Share

บทที่ 3

ฉันเอนกายอยู่บนเก้าอี้โรงพยาบาลแสนเย็นเฉียบพลางกำหนดลมหายใจเข้าออก น้ำตาของแม่ไม่มีท่าทีว่าจะหยุดเลย คำปลอบประโลมไหน ๆ คงส่งไปไม่ถึงจิตใจเธอ ฉันเจ็บปวดแทนแม่ ฉันเข้าใจเรื่องนี้ดีว่าการสูญเสียคนที่เรารักไปอย่างไม่ทันตั้งตัวนั้นไม่ง่ายเลยแม้แต่น้อย

เรื่องนี้ยังเป็นเรื่องที่น่าตระหนก ฉันเผื่อใจเอาไว้ว่าพ่อจะหายดีแต่กลับกลายเป็นหายไปจากโลกแทนเสียนี่ ฉันเลยไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกอย่างไรดี

ความคิดเห็นของเราไม่เคยลงรอยกันและพ่อก็คงจะเกลียดฉันแต่ฉันก็รักเขา เขาเป็นพ่อผู้ให้กำเนิด ฉันจะไม่รักเขาได้อย่างไรกัน?

“ไหวไหม?” โรแวนเอ่ยถามพลางนั่งลงข้างฉัน

ชายหนุ่มเดินทางมาถึงได้ประมาณชั่วโมงกว่า และคำถามเมื่อครู่เป็นครั้งแรกที่เขาพูดกับฉันนับตั้งแต่มาถึง ฉันรับมือกับความกังวลของเขาไม่ถูก อย่างไรเสียเขาคนนี้ไม่เคยเก็บเอาความรู้สึกของฉันไปใส่ใจมาก่อน

“ไหวค่ะ” ฉันฝืนตอบกลับ

ตั้งแต่ที่รู้ข่าวฉันก็ยังไม่ได้หลั่งน้ำตาแม้เลยสักหยด อาจเพราะยังตกใจจนทำอะไรไม่ถูกหรือน้ำตาของฉันที่มีให้พ่อนั้นเหือดแห้งไปหมดแล้วก็เป็นได้ ตอนนี้สิ่งเดียวที่ฉันควรทำมากที่สุดคือประคองสติตนเองให้ไหวแทนทุกคนที่สติแตกไปแล้ว

เท้าคู่หนึ่งย่างก้าวมาหยุดตรงปลายวิสัยและเมื่อวาดสายตาขึ้นไปก็เห็นว่าทราวิสกำลังจ้องมองฉันอยู่ แววแห่งความอบอุ่นไม่เคยปรากฎอยู่ในสายตาคู่นั้นเลย ฉันรู้ตัวดีว่าสิ่งที่ทำลงไปคืนนั้นผิดมหันต์ แต่ฉันยังชดใช้ให้กับเรื่องคืนนั้นไม่มากพอหรืออย่างไร?

“มีอะไร?” ฉันถาม

“แม่โทรไปหาเอมม่าบอกว่าพ่อโดนยิง อีกสักพักคงมาถึง แม่ยังไม่ได้บอกเรื่องที่พ่อเสียแล้วด้วย” เขาเอ่ย

ฉันได้ยินเสียงโรแวนสูดหายใจเข้าลึก ดูเหมือนว่าสัญญาณจากเขาเมื่อครู่จะบอกได้ชัดว่าชื่อเอมม่ามีผล

กระทบต่อชายหนุ่ม ความอบอุ่นจากเขาเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นความหนาวเหน็บ ฉันตระหนักได้ว่าเสียเขาไปอีกแล้ว

“รู้แล้ว” ฉันพึมพำตอบกลับเพราะไม่รู้จะพูดอะไร

ฉันไม่ได้พูดกับพี่สาวหลายปี และสงสัยว่าเธอจะอยากอยู่ในที่เดียวกับฉันไหมในเมื่อเธอชังน้ำหน้าฉันเสียปานนั้น

“ฉันอยากให้แกทำตัวดี ๆ แล้วอย่าไปยุ่งกับเธอ” แม่กล่าวเสริม พลางปาดน้ำตาบนใบหน้า

“แม่คะ แม่ก็รู้นี่ว่าสิ่งที่แม่ขอมันแทบเป็นไปไม่ได้”

“ฉันไม่สนหรอกนะว่าจะเป็นไปได้หรือเปล่า ลูกสาวของฉันต้องระหกระเหินออกจากบ้านไปตั้งเก้าปีเพราะโดนแกทรยศหักหลัง คิดว่าฉันจะยอมให้แกทำเรื่องแบบนี้อีกหรือ ยิ่งตอนที่พ่อของแกไม่อยู่แล้วแบบนี้ด้วย ครอบครัวก็ยิ่งต้องกลับมาพึ่งพากันสิ” แม่กัดฟันพูด

ฉันชิงชังพวกเขาที่เอาแต่รื้อฟื้นอดีตออกมาทับถมกันเสียจริง ที่ผ่านมาฉันชดใช้ความโง่เง่าและไร้เดียงสาไม่พออีกหรือ? แต่พวกเขาก็ยังทรมานกันไม่เลิก

“เผื่อแม่อาจจะลืมไปนะคะ หนูก็เป็นลูกสาวของแม่เหมือนกัน หรือว่าหนูมันตายจากแม่ไปแล้ว?”

ฉันพลันยืนขึ้นและเดินออกไปโดยไม่อยู่รอฟังคำตอบ ฉันต้องออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์และใช้เวลาไตร่ตรอง

เมื่อได้ออกมาด้านนอก ฉันสูดอากาศเยียบเย็นเข้าปอด น้ำตากลับเอ่อขึ้นมาแต่ฉันจะไม่ร้องไห้อีก ฉันมาทำอะไรที่นี่กันแน่? แม่จะโทรมากวนทำไมถ้าคิดว่าตนเองมีลูกสาวอยู่แค่คนเดียวอย่างนั้น?

เศษเสี้ยวในจิตใจส่วนหนึ่งสั่งให้ฉันรีบเดินออกไปและอย่าหันหลังกลับมาอีก เพราะยังไงซะฉันก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวนี้เลย และพวกเขาเองก็ไม่เคยมองว่าฉันเป็นครอบครัวเช่นเดียวกัน ฉันควรจะเดินออกจากที่นี่ไปเสียให้พ้นและลืมพวกเขาไปเหมือนอย่างที่พวกเขากระทำกับฉัน

“คุณคะ ไม่ทราบว่าใช่ลูกสาวของคนไข้ เจมส์ ชาร์พหรือเปล่าคะ?” จู่ ๆ พยาบาลคนหนึ่งเดินมาด้านหลังทำให้ฉันสะดุ้งตกใจ

ฉันพยักหน้าตอบรับหลังจากปรับให้ใจที่เต้นระรัวสงบลง

“รบกวนมาด้วยหน่อยกันค่ะ เนื่องจากจำเป็นต้องยืนยันร่างผู้เสียชีวิต” เธอกล่าวกับฉันอย่างอ่อนโยน อาจเป็นเพราะเป็นห่วงความรู้สึกของฉัน

“ได้ค่ะ สักครู่นะคะ”

พยาบาลคนนั้นเดินจากไปเพื่อให้เวลาฉันได้ตัดสินใจ แม้ว่าพ่อจะไม่ดูดำดูดีแต่เขาก็ยังเลี้ยงดูฉันมาดังนั้นฉันจึงติดค้างเขา ด้วยเหตุนี้ฉันจึงตัดสินใจได้ว่าจะจัดงานศพให้เหมาะสมก่อนจะโบกมือลาครอบครัวแบบนี้เสียที

ให้พวกเขาเป็นครอบครัวเล็ก ๆ ที่แสนวิเศษกันไป พวกเขาไม่ต้องมาทนกับฉันอย่างที่ผ่าน ๆ มาอีก

หลังจากเดินเข้าไปด้านใน ฉันเอ่ยถามทางเพื่อจะไปยังห้องดับจิต เมื่อเดินไปถึงทุกคนที่เหลือก็ยืนยันร่างผู้เสียชีวิตเรียบร้อย

ฉันกวาดตามองไปยังร่างตรงหน้าซึ่งนอนแน่นิ่งอยู๋ในห้องดับจิต ใบหน้าของเขาช่างสงบราวกับว่าเพียงแค่หลับไปเท่านั้น ใคร ๆ ก็คงมองว่าเขาเพียงพักสายตา หาใช่ลาจากโลกนี้ไปอย่างความจริงที่เป็น วิญญาณของเขาเริ่มออกเดินทางไปยังดินแดนแสนไกลแล้ว

“ลาก่อนค่ะพ่อ” ฉันเอ่ยคำลา

ฉันมองร่างของพ่อเป็นครั้งสุดท้ายก่อนเดินออกจากห้องดับจิตไป ความหนักอึ้งที่หัวใจแบกรับเอาไว้ถูกสลัดทิ้งไปเมื่อตระหนักได้ว่าพ่อไม่ใช่เพียงแค่คนเดียวที่ฉันจะเอ่ยคำลา พวกเขาไม่มีวันจะรักฉัน ถึงเวลาที่ฉันต้องเลิกเพ้อฝันเสียที

ฉันเดินออกไปนั่งอยู่บริเวณพักคอยบนเก้าอี้ที่ห่างไกลจากสายตาพวกเขาที่สุด แม่กำลังสาละวนอยู่กับเอกสารและใบเสร็จต่าง ๆ ทราวิสเหม่อลอยจ้องมองกำแพงอย่างว้าเหว่ ส่วนโรแวนก็ไม่ได้ร่วมอยู่ตรงนี้

ฉันนั่งคิดทบทวนถึงสิ่งที่ต้องทำหลังจากนี้ แทบเป็นไปไม่ได้ที่จะหลีกเลี่ยงจากพวกเขาแต่ฉันก็ตั้งมั่นกับตนเองเอาไว้แล้ว นี่คงเป็นหนทางเดียวที่จะรักษาความสบายใจของตนเอง ฉันเบื่อหน่ายเสียเหลือเกินกับการจมอยู่กับกองทุกข์เช่นนี้ เบื่อหน่ายกับการที่ปล่อยให้คนเหล่านี้มาทำร้ายจิตใจของฉันอยู่ร่ำไป

เสียงหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจและสายตาของฉันไปได้ เมื่อฉันมองเห็นเธอ เธอก็ยังสวยสะพรั่งอย่างเคย ผมยาวสลวยสีบลอนด์ ขายาวเรียว ใบหน้ารูปหัวใจได้ทรง และรูปร่างเย้ายวนชวนชายทุกผู้ทุกนามสะท้านไปทั้งใจ

ทราวิสกอดเธอพลางกล่าวคำปลอบประโลม เป็นหนังคนละม้วนกับตอนที่ฉันเดินทางมาถึง ความโหยหาและความเจ็บปวดกระหน่ำเข้าใส่ฉันอีกครั้ง แต่ฉันสะกดกลั้นมันเอาไว้

พี่น้องทั้งสองผละจากกัน เป็นช่วงเวลาเดียวกับโรแวนเดินมาพอดี ทันทีที่เขาเห็นเธอ ขาเขาก็ชะงักทันใด ฉันมองเห็นว่าเขากลืนน้ำลาย

“เอมม่าหรือ?” เขาสะอื้นเรียกชื่อเธอ เพียงคำเดียวกลับมีหลากหลายอารมณ์แฝงอยู่

ศีรษะของเอมม่าหันไปตามทิศทางของเสียงเรียก วินาทีที่ตาทั้งสองบรรจบกัน สรรพสิ่งรอบกายพลันเลือนหายไปหลงเหลือเพียงสองคน อ้อมแขนทั้งสองคนโผเข้ากอดกันรวดเร็วยิ่งกว่าความเร็วของเดอะ แฟลชซะอีก

หากว่าการที่เห็นทราวิสกอดเอมม่าทำให้ฉันเจ็บปวดแล้ว ฉันก็คงไม่รู้ว่าภาพนี้จะฉีกทึ้งฉันได้แค่ไหน ทำให้ฉันพังทลายได้แค่ไหน

เอมม่ากลับมาแล้ว นาทีที่เห็นเธออยู่ในอ้อมแขนของโรแวน คงไม่มีใครต้องมาตอกย้ำความจริงกับฉันอีก ความจริงที่เขายังรักเธอหมดทั้งใจไม่ว่าเวลาจะผ่านนานเท่าใดก็ตาม

Related chapters

Latest chapter

DMCA.com Protection Status