ฮ่องเต้จัดการกับฎีกาทั้งหมดเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ดันไปไว้ข้าง ๆ“เรื่องของเจ้ากับเจ้าสาม องครักษ์จื่ออวี๋รายงานให้เราฟังทั้งหมดแล้ว” พระองค์พูดขึ้นมาโดยไม่มีปี่มีขลุ่ยฉินเหยี่ยนเย่ว์เห็นว่าในที่สุดพระองค์ก็พูดถึงประเด็นหลัก ก็รีบคุกเข่าลง “ลูกรู้ผิดเพคะ”“รู้ผิด?” ฮ่องเต้แค่นเสียงเย็นชา “เจ้ารู้ผิดอ
ฮ่องเต้เคาะนิ้วบนโต๊ะเบา ๆ สีหน้าพลันแปรเปลี่ยนไปฉินเหยี่ยนเย่ว์ตอนเจ้าสามได้ถูกช่วงจังหวะพอดี ทว่า ผลร้ายที่ตามมาก็มิอาจประมาทได้เลยท่ามกลางการต่อสู้ที่วุ่นวาย นางที่ลงมือจัดการโดยบังเอิญย่อมได้ถูกกำหนดให้เป็นแพะรับบาป“เสด็จพี่ตัดใจทำไม่ลงหรือ?” อ๋องอี๋หยางยกถ้วยชานมที่ว่างเปล่าขึ้นมาดม ก่อนจะวา
“เรื่องนี้ไว้ค่อยว่ากันทีหลัง ถึงเวลาแล้ว ไปเถอะ” ฮ่องเต้ตรัสอ๋องอี๋หยางพูดถึงตรงนี้ ก็ไม่พูดอะไรต่ออีกเขาลุกขึ้นยืน ก่อนจะปรายตามองถ้วยชานมที่ว่างเปล่า พร้อมกับพูดออกมาด้วยความไม่พอใจ “เสด็จพี่ ท่านรู้หรือไม่ว่า ข้าได้กลิ่นหอมหวานนั่นแล้วแต่กลับดื่มไม่ได้มันทุกข์ใจแค่ไหน? ท่านไม่เหลือให้ข้าเลยสัก
ตงฟางหลีลอบกำหมัดแน่นหากเรื่องราวมันง่ายอย่างที่นางคิดไว้ก็คงจะดี เกรงว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวพันกับคนเป็นวงกว้าง นางอาจจะกลายเป็นเป้าของลูกธนูจำนวนมากก็ได้“ฉินเหยี่ยนเย่ว์!”พลันมีเสียงแหลมสูงดังขึ้นฉินเหยี่ยนเย่ว์หันหน้ากลับไปมอง เห็นเพียงพระสนมซูโผเข้ามาด้วยผมเผ้าที่ยุ่งเหยิง ดวงตาสองข้างแดงก่ำ ดู
เมื่อพระสนมซูเห็นไอเย็นในแววตาของฉินเหยี่ยนเย่ว์ พลันตัวสั่นเทาอย่างน่าประหลาดขณะที่คิดจะถอยกลับไปนั้น ก็ได้นึกถึงเรื่องที่บุตรชายกลายเป็นขันทีขึ้นมาอีกครั้ง เพลิงโทสะอัดแน่นเต็มหัวใจทันควัน จนขอบตาแดงก่ำ นางกรีดร้องเสียงดัง “ลั่วเอ๋อร์ถูกเจ้าทำร้ายจนกลายเป็นเช่นนี้ เจ้าไม่ชดใช้แต่โดยดี ยังแสดงท่าท
“มีคนลงมือก่อเหตุที่หน้าท้องพระโรง คุ้มกันฝ่าบาท” หลังจากเหล่าองครักษ์ตะโกนประโยคนี้ออกมา เหล่าองครักษ์ที่คุ้มกันอยู่ข้าง ๆ ก็มาถึงด้านหน้าของตำหนักไท่อี๋อย่างเป็นระเบียบ ล้อมรอบด้านในสามชั้นด้านนอกอีกสามชั้นพวกเขาต่างพากันชักดาบออกมา ภายใต้แสงอาทิตย์สาดส่อง คมกระบี่ประกายแสงเย็นกลิ่นอายสังหารพุ่ง
“เพี๊ยะ!”พระสนมซูยังไม่ทันพูดจบ จู่ ๆ ใบหน้าก็ถูกตบอย่างแรงแรงของฝ่ามือนี้มากมาย ใบหน้าของพระสนมซูจึงบวมเป่งขึ้นมาทันทีด้านซ้ายได้รับก่อนหนึ่งฝ่ามือ จากนั้นก็มีลมแรงพัดมาระลอกหนึ่ง แล้วทางใบหน้าฝั่งขวาก็ได้รับอีกหนึ่งฝ่ามือหน้าประตูตำหนักไท่อี๋ เสียงฝ่ามือดังก้องไปทั่ว ทำเอาทุกคนถึงกับตกตะลึงพร
“เจ้าคิดจะทำอะไร?” พระสนมซูเห็นการเคลื่อนไหวของนางไม่ถูกต้อง พลันเบิกตากว้าง “ฉินเหยี่ยนเย่ว์ ข้าขอเตือนเจ้า...”พระสนมซูยังไม่ทันพูดจบ ท่ามกลางความสนใจของทุกคน ฝ่ามือของฉินเหยี่ยนเย่ว์ก็ได้ตวัดลงไปฝ่ามือที่หนึ่ง ฝ่ามือที่สอง...ที่หน้าตำหนักไท่อี๋ ในบรรยากาศที่แทบจะแข็งค้างไปแล้ว มีเพียงเสียงเพี๊ย
เป็นเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าตงฟางหลีรู้สึกว่าตงฟางเจวี๋ยผิดปกติทีเดียวเมื่อก่อนพี่รองดื่มสุราน้อยมาก ยกแก้วก็ดื่มจนหมดเหมือนเช่นนี้ หาได้ยากมาก ๆ“พี่รอง ข้าจำได้ว่าเหยี่ยนเย่ว์เคยบอกว่าท่านไม่สามารถดื่มเหล้าได้” เขาจะแย่งแก้วสุราของตงฟางเจวี๋ยมา“วันนี้เจ้าให้ข้าดื่มสักหน่อยเถอะ” ตงฟางเจวี๋หลบนิ้วม
สีหน้าของฮ่องเต้ยังคงมืดทะมึนนักลูกหลานเชื้อพระวงศ์ ไหนเลยจะไม่มีสามภรรยาสี่อนุชายา ถือเป็นความสุขของผู้คนทั่วไป?แม้แต่เจ้าห้าซึ่งกลัวภรรยาที่สุดก็ยังมีเรือนอนุชายาถึงสองเรือนเจ้าเจ็ดอยากจะแต่งภรรยาเพียงคนเดียวจริง ๆ ซึ่งเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในราชวงศ์“เจ้าเจ็ด เจ้าจะขัดราชโองการหรือ?”“ล
“จริงแท้แน่นอน”“หลายปีมานี้ ซูเตี่ยนฉิงโกหกเจ้ามาตลอดหรือ?” แม้แต่ฮ่องเต้เองก็รู้สึกว่าเรื่องนี้น่าประหลาดใจ และอดไม่ได้ที่จะเอ่ยแทรกขึ้นมาในวังนั้นคนอื่นมีอำนาจก็ประจบสอพลอ สูญสิ้นอำนาจก็ไม่แยแส หลังจากพระสนมอวิ๋นประสบกับความลำบาก อ๋องเจ็ดก็มีช่วงเวลาที่ยากลำบากมาก และยังเกือบจะเสียชีวิตอยู่ในทะเ
ฮ่องเต้ขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจเป็นอย่างยิ่ง “เมื่อก่อนมิใช่ว่าเจ้าอยากแต่งงานกับนางมากหรือ?”ในฐานะพระโอรสลำดับที่เจ็ด การที่จะมีสตรีโปรดปรานหลายคนถือเป็นเรื่องปกติมาก ๆแต่งงานกับคนนี้แล้ว แต่งงานกับคนนั้นต่อ ก็เป็นเรื่องปกติเช่นกันแม้ว่าฉินเหยี่ยนเย่ว์จะริษยา ก็ไม่ควรให้นางทำตามอำเภอใจหากต่อไปสามารถส
เมื่อหายโกรธแล้วอย่าลืมคืนตำแหน่งให้เหยี่ยนเย่ว์กลับมา...ฮ่องเต้มองท่าทีของตงฟางหลี ก่อนจะเอ่ยเสียงเย็น “มองไม่ออกเลยว่าเจ้ายังมีความรักหวานซึ้งด้วย รอนางให้กำเนิดท่านอ๋องน้อยก่อน เราถึงจะคืนตำแหน่งพระชายาเอกให้นาง”สีหน้าของตงฟางหลีไม่น่ามอง “นี่คงต้องใช้เวลานานทีเดียว”“ทำไม เจ้าไม่ไหว หรือศิษย์น
ครั้นได้ยินคำว่า “แต่งงานเชื่อมสัมพันธ์” สองคำนี้จากปากของฮ่องเต้สีหน้าของตงฟางหลีพลันเปลี่ยนเป็นเย็นชาความหมายของการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์คือ หนานลู่จะส่งองค์หญิงมาแต่งงานที่ตงลู่ฮ่องเต้เรียกเขาและพี่รองมาเข้าพบโดยเฉพาะ ซึ่งความหมายก็ชัดเจนมากองค์หญิงหนานลู่อาจจะแต่งงานกับเขา หรืออาจจะแต่งงานกับ
“เชื่อฟังนะเพคะ” ฉินเหยี่ยนเย่ว์เอ่ยขึ้น“ภรรยาเจ้าเจ็ด อย่ากระซิบกระซาบกับเจ้าเจ็ดอีกเลย เจ้ากลับมาพอดี รีบไปเตรียมขนมให้เราที” ฮ่องเต้เอ่ยขึ้น “เราอยากกิน ไม่ใช่สิ เป็นเสด็จอาของเจ้าต่างหากที่อยากกินอันนั้นน่ะ...”“ขนมที่เรียกว่ามูสอะไรสักอย่างอันนั้นน่ะ ขันทีหลาน เจ้าไปกับพระชายาอ๋องเจ็ดเสีย เป็น
มีโต๊ะไม้จันทน์สีแดงแปดเซียนฝังทองวางอยู่กลางห้องโถงใหญ่บนโต๊ะแปดเซียนวางเตากระต่ายทองขนาดเล็ก และมีหม้อทองแดงวางอยู่บนเตาน้ำแกงในหม้อทองแดงกำลังเดือดปุด ๆ และทั้งห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมเข้มข้นของอาหารในที่นั่งตรงกลาง ฮ่องเต้ถือแก้วสุราและดื่มกับอ๋องอี๋หยางที่นั่งตรงข้ามอย่างมีความสุขในที่นั่งทั
“อืม” ฉินเหยี่ยนเย่ว์รู้ว่าเรื่องนี้มิอาจเร่งรีบได้พระชายาเฉียนไหว้วานให้มนุษย์เงาไปสืบสวนลู่จิ้นและตงฟางหลีเองก็กำลังสืบสวนเช่นกัน ช้าเร็วจะได้รู้ผล“เช่นนั้น ศิษย์พี่รู้หรือไม่ ท่านปู่...ไม่สิ อาจารย์มีภรรยาหรือไม่?” ฉินเหยี่ยนเย่ว์ถามอีกครั้งเนื่องจากเป็นศิษย์คนสุดท้ายของท่านปู่ เรื่องนี้ลู่จิ