับเกเบรียล แต่ความเหนื่อยจากการเดินทางก็ทำให้ความวิตกกังวลหายไป"ผมเองก็จะไปนอนเหมือนกัน เหนื่อยสุด ๆ เลย"ฉันพยายามกลั้นความตกใจที่เริ่มปะทุขึ้นมาในใจ ฉันคิดว่าจะนอนก่อนเขาเหมือนที่เคยทำ นั่นจะทำให้ฉันมีเวลาได้ผ่อนคลายและพักผ่อนก่อนที่เขาจะเข้ามานอน ฉันนึกไว้ว่าจะหลับไปแล้วก่อนที่เขาจะขึ้นมานอนฉันกัดฟันอย่างหงุดหงิดและเครียด ก่อนจะพยักหน้าหงุดหงิดแล้วเดินไปห้องนอน"คุณชอบนอนด้านไหน?" เขาถาม ขณะที่เดินเข้ามาหยุดอยู่ที่ข้างเตียง"ฉันไม่ค่อยมีความชอบอะไรหรอก ขอแค่ได้นอน ด้านไหนก็เหมือนกัน"“รู้เรื่อง งั้นผมนอนฝั่งซ้ายนะ คุณก็ฝั่งขวาแล้
"อาบน้ำเสร็จแล้ว" ฉันบอกเกเบรียลเมื่อก้าวออกมาที่ห้องนั่งเล่น"ผมสั่งอาหารไว้แล้ว กินก่อน ไม่ต้องรอผมได้เลยนะครับ" เขาพูดก่อนเดินผ่านฉันเข้าไปในห้องนอนมันรู้สึกแปลกที่จะเริ่มรับประทานโดยที่ไม่มีเขาและฉันก็ไม่ได้หิวมากนัก ฉันเลยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูอีเมล และดูว่าวันพรุ่งนี้ต้องทำอะไรบ้างฉันไม่ต้องรอนาน เพราะไม่ถึงสิบนาทีต่อมา เกเบรียลก็เดินออกมาจากห้องนอนในเสื้อยืดเก่า ๆ และกางเกงวอร์ม“ยังไม่กินเหรอ?” เขาถามพลางเลิกคิ้ว สายตาจ้องมองอาหาร“ก็รู้สึกไม่ดีนี่นาที่กินก่อนคุณแบบนั้น แถมคุณเป็นคนสั่งอาหารมาด้วย”เขาทิ้งตัวลงนั่ง ก่อนจะเริ่มเปิดจานอาหาร ฉันตักอาหารเล็กน้อยแล้วเริ่มรับประทาน ความเหนื่อยถาโถมเข้ามา แม้ว่าฉันจะได้นอนบนเครื่องบินแล้วก็ตาม ฉันไม่อาจหยุดคิดถึงเตียงได้ ตอนแรกฉันไม่ชอบใจนักเรื่องการนอนร่วมเตียงกับเกเบรียล แต่ตอนนี้ฉันกลับเอาแต่คิดถึงมันเสียแล้ว ร่างกายร้องหาเพียงการพักผ่อน“แล้วคุณล่ะ เคยตกหลุมรักใครไหม?” คำถามเกเบรียลทำเอาฉันประหม่าฉันหันขวับไปมองเขา เจอสายตาคมกริบที่จ้องตรงมา ฉันกลืนอาหารลงคอและให้ปากทำหน้าที่ ตอนนี้คงมีอยู่แค่สองทางเลือก ไม่โกหกออกไป ก็บอ
ไม่กี่นาทีต่อมา เรามายืนอยู่หน้าห้องสวีท ความรู้สึกตื่นเต้นแปลก ๆ จู่โจมฉันทันที เกเบรียลไขกุญแจและผลักประตูเข้าไปโถงทางเข้าต้อนรับเราด้วยพื้นหินอ่อนขัดมันที่เปล่งประกายอยู่ใต้แสงนุ่มนวลของโคมไฟระย้าสุดหรู เงาสะท้อนทอดเป็นลวดลายงดงามบนผนังห้องนั่งเล่นกว้างขวางปรากฎสู่สายตา ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์สุดหรู และหน้าต่างสูงจากพื้นจรดเพดานที่เปิดมุมมองสู่ทัศนียภาพของเมืองที่ระยิบระยับราวกับทะเลดาวระบบความบันเทิงล้ำสมัยให้คำมั่นถึงค่ำคืนอันแสนอบอุ่น ขณะที่ครัวสไตล์กูร์เมต์ดึงดูดใจด้วยเครื่องใช้สแตนเลสเงาวาวและเคาน์เตอร์กลางขนาดใหญ่ที่เหมาะสำหรับการทำอาหาร ห้องรับประทานอาหารสุดเก๋ให้ความรู้สึกอบอุ่น เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการสังสรรค์เล็ก ๆ ที่เป็นกันเอง"ดูท่าทางคุณจะชอบนะ?" เกเบรียลแกล้งเย้าฉันทำได้แค่พยักหน้า อย่างที่บอกไปแล้ว เราเคยรวย และฉันก็เคยพักในโรงแรมดี ๆ มาก่อน แต่ที่นี่คืออีกระดับหนึ่ง มันเป็นนิยามของความหรูหราที่แท้จริงสายตาฉันยังคงกวาดมองไปรอบ ๆ ห้อง แต่จู่ ๆ ฉันก็ชะงักเท้าเมื่อความจริงบางอย่างตีแสกหน้าเข้ามาเต็ม ๆ"เกเบรียล ห้องฉันอยู่ไหนคะ? ฉันเห็นแค่ห้องนอนเดียวเองนะ" ฉ
เครื่องบินลงจอดที่รันเวย์ มือของเกเบรียลจับตัวฉันไว้ไม่ให้กระดอนตอนเครื่องบินลงจอด“ไม่เป็นไรนะ?” เขาเอ่ยถามพลางสบตาฉัน“ค่ะ”หลังจากที่เกเบรียลเล่าเรื่องผู้หญิงที่เขาเคยตกหลุมรัก ก็ไม่มีเรื่องอะไรไปมากกว่านั้น บาดแผลนั้นยังคงหลอกหลอนเขาอยู่ บาดแผลที่ฝังลึกลงไปข้างในฉันเห็นมันปรากฎอยู่ในดวงตาเขาอย่างชัดเจนขณะที่เล่าทุกอย่างให้ฟัง เขาไม่ต้องการพูดอะไรมากกว่านี้ เขาเพิ่งจะเปิดเผยความลับบางสิ่งเกี่ยวกับตัวเขาที่ใครคนอื่นไม่เคยรู้ แม้แต่พี่ชายฝาแฝดเขาก็ไม่เคยรู้ฉันไม่ได้บังคับให้เขาเล่าออกมามากกว่านั้น ฉันไม่ได้ขอให้เขาเล่าให้ฟังว่าหลังจากรับรู้ความจริงพวกนั้นมันเป็นอย่างไรต่อหรือเกิดอะไรขึ้นกับผู้หญิงคนนั้น เขารู้สึกเปราะบาง และฉันก็เข้าใจด้วยว่าเขาต้องการเวลาเพื่อตั้งสติ ดังนั้นฉันจึงให้พื้นที่กับเขาฉันใช้เวลากว่าครึ่งอ่านหนังสือและอีกครึ่งในการนอนหลับพักผ่อน เขายังเอาใจใส่แม้ตอนที่นั่งห่างออกไป เขาถามว่าฉันนั่งสบายไหมหรือต้องการอะไรอีกหรือเปล่าอยู่เป็นระยะมือของเขาเอื้อมมาแตะหน้าท้องฉันจนดึงฉันออกจากภวังค์ ฉันมองลงไปพบว่าเขากำลังปลดเข็มขัดนิรภัยของฉันออก“คุณรู้ใช่ไหมว่าฉันท
ก็เป็นความรักที่สวยงามไม่ใช่เหรอ? แต่ฉันรู้สึกได้ว่ามันต้องมีบางสิ่งเกิดขึ้น บางสิ่งที่เปลี่ยนไป ถ้าทุกอย่างมันดีจริง ๆ ตอนนี้เขาก็คงเคียงคู่กับเธอคนนั้นไปแล้ว ไม่น่าจะมาแต่งงานกับฉันแบบนี้เสียงของเขาเริ่มแหบพร่าและเริ่มเล่าต่อ “ทุกสิ่งมันดีไปหมดเลย เธอเป็นผู้หญิงที่สุดยอดมากและผมก็รู้สึกว่าหลงรักเธอมากขึ้นทุกวัน แต่ตอนนั้นก็ยังไม่ได้แนะนำเธอให้โรแวนรู้จัก เพราะผมอยากเก็บเธอไว้กับตัว ผมไม่ได้เจตนาจะคบหาแบบเงียบ ๆ แต่แค่อยากใช้เวลากับเธอมากกว่านี้ก่อนที่จะพบครอบครัวผม ทุกวันที่ตื่นขึ้นมาผมนึกว่าตนเองโชคดีขนาดไหนที่ได้พบเจอคนอย่างเธอ อย่างที่คุณรู้ โลกของเรามันหาคู่รักที่เหมาะกันได้ง่ายเสียที่ไหนล่ะ ฮาร์เปอร์”และนั่นแหละก็เป็นสังคมของเรา มันยากมากเลยนะที่จะพบเจอคนที่รักเราจริง บางคู่ที่แต่งกันก็เป็นเพราะเรื่องของธุรกิจ และน้อยคนนักที่จะรักและเคารพจากใจจริง แล้วก็ยังมีพวกหวังรวยทางลัดอีก เป็นพวกที่แต่งงานกับคนรวย ๆ เท่านั้นและฉันว่านี่คงเกิดขึ้นบ่อยด้วย“ผมอยู่ในห้วงความรักเลยและคิดอะไรอย่างมีเหตุผลไม่ค่อยได้ เธอสามารถทำให้ผมเปลี่ยนแปลงตนเองได้เพราะผมไม่อยากทำร้ายจิตใจเธอ ไม่อยากให้เ
“ฮาร์เปอร์?” เสียงของเขาเรียกฉันกลับมาสู่ความเป็นจริง“โอ๊ะขอโทษที ฉันคิดอะไรเพลินไปหน่อย” ฉันส่ายหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไป “ค่ะ ฉันเก็บของเสร็จแล้ว”“ดีครับ งั้นไปกันเถอะ”หนึ่งชั่วโมงต่อมา เรานั่งอยู่ในเครื่องบินเจ็ตส่วนตัวของเกเบรียล ครั้งนี้ฉันเดินทางไปกับเขาเพื่อเซ็นสัญญาธุรกิจ“ทุกอย่างเรียบร้อยดีไหม? ต้องการอะไรหรือเปล่า? ผมให้พนักงานต้อนรับเอาอะไรมาให้ได้นะ” กาเบรียลถามขึ้นทันทีที่เครื่องบินเริ่มออกตัวเข้าใจที่ฉันบอกแล้วใช่ไหม? เขาใส่ใจฉันมากเหลือเกินแต่ตอนที่เรายังแต่งงานกัน เขาไม่เคยเป็นแบบนี้เลย ฉันคิดว่าเขาไม่เคยทำอะไรเพื่อทำให้ฉันมีความสุขเลย จริง ๆ แล้วมันตรงกันข้าม เขาไม่เคยสนใจว่าฉันต้องการอะไร หรือว่าฉันสบายดีไหม ไม่เคยสนใจแม้แต่ฉันยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า เขาแค่ไม่เคยสนใจฉันเลยแต่ตอนนี้ทุกอย่างกลับเปลี่ยนไป และนั่นแหละคือสิ่งที่ทำให้ฉันสับสน มันเหมือนเขาเป็นยักษ์ในตะเกียงวิเศษที่คอยทำให้ความปราถนาของฉันเป็นจริง“ไม่ค่ะขอบคุณ ถ้าต้องการอะไร เดี๋ยวฉันจะบอกพนักงานเองได้ค่ะ” ฉันพึมพำตอบกลับเกเบรียลพยักหน้ารับ ก่อนจะหยิบแล็ปท็อปขึ้นมาเปิดฉันเอนตัวลงกับเบาะหน
“แม่ต้องไปจริง ๆ เหรอคะ?” ลิลลี่ถาม สายตามองสลับไปมาระหว่างฉันกับกระเป๋าเดินทางที่เปิดอยู่บนเตียงฉันไม่เคยชอบการเก็บกระเป๋าแบบเร่งรีบในนาทีสุดท้ายแบบนี้เลย แต่ช่วงสองสามวันที่ผ่านมา งานที่ทำงานยุ่งจนแทบไม่มีเวลาหายใจ พอกลับถึงบ้าน สิ่งเดียวที่ฉันคิดได้ก็คือการนอนหลับ ฉันเหนื่อยจนแทบยืนไม่ไหว ไม่มีแรงจะทำอะไรนอกจากกินแล้วก็นอน“ต้องไปจ้ะ” ฉันตอบเธออย่างอ่อนโยน “งานนี้สำคัญมากเลยลูก แล้วพ่อหนูต้องไปจัดการด้วยตัวเอง…”“แต่หนูยังไม่เข้าใจเลยว่าทำไมหนูไปด้วยไม่ได้? หนูอยากเห็นว่าพ่อทำงานยังไง หนูอยากรู้ว่าพ่อจัดการเรื่องงานยังไงค่ะ”ฉันพับเสื้อผ้าชิ้นสุดท้าย ซึ่งเป็นเสื้อไหมสีฟ้า ก่อนจะวางมันลงไปในกระเป๋ากับของที่เหลือ พอทุกอย่างเรียบร้อย ฉันรูดซิปปิดแล้ววางกระเป๋าลงบนพื้น“ลูกก็รู้นี่ ว่าไปไม่ได้” ฉันตอบเธอขณะนั่งลงบนเตียง“ทำไมล่ะคะ?”“เพราะลูกยังเป็นเด็กไง ก็เลยไปไม่ได้ ถูกไหมคะ?”“หนูไม่ใช่เด็กนะคะ หนูจะสิบขวบแล้ว"ฉันกลอกตาให้กับคำโกหกที่ชัดเจน ก่อนจะดึงลิลลี่เข้ามากอดและหอมแก้มเนียนนุ่มของเธอเบา ๆ“หนูก็รู้ดีนะว่าเพิ่งแปดขวบ อีกนานเลยกว่าสิบขวบนะลิลลี่… แล้วอีกอย่าง เด็ก ๆ
คุณเคยโดนคำพูดของใครบางคนทำให้สมองหยุดทำงานไปเลยไหม? แบบที่ทำให้คุณทั้งพูดไม่ออกและตื้อไปเลย? นั่นคือสิ่งที่คำพูดของเขาทำกับฉันฉันตกตะลึงกับคำพูดของเขา คำพูดที่ทำให้ร่างกายฉันสั่นสะท้าน ฉันเห็นได้จากแววตาของเขาและได้ยินมันจากน้ำเสียงของเขา เขาจริงจังอย่างถึงที่สุดและเขากำลังให้คำสัญญา คำสัญญาที่เขามุ่งมั่นว่าจะทำให้เป็นจริงให้ได้เจอแบบนี้แล้วเราจะพูดอะไรได้? จะตอบกลับอย่างไร? จะตอบอะไรได้บ้าง?ด้านนี้ของเขาเป็นสิ่งแปลกใหม่สำหรับฉันโดยสิ้นเชิง ช่วยเอาเกเบรียลที่หยาบคายและทำร้ายจิตใจคนนั้นกลับมาเถอะ อย่างน้อยฉันรู้ว่าควรจัดการกับเขาอย่างไร แต่แบบนี้น่ะเหรอ? ฉันไปไม่ถูกเลยเมื่อต้องเผชิญกับเขา ฉันไม่รู้อะไรเลยว่าจะรับมือหรือจัดการกับเขายังไงดีฉันเข้ามาในชีวิตแต่งงานนี้ด้วยจุดมุ่งหมายที่ชัดเจน ฉันรู้ว่ากำลังก้าวเข้าสู่อะไร ฉันเตรียมตัวมาดีแล้ว... แต่ตอนนี้ เขากลับเปลี่ยนกฎทุกอย่างและทำให้ฉันตั้งตัวไม่ติดฉันกำลังเดินอยู่บนเส้นทางที่เต็มไปด้วยอันตราย และมันจะต้องจบลงด้วยหายนะอย่างแน่นอน เพราะฉันไม่ได้เตรียมพร้อมสำหรับสิ่งนี้เลยความคิดฉันสับสนวุ่นวายเมื่อสายตาของเขาจ้องลึกซึ้งกว่าเด
เขาก้าวไปที่บาร์เล็ก ๆ มุมห้อง แล้วหยิบถุงน้ำแข็งขนาดเล็กออกมาพร้อมห่อด้วยผ้าขนหนู ก่อนจะกลับมาหาฉัน เขาจับมือฉันเบา ๆ แล้ววางถุงน้ำแข็งไว้บนมือ“เจ็บมากไหม?” เขาเอ่ยถามด้วยความอ่อนโยนมากเสียงจนฉันได้ยินไม่ถนัดหู“นิดหน่อย”“ไม่เคยคิดมาก่อนเลยนะว่าคุณจะกล้าต่อยคนอื่นแบบนี้”ฉันหัวเราะเพราะฉันเองก็ไม่คิดว่าตนเองจะทำแบบนี้เหมือนกัน “มันเหลืออดเลยไม่ทันได้คิดอะไรให้ดีก่อนน่ะค่ะ ฉันขอโทษด้วยนะคะที่สร้างปัญหาให้ ฉันไม่ควรไปต่อยเธอแบบนั้นเลย จบกันแล้วภาพลักษณ์แสนดีในฐานะภรรยาประธาน”เขาเอนตัวเข้ามาใกล้และจ้องตาฉัน“คุณไม่ต้องขอโทษเวลาที่ทำอะไรเพื่อป้องกันตัวหรือยืนหยัดเพื่อตัวเองนะ ฮาร์เปอร์ แล้วคุณก็เป็นภรรยาผม พวกเขาต้องรู้เอาไว้ว่าไม่ควรมาล้ำเส้นคุณ”“ฉันแค่ไม่เข้าใจ คุณเคยนอนกับเธอมาก่อนไหม?” ฉันโพล่งคำถามออกไป“ไม่เคย!” เขาคำราม“แล้วทำไมเธอถึงได้ยึดติดกับคุณขนาดนั้นล่ะ? ตลอดเวลาที่มีเรื่องกันเธอเอาแต่บอกให้ฉันอยู่ห่างจากคุณทั้งนั้น เธอทำตัวเหมือนว่าคุณเป็นของเธออะไรแบบนั้นเลย”เขาแค่นเสียงดังจนทำให้ฉันหันหน้าไปมอง คิ้วขมวดเป็นปมด้วยความรังเกียจราวกับว่าเพิ่งจะได้ยินเรื่องที่น