Share

บทที่ 2

Author: เอเวอลีน เอ็มเอ็ม
“ฉันต้องไปแล้ว รบกวนคุณช่วยอยู่กับโนอาก่อนได้ไหม? เพราะฉันเองก็ยังไม่รู้ว่าจะต้องอยู่ที่โรงพยาบาลนานแค่ไหน” ฉันเอ่ยประโยคเหล่านี้ออกไป มือพลางคว้ากระเป๋าข้างกายอย่างใจลอย

“ได้ ผมขอไปรับแม่มาดูแลโนอาแทนก่อน แล้วจะรีบตามไป” โรแวนตอบรับ เพียงแต่รู้สึกราวกับเป็นเสียงกระซิบซึ่งดังแว่วเข้ามาในหูที่อึ้ออึงของฉันเท่านั้น

ฉันจำอะไรที่เหลือนอกเหนือจากการบอกลาลูกชายตัวน้อยไม่ได้ ฉันรีบดันตนเองขึ้นรถยนต์และขับรถมุ่งหน้าไปยังโรงพยาบาลพร้อมความคิดที่ล่องลอยกระหวัดถึงความทรงจำ

ตอนที่เติบโตขึ้นมา ใคร ๆ ก็ต่างพากันพูดว่าฉันเป็นพวกขาดความอบอุ่น ตอนเป็นเด็กทั้งคุณพ่อและคุณแม่ไม่ได้ใส่ใจฉันมากเท่าที่ควร ลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของพ่อคงเป็นพี่สาว เอมม่า พ่อเคยเรียกเธอว่าสาวน้อยของพ่อด้วยซ้ำ ส่วนแม่ก็ประคบประหงมพี่ชาย ทราวิส พ่อรูปหล่อของแม่เสียยังกับอะไรดี ส่วนฉันก็เป็นแค่ เอวา ที่ไม่มีใครรัก

ฉันรู้สึกเหมือนไม่เป็นที่ต้องการของใคร ๆ ไม่มีใครต้อนรับ ไม่ว่าจะกับพ่อแม่รวมถึงพี่น้องท้องเดียวกัน ไม่ว่าจะพิสูจน์ตนเองเท่าใด มีผลการเรียนระดับแนวหน้า กีฬาเด่น หรือกิจกรรมดีเพียงใด สถานที่เดียวซึ่งเหมาะกับฉันคืออยู่ข้างสายตาเท่านั้น เป็นเพียงคนแปลกหน้าที่ไม่เคยเป็นส่วนหนึ่งกับครอบครัวแสนสุขนี้เลย

สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเก้าปีก่อน ทำให้ฉันเสียสายใยความสัมพันธ์กับครอบครัวอันบางเบาไป ทราวิสกับฉันแทบจะไม่มีบทสนทนาต่อกันเลย พี่ชายกับพ่อเหมือนพร้อมใจดูแคลนฉัน ผู้เป็นแม่ก็ไม่ต่างกันมากนัก ถ้าไม่มีเรื่องคอขาดบาดตาย สายโทรศัพท์คงไม่ถูกต่อมาถึงฉันอย่างแน่นอน ส่วนพี่สาวดูเหมือนว่าจะแตกต่างอย่างสิ้นเชิง เราทั้งสองไม่ได้มาพบปะหรือพูดคุยกันเลยตลอดเก้าปีที่ผ่านมา คำสุดท้ายที่เธอเอ่ยกับฉันคือฉันได้ตายจากชีวิตเธอเรียบร้อยแล้วและเธอก็ไม่มีน้องสาวอีกต่อไป

ตัดมาที่ตัวฉันในตอนนี้ที่กำลังขับรถตรงไปยังโรงพยาบาลเพราะว่าพ่อโดนยิง แม้เหตุการณ์ประดังเข้ามาแต่ฉันกลับไม่รู้สึกอะไรสักอย่าง ฉันควรจะรู้สึกอะไรไหมนะ? อย่างความรู้สึกเสียใจ?

คุณควรรู้สึกอย่างไรดีเล่าตอนมีคนบอกคุณว่าพ่อผู้เมินเฉยต่อตัวตนคุณตลอดชีวิตนอนเจ็บบนเตียงเพราะโดนยิง? ตัวฉันเองต้องแสดงท่าทีอย่างไร? มันแปลกไหมที่ฉันไม่รู้สึกอะไรเลย?

เส้นทางมุ่งตรงไปยังโรงพยาบาลเปรียบดั่งเส้นทางย้อนกลับไปยังห้วงคะนึง ภาพวันวานยามวัยเยาว์สลับสับเปลี่ยนกับภาพผู้ใหญ่ ความปวดร้าวและทุกข์ระทมยังคงอยู่ และฉันก็มั่นใจว่าความเจ็บปวดจากการหมางเมินของครอบครัวฉันจะไม่เลือนหายไป

และนี่อย่างไรเล่าคือตัวฉันเอง หญิงสาวผู้ถูกทิ้งขว้าง เริ่มจากถูกครอบครัวตนเองทอดทิ้ง จากนั้นก็เป็นสามี รวมถึงบรรดาครอบครัวฝั่งสามี คนเดียวที่ยอมรับและรักฉันอย่างที่ฉันเป็นก็มีเพียงแค่โนอา

การขับรถไปยังโรงพยาบาลใช้เวลาไม่นัก เมืองนี้มีโรงพยาบาลใหญ่แห่งเดียวและฉันรู้ว่าพ่อต้องพักรักษาตัวอยู่ที่นั่นแน่นอน

ฉันจอดรถและก้าวออกมา สายลมยามเย็นพัดพริ้วและลูบไล้เส้นผมไป ฉันสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดพร้อมเหยียดหลังตรงก่อนจะเข้าไปในตัวตึก

“ดิฉันมาเยี่ยมคุณเจมส์ ชาร์พค่ะ ดิฉันทราบมาว่าเขาเข้ามารักษาตัวที่นี่เพราะถูกยิงค่ะ” ฉันบอกรายละเอียดการเข้าเยี่ยมให้กับฝ่ายต้อนรับทราบ

“เกี่ยวข้องอย่างไรกับคนไข้คะ?” ฝ่ายต้อนรับสอบถาม

“เขาเป็นพ่อของฉันค่ะ”

เธอพยักหน้าตอบรับ “สักครู่นะคะ” พนักงานต้อนรับเงียบครู่หนึ่ง พลางพิมพ์ข้อมูลใส่คอมพิวเตอร์ “ค่ะ คนไข้อยู่ในห้องฉุกเฉิน กำลังเตรียมตัวเข้ารับการผ่าตัดค่ะ เดินตรงไปจนสุดทาง จะเห็นประตูห้องฉุกเฉินอยู่นะคะ คาดว่าครอบครัวของคุณน่าจะรออยู่บริเวณนั้นด้วย”

“ขอบคุณค่ะ”

ฉันเดินตามไปเส้นทางที่พนักงานต้อนรับบอกก่อนหน้า หัวใจสั่นระรัวไปตามแรงที่ฝีเท้ากระทบพื้น

‘เขาต้องไม่เป็นไร เขาต้องหายดีและก็กลับไปใช้ชีวิตตามปกติแน่’ ฉันกระซิบกับตนเองเช่นนี้

แม้ว่าจะมีความเคลือบแคลงใจระหว่างเราสองพ่อลูกอยู่ก็ตาม ฉันก็ปราถนาให้เขาไม่เป็นไร แม้เขาและฉันจะไม่มีความใกล้ชิดกันแต่เขาก็รักโนอา เท่านี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับฉัน

ประตูถูกผลักเข้าไป ฉันพลันสังเกตเห็นแม่และทราวิสนั่งรอบริเวณเก้าอี้มุมหนึ่ง ฉันสำรวจความเรียบร้อยของตนเองและเดินไปหาทั้งสอง

“แม่คะ ทราวิส” ฉันกล่าวทักทาย

ทั้งสองมองตรงมาที่ฉัน ดวงตาของแม่แดงก่ำซึ่งเกิดจากการร้องไห้อย่างหนัก ชุดสีน้ำเงินอาบทับด้วยเลือด กลับกันทราวิสดวงตาแห้งผากแต่คงจะบอกได้ว่าเหตุการณ์นี้ส่งผลกระทบต่อเขามากเพียงใด พี่ชายยังคงประคับประคองอารมณ์อยู่เพื่อผู้เป็นแม่

ฉันเดินเข้าไปนั่งอยู่ข้างกับแม่ “เกิดอะไรขึ้นคะ แล้วตอนนี้พ่อเป็นอย่างไรบ้าง?”

คำถามไม่กี่คำกระตุ้นน้ำตาให้พรั่งพรูอีกครั้ง

“พ่อแกโดนยิงสองทีตอนขากลับจากซื้อของน่ะสิ โดนยิงตรงหน้าบ้านเลย ฉันก็เลยเรียกรถพยาบาลมารับแล้วเราก็รีบพาพ่อแกมาโรงพยาบาล หมอบอกว่ากระสุนนัดหนึ่งทะลุปอด อีกนัดก็ทะลุไต ตอนนี้พวกหมอกำลังเตรียมตัวผ่าตัดกันอยู่” เสียงของผู้เป็นแม่สะดุดเมื่อจบประโยค

ฉันพยักหน้ารับ ความต้องการในตอนนี้คือปลอบประโลมผู้เป็นแม่ ต้องการจะโอบกอดเธอ แต่ฉันคิดว่าอ้อมกอดของฉันคงไม่ได้เป็นที่ต้องการขนาดนั้น

“อย่ากังวลไปเลยค่ะ พ่อเป็นคนแข็งแกร่งที่สุดเท่าที่หนูรู้จัก พ่อจะต้องไม่เป็นไรแน่นอน” ฉันพยายามปลอบเธอ

ผู้เป็นแม่มีเสียงร่ำไห้แทนคำตอบ

หลายนาทีต่อมา เตียงคนไข้ของพ่อในชุดโรงพยาบาลก็ถูกเข็นออกมา ทราวิสรวมถึงแม่ดีดตัวลุกขึ้นและพรวดพราดไปข้างเตียง

ส่วนฉันจึงผนึกตนกับเก้าอี้อย่างเหนียวแน่น ความรู้สึกบอกว่าใบหน้าที่ผู้เป็นพ่อต้องการเห็นมากที่สุดคงเป็น เอมม่า ไม่ใช่ฉันอย่างแน่นอน

ฉันเฝ้าดูแม่ร้องไห้อยู่ข้างกายพ่อ มืออ่อนแรงของพ่อพยายามเช็ดน้ำตาที่ไหลพรากไม่หยุด เขาบอกบางสิ่งกับทราวิส ลูกชายพยักหน้ารับ ใบหน้าของพ่อสลักความแน่วแน่เอาไว้ ก่อนที่แพทย์ทั้งหลายจะพาเขาไป ฉันเห็นว่าพ่อยื่นบางสิ่งที่คล้ายกับเอกสารให้กับแม่ ซึ่งทำให้น้ำตาอาบสองแก้มเธออีกครั้ง

แม่จูบพ่อขณะแพทย์นำตัวเข้าไป แม่และทราวิสกลับมานั่งที่เดิม เราไม่ได้ต่อบทสนทนาใด ปล่อยให้การรอคอยอันยาวนานดำเนินต่อไป

ฉันลุกขึ้น เดินไปมาแล้วกลับไปนั่ง ฉันเดินไปเอากาแฟมาให้แม่และพี่ชาย ทุกเข็มนาทีเคลื่อนผ่าน ฉันยิ่งรู้สึกกังวล แม่และทราวิสเองก็เหมือนกัน… สองชั่วโมงครึ่งผ่านไป แพทย์เดินเข้ามายังห้องพักคอย

พินิจจากความหม่นหมองบนใบหน้าของแพทย์ ฉันตระหนักได้ทันทีว่าพ่อไม่กลับมาอีกแล้ว แม่เองก็สัมผัสได้เช่นกันเพราะเธอเริ่มสะอื้นไห้อีกครั้ง

“คนไข้หัวใจหยุดเต้นครับ เราพยายามอย่างสุดความสามารถแล้ว แต่ก็ไม่สามารถรักษาชีวิตของเขาเอาไว้ได้ ผมขอแสดงความเสียใจจากการสูญเสียครั้งนี้ด้วยนะครับ” แพทย์กล่าว

แม่กรีดร้องออกมาราวสัตว์ที่บาดเจ็บ ทั้งเจ็บปวดรวดร้าวและโศกเศร้า ทราวิสถลาลงไปประคองร่างแม่ก่อนที่จะล้มลง และทั้งสองนั่งกองอยู่บนพื้นน้ำตาแห่งความสูญเสียอาบแก้มของทั้งคู่

พ่อจากไปเช่นนี้ ฉันรู้ดีว่าเอมม่าจะต้องกลับมาอย่างแน่นอน
Comments (1)
goodnovel comment avatar
Nutch Khamwongsa
อ่านสนุกมากค่ะ
VIEW ALL COMMENTS

Related chapters

  • ธุลีใจ   บทที่ 3

    ฉันเอนกายอยู่บนเก้าอี้โรงพยาบาลแสนเย็นเฉียบพลางกำหนดลมหายใจเข้าออก น้ำตาของแม่ไม่มีท่าทีว่าจะหยุดเลย คำปลอบประโลมไหน ๆ คงส่งไปไม่ถึงจิตใจเธอ ฉันเจ็บปวดแทนแม่ ฉันเข้าใจเรื่องนี้ดีว่าการสูญเสียคนที่เรารักไปอย่างไม่ทันตั้งตัวนั้นไม่ง่ายเลยแม้แต่น้อยเรื่องนี้ยังเป็นเรื่องที่น่าตระหนก ฉันเผื่อใจเอาไว้ว่าพ่อจะหายดีแต่กลับกลายเป็นหายไปจากโลกแทนเสียนี่ ฉันเลยไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกอย่างไรดีความคิดเห็นของเราไม่เคยลงรอยกันและพ่อก็คงจะเกลียดฉันแต่ฉันก็รักเขา เขาเป็นพ่อผู้ให้กำเนิด ฉันจะไม่รักเขาได้อย่างไรกัน?“ไหวไหม?” โรแวนเอ่ยถามพลางนั่งลงข้างฉันชายหนุ่มเดินทางมาถึงได้ประมาณชั่วโมงกว่า และคำถามเมื่อครู่เป็นครั้งแรกที่เขาพูดกับฉันนับตั้งแต่มาถึง ฉันรับมือกับความกังวลของเขาไม่ถูก อย่างไรเสียเขาคนนี้ไม่เคยเก็บเอาความรู้สึกของฉันไปใส่ใจมาก่อน“ไหวค่ะ” ฉันฝืนตอบกลับตั้งแต่ที่รู้ข่าวฉันก็ยังไม่ได้หลั่งน้ำตาแม้เลยสักหยด อาจเพราะยังตกใจจนทำอะไรไม่ถูกหรือน้ำตาของฉันที่มีให้พ่อนั้นเหือดแห้งไปหมดแล้วก็เป็นได้ ตอนนี้สิ่งเดียวที่ฉันควรทำมากที่สุดคือประคองสติตนเองให้ไหวแทนทุกคนที่สติแตกไปแล้วเท้าคู่

  • ธุลีใจ   บทที่ 4

    คุณทั้งหลายเคยรู้สึกเหมือนตกนรกทั้งเป็นหรือเปล่า? ฉันกำลังรู้สึกเช่นนั้นอยู่เมื่อมองพวกเขา ราวกับมีใครเดินเข้ามากระชากดวงใจออกจากอกก็มิปานหากฉันเป็นคนกระชากก้อนเนื้อไร้ค่านี้และปาทิ้งไปให้พ้นตาเองได้สาบานว่าจะทำเสียตอนนี้ เพราะมันช่างเจ็บจนไร้คำบรรยายใด ๆ มาเปรียบได้ฉันต้องการหนีไปให้พ้นแต่กลับทำไม่ได้ สายตาของฉันจับจ้องทั้งสอง ไม่ว่าสมองจะสั่งให้หลีกหนีจากภาพตรงหน้าเท่าใด แต่ฉันก็ไม่อาจละสายตาไปจากฉากรักหวานชื่นเสียดแทงนัยน์ตานี้ได้ฉันเฝ้ามองทั้งสองผละอ้อมกอดจากกัน โรแวนแววตาอ่อนโยนเมื่อมองหญิงในดวงใจ ฉันมองฝ่ามือที่กำลังบรรจงประคองแก้มของเอมม่า ชายหนุ่มดึงร่างของหญิงผู้เป็นที่รักเข้าใกล้เล็กน้อย เขาไม่ได้จูบเธอเพียงแต่เอาหน้าผากแนบชิดกันเขาดูสงบสุขราวกับเดินทางมาเจอที่พักผ่อนของตนเสียที ในที่สุดเขาก็รู้สึกเติมเต็ม‘ผมคิดถึงคุณ’ ฉันอ่านการขยับปากเรียวบางนั้นออกฉันไม่อยากคิดว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นตอนนี้หากทั้งสองไม่ได้พบกันในสถานการณ์เช่นนี้ หากทั้งสองพบกันตอนที่ฉันและเขาแต่งงานกันอยู่ โรแวนจะนอกใจไปหาเอมม่าเลยหรือเปล่า?ส่วนศีลธรรมของฉันรีบโต้แย้งว่าไม่เป็นเช่นนั้นแน่แต่กลับไม

  • ธุลีใจ   บทที่ 5

    ไร้วี่แววของเหตุร้ายใด ๆ ในวันนี้ แสงแดดทอประกายตลอดเส้นทางที่คุ้นตา ดูเหมือนทุกสิ่งจะดำเนินไปได้ด้วยดีเมื่อเดินทางไปถึง โบถส์ก็เนืองแน่นไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา ทุกคนต่างพากันมาเคารพพ่อเป็นครั้งสุดท้ายฉันเดินตรวจตราดูความเรียบร้อยของสถานที่จัดงานด้วยความพอใจเมื่อเห็นว่าทุกอย่างดำเนินไปอย่างที่ควร คนอื่นแทบไม่ได้ยื่นมือเข้ามาช่วยในช่วงการจัดเตรียมงานศพ เรียกได้ว่าฉันเป็นแม่งานผู้รับผิดชอบทุกสิ่งในงานนี้ฉันไม่ได้บ่นอะไรทั้งนั้น คิดเสียว่าเป็นการตอบแทนบุญคุณผู้เป็นพ่อที่ให้กำเนิดฉันมา ยังไงเสียเขาก็ป้อนข้าวป้อนน้ำ ซื้อเสื้อผ้าและให้ที่ซุกหัวนอนแก่ฉันช่วงพิธีการกำลังจะเริ่มและผู้ร่วมงานส่วนใหญ่เข้านั่งประจำที่นั่ง ฉันตัดสินใจหลบไปนั่งอยู่อีกมุมเพราะรู้สึกผิดที่ผิดทางหากต้องไปนั่งรวมกับครอบครัวนั้น โดยเฉพาะหากต้องไปนั่งข้างเอมม่า“แม่ครับ เรามานั่งตรงนี้กันทำไมครับ… เราไม่ควรไปนั่งข้าง ๆ คุณยายหรือ?” โนอาตัวน้อยเอ่ยถามพร้อมกับชี้นิ้วไปในทิศทางที่คนอื่นนั่งอยู่แน่นอนว่าเราย่อมได้รับสายตาแปลก ๆ แต่ฉันก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ เพราะยังไงการที่ฉันเป็นแกะดำที่ไม่เคยได้รับการยอมรับจากครอบค

  • ธุลีใจ   บทที่ 6

    โรแวนความรู้สึกบางอย่างแล่นผ่านห้วงความคิดของคุณไป ยามที่คุณเห็นร่างของภรรยาเก่า ผู้เป็นแม่ของลูกโดนยิงและมีเลือดนองเต็มพื้นสุสานอันเยือกเย็น เป็นความรู้สึกที่ผมไม่เคยคิดว่าจะมีให้เอวาเมื่อผมเห็นกลุ่มชายฉกรรจ์หันกระบอกปืนเข้าใส่เรา ผมไม่ทันได้คิดอะไร ผมรู้ว่าโนอาปลอดภัยอย่างแน่นอนเพราะอยู่กับคุณปู่คุณย่า ดังนั้นสามัญสำนึกสั่งการให้ร่างกายกระโจนเข้าไปปกป้องเอมม่าทันที ผมเต็มใจตายเพื่อเธอและผมก็พร้อมจะทำเช่นนั้นผมรู้สึกโล่งใจเมื่อเห็นพวกมือปืนหนีไปเพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาควบคุมสถานการณ์ กระนั้นความโล่งใจก่อนหน้ากลับมลายสิ้นทันทีที่ได้ยินเจ้าหน้าที่เรียกหารถพยาบาล ความฉงนกระตุ้นให้ผมหันไปเพื่อหาคำตอบว่าใครกันที่เคราะห์ร้าย เข่าผมแทบทรุดลงกับพื้นเพราะคาดไม่ถึงว่าผู้เคราะห์ร้ายต้องเจ็บเจียนตายคือเอวาจากนั้นสถานการณ์ที่สับสนอลหม่านจึงเริ่มขึ้น รถพยาบาลมาถึงที่เกิดเหตุและเจ้าหน้าที่ตำรวจสวมเสื้อกันกระสุนคนนั้นกันท่าไม่ยอมห่างจากเอวาจนกว่าจะแน่ใจว่าเธอจะปลอดภัยเมื่อถึงมือแพทย์ผมรู้สึกขุ่นเคืองที่เขาไม่ยอมห่างเอวาเพราะเธอเป็นภรรยาของผม แม้ว่าจะเป็นอดีตก็ตาม แต่ที่มากกว่านั้นก็คือผม

  • ธุลีใจ   บทที่ 7

    เอวาฉันลืมตาตื่นพร้อมความปวดร้าวบริเวณหลังและแขนแล่นผ่านไปทั่วร่าง โนอานอนหลับอยู่กับฉันเพราะเมื่อคืนหลังจากดูโทรทัศน์ด้วยกัน เจ้าตัวน้อยงอแงไม่ยอมไปนอนคนเดียว รอยยิ้มปรากฎบนใบหน้าทันทีที่ความทรงจำเมื่อคืนผุดขึ้น เด็กน้อยยืนยันว่าจะทำหน้าที่ดูแลฉันอย่างแข็งขันตลอดทั้งคืนขณะนี้ราวแปดโมงเช้าได้ อาหารเช้าควรพร้อมรับประทานก่อนลูกชายจะตื่นนอน ฉันก้าวลงจากเตียงโดยที่ไม่ปลุกเขาเข้าแม้ว่าจะลำบากเล็กน้อยก็ตาม หลังจากเสร็จกิจวัตรประจำวันยามเช้าเรียบร้อย ฉันจึงเดินลงไปด้านล่าง หยุดฝีเท้าก่อนจะก้าวเข้าห้องครัวพลางสงสัยกับตนเองว่าจะทำอาหารออกมาด้วยแขนเพียงข้างเดียวได้อย่างไรขณะที่เดินไปหยิบวัตถุดิบมาเตรียมทำแพนเค้ก ความทรงจำเมื่อวานพลันแล่นเข้ามาในห้วงความคิด ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นราวกับเป็นภาพลวงจนฉันสงสัยว่ามันเกิดขึ้นจริงหรือไม่ หากไม่มีผ้าพันแผลบริเวณไหล่กับแขนที่อยู่ในสายคล้องช่วยย้ำเตือนถึงความจริง ฉันคงคิดว่าเป็นเพียงฝันร้ายเท่านั้นเมื่อฉันตื่นขึ้นมาในโรงพยาบาลหลังจากหมดสติไป ฉันก็ตื่นกลัวไม่น้อย บรรดาแพทย์และพยาบาลต่างพากันรีบเข้ามาสงบสติฉันและยืนยันว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี พยาบาลบอกฉัน

  • ธุลีใจ   บทที่ 8

    โรแวนผมเห็นจังหวะที่อารมณ์ของเอวาเปลี่ยนเป็นเฉยชา วินาทีที่แสงแห่งความอบอุ่นก่อนหน้าแปรเปลี่ยนเป็นความหนาวเหน็บทำให้ผมรู้สึกสะท้านถึงขั้วหัวใจ“คุณมาทำอะไรที่นี่?” น้ำเสียงของเธอปราศจากซึ่งอารมณ์ใด ขณะที่ผมฝืนแทรกตัวเข้าไปด้านในบ้านราวกับว่าเอวากำลังสนทนากับชายแปลกหน้าอยู่ ราวกับว่าผมเป็นแค่ฝุ่นผงไร้ค่าสำหรับเธอไปเสียแล้ว ผมจ้องมองใบหน้านั้นโดยอ่านสิ่งใดไม่ออก ผมอยู่กับผู้หญิงคนนี้มาเกือบสิบปีแต่ตอนนี้กลับหาคำดี ๆ เพียงสักคำพูดกับเธอยังไม่ได้ผมมองแขนของเธอที่ยังคล้องอยู่บนสายห้อย จุดประสงค์วันนี้คือมาตรวจดูอาการของเธอและรับโนอา เพราะนี่เป็นช่วงสุดสัปดาห์ซึ่งเป็นเวลาของผมกับลูกชายภาพของชายหนุ่มก่อนหน้าที่เห็นว่าเดินออกไปผุดขึ้นมา ผมก็คิ้วกระตุก ต้องเป็นชายคนนี้แน่ที่เอวามอบรอยยิ้มให้ เมื่อตระหนักได้ดังนี้ ผมอดไม่ได้ที่กัดฟันกรอด“ผู้ชายคนนั้นมาทำอะไรที่นี่?” ผมเอ่ยถามแทนที่จะตอบเธอพร้อมทั้งเก็บซ่อนอารมณ์เดือดดาลที่หาเหตุผลที่มาไม่ได้เอาไว้ผมรู้ว่าผู้ชายคนนั้นเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจและยังเป็นคนที่เข้ามาช่วยชีวิตเอวาเอาไว้ แต่เขาก็ล้ำเส้นเกินไป ผมไม่ชอบผู้ชายคนนั้นและไม่ต้องการใ

  • ธุลีใจ   บทที่ 9

    “แล้วคุณอยากให้ผมพูดอะไรละ? ในเมื่อผมไม่เคยหลอกลวงคุณเลย คุณเองก็รู้มาตลอดนี่ว่าผมรักเธอ” เอวาขว้างผ้าเช็ดจานด้วยความโกรธเกรี้ยว “รู้แบบนั้นแล้วก็กล้ามาแตะต้องร่างกายของฉันอีกหรือ? ให้ตายเถอะ ฉันโคตรจะเกลียดคุณเลย ไม่รู้เลยจริง ๆ ว่าคุณมีดีอะไรฉันถึงได้หลงคุณนักหนา ไม่รู้เลยจริง ๆ ว่าต้องมานั่งเสียเวลาชีวิตขนาดนี้ไปทำไมกัน”ผมกัดฟันกรอด แต่ละคำของเธอทวีความเดือดดาลของผมขึ้น แน่นอนเราทั้งสองหลับนอนด้วยกันช่วงแต่งงาน แต่นั่นเป็นความสุขและสนุกทางกายเท่านั้น ผมให้คำสัตย์สาบานไว้ตอนแต่งงาน แม้ว่าผมจะไม่ได้รักเธอแต่ผมก็ไม่ได้ผิดคำสัตย์สาบานด้วยการนอกใจเธอ“ผมไม่ได้มาคุยเรื่องอดีต ผมมาเพราะอยากคุยเรื่องโนอา” ผมพูดเปลี่ยนประเด็นเรื่องราวเริ่มเลยเถิดไปไกลแล้ว ผมจำเป็นต้องพูดประเด็นที่ผมเดินทางมาที่นี่ และรีบจากไปก่อนจะทำหรือพูดอะไรที่ผมต้องมานั่งเสียใจภายหลังชื่อของโนอาเสมือนเครื่องเตือนสติหญิงสาว ดังนั้นเอวาจึงไม่ตอบโต้กลับ เพียงเดินไปเปิดตู้และนำขวดยาออกมา เธอเปิดขวดยาด้วยมือเพียงข้างเดียวและกินยาเข้าไปสองเม็ดเมื่ออ่านฉลากยาผ่านสายตา ผมจึงตระหนักได้ว่านั่นคือยาบรรเทาอาการปวด“แขนคุ

  • ธุลีใจ   บทที่ 10

    เอวา“ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีครับแม่ว่าทำไมผมต้องไปด้วย อยู่กับแม่แบบนี้ไม่ได้หรือ?” โนอาบ่นอุบ ความบูดบึ้งปรากฎบนใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาเด็กน้อยไม่พอใจตั้งแต่วินาทีที่ฉันอธิบายกับลูกว่าต้องไปอยู่กับคุณปู่คุณย่าช่วงหนึ่งลูกชายกระโดดโลดเต้นในแวบแรก และกลายเป็นหน้าหงอยเมื่อพบว่าทั้งพ่อและแม่ตนไม่ได้ไปด้วยทางโรงเรียนของโนอาเข้าใจถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นอย่างดี แม้แต่คุณครูก็เข้าใจเช่นกัน ดังนั้นจึงตั้งใจส่งบทเรียนและการบ้านผ่านทางแม่เพื่อให้เด็กชายไม่ห่างหายการเรียนนานจนเกินไป “แม่บอกแล้วนี่ลูก นี่เป็นวันหยุดพักผ่อนแบบปู่ย่ายายหลานไง…ดังนั้น ก็ต้องมีแค่ลูก คุณปู่ คุณย่าแล้วก็คุณยายไปไงจ๊ะ”หลังจากพูดคุยกับกับหัวหน้าทีมคุ้มกัน ได้รับการยืนยันว่าทุกคนจะไปเก็บซ่อนตัวแถบเมืองชายทะเล“ลูกจะไปเที่ยวทะเลด้วยนะ ลูกขอให้พ่อกับแม่พาไปเที่ยวไม่ใช่เหรอ?” ฉันเสริมคำบรรยายด้วยรอยยิ้มแสนหยอกเย้าคำว่า ‘ทะเล’ สามารถล่อซื้อจิตใจเด็กชายได้โดยง่าย คำบ่นอุบต่าง ๆ นานาก่อนหน้าเงียบลงทันตาโนอานั้นชื่นชอบทะเลและมหาสมุทรเป็นชีวิตจิตใจ เด็กน้อยชอบทะเลมากเสียจนครั้งหนึ่งเคยร้องไห้งอแงทั้งอาทิตย์ หล

Latest chapter

  • ธุลีใจ   บทที่ 397

    ฮาร์เปอร์สัปดาห์นี้วุ่นวายสุด ๆ เหมือนฉันวิ่งทำธุระตั้งแต่กลับมาที่เมืองนี้โดยไม่ได้พักเลยสักนิดอย่างน้อยตอนนี้ลิลลี่ก็ดูสบายขึ้นแล้ว เกเบรียลไม่ยอมส่งที่นอนของเธอมาเพราะบอกว่าที่นอนที่นี่สบายกว่า แต่เขายอมส่งผ้าปูที่นอนกับผ้าห่มมาให้แทน ซึ่งมันช่วยได้เยอะเลย ตอนนี้เธอหลับสบายตลอดทั้งคืนส่วนเกเบรียล ฉันจะเริ่มจากตรงไหนดี? เขากลับมาบ้านแม้จะดึกดื่นขนาดไหน แต่ก็เท่านั้นเอง เราสองคนพยายามหลบหน้ากัน ต่างทำเหมือนกับว่าอีกฝ่ายไม่มีตัวตนอยู่ในชีวิต ฉันคิดว่าแบบนี้ดีกว่า อย่างน้อยลิลลี่จะได้ไม่เห็นเราทะเลาะกันตลอดเวลา“แม่คะ แม่อยากคุยกับหนูเหรอ?” เสียงของลิลลี่ดึงฉันกลับมาสู่ปัจจุบันฉันวางผ้าที่กำลังพับอยู่ลง แล้วนั่งลงบนเตียงก่อนจะส่งสัญญาณให้เธอมานั่งด้วยกัน เธอเดินข้ามห้องมาพร้อมขมวดคิ้ว ก่อนจะนั่งลงข้าง ๆ ฉันเราอยู่ในห้องของฉัน อย่างที่เดาได้ว่าเกเบรียลกับฉันไม่ได้นอนห้องเดียวกัน ซึ่งนั่นเป็นสิ่งหนึ่งที่ฉันไม่รู้ว่าจะอธิบายให้ลิลลี่เข้าใจอย่างไร เพราะเธอต้องสงสัยแน่ ๆ ในเมื่อก่อนหน้านี้ฉันกับเลียมเคยนอนร่วมห้องกัน“แม่คะ?”“ขอโทษนะลูก มีบางอย่างที่แม่อยากจะอธิบายให้หนูฟัง” ฉั

  • ธุลีใจ   บทที่ 396

    แผ่นหลังของผู้หญิงคนนั้นหันมาทางฉัน รวมถึงกันเนอร์ด้วย ฉันไม่ต้องกังวลเรื่องคาลวินเพราะเขาดูเหมือนตกอยู่ในห้วงความหลงใหล เขาใส่ใจกับทุกสิ่งที่ผู้หญิงคนนั้นพูด พร้อมรอยยิ้มอ่อนโยนเด่นชัดบนริมฝีปากอีกครั้งที่ความรู้สึกไม่สบายใจจมลึกลงในหัวใจของฉัน ทำไมฉันถึงรู้สึกเหมือนหายใจได้ไม่ทั่วท้อง? เหมือนมีหินก้อนใหญ่ติดอยู่ในลำคอฉันเพ่งสายตามองไปยังพวกเขา แม้จะไม่ได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูดเพราะโต๊ะอยู่ห่างออกไป แต่ความสงบสุขและความสุขบนใบหน้าของคาลวินก็เพียงพอที่จะบอกฉันว่าเกิดอะไรขึ้น เขากำลังออกเดต และกันเนอร์ก็มาด้วย ผู้หญิงคนนั้นดูเหมือนไม่ได้รังเกียจอะไร แต่ฉันไม่มีวันปล่อยให้ผู้หญิงคนอื่นมาแทนที่ฉันในชีวิตของลูกชายเด็ดขาดถึงแม้ฉันจะมองไม่เห็นกันเนอร์ แต่ฉันรู้ว่าเขาเหมือนกับคาลวิน กันเนอร์เองก็มีความสุขที่ได้อยู่ที่นั่น เพราะถ้าไม่ใช่แบบนั้น คาลวินคงพาลูกชายกลับไปแล้วแต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ฉันยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น ทั้งที่รู้สึกเหมือนหัวใจถูกฉีกออกเป็นชิ้น ๆ ฉันไม่รู้ว่าฉันนั่งอยู่นานแค่ไหน แต่สุดท้ายก็ทนไม่ไหว การได้เห็นเขามีความสุขกลับทำให้ฉันเจ็บปวดอย่างประหลาด มันเหมือนหัวใจถูกบดขยี้

  • ธุลีใจ   บทที่ 395

    คำพูดของมอลลี่ยังคงก้องอยู่ในหัว แม้กระทั่งตอนที่เรากำลังกินของหวาน ฉันชอบไอศกรีมมาก แต่วันนี้ฉันกลับไม่สามารถสนุกกับมันได้เลย โดยเฉพาะเมื่อเธอสามารถทำให้ฉันเริ่มสงสัยในทุกสิ่งที่ฉันเชื่อมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา"ทำไมเธอเงียบจัง?" มอลลี่ถามขณะที่วางแก้วมิลค์เชคลง "หรือเธอกำลังคิดถึงสิ่งที่ฉันเพิ่งพูด?"ประโยคสุดท้ายมาพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ขณะที่เธอเอนหลังพิงเก้าอี้"เปล่า" ฉันโกหก "แค่กำลังคิดว่าฉันจะทำยังไงให้คาลวินกับกันเนอร์ยกโทษให้ฉัน ไม่ว่าฉันจะมองมุมไหนก็ไม่มีทางออกที่ดีเลย"ในฐานะทนายความ ฉันเคยชินกับการมองสถานการณ์จากหลายมุมมองเวลาปกป้องลูกความของฉัน นั่นคือสิ่งที่ทำให้ฉันเก่งในสิ่งที่ฉันทำ ฉันไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดมือและพิจารณาทุกผลลัพธ์ที่เป็นไปได้ ฉันทำแบบนั้นกับสถานการณ์นี้แล้ว แต่กลับไม่พบความหวังเลยฉันอาจไม่ได้รักคาลวิน แต่ฉันรู้จักเขาเป็นอย่างดี เขาเคยให้โอกาสฉันนับครั้งไม่ถ้วนเพื่อให้ฉันจัดลำดับความสำคัญของชีวิตให้ถูกต้อง แต่ฉันกลับไม่ทำ คาลวินเป็นคนที่เมื่อเขาถึงจุดที่ทนไม่ไหว มันก็จบ ไม่มีการย้อนกลับ ไม่มีโอกาสอีก ไม่มีการให้อภัยฉันจะนั่งหลอกตัวเองที่นี่ก็ได้ แต่ฉัน

  • ธุลีใจ   บทที่ 394

    "ทำไมฉันถึงยอมให้เธอชวนฉันออกไปกินข้าวกลางวันด้วยนะ?" ฉันบ่นพลางมองทิวทัศน์ด้านนอกที่ผ่านไปอย่างรวดเร็วฉันไม่ได้ออกจากบริเวณของครอบครัวมานานแล้ว ครั้งสุดท้ายน่าจะเป็นตอนที่ฉันไปงานแต่งงานของเอวา บอกตามตรง ฉันตกใจมากตอนที่เธอเชิญฉันไปงานนั้น ในบรรดาคนทั้งหมด ฉันคิดว่าฉันน่าจะเป็นคนที่เธอไม่อยากให้ไปร่วมงานแต่งงานมากที่สุด“ก็เพราะเธอจำเป็นต้องออกไปข้างนอกบ้างไง” มอลลี่ตอบพลางดึงฉันกลับมาสู่บทสนทนา“ฉันก็ออกจากบ้านนะ มอลลี่” ฉันพูดปกป้องตัวเองเสียงหัวเราะเยาะของเธอทำให้ฉันหงุดหงิดมาก“เดินไปที่สวนไม่เรียกว่าการออกไปข้างนอกหรอกย่ะ” เธอตอบโต้ “เลิกบ่นแล้วนั่งพักผ่อนเถอะ เธอจะสนุกกับการออกไปเที่ยวเล็ก ๆ ครั้งนี้ รับรองเลย”“ไม่มั้ง”เมื่อพูดจบ ฉันเอนหลังพิงเก้าอี้แล้วหลับตาลง ความคิดในหัวของฉันวิ่งวุ่นไปเป็นพันเรื่องในแต่ละนาที ฉันจับพวกมันไว้ไม่ได้หรือควบคุมมันไม่ได้เลยตั้งแต่คุยกับมอลลี่ในห้อง ความคิดของฉันก็วิ่งพล่านไปทั่ว ฉันรู้ว่ามันคงไม่ง่าย แต่เธอพูดถูก ฉันจะมัวแต่นั่งอยู่ในห้อง จมปลักและสาปแช่งความโง่ของตัวเองต่อไปไม่ได้ ถ้าฉันยังเป็นแบบนี้ ฉันอาจไม่มีโอกาสได้อยู่กับลูกชา

  • ธุลีใจ   บทที่ 393

    เอมม่า"ออกจากห้องบ้างเถอะนะ เอมม่า ลูกไม่ควรใช้เวลาทั้งวันติดอยู่ในห้องรก ๆ แบบนี้" แม่บอกฉัน แต่ฉันไม่แม้แต่จะเหลือบมอง เฝ้าแต่จดจ้องอยู่ที่ซีรีส์เศร้าที่กำลังดูอยู่ฉันนั่งอยู่บนเตียง ยังสวมชุดนอนอยู่ พร้อมของว่างกระจายอยู่รอบ ๆ ผ้าห่ม มีเครื่องดื่มหลากหลายชนิดและถังไอศกรีมที่ฉันกำลังจมปลักอยู่ ผ้าม่านถูกปิดมืดสนิทเพราะฉันเพิ่งติดตั้งม่านกันแสงเมื่อไม่กี่เดือนก่อน"นั่นแหละที่หนูพยายามบอกมันอยู่เนี่ย แต่มันไม่ยอมฟังหนูเลยคะแม่" มอลลี่พูดขึ้นฉันรู้สึกได้ว่าเธอกำลังจ้องฉันด้วยสายตาดุดัน แต่ฉันไม่สนใจเลยสักนิด ฉันแค่อยากอยู่คนเดียวเพื่อจมอยู่กับความทุกข์ของตัวเอง เพราะท้ายที่สุดแล้ว ฉันก็เป็นคนที่ทำให้ตัวเองต้องมาเจอเรื่องแบบนี้"กันเนอร์จะพูดว่ายังไงถ้าหลานเห็นลูกในสภาพนี้? ทั้งตัวเองและห้องก็ดูไม่ได้เลย ไม่รู้เลยว่าลูกหวีผมครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ หรืออาบน้ำครั้งสุดท้ายตอนไหน" แม่พูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจฉันสะดุ้งขึ้นทันทีที่ได้ยินชื่อกันเนอร์ แล้วหันไปหาแม่ทันที"ลูกถามถึงหนูเหรอ? อยากเจอหนูใช่ไหม?" ฉันถามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหวังแม่ใช้เวลาอยู่กับเขา เช่นเดียวกับทราวิส

  • ธุลีใจ   บทที่ 392

    ทันทีที่พวกเราเข้าไปในโบสถ์ ฉันก็สังเกตเห็นโรแวนในทันที เขาอยู่ในชุดสูทสีดำเช่นเดียวกับน้องชายของเขา เราเดินไปยังด้านหน้าของโบสถ์พร้อมกับที่บาทหลวงเดินเข้ามา"สวัสดีครับ คุณฮาร์เปอร์" โรแวนกล่าวทักทายอย่างสุภาพพร้อมรอยยิ้มที่ดูอบอุ่นฉันถึงกับตกตะลึง โรแวนดูเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ไม่เหมือนกับคนที่ฉันเคยรู้จักมาก่อน เมื่อก่อนเขามักจะดูเย็นชาและห่างเหิน เหมือนมีบางอย่างคอยถ่วงจิตใจเขาไว้ และมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ แต่ตอนนี้เขากลับดูอบอุ่นราวกับความมืดที่เคยครอบงำเขาได้เลือนหายไป"สะ…สวัสดีค่ะ" ฉันตอบกลับอย่างตะกุกตะกักฉันอดสงสัยไม่ได้ว่าเขากลับไปคืนดีกับแฟนเก่าหรือยัง เพราะทุกคนรู้ว่าเขาเปลี่ยนไปหลังจากเสียเธอไปและต้องแต่งงานกับเอวา ใช่ นั่นคงจะเป็นเหตุผล เขาเกลียดเอวา การเปลี่ยนแปลงนี้น่าจะเกี่ยวกับเอมม่า พี่สาวของเอวา"เริ่มกันเลยไหม?" บาทหลวงพูดขัดขึ้นมา และเราสามคนก็พยักหน้าตอบรับฉันยืนอยู่ข้าง ๆ เกเบรียล ในขณะที่โรแวนยืนอยู่ด้านหลังเราฉันพยายามไม่สนใจคำกล่าวของบาทหลวง เพราะฉันไม่ได้มีอะไรขัดแย้งกับโบสถ์ แต่ฉันคิดว่ามันคงง่ายกว่านี้ถ้าเกเบรียลตกลงทำพิธีที่อำเภอแทนไม่รู้ว่าผ

  • ธุลีใจ   บทที่ 391

    ฉันบรรจงลงแปรงปัดหน้าเป็นครั้งสุดท้ายก่อนมองตนเองในกระจก ฉันรู้สึกสติกระเจิงเพราะว่าวันนี้เป็นวันแต่งงานครั้งที่สาม ตอนฉันคิดอย่างนั้นมันก็ดูเหมือนเป็นเรื่องแย่ถูกไหม? สิ่งเดียวที่ทำให้ฉันรู้สึกสงบใจได้นั่นคือการที่ฉันได้แต่งงานกับชายที่เคยแต่งงานด้วยเมื่อหลายปีก่อนหน้า ซึ่งก็คือสามีคนแรกของฉันฉันสวมใส่ชุดและหยิบกระเป๋าพร้อมเดินออกจากห้อง อากาศที่แทรกผ่านกายเหมือนประกายไฟฟ้าที่ปกคลุมวิญญาณเอาไว้เกเบรียลนำร่างหนังสือสัญญาฉบับใหม่มาให้ในเย็นวันนั้นทันทีที่เรียบร้อย และวันต่อมา เราก็เดินทางไปหาบาทหลวงเพื่อดำเนินการเรื่องต่าง ๆ“พร้อมไหม?” เกเบรียลเอ่ยถามเมื่อเราเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่นรอฉันไม่ได้ตอบอะไร รู้สึกเหมือนความคิดมันติดชะงัก ฉันจึงพยักหน้าตอบกลับเท่านั้น“แล้วทำไมหนูไปด้วยไม่ได้?” ลิลลี่สะอื้นไห้ซึ่งทำให้ฉันหันไปหาเธอลูกสาวนั่งอยู่บนโซฟารูปตัวแอลด้วยหน้าบึ้งตึง มือกอดอกแน่น เธอไม่ใช่เด็กที่อารมณ์ร้อนแต่อย่างไร เพียงแค่ไม่เคยชินกับสถานนี้ก็เท่านั้น “มีแค่ผู้ใหญ่ที่ไปได้นะลูก” ฉันตัดบทอย่างง่าย ๆ “คุณชารอนอยู่นี่แล้วไงลูก เดี๋ยวเธอจะดูแลลูกเองจนกว่าเราจะกลับมา”ชารอน

  • ธุลีใจ   บทที่ 390

    เขาผลักสำเนาเอกสารข้ามโต๊ะ ฉันรับเอาไว้และอ่าน ฉันต้องให้ทนายส่วนตัวช่วยตรวจสอบอีกครั้งหนึ่งหลังจากนี้ แต่ก็เป็นเรื่องที่ดีที่ได้อ่านข้อสัญญาด้วยตนเองก่อน สิ่งหนึ่งที่พี่ชายฉันสอนมา ก็คือคนเราไม่ควรลงนามในเอกสารอะไรหากไม่ได้อ่านด้วยตนเองก่อนเรื่องต่าง ๆ ที่เราได้คุยกันไว้ก่อนหน้าระบุเอาไว้ในนี้หมดแล้ว สัญญาฉบับนี้มีผลอยู่อย่างน้อยสองปี และเมื่อสิ้นสุดสัญญานี้ ฉันจะได้รับบริษัทยูนิตี้ เวนเจอร์และค่าเลี้ยงดูชดเชยด้วย รวมถึงเกเบรียลยังช่วยดูแลเรื่องต่าง ๆ ของลิลลี่ต่อด้วย เขาแสดงเจตจำนงว่าต้องการรับเลี้ยงลิลลี่เป็นบุตรสาว รวมถึงจะต้องใช้นามสกุล วู้ด ตามด้วยสิ่งเหล่านี้สำคัญต่อฉันมากที่สุด และหลังจากอ่านทบทวนอยู่หลายครั้ง ฉันก็วางสำเนาเอกสารนี้ลง“มีข้อกังขาอะไรไหม?” เขาเอ่ยถามพร้อมยื่นปากให้ “ไม่มีนะ แต่เพิ่มข้อตกลงเข้าไปอีก” ฉันจ้องมองปากกาแต่ยังไม่หยิบขึ้นมา“ข้อตกลงแบบไหนล่ะ?”ฉันสูดหายใจเข้าลึกพร้อมเงยหน้าขึ้น “ข้อแรก ฉันต้องการความซื่อสัตย์ การแต่งงานของเราก่อนหน้านี้เป็นความลับ ซึ่งก็ทำให้คุณมีสิทธิ์นอกใจฉันได้ อย่างที่บอกไปจุดนี้ควรได้รับการประกาศออกไปอย่างเป็นทางการ มันได

  • ธุลีใจ   บทที่ 389

    ฮาร์เปอร์นี่ก็เกือบอาทิตย์หนึ่งแล้วตั้งแต่ที่เกเบรียลทิ้งเราเอาไว้กับคนขับรถของเขาและขับรถออกไป เราไม่ได้ข่าวคราวอะไรจากเขาเลย และไม่ได้เห็นหน้าเขาเลยด้วยซ้ำ เนื่องจากเจ้าตัวไม่ได้อยู๋ที่นั่นด้วย ซึ่งทำให้ฉันเชื่อว่าเขาไปอยู่กับหวานใจคนใดคนหนึ่งแน่เรื่องการลงหลักปักฐานเป็นเรื่องยากลำบากโดยเฉพาะสำหรับลิลลี่ ลูกสาวเป็นประเภทที่ไม่สามารถนอนหลับได้สนิทหากไม่ใช่เตียงนอนที่คุ้นเคย แน่นอนว่าเตียงนอนนั้นสุดยอด ฟูกนอนนุ่มสบายกว่าอันเดิมที่บ้านเก่าเรามาก กระนั้นมันก็ไม่ใช่เตียงนอนของลิลลี่อยู่ดีเมื่อถึงจุดนี้ ฉันคงต้องร้องขอให้เกเบรียลช่วยย้ายเตียงอันเดิมหากหลายสิ่งยังคงเป็นสภาพนี้อยู่ ลิลลี่แทบนอนไม่หลับหรือนอนได้เพียงสามถึงสี่ชั่วโมงแล้วก็ตื่นนอนอยู่ดี ฉันต้องคอยอยู่เป็นเพื่อนลูกเพื่อให้เธอได้นอนหลับสบายฉันรู้สึกไม่สบายใจเลย มักเอาแต่สงสัยว่าฉันตัดสินใจถูกแล้วหรือไม่ที่ยอมตกลงแต่งงานอีกครั้งหนึ่ง ใช้ชีวิตร่วมกับเกเบรียลเปรียบเสมือนอยู่ในนรก….หรือว่าถึงขั้นต้องต่อสู้เพื่อแย่งสิทธิ์เลี้ยงดูลิลลี่มา? ฉันรักลูกสาวเป็นอย่างมาก แต่ฉันรู้สึกพร้อมจริง ๆ เหรอสำหรับเรื่องการแต่งงานกับเกเบรียลอีก

Scan code to read on App
DMCA.com Protection Status