ฉินเหยี่ยนเย่ว์ที่ได้ยินเช่นนั้น นางจึงรู้สึกมั่นใจมากยิ่งขึ้น พร้อมทั้งถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกหากว่าสิ่งที่ทำให้อวี้เอ๋อร์เกิดความผิดปกติคือหินจันทร์ละก็ เช่นนั้นนางพอจะรู้วิธีรับมือกับมันแล้วฉินเหยี่ยนเย่ว์จึงวางหินลง พลางกล่าวว่า “เรื่องในวันนี้ ขอบคุณท่านมาก ได้เวลาที่ข้าต้องไปแล้ว”“ท่านจ
“เจ้าสิบ ไยเจ้าถึงมาที่นี่ได้?” ฉินเหยี่ยนเย่ว์บีบแก้มของเขา เมื่อเห็นตงฟางหลีและลู่จิ้นอยู่ไม่ไกลก็เลิกคิ้วขึ้น “พวกท่านยืนทำอะไรอยู่ข้างนอกหรือ?”“ศิษย์น้องหญิง” ลู่จิ้นหลั่งน้ำหูน้ำตาเปรอะใบหน้า “ได้ยินมาว่าเจ้าถูกลักพาตัว ข้ากังวลมากจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ ในที่สุดเจ้าก็ได้กลับมาแล้ว ให้ข้าดูหน่อย
“ก่อนอื่นสามารถยืนยันได้ว่าที่อวี้เอ๋อร์ยังมีชีวิตอยู่ สาเหตุก็เพราะยา” ฉินเหยี่ยนเย่ว์พูดขึ้น“และยังมีสิ่งที่เรียกว่ายาถอนพิษ กลับมิใช่ยาถอนพิษ” นางวางขวดยาลงบนโต๊ะ “มันเป็นเพียงยาที่สามารถเร่งการเผาผลาญได้เท่านั้นเอง”“จะพูดเช่นไรดีล่ะ หลังจากที่อวี้เอ๋อร์ตอบสนองระบบภูมิคุ้มกันต่อหินแล้ว ร่างกายจ
ฉินเหยี่ยนเย่ว์รู้สึกว่าสิ่งที่ตงฟางหลีหึงหวงนั้นน่าแปลกใจมากเห็นได้ชัดว่าจีอู๋เยียนใส่ใจเพียงอวี้เอ๋อร์เท่านั้น คนอื่น ๆ สำหรับเขาก็ไม่ต่างไปจากต้นหอมเลยนี่มันมีอะไรให้หึงหวงกันหรือ?“หยุดทำตัวน่าอึดอัดได้แล้วเพคะ” นางพยายามปลอบโยน “การมีเพื่อนมากกว่าหนึ่งคนย่อมดีกว่ามีศัตรูเพิ่มอีกหนึ่งคนนะเพคะ”
“พระนาง บ่าวไม่เป็นไรเพคะ” หลังจากเฟ่ยชุ่ยพบนาง ในที่สุดก็ได้สติ “บ่าว บ่าวแค่อยากจะมาแจ้งท่าน ว่ามีคนกำลังก่อเรื่องวุ่นวายบนถนนเพคะ”“มีคนก่อเรื่องวุ่นวายบนถนน แล้วเกี่ยวอะไรกับเราหรือ?” ฉินเหยี่ยนเย่ว์ประคองนางขึ้นมา “รีบลุกขึ้นแล้วว่ามา”“เด็กตายคนหนึ่งเพคะ” ดวงตาของเฟ่ยชุ่ยเบิกกว้าง ใบหน้าของนาง
“ไป๋โค้ว ออกไป” ตงฟางหลีขัดจังหวะนางด้วยเสียงต่ำทุ้มไป๋โค้วรู้สึกถึงรังสีอันน่าสะพรึงกลัวที่กำจายออกมาจากร่างของตงฟางหลี นางย่นคอ และลากเฟ่ยชุ่ยวิ่งออกไป “ถ้าเช่นนั้นข้าก็ไม่ยุ่งแล้วนะ ท่านอ๋องสงบอารมณ์ด้วย”ฉินเหยี่ยนเย่ว์รู้สึกผิดเล็กน้อย “ตงฟางหลี ขอโทษนะเพคะ”“ทำไมถึงต้องขอโทษด้วย?” น้ำเสียงของ
ตงฟางหลีไม่มีคำใดจะเอ่ยเขาเดินไปที่หน้าต่าง เปิดม่านโปร่งสีเขียวอ่อน นิ้วเคาะกระดิ่งที่หน้าต่างพระชายาอ๋องเฉียนผู้เรียบร้อยมาโดยตลอดกลับลงมือกับฉินเหยี่ยนเย่ว์ และพี่ใหญ่ก็ไม่สามารถนิ่งเฉยได้ข่าวลือประเภทนี้เมื่อแพร่กระจายออกไป ก็เปรียบดั่งก้อนหิมะที่ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ กระทั่งกลืนกินผู้คนนางไม
“มิใช่บอกจะมอบเรื่องนี้ให้หม่อมฉันหรือเพคะ?” ฉินเหยี่ยนเย่ว์ลูดคิ้วของเขาที่ขมวดอยู่ให้เรียบ “ยังไม่ถึงเวลาเลยนะเพคะ”นางอวดฟันขาวเรียงตัวสวย “เตรียมทั้งหมดเสร็จสิ้นแล้ว ขาดสิ่งสำคัญสุดท้าย”“ทั้งหมดคืออะไร? สิ่งสำคัญคืออะไร?” ตงฟางหลีพูดขึ้น “หลังจบราชกิจเช้าวันนี้ เสด็จพ่อรั้งข้าถามไถ่สถานการณ์โดย
“อ้อ? วีรบุรุษช่วยสาวงามหรือ?”ใบหน้าช่างปักเสิ่นแดงก่ำยิ่งกว่าเดิม “พวกเรามาที่เมืองเหวินจิงเป็นครั้งแรก ไม่คุ้นเคยกับผู้คนและพื้นที่ จึงถูกคนหลอกเอาเงินไป บ่าวกับบุตรสาวเกือบจะถูกเอาตัวไปขาย เป็นพี่ใหญ่ตู้เห็นว่าไม่ยุติธรรมจึงเข้าช่วยเหลือพวกเรา พอเขารู้ว่าบ่าวปักผ้าเป็น ยังแนะนำโรงปักให้บ่าวทำงาน
“หม่อมฉันมิได้ลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์” ฉินเหยี่ยนเย่ว์กลืนขนมลงไป “หม่อมฉันรู้สึกว่าขุนนางใหญ่คนนั้นโดนหลอกเพคะ”“จะว่าไป ตู้จ้งได้ให้กำเนิดบุตรกับสตรีคนสนิทหน้าตางดงามเหล่านั้นบ้างหรือไม่?”“พี่ชายกระหม่อมยังรักษาตนเองให้บริสุทธิ์ผุดผ่องอยู่ บางครั้งกระทั่งมือของสตรียังไม่เคยจับมาก่อน จะมีลูกได้อย่า
เขากุมมือของนาง “ยัยหนู นี่เจ้า...จำได้แล้ว?”“บอกไปแล้วว่าเป็นความฝัน หม่อมฉันในยามนั้นฝันเช่นนี้” ฉินเหยี่ยนเย่ว์กล่าวอย่างกรุ่นโกรธ “ตอนที่หม่อมฉันกับท่านไม่ชอบหน้ากัน หลังจากฝันเช่นนั้นแล้ว คิดไปว่าเป็นสิ่งที่ใจคิด จึงเก็บไปฝัน ด้วยคิดว่าหม่อมฉันเข้าไปยุ่งเรื่องของท่านกับซูเตี่ยนฉิง ยังรู้สึกขยะ
ฉินเหยี่ยนเย่ว์นิ่งงันตงฟางหลีเคยถามนางหลายครั้งแล้วจริง ๆตอนที่เขาถามนั้น ระหว่างพวกเขาสองคนยังไม่ทันได้มีความรู้สึกที่ตรงกันตอนนั้น ไม่ว่าจะพูดอะไร ทำอะไร หากไม่ทะเลาะเบาะแว้งกันอยู่ร่ำไป ก็พูดออกไปโดยไม่คิดว่าจะทำให้ตนเองอับอายหรือไม่อย่างไรเสียก็มิอาจจริงใจต่อกันได้ ถ้อยคำที่กล่าวออกมาก็เลย
“ภายหลัง ตู้จ้งได้เจอกับหญิงม่ายคนหนึ่ง หญิงม่ายยังมีบุตรวัยสามขวบด้วยคนหนึ่ง” สายตาของเขาผินมองไปนอกหน้าต่าง “นั่นก็คือช่างปักคนนั้น เป็นเพราะเขาถูกหลอกมาหลายครั้ง ข้าถึงได้ฝากให้เจ้าช่วยสืบสักหน่อย”ฉินเหยี่ยนเย่ว์เอามือเท้าคาง นิ้วก็เคาะที่โต๊ะอย่างไม่เป็นจังหวะช่างปักคนนั้นหน้าตาหมดจด ใบหน้าดูใ
“พระชายาคิดว่าข้าโง่ เช่นนั้นข้าก็โง่” ตงฟางหลีฉวยจังหวะจุมพิตหน้าผากของนางก่อนจะได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นมาจากที่ไกล ๆตู้จ้งและตู้เหิงเกรงว่าคงจะมากันแล้วเขามุ่นหัวคิ้ว ประทับบนริมฝีปากของนางหนัก ๆ “ตู้จ้งจะมารายงานข่าว”“ต้องให้หม่อมฉันหลบหรือไม่?”ตงฟางหลีนัยน์ตาเป็นประกาย “อืม ข้าได้ให้คนตัดเย
“ท่านอธิบายให้หม่อมฉันฟังเสียดี ๆ!” ฉินเหยี่ยนเย่ว์หน้าบึ้งหันหน้าไปอีกทาง“ยามเช้าข้าให้เฝ่ยชุ่ยเอายาไปให้เจ้า เจ้าไม่ได้รับหรือ?” ตงฟางหลีผินใบหน้านางให้หันกลับมา เผชิญหน้ากับนาง “ข้าตั้งใจให้ลู่ซิวทำขึ้นมาในคืนเดียวเชียวนะ”ฉินเหยี่ยนเย่ว์ชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะนึกถึงขวดขนาดเล็กที่เฝ่ยชุ่ยมอบให้นาง
ฉินเหยี่ยนเย่ว์ได้ยินดังนั้นก็ถอนหายใจนิสัยของสองพี่น้องนี้ ช่างมีนิสัยตรงข้ามกันเสียจริงตงฟางหลีดื่มชาในถ้วยรวดเดียวหมดไอจากชาลอยบดบัง แสงดาวที่หว่างคิ้วน่ามองคู่นั้นประกายวับวาบยามที่ฉินเหยี่ยนเย่ว์เหลือบตาขึ้นมอง ได้เห็นแสงดาวในแววตาของตงฟางหลีเข้าพอดีแสงนั้นสองสว่าง ดั่งดวงดาวนับพันหมื่นดวง
“ข้าถูกใส่ร้าย” ตงฟางหลีชูมือขึ้น “อยู่ดี ๆ คิดไปถึงเรื่องพวกนั้นได้อย่างไรกัน? มิใช่ตกลงกันแล้วหรือว่าจะไม่เอาเรื่องเก่าขึ้นมาพูดอีก? เรื่องในอดีตเป็นความผิดของข้า มิใช่ว่าเจ้าลงโทษข้าไปแล้วหรือ? พวกเราปรับความเข้าใจกันแล้วมิใช่หรือ?”“ลงโทษแล้ว แล้วก็ทุบตีไปแล้ว แต่หม่อมฉันยังอารมณ์ไม่ดีอยู่เพคะ”