.... สะโพกสอบกระหน่ำรัวจนขาเตียงหัก....
"เอ๊าะ!!! อึก!!!"
เจ็บ!!!
เสียงร้องนั้นไม่ใช่ในนิยายที่กำลังอ่านหลอกนะแต่เป็นเสียงของฉันเอง ฉันชื่อ น้ำขิง สาวแว่นร่างอวบ ที่เกาะคานทองไว้อย่างเหนียวแน่นไม่ใช่ว่าฉันอยากจะเกาะนะ แต่มันลงไม่ได้เพราะไม่มีผู้ชายคนไหนมาเฉียดใกล้ จะมีก็แต่พระเอกในนิยายเท่านั้นให้จินตนาการถึง แต่วันนี้คิดว่าตัวเองเป็นนางเอกอยู่ดีๆ กำลังฟินเป็นอย่างมากก็รู้สึกเจ็บแน่นหน้าอก ก่อนทุกอย่างจะดับวูบไป รู้สึกตัวอีกทีก็มองเห็นสภาพตัวเองนอนฟุบหน้ากลมๆ อยู่บนหนังสือนิยายที่อ่านก่อนจะกลายเป็นวิญญาณอย่างที่เป็นอยู่ในขณะนี้ แต่ที่ฉันรับไม่ได้คือหน้าหนังสือที่เปิดค้างไว้นั้นคือฉากกำลังเสียวของพระนาง ไม่นะ!!! หากคนที่มาเจอและเก็บศพฉันเห็นว่าฉันตายเพราะอ่านนิยายเสียวจะไม่อับอายขายขี้หน้าเหรอ รูปของฉันคงโชว์หราอยู่บนข่าวหน้าหนึ่งพาดหัวจนเป็นที่ตลกขบขันของคนทั้งประเทศ "สาวแว่น หัวใจวายตาย ดับคาหนังสือเสียว"
ไม่!!!!!
แต่ก่อนที่ฉันจะฟุ้งซ่านไปกว่านี้ก็รู้สึกถึงแรงดูดมหาศาลดึงฉันลอยคว้างลงไปในหลุมลึกสีดำจนสติดับวูบไปอีกครั้ง
"โอ้ยยย ปวดหัวชะมัด เป็นผีแล้วยังเจ็บได้ด้วยเหรอวะ"
ฉันที่ยกมือขึ้นกุมหัวตัวเองรู้สึกถึงแรงบีบรัดจนรู้สึกเจ็บไปหมดและสัมผัสได้ถึงมือสากที่ตบแก้มฉันหลายๆ ครั้งพร้อมกับเสียงเรียกชื่อใครสักคนที่ฉันไม่รู้จัก มือนั่นก็ระรัวตบไม่หยุด
โว้ย!! จะตบทำไมนักหนาวะ
ก่อนจะพยายามลืมตาขึ้นหมายจะด่าเจ้าของมือนั้น แล้วเหมือนทุกอย่างจะหยุดนิ่งไป เมื่อฉันลืมตามองเจ้าของมือสากที่ตอนนี้กำลังกล่าวอะไรบางอย่าง แต่ฉันไม่ได้ยินหรอกเพราะใบหน้าของชายคนนี้มันทำให้หูอื้อตาลายไปหมดแล้ว หล่อ หล่อมาก จนนึกถึงคำยอดฮิตในแอป แอปนึง คำที่ฉันอยากจะตะโกนให้ดังๆ มาตลอด
อยากมีผัวววววว!!!!!
เมื่อสายตาสองคู่มองสบกันหัวใจฉันก็พลันเต้นแรง แต่แล้วก็รู้สึกเจ็บปวดเหมือนหัวจะระเบิดแล้วก็มีภาพเหตุการณ์ต่างๆ มากมายวิ่งวุ่นเข้ามาเต็มไปหมดก่อนที่สติจะดับวูบไปอีกครั้ง
ตอนนี้ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ที่อยู่ดีไม่ว่าดีช็อคตายอย่างน่าอนาถและน่าอับอายแล้ว ยัง ยังไม่พอ กลับมาโผล่ยังสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยอีก
จากเหตุการณ์ในวันนั้น ตอนนี้ก็ผ่านมากว่าสิบวันแล้วที่นางแสร้งป่วย ความจริงนางรู้สึกตัวตั้งแต่วันแรกแล้ว แต่เพราะไม่รู้ว่าตนกำลังเผชิญกับอะไรอยู่จึงใช้ความเงียบและอาการป่วยที่เกิดจากการตกน้ำของเจ้าของร่างเป็นข้ออ้างและใช้เป็นเกราะกำบังเพื่อตั้งหลักกับเหตุการณ์ที่อยู่เหนือความคาดหมายนี้ จนวันนี้ถึงเวลาที่นางจะต้องออกมาเผชิญหน้ากับความจริงเสียทีเพราะไม่อยากรู้สึกผิดบาปที่ทำให้ บิดามารดา และพี่ชายของร่างนี้เป็นทุกข์กับการแสร้งป่วยของนาง และไม่อาจหลบหลีกได้อีกต่อไป
เมิ่งเสี่ยวหลาน นี่คือนามของร่างนี้ที่นางต้องมาใช้ชีวิตอยู่ ข้อดีข้อแรกที่นางปลาบปลื้มคือครอบครัวของร่างนี้รักนางมาก และมีฐานะ มีอำนาจ และนางมีท่านป้าเป็นถึงฮองเฮาของแคว้น โก้ไม่หยอกเลยใช่ไหมล่ะ
บิดาของนาง เมิ่งจินหลี่ เสนาบดีฝ่ายซ้ายแห่งราชสำนักแคว้นถัง น้องชายแท้ๆ ของฮองเฮามีทั้งเงินทองและอำนาจล้นมือ แต่นางติดอยู่เรื่องเดียวคือการมีภรรยาเยอะแยะมากมายของบิดา ดีที่มารดาของนางเป็นฮูหยินเอก นามว่า เมิ่งหนิงเหมย และมีฮูหยินรองหนึ่งคน นามว่า เจียวหว่านชิง และอนุภรรยาอีกเก้านาง นางมีพี่ชายร่วมบิดามารดาหนึ่งคน ที่พบเจอครั้งแรกก็ถึงกับทำให้นางเลือดกำเดาแทบกระฉูดกับหน้าตาที่หล่อเหลาเขย่าติ่ง นาม เมิ่งหมิงห้าว และบุตรีฮูหยินรองน้องสาวต่างมารดาของนาง เมิ่งเหลียนฮวา แม่ดอกบัวขาวจอมเสแสร้งที่นางมีความรู้สึกว่าแม่ดอกบัวช้ำดอกนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของเจ้าของร่างที่ความทรงจำในหัวนางช่างเลือนรางเหลือเกินและน้องชายที่เกิดจากอนุภรรยาอีกโขยงใหญ่ น่าแปลกที่นางและเหลียนฮวาเป็นบุตรีเพียงสองคนของตระกูลเมิ่ง
ร่างอวบอิ่มอรชร ที่ยืนอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ ที่ส่องให้เห็นเรือนร่าง ตั้งแต่หัวจรดเท้า ดวงตาหงส์ คมหวานซึ้ง กำลังสะท้อนให้เห็นรูปร่างสมส่วน ที่สะท้อนออกมา ผิวขาวนุ่มละมุนดุจดังน้ำนม ผมดำขลับนุ่มสลวยที่ยาวถึงบั้นท้ายงามงอนกลมกลึง องค์ประกอบบนใบหน้าเล็ก เหมาะเจาะลงตัว ริมฝีปากอวบอิ่มเผยอขึ้นงดงามยั่วยวน ดังนางฟ้านางสวรรค์ นิ้วมือเรียวขาวผ่องลากไล้ลงมาตามลำคอระหงแผ่วเบา ผ่านทรวงอกขาวผ่องอวบอิ่ม ยอดอกสีชมพูระเรื่อ ไล่มาตามส่วนเว้าส่วนโค้งของเรือนร่าง ภาพสะท้อนตรงหน้า แทบทำให้หยุดหายใจ ทุกองค์ประกอบล้วนลงตัวดังสวรรค์บรรจงปั้นแต่ง
นี่คือเรื่องดีเรื่องที่สอง ที่ได้หลุดมาอยู่ ในยุคสมัยนี้ นางปลื้มปริ่มยินดีนักกับรูปโฉม ที่ได้แต่ใฝ่ฝันหามาตลอด ภาพที่ปรากฏตรงหน้าและมือเรียวที่กำลังสัมผัสทุกส่วนของร่างกายอย่างหลงใหลอยู่นั้นทำให้รับรู้ได้ว่าทุกอย่างคือเรื่องจริงมิได้แค่ฝันไป
มือบอบบางที่กำลังยักย้าย โพสต์ท่าทางเลียนแบบนางแบบชื่อดังจำต้องชะงัก เมื่อมีเสียงเรียกจากด้านนอกดังเข้ามา
"คุณหนูเจ้าคะ นายท่านและฮูหยินให้บ่าวมาเรียนว่าท่านแม่ทัพมาถึงแล้วเจ้าค่ะ"
เสียงของบ่าวรับใช้ที่ดังขึ้นด้านหน้าเรือนดึงให้นางหลุดจากห้วงความคิด รีบหยิบเอี๊ยมและอาภรณ์ตัวในมาสวม หันไปมองชุดงดงามสีขาวบริสุทธิ์ ก่อนคิ้วเรียวจะเลิกขึ้นสูง
"ใครอยู่ด้านนอกเข้ามาหน่อยสิ"
เสียงเปิดประตูที่ดังขึ้นพร้อมกับสตรีรูปร่างดีสองนางเดินเข้ามารอรับคำสั่งอย่างนอบน้อม บ่าวรับใช้สองคนนี้เป็นคนของมารดาเจ้าของร่างที่ถูกส่งให้มาดูแลนาง เหตุเพราะบ่าวรับใช้ของเจ้าของร่างนี้ถูกโบยและขายออกไปก่อนหน้าที่ร่างนี้จะตกน้ำด้วยข้อหาลักขโมย ในความทรงจำของร่างนี้นางนั้นเปลี่ยนบ่าวรับใช้บ่อยมากและไม่มีบ่าวคนไหนที่จะอยู่รับใช้นางได้เพราะความร้ายกาจของเจ้าของร่างเดิมจึงไม่มีบ่าวรับใช้คนสนิทอย่างที่พึงมี
"ข้าไม่ชอบอาภรณ์สีนี้ ไปเปลี่ยนเป็นสีแดงมาให้หน่อยสิ"
"เจ้าค่ะ"
สาวใช้ทั้งสองนางแม้จะแปลกใจแต่ก็มิได้เอ่ยถาม เพราะปกติคุณหนูใหญ่ชอบสวมใส่อาภรณ์สีขาวได้แต่ไปทำตามความประสงค์ของคุณหนูของจวน แม้จะแปลกใจกับท่าทางอ้อนๆ มิได้มีท่าทีเกรี้ยวกราดเหมือนทุกครั้งเมื่อไม่ได้ดั่งใจนั้นด้วย
ภาพโฉมสะคราญในชุดสีแดงช่างดูงดงามเย้ายวนยิ่งนัก ภพก่อนใช่ว่านางจะเฉิ่มเชยเพียงแต่ว่าเสื้อผ้าที่ใส่นั้นไม่มีไซร์ ใส่อะไรก็ไม่สวยจึงทำให้เลือกเสื้อผ้าที่ใส่แล้วสบายตัว จึงทำให้ดูเฉิ่มเชย แต่ตอนนี้รูปร่างของนางงดงามสมส่วนเสียขนาดนี้ ใส่อะไรก็ดูสวยไปหมด ต่อไปนี้เมิ่งเสี่ยวหลานผู้นี้จะเป็นเมิ่งเสี่ยวหลานคนใหม่ที่ไฉไลกว่าเดิมยืนหมุนกายหน้ากระจกหนึ่งรอบก่อนจะฉีกยิ้มหวานให้เงาสะท้อนในกระจกด้วยรอยยิ้มเซ็กซี่กระชากใจ"เป๊ะอะ"ก่อนคนงามที่สร้างความประหลาดใจให้บรรดาสาวใช้ทั้งหลายจะเยื้องย่างกรีดกรายพาร่างงามเย้ายวน เดินไปตามทางเดินที่ปูด้วยพื้นกระเบื้อง สองข้างทางนั้นเต็มไปด้วยมวลดอกไม้นานาพันธุ์ ด้วยกิริยาอ่อนช้อย โดยปกติแล้วหากท่านแม่ทัพมาเยือนยังจวนคราใด คุณหนูใหญ่ของจวนคงต้องรีบเร่งไปพบมิให้อีกฝ่ายต้องคอย แต่ครั้งนี้กลับมิได้ดูเร่งรีบอย่างที่ควรจะเป็น และยังสวมอาภรณ์ที่มิใช่สีขาวอย่างทุกครั้ง ในความทรงจำของร่างนี้ความจริงนางมิได้ชมชอบสีขาวแต่ที่ต้องสวมใส่สีขาวเพราะต้องการประชันกับผู้เป็นน้องสาวต่างมารดาเท่านั้นที่นางผู้นั้นชอบสวมใส่สีขาวจนเป็นภาพชินตา ผู้คนต่างยกยอปอปั้นว่าน้องสาวนางนั้นเหมา
แม่ทัพใหญ่ซ่งหลงเย่ ผู้ที่ช่วยเหลือนางเอาไว้จากการตกน้ำ ตอนนี้กำลังเดินอยู่ด้านหน้าของนางห่างเพียงหนึ่งก้าว เมื่อบุรุษผู้นี้แจ้งว่าอยากคุยกับนางเป็นการส่วนตัว จึงได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากบิดามารดาของนาง ตอนนี้ทั้งสองจึงมาเดินอยู่ท่ามกลางหมู่มวลดอกไม้ที่บานสะพรั่ง ช่างโรแมนติกยิ่งนัก เสี่ยวหลานที่มองแผ่นหลังกว้างนั้นอย่างเลื่อนลอย คนอะไรบึกบึนน่าซบอะไรอย่างนี้ โดนใจ โดนใจ มองแค่แผ่นหลังยังกร้าวใจขนาดนี้ ด้านหน้าจะเป็นเช่นไรหนอ~จุ้กกรู้ ~... อยากเห็นอยากสัมผัส อยากได้คนนี้อะค่ะใบหน้างามเพ้อฝันที่ตอนนี้กำลังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับความคิดของตน กลับต้องชะงักเพราะเสียงทุ้มที่กล่าวขึ้นทำให้นางถึงกับสะอึกใบหน้างามแข็งค้าง มองใบหน้าหล่อเหลาที่หันมาประจันหน้ากับตนอย่างโง่งม"ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ใช้โอกาสในครั้งนี้บีบบังคับให้ข้าต้องรับผิดชอบเจ้าหรอกนะ""......"ดอกที่หนึ่งถึงกับตกตะลึง"ข้าคงมิต้องกล่าวให้มากความ ข้าคิดว่าเจ้าก็คงรู้แจ้งแก่ใจว่าข้ามิได้รักใคร่ เสน่หาในตัวเจ้า และมิเคยคิดที่จะรัก""......"ดอกที่สองรู้สึกจุก กับคำพูดกระแทกใจอย่างแรงแล้วความทรงจำบางอย่างก็บอกนางว่า บุรุษผู้น
"เห้อ! เบื่อ"ร่างบางที่เดินไปเดินมาอยู่ในห้องกว้างอย่างเบื่อหน่าย นางอุดอู้อยู่แต่ในห้องอยู่หลายวันแล้ว พ่อยอดยาหยีของนางตั้งแต่วันนั้นก็หายเข้ากลีบเมฆ ไม่โผล่มาให้นางได้ชื่นฉ่ำหัวใจเลย สงสัยจะแค้นใจนางจนอกแตกตายไปแล้วกระมัง เล่นกับใครไม่เล่น ริจะมาลองของกับแม่ เป็นไงละเจอลูกยั่วของนางเข้าไปถึงกับน็อคกลางอากาศไปเลย บอกแล้วว่านางแซ่บ หุหุไม่ไหวแล้วหากยังอุดอู้อยู่แต่ในนี้นางต้องอกแตกตายแน่ๆ นิยงนิยายก็ไม่มีให้อ่าน บ่าวรับใช้คนสนิทก็ไม่มีให้สนทนา สองคนนั่นก็เหมือนหุ่นยนต์มีชีวิต อะไรจะอยู่ในกรอบปานนั้น เกิดใหม่มาสวยหุ่นแซ่บทั้งที ไม่ออกไปแรดบ้างก็เสียดายแย่ คิดได้ดังนั้นร่างบางจึงรีบตรงไปยังเรือนใหญ่ วันนี้นางต้องได้ออกไปเปิดหูเปิดตาข้างนอก จะมัวแต่นั่งกินนอนกินไม่ได้ ไม่เช่นนั้นคงได้เฉาตายเป็นแน่ อุตส่าห์ได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ทั้งที ต้องใช้ชีวิตให้คุ้มค่ากันหน่อยเมื่อมาถึงเรือนใหญ่ยังมิทันได้ก้าวเข้าไปในเรือน สายตาก็ไปปะทะกับร่างสูงของผู้เป็นพี่ชายที่ดูจากการแต่งกายแล้วคงกำลังจะไปข้างนอกเป็นแน่ ไม่รอช้าจึงพาร่างงามตรงเข้าไปเกาะแขนแกร่งพร้อมด้วยน้ำเสียงออดอ้อน"พี่ใหญ่ กำลังจะไปไหนหรือ
เสี่ยวหลาน ที่ส่งยิ้มหวานโปรยเสน่ห์ให้สหายของพี่ชายทั้งสามคนที่มองมายังนาง มือเล็กขาวผ่องยกขึ้นโบกไปมาพร้อมเสียงหวานกล่าวขึ้น"Hi""....."เห็นสามหนุ่มมองนางอย่างตกตะลึงอ้าปากค้างจึงได้สติรีบหดมือเล็กลงผสานไว้ด้านหน้าอย่างสำรวมแต่สายตานั้นกลับซุกซนยิ่งนัก พร้อมค้อมศีรษะลงเล็กน้อย เอ่ยขึ้นเสียงแผ่ว "สวัสดีเจ้าค่ะ"กิริยาของสาวงามตรงหน้า เรียกรอยยิ้มเอ็นดูกับความน่ารักของสาวเจ้าจากสหายทั้งสามของหมิงห้าวได้เป็นอย่างดี ผู้เป็นพี่ชายที่เห็นอาการของสหายที่มองน้องสาวตนตาปรอยเลยรีบกล่าวขึ้นใบหน้าขรึมด้วยความหวงน้องสาว"นี่น้องสาวข้าเอง เมิ่งเสี่ยวหลาน"ก่อนผู้เป็นพี่ชายเช่นเขาจะแนะนำให้ทั้งหมดได้รู้จักกันอย่างจำใจ"ได้ข่าวว่าหลานเอ๋อพลัดตกน้ำจนล้มป่วย หายดีแล้วหรอกหรือ"กุนซือเกาโม่ชาง ผู้ฉลาดหลักแหลม ใบหน้าหล่อเหลาดังคุณชายผู้ทรงภูมิเอ่ยถามเสียงละมุน "เหตุใดเจ้าถึงได้เอ่ยด้วยน้ำเสียงเช่นนั้นด้วยโม่ชาง ข้าฟังแล้วรู้สึกขนลุกพิลึก ""หลานเอ๋อเจ้าอย่าได้เชื่อสิ่งที่ตาเห็นเชียว"รองแม่ทัพอวิ๋นซ่านจง ที่ได้ฟังสหายผู้เป็นกุนซือแห่งกองทัพกล่าวด้วยน้ำเสียงละมุนไม่เหมือนยามพูดปกติที่มักเอ่ยด้วยเสียง
สายตาที่สบประสานกันทำให้แม่ทัพหนุ่มถึงกับชะงัก ใบหน้างดงามของสตรีที่ทำให้เขาข่มตาไม่หลับมาหลายค่ำคืน เพียงแค่หลับตาลงใบหน้าและสายตาของนางในวันนั้นก็ลอยเด่นมาก่อกวนให้รู้สึกยุบยับในหัวใจ บางค่ำคืนถึงขั้นต้องลุกไปอาบน้ำกลางดึก อาการประหลาดนั้นพึ่งจะได้ทุเลาลง ในวันนี้กลับต้องมาพบเจอนางอีก เขาหรือสู้อุตส่าห์หลีกเลี่ยงไม่ไปเยือนจวนเสนาบดี ทั้งที่รู้สึกกระวนกระวายนั่งไม่ติดจิตใจมันร่ำๆแต่จะไปเยือนเสียให้ได้ แต่ก็กดข่มใจเอาไว้ จนร้อนรุ่มไปหมด เขาคงโดนนางทำคุณไสยมนต์ดำใส่แน่แล้ว มองใบหน้างดงามที่ส่งยิ้มหวานมาให้จึงได้แต่ตีหน้าขรึมกลับไป พยายามกดข่มจิตใจที่ตอนนี้กำลังเต้นอย่างกับกลองศึก ก้าวอย่างมั่นคงไปนั่งยังที่ว่างที่ดันอยู่ตรงกันข้ามกับสตรีมากเล่ห์เสี่ยวหลานที่มุ่ยหน้าใส่บุรุษที่ทำหน้าดุใส่นาง นางรึอุตส่าห์คิดถึง ที่ไม่เจอหลายวันกลับมาตีหน้ายักษ์ใส่นางเสียนี่ แต่ให้ตายเถอะขนาดทำหน้าโหดแล้วยังหล่อกะซวกไส้ หล่อวัวตายควายล้ม เหล่าบุรุษที่รายล้อมนางอยู่นี้ว่าหล่อเหลาแล้ว พ่อเทพบุตรซาตานของนางกลับกลบรัศมีจนดูจืดชืดไปเสียหมด คิดแล้วเศร้าใจนัก มือบางจึงหยิบจอกสุราของผู้เป็นพี่ชายยกซดเสียหมดจอก
ก๊อก ก๊อก ก๊อกเสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นทำให้ทุกคนหันไปมองก่อนจะมีเสี่ยวเอ้อร์เดินเข้ามารายงาน"ขออภัยขอรับ มีคนของท่านเสนาบดีเมิ่งมาขอพบคุณชายเมิ่งหมิงห้าวขอรับ"หมิงห้าวที่ขมวดคิ้วมุ่น คนของท่านพ่อหรือมีอันใดกัน"ให้เข้ามา"แล้วคนที่บิดาส่งมาก็เข้ามารายงานทันที"คุณชายใหญ่ ท่านเสนาให้มาเรียนว่าให้ท่านเข้าวังด่วนขอรับ ท่านเสนาจะล่วงหน้าไปก่อน"ท่านพ่อมีเหตุอันใดเร่งด่วนกัน ก่อนจะโบกมือให้อีกฝ่ายเป็นการรับรู้ หันมามองน้องสาวตนที่เขารับปากนางเอาไว้ว่าจะพานางไปเลือกบ่าวเสี่ยวหลานที่เห็นว่าผู้เป็นพี่ชายกังวลเรื่องตนจึงเอ่ยขึ้น"รีบไปเถอะเจ้าค่ะ พี่ใหญ่ ไม่ต้องห่วงข้า ข้ากลับเองได้""ได้อย่างไรกัน พี่กลับไปส่งเจ้าก่อนจะดีกว่า ไว้วันหน้าพี่จะพาเจ้ามาเลือกบ่าวอีกที""แต่ท่านพ่อคงจะมีเรื่องด่วนนะเจ้าคะ อีกอย่างจวนเรากับวังหลวงก็คนละทางกัน"แม่ทัพซ่งหลงเย่ที่มองสองพี่น้องถกเถียงกันอยู่ นั้น กลับเห็นว่าหยวนหยุนฟง ผู้เป็นสหายกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง จึงรีบกล่าวขึ้น"ข้าจะไปส่งนางให้เอง"ทุกสายตาพลันหันมามองบุรุษผู้เป็นเจ้าของคำพูดนั้น เพราะต่างรู้ดีว่าสหายผู้นี้ไม่ชมชอบในตัวคุณหนูใหญ่เมิ่งเสี่ยวห
ร่างบางที่มัวแต่สนใจสองข้างทาง จนเมื่อนึกขึ้นได้ว่าตนไม่ได้มาคนเดียว หันไปมองรอบกายอีกทีปรากฏว่าบุรุษที่มากับนางได้หายตัวไปแล้วไหนบอกกับพี่ชายของนางว่าจะส่งนางให้ถึงจุดหมายปลายทางอย่างไรเล่า เจ้าแม่ทัพสัพปรับนึกว่าข้าจะแคร์หรือ รู้จักน้ำขิงน้อยไปเสียแล้ว นี่ใคร นี่คือคุณหนูใหญ่จวนเสนาบดีเมิ่งผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในเมืองนี้เชียวนะ สตรีที่ทั้ง สวย รวย เก่ง ขนาดนี้ กล้าเมินข้าได้เช่นไรกัน หึ กลับเองก็ได้วะ เสี่ยวหลานที่หาได้แคร์กับการที่ถูกบุรุษผู้นั้นทิ้ง มองร้านรวงสองข้างทางอย่างตื่นตาตื่นใจ ยิ่งร้านเครื่องประดับตรงหน้าที่มีเครื่องประดับงดงามกำลังส่องประกายระยิบระยับอยู่นั้น ยิ่งทำให้ดวงตากลมโตเปล่งประกายวิบวับ นางอยากได้ปิ่นประดับอัญมณีที่ถูกวางอยู่บนผืนผ้ากำมะหยี่อันนั้น โดยไม่ให้เป็นการเสียเวลาเท้าเล็กก็มุ่งหน้าไปยังสิ่งล่อตาล่อใจตรงหน้า มือเล็กบอบบางพลันตบลงไปบนเอวบางถุงเงินฮื้อ นางลืมไปเสียสนิทว่านางไม่ได้พกถุงเงินมา ก็ใครจะไปคิดเล่าว่าจะแยกกันกับผู้เป็นพี่ชาย ทำไงดีล่ะทีนี้หยกพก ใช่หยกพกประจำตัวของนาง แค่เพียงแสดงหยกของนาง ก็สามารถซื้อเครื่องประดับทั้งร้านนี้ก็ยังได้ คนใ
ร่างบางเมื่อได้สติ ก็รีบวิ่งตามแผ่นหลังกว้างออกไป แก้มนวลนั้นขึ้นสีระเรื่อไม่รู้ว่าเพราะวิ่งหรือเพราะขัดเขินบุรุษที่เดินอยู่ด้านหน้ากันแน่"รอด้วยเจ้าค่ะ"เสียงหวานที่ดังไล่หลังมา ทำให้บุรุษที่ก้าวเดินอยู่ด้านหน้าต้องหันกลับไปมองร่างเล็กที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งมาหาเขา อัญมณีหลากสีที่ส่องประกายวิบวับอยู่บนศีรษะนางล้อกับแสงตะวันดูงดงามแต่ก็มิอาจงามเท่าใบหน้านวลที่ซับสีแดงระเรื่อที่ส่งยิ้มจนดวงตากลมโตคู่งามเปล่งประกายวิบวับราวกับดวงดาวบนท้องฟ้ายามราตรี"ท่านแม่ทัพ มีอะไรหรือไม่เจ้าคะ"เสี่ยวหลานเมื่อเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าร่างแกร่ง แต่เขากลับเอาแต่จ้องหน้านาง โดยไม่ยอมก้าวเดินเสียที จึงได้เอ่ยถามขึ้น แต่อีกฝ่ายยังคงนิ่งเงียบราวกับตกอยู่ในภวังค์ นิ้วเรียวสวยจึงยกขึ้นจิ้มไปบนอกแกร่งที่แน่นตึง จนใบหน้าหล่อเหลาขมวดคิ้วขึ้น"ข้างามจนท่านถึงกับตกตะลึงเชียวหรือเจ้าคะ"ภาพใบหน้างามที่ส่งยิ้มมาให้เขาอย่างล้อเลียน ทำให้บุรุษที่พึ่งได้สติถึงกับทำตัวไม่ถูกกระแอมไอขึ้นแก้เก้อ ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ"ชักช้า"แล้วก้าวเดินต่อ แต่ก็ยอมก้าวช้าลงเพื่อให้นางได้เดินไปพร้อมกันเสี่ยวหลานที่มุ่ยหน้าให้บุรุษที่เดินอยู่ด
แม่ทัพซ่งหลงเย่ที่จ้องใบหน้างามนิ่ง ก่อนจะหันใบหน้าหนีสตรีตรงหน้าราวกับโกรธเคือง แต่ใบหูนั้นกลับแดงก่ำ ระบายลมหายใจช้าๆราวกับสะกดกลั้นอารมณ์ นางทำให้เขาไม่เป็นตัวของตัวเอง บ้าจริง นี่เขาจะแพ้ให้กับความร้ายกาจของนางหรอกหรือ ไม่มีทาง"เขินหรือเจ้าคะ สามี"เสียงหวานที่เอ่ยกระเซ้าขึ้น ใช้หัวไหล่เล็กกระแซะต้นแขนแข็งแกร่งของเขาอย่างไม่กลัวเกรง นางเป็นสตรีเช่นไรกัน ถึงได้แตะเนื้อต้องตัวบุรุษเช่นนี้ แต่เขาเองก็กลับรู้สึกราวกับว่ามีกระแสความร้อนวิ่งวุ่นไปทั้งร่าง กับบุรุษอื่นนางจะให้ความสนิทสนมเช่นนี้หรือไม่นะ คิดได้เช่นนั้นกลับทำให้ยิ่งรู้สึกขุ่นเคือง "ไม่มีทาง แล้วเจ้าอย่าได้เอ่ยวาจาเช่นนี้อีก เป็นถึงคุณหนูสูงศักดิ์เหตุใดจึงกล่าวว่าผู้อื่นเป็นสามีโดยไม่อายปาก แล้วการแตะเนื้อต้องตัวบุรุษนี่อีก มันไม่สมควรมิรู้หรือ"โอ้ววว แรง!"ข้าก็แค่ล้อเล่นเอง เหตุใดต้องโมโหด้วย เชอะ ไม่อยากได้ตำแหน่งนี้ก็ไม่เป็นไร ข้ายกให้พี่หยุนฟงก็ได้""ไม่ได้!!"แม่ทัพซ่งที่เผลอตัวตวาดเสียงดังใส่นาง จ้องมองดวงตากลมโตที่มองเขาอย่างไม่พอใจ"ข้าหมายถึงเจ้าจะไปเรียกผู้อื่นว่าสามีไปทั่วเช่นนี้ไม่ได้ เห็นแก่หน้าบิดามารดาเจ้
"แวะโรงหมอก่อนนะเจ้าคะ"หลังจากที่ได้นั่งรถม้าสมใจ ร่างบางก็หันไปฉีกยิ้มกว้างให้บุรุษที่วันนี้กลายเป็นเบ๊ให้นางทั้งวัน อย่างเกรงใจ๊ เกรงใจ"อืม แต่คงจะไปตลาดค้าทาสไม่ทันแล้วนะ"ใบหน้าหล่อเหลาที่ขานรับ ปรายตามองใบหน้างามจิ้มลิ้มเพียงนิด ก่อนจะละสายตาไปมองนอกหน้าต่างราวไม่ใส่ใจสตรีข้างกาย ที่ส่งสายตาระยิบระยับ พร้อมรอยยิ้มหวานมาให้ มุมปากหยักยกยิ้มขึ้นเพียงครู่ก่อนจะจางหาย"เหตุใดต้องไปอีกเล่าเจ้าคะ ข้าได้บ่าวคนใหม่แล้ว"ร่างบางที่กล่าวขึ้นก่อนจะพยักพเยิดไปทางสตรีร่างบอบบางที่นอนหลับตานิ่งอยู่ภายในรถม้า เมื่อร่างสูงหันมามองนางอย่างจะถาม"ไม่น่าเชื่อว่าคุณหนูผู้ร้ายกาจเช่นเจ้า จะมีเมตตากับผู้อื่นเป็น"เสียงทุ้มที่เอ่ยขึ้น ทำให้เสี่ยวหลานต้องหุบยิ้มฉับ มองบุรุษที่มองนางอย่างไม่อยากเชื่อ แล้วรู้สึกเคืองอีกฝ่ายขึ้นมา"ข้าไม่ได้มีเมตตาหรอกเจ้าค่ะ ข้าเพียงเห็นว่านางมีความอดทนสูงถึงขนาดทนการเฆี่ยนตีด้วยแรงบุรุษร่างยักษ์โดยที่ไม่ขาดใจ ตาย ไปเสียก่อน บ่าวเช่นนี้ถึงจะทนมือทนเท้าของข้าได้"ด้วยความที่รู้สึกที่อยากเอาชนะบุรุษที่ไม่เคยมองนางดีเลย จึงทำให้นางกล่าวออกไปเช่นนั้น จนทำให้ผู้ที่ถูกกล่าวถึ
เสี่ยวหลานที่โอบแขนเรียวรอบลำคอแกร่ง ตอนนี้ใบหน้าเล็กที่แนบใบหน้ากับแผ่นหลังกว้างแข็งแกร่งนั้นกำลังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ในหัวน้อยๆกำลังคิดถึงกลวิธี อ่อยยังไงให้ได้ผู้ ที่นางศึกษามาตลอดแต่ไม่เคยได้ใช้ วันนี้นางจะนำกลยุทธ์ทั้งหมด ตกแม่ทัพผู้นี้กลับเรือนให้จงได้ แต่พอได้อยู่ใกล้บุรุษแบบแนบชิดเช่นนี้ ภายในหัวมันกลับตีบตันไปเสียหมด กลิ่นหอมของบุรุษเพศที่กรุ่นอยู่ในจมูกยิ่งทำให้นางไปไม่เป็น ไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหนก่อนดี แต่ความคิดทั้งหมดต้องหยุดชะงักลง เมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องที่บ่งบอกถึงความเจ็บปวดของสตรีนางหนึ่ง ที่กำลังถูกมัดไว้กับต้นไม้และมีผู้ชายตัวโตเท่าควายใช้หวายเฆี่ยนตีนางอย่างโหดร้ายอยู่"หยุดๆ ปล่อยข้าลง"ร่างเล็กที่ดีดดิ้นลงจากแผ่นหลังแกร่ง โดยไม่ทันตั้งตัวร่างเล็กก็ปรี่เข้าไปผลักบุรุษร่างใหญ่โตเต็มแรงจนล้มลงก้นจั้มเบ้ากระแทกลงบนพื้นอย่างแรง"พลั๊ก!!""โอ้ย!"เสียงร้องอย่างเจ็บปวดนั้นไม่ใช่ของชายร่างยักษ์นั่นหรอกนะ แต่เป็นของนางเองที่ผลักผู้อื่นแต่กลับเป็นนางที่ล้มลงเจ็บชะมัด ตัวโตอย่างกับควายแล้วยังทรงโจรอีก"คนสวย แส่ไม่เข้าเรื่องนะเจ้า"ร่างใหญ่โตที่กำลังย่างสามขุมตรงมาหาร่าง
ร่างบางเมื่อได้สติ ก็รีบวิ่งตามแผ่นหลังกว้างออกไป แก้มนวลนั้นขึ้นสีระเรื่อไม่รู้ว่าเพราะวิ่งหรือเพราะขัดเขินบุรุษที่เดินอยู่ด้านหน้ากันแน่"รอด้วยเจ้าค่ะ"เสียงหวานที่ดังไล่หลังมา ทำให้บุรุษที่ก้าวเดินอยู่ด้านหน้าต้องหันกลับไปมองร่างเล็กที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งมาหาเขา อัญมณีหลากสีที่ส่องประกายวิบวับอยู่บนศีรษะนางล้อกับแสงตะวันดูงดงามแต่ก็มิอาจงามเท่าใบหน้านวลที่ซับสีแดงระเรื่อที่ส่งยิ้มจนดวงตากลมโตคู่งามเปล่งประกายวิบวับราวกับดวงดาวบนท้องฟ้ายามราตรี"ท่านแม่ทัพ มีอะไรหรือไม่เจ้าคะ"เสี่ยวหลานเมื่อเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าร่างแกร่ง แต่เขากลับเอาแต่จ้องหน้านาง โดยไม่ยอมก้าวเดินเสียที จึงได้เอ่ยถามขึ้น แต่อีกฝ่ายยังคงนิ่งเงียบราวกับตกอยู่ในภวังค์ นิ้วเรียวสวยจึงยกขึ้นจิ้มไปบนอกแกร่งที่แน่นตึง จนใบหน้าหล่อเหลาขมวดคิ้วขึ้น"ข้างามจนท่านถึงกับตกตะลึงเชียวหรือเจ้าคะ"ภาพใบหน้างามที่ส่งยิ้มมาให้เขาอย่างล้อเลียน ทำให้บุรุษที่พึ่งได้สติถึงกับทำตัวไม่ถูกกระแอมไอขึ้นแก้เก้อ ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ"ชักช้า"แล้วก้าวเดินต่อ แต่ก็ยอมก้าวช้าลงเพื่อให้นางได้เดินไปพร้อมกันเสี่ยวหลานที่มุ่ยหน้าให้บุรุษที่เดินอยู่ด
ร่างบางที่มัวแต่สนใจสองข้างทาง จนเมื่อนึกขึ้นได้ว่าตนไม่ได้มาคนเดียว หันไปมองรอบกายอีกทีปรากฏว่าบุรุษที่มากับนางได้หายตัวไปแล้วไหนบอกกับพี่ชายของนางว่าจะส่งนางให้ถึงจุดหมายปลายทางอย่างไรเล่า เจ้าแม่ทัพสัพปรับนึกว่าข้าจะแคร์หรือ รู้จักน้ำขิงน้อยไปเสียแล้ว นี่ใคร นี่คือคุณหนูใหญ่จวนเสนาบดีเมิ่งผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในเมืองนี้เชียวนะ สตรีที่ทั้ง สวย รวย เก่ง ขนาดนี้ กล้าเมินข้าได้เช่นไรกัน หึ กลับเองก็ได้วะ เสี่ยวหลานที่หาได้แคร์กับการที่ถูกบุรุษผู้นั้นทิ้ง มองร้านรวงสองข้างทางอย่างตื่นตาตื่นใจ ยิ่งร้านเครื่องประดับตรงหน้าที่มีเครื่องประดับงดงามกำลังส่องประกายระยิบระยับอยู่นั้น ยิ่งทำให้ดวงตากลมโตเปล่งประกายวิบวับ นางอยากได้ปิ่นประดับอัญมณีที่ถูกวางอยู่บนผืนผ้ากำมะหยี่อันนั้น โดยไม่ให้เป็นการเสียเวลาเท้าเล็กก็มุ่งหน้าไปยังสิ่งล่อตาล่อใจตรงหน้า มือเล็กบอบบางพลันตบลงไปบนเอวบางถุงเงินฮื้อ นางลืมไปเสียสนิทว่านางไม่ได้พกถุงเงินมา ก็ใครจะไปคิดเล่าว่าจะแยกกันกับผู้เป็นพี่ชาย ทำไงดีล่ะทีนี้หยกพก ใช่หยกพกประจำตัวของนาง แค่เพียงแสดงหยกของนาง ก็สามารถซื้อเครื่องประดับทั้งร้านนี้ก็ยังได้ คนใ
ก๊อก ก๊อก ก๊อกเสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นทำให้ทุกคนหันไปมองก่อนจะมีเสี่ยวเอ้อร์เดินเข้ามารายงาน"ขออภัยขอรับ มีคนของท่านเสนาบดีเมิ่งมาขอพบคุณชายเมิ่งหมิงห้าวขอรับ"หมิงห้าวที่ขมวดคิ้วมุ่น คนของท่านพ่อหรือมีอันใดกัน"ให้เข้ามา"แล้วคนที่บิดาส่งมาก็เข้ามารายงานทันที"คุณชายใหญ่ ท่านเสนาให้มาเรียนว่าให้ท่านเข้าวังด่วนขอรับ ท่านเสนาจะล่วงหน้าไปก่อน"ท่านพ่อมีเหตุอันใดเร่งด่วนกัน ก่อนจะโบกมือให้อีกฝ่ายเป็นการรับรู้ หันมามองน้องสาวตนที่เขารับปากนางเอาไว้ว่าจะพานางไปเลือกบ่าวเสี่ยวหลานที่เห็นว่าผู้เป็นพี่ชายกังวลเรื่องตนจึงเอ่ยขึ้น"รีบไปเถอะเจ้าค่ะ พี่ใหญ่ ไม่ต้องห่วงข้า ข้ากลับเองได้""ได้อย่างไรกัน พี่กลับไปส่งเจ้าก่อนจะดีกว่า ไว้วันหน้าพี่จะพาเจ้ามาเลือกบ่าวอีกที""แต่ท่านพ่อคงจะมีเรื่องด่วนนะเจ้าคะ อีกอย่างจวนเรากับวังหลวงก็คนละทางกัน"แม่ทัพซ่งหลงเย่ที่มองสองพี่น้องถกเถียงกันอยู่ นั้น กลับเห็นว่าหยวนหยุนฟง ผู้เป็นสหายกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง จึงรีบกล่าวขึ้น"ข้าจะไปส่งนางให้เอง"ทุกสายตาพลันหันมามองบุรุษผู้เป็นเจ้าของคำพูดนั้น เพราะต่างรู้ดีว่าสหายผู้นี้ไม่ชมชอบในตัวคุณหนูใหญ่เมิ่งเสี่ยวห
สายตาที่สบประสานกันทำให้แม่ทัพหนุ่มถึงกับชะงัก ใบหน้างดงามของสตรีที่ทำให้เขาข่มตาไม่หลับมาหลายค่ำคืน เพียงแค่หลับตาลงใบหน้าและสายตาของนางในวันนั้นก็ลอยเด่นมาก่อกวนให้รู้สึกยุบยับในหัวใจ บางค่ำคืนถึงขั้นต้องลุกไปอาบน้ำกลางดึก อาการประหลาดนั้นพึ่งจะได้ทุเลาลง ในวันนี้กลับต้องมาพบเจอนางอีก เขาหรือสู้อุตส่าห์หลีกเลี่ยงไม่ไปเยือนจวนเสนาบดี ทั้งที่รู้สึกกระวนกระวายนั่งไม่ติดจิตใจมันร่ำๆแต่จะไปเยือนเสียให้ได้ แต่ก็กดข่มใจเอาไว้ จนร้อนรุ่มไปหมด เขาคงโดนนางทำคุณไสยมนต์ดำใส่แน่แล้ว มองใบหน้างดงามที่ส่งยิ้มหวานมาให้จึงได้แต่ตีหน้าขรึมกลับไป พยายามกดข่มจิตใจที่ตอนนี้กำลังเต้นอย่างกับกลองศึก ก้าวอย่างมั่นคงไปนั่งยังที่ว่างที่ดันอยู่ตรงกันข้ามกับสตรีมากเล่ห์เสี่ยวหลานที่มุ่ยหน้าใส่บุรุษที่ทำหน้าดุใส่นาง นางรึอุตส่าห์คิดถึง ที่ไม่เจอหลายวันกลับมาตีหน้ายักษ์ใส่นางเสียนี่ แต่ให้ตายเถอะขนาดทำหน้าโหดแล้วยังหล่อกะซวกไส้ หล่อวัวตายควายล้ม เหล่าบุรุษที่รายล้อมนางอยู่นี้ว่าหล่อเหลาแล้ว พ่อเทพบุตรซาตานของนางกลับกลบรัศมีจนดูจืดชืดไปเสียหมด คิดแล้วเศร้าใจนัก มือบางจึงหยิบจอกสุราของผู้เป็นพี่ชายยกซดเสียหมดจอก
เสี่ยวหลาน ที่ส่งยิ้มหวานโปรยเสน่ห์ให้สหายของพี่ชายทั้งสามคนที่มองมายังนาง มือเล็กขาวผ่องยกขึ้นโบกไปมาพร้อมเสียงหวานกล่าวขึ้น"Hi""....."เห็นสามหนุ่มมองนางอย่างตกตะลึงอ้าปากค้างจึงได้สติรีบหดมือเล็กลงผสานไว้ด้านหน้าอย่างสำรวมแต่สายตานั้นกลับซุกซนยิ่งนัก พร้อมค้อมศีรษะลงเล็กน้อย เอ่ยขึ้นเสียงแผ่ว "สวัสดีเจ้าค่ะ"กิริยาของสาวงามตรงหน้า เรียกรอยยิ้มเอ็นดูกับความน่ารักของสาวเจ้าจากสหายทั้งสามของหมิงห้าวได้เป็นอย่างดี ผู้เป็นพี่ชายที่เห็นอาการของสหายที่มองน้องสาวตนตาปรอยเลยรีบกล่าวขึ้นใบหน้าขรึมด้วยความหวงน้องสาว"นี่น้องสาวข้าเอง เมิ่งเสี่ยวหลาน"ก่อนผู้เป็นพี่ชายเช่นเขาจะแนะนำให้ทั้งหมดได้รู้จักกันอย่างจำใจ"ได้ข่าวว่าหลานเอ๋อพลัดตกน้ำจนล้มป่วย หายดีแล้วหรอกหรือ"กุนซือเกาโม่ชาง ผู้ฉลาดหลักแหลม ใบหน้าหล่อเหลาดังคุณชายผู้ทรงภูมิเอ่ยถามเสียงละมุน "เหตุใดเจ้าถึงได้เอ่ยด้วยน้ำเสียงเช่นนั้นด้วยโม่ชาง ข้าฟังแล้วรู้สึกขนลุกพิลึก ""หลานเอ๋อเจ้าอย่าได้เชื่อสิ่งที่ตาเห็นเชียว"รองแม่ทัพอวิ๋นซ่านจง ที่ได้ฟังสหายผู้เป็นกุนซือแห่งกองทัพกล่าวด้วยน้ำเสียงละมุนไม่เหมือนยามพูดปกติที่มักเอ่ยด้วยเสียง
"เห้อ! เบื่อ"ร่างบางที่เดินไปเดินมาอยู่ในห้องกว้างอย่างเบื่อหน่าย นางอุดอู้อยู่แต่ในห้องอยู่หลายวันแล้ว พ่อยอดยาหยีของนางตั้งแต่วันนั้นก็หายเข้ากลีบเมฆ ไม่โผล่มาให้นางได้ชื่นฉ่ำหัวใจเลย สงสัยจะแค้นใจนางจนอกแตกตายไปแล้วกระมัง เล่นกับใครไม่เล่น ริจะมาลองของกับแม่ เป็นไงละเจอลูกยั่วของนางเข้าไปถึงกับน็อคกลางอากาศไปเลย บอกแล้วว่านางแซ่บ หุหุไม่ไหวแล้วหากยังอุดอู้อยู่แต่ในนี้นางต้องอกแตกตายแน่ๆ นิยงนิยายก็ไม่มีให้อ่าน บ่าวรับใช้คนสนิทก็ไม่มีให้สนทนา สองคนนั่นก็เหมือนหุ่นยนต์มีชีวิต อะไรจะอยู่ในกรอบปานนั้น เกิดใหม่มาสวยหุ่นแซ่บทั้งที ไม่ออกไปแรดบ้างก็เสียดายแย่ คิดได้ดังนั้นร่างบางจึงรีบตรงไปยังเรือนใหญ่ วันนี้นางต้องได้ออกไปเปิดหูเปิดตาข้างนอก จะมัวแต่นั่งกินนอนกินไม่ได้ ไม่เช่นนั้นคงได้เฉาตายเป็นแน่ อุตส่าห์ได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ทั้งที ต้องใช้ชีวิตให้คุ้มค่ากันหน่อยเมื่อมาถึงเรือนใหญ่ยังมิทันได้ก้าวเข้าไปในเรือน สายตาก็ไปปะทะกับร่างสูงของผู้เป็นพี่ชายที่ดูจากการแต่งกายแล้วคงกำลังจะไปข้างนอกเป็นแน่ ไม่รอช้าจึงพาร่างงามตรงเข้าไปเกาะแขนแกร่งพร้อมด้วยน้ำเสียงออดอ้อน"พี่ใหญ่ กำลังจะไปไหนหรือ