ฉินเหยี่ยนเย่ว์มิรู้ว่าเขาคิดอันใดอยู่ นางจึงตระเตรียมของขึ้นมาหลายอย่าง หลังจากที่นางเดินออกมาจากห้องครัวแล้วนั้น นางพลันเห็นเขายังคงยืนอยู่ท่ามกลางลมหนาวและหิมะอยู่เช่นเดิม ฉินเหยี่ยนเย่ว์พลางเลิกคิ้วเอ่ยถามขึ้นมาว่า "ตงฟางหลี ท่านมิหนาวหรือ?"“ต่อแต่นี้ไป เจ้าห้ามเอ่ยเรียกนามของข้าเฉย ๆ อีกเป็นอั
ตงฟางหลีทำทีเสมือนว่ามิได้ยินในสิ่งที่นางเอ่ยขึ้นมา"หม่อมฉันเดาว่า หม่อมคงจะได้พบจุดอ่อนของฉินเสวี่ยเย่ว์และท่านอ๋องสามได้แล้วนั้น" ฉินเหยี่ยนเย่ว์หาได้สนใจอันใดไม่ "มันเพียงพอที่จะทำลายชื่อเสียงของพวกเขาลงได้เพคะ หากหม่อมฉันมิตาย พวกเขาย่อมพยายามหาทางให้หม่อมฉันตายอย่างแน่นอน"“โอ้?” ตงฟางหลีพลันห
ตงฟางหลีมองสำรวจนางอย่างละเอียดฉินเหยี่ยนเย่ว์สบตาอย่างไม่หวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย “ตงฟางหลี ผู้ที่หม่อมฉันต้องขอโทษก็คือท่าน ไม่เกี่ยวข้องกับผู้อื่น ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนั้นที่เลือกแต่งงานกับหม่อมฉันก็คือท่าน และนี่ก็คือการตัดสินใจของท่านเอง”ตงฟางหลีเหลือบตาขึ้น นัยน์ตาคู่นั้นเย็นยะเยือก ความอาฆาตค่อย
ใบหน้าตอนนี้กับใบหน้าเดิมของนางคล้ายคลึงกันยิ่ง แต่ลักษณะท่าทางในตอนนี้ดูโบราณกว่า และผิวพรรณก็ดีกว่าเล็กน้อยนางไม่ค่อยรำคาณการแต่งกายในตอนนี้สักเท่าใดเฟ่ยชุ่ยทาสีผึ้งลงไปบนริมฝีปากขอนางเล็กน้อย “เสร็จแล้วเพคะ”นางหยิบของเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างเช่นพวกขนมและผลไม้ให้นางเล็กน้อย “บ่าวได้ยินมาว่า หลังจากเ
สาวงามมองเห็นฉินเหยี่ยนเย่ว์จับตงฟางหลีเอาไว้ และตงฟางหลีไม่ได้ผลักไส แต่กลับประคองนาง แทบจะมีไฟลุกโชนขึ้นในดวงดา“ขอบคุณ” ฉินเหยี่ยนเย่ว์สีหน้าซีดขาวหน้ามืดตาลาย ใจสั่นและหูอื้อ นี่เป็นอาการของภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำร่างกายนี้เดิมทีก็มีโรคประจำตัวอยู่แล้ว เพิ่งจะบำรุงรักษาร่างกายได้ไม่กี่วัน ยังไม่ท
ถ้าหากนางวินิจฉัยโรคไม่ผิด อาการป่วยของฉินเหยี่ยนเย่ว์น่าจะเป็นโรคในกะโหลกศีรษะ ตอนที่อาการไม่กำเริบยังพอไหว หากอาการกำเริบก็จะเจ็บปวดทรมานเป็นอย่างยิ่ง ถึงขนาดตกอยู่ในอาการเสียสติโรคในกะโหลกศีรษะมีทั้งไม่รุนแรงและสาหัส ในกรณีที่ไม่รุนแรงอาการจะค่อย ๆ ทุเลา ในกรณีที่รุนแรงอาจจะเส้นเลือดในสมองแตกและ
“หากเป็นเมื่อคืนวานนี้ ท่านสังหารหม่อมฉัน หม่อมฉันก็คงขัดขืนมิได้ แต่ หากเป็นท่านในวันนี้ ก็คงจะไม่มีปัญญาหรอกเพคะ” ฉินเหยี่ยนเย่ว์น้ำเสียงอ่อนแอ ทันทีที่พูดจบ นางก็หาโอกาสเหมาะ โจมตีที่จุดถันจงของตงฟางหลีเดิมทีตงฟางหลีก็มาถึงขีดจำกัดแล้ว หลังจากที่ถูกโจมตี ก็รู้สึกเจ็บปวดที่บริเวณหน้าเป็นอย่างยิ่ง
ต่อไป เขาย่อมสูญเสียการควบคุมตนเองไปอย่างแน่นอน“เจ้ามีหนทางงั้นหรือ?” ตงฟางหลีหยุดลง พร้อมทั้งร่างกายที่โอนเอนไปมาเล็กน้อย พลางแย้มยิ้มออกมาด้วยความเย็นชาว่า “เจ้าจักไปทำอันใดได้?”“มีเพคะ” ฉินเหยี่ยนเย่ว์พลางบีบขวดแมนนิทอลในแขนเสื้อของตนเองเอาไว้แน่นขวดแมนนิทอลขวดนี้ เดิมทีมันปรากฏขึ้นมานานแล้ว
“ตงฟางหลี” ฉินเหยี่ยนเย่ว์สาวเท้าเดินไปหยุดข้างกายเขา พลางจับมือเขาแน่น “หม่อมฉัน...”นางมีคำพูดมากมายที่ต้องการพูด ครั้นเห็นความเศร้าโศกในแววตารวมถึงใบหน้าซีดขาวของเขา สุดท้ายก็ต้องกลืนคำพูดกลับเข้าไปพระสนมอวิ๋นจากไปแล้ว ตงฟางหลีน่าจะโทษนางกระมัง“ขอโทษ” นางสูดจมูก“เจ้าไม่จำเป็นต้องขอโทษ” ตงฟางหล
ความรู้สึกต่าง ๆ นานา พวยพุ่งขึ้นมาในใจ จนทำให้ฮ่องเต้นัยน์ตาแดงก่ำร่างกายของเขา เปี่ยมล้นไปด้วยความเศร้า ความเจ็บปวด และความเสียใจ...แตกต่างไปจากความจริงจังในยามปกติ เขาในยามนี้ อ่อนแอจนดูเปราะบาง“เสด็จพ่อ” ฉินเหยี่ยนเย่ว์เห็นปฏิกิริยาของฮ่องเต้ผิดแปลกไป จึงหมายจะก้าวเข้าไปห้ามปราม“ออกไป”“เสด็
ผ่านไปเพียงไม่นาน ฮ่องเต้ก็อุ้มโถยาโถหนึ่งเดินเข้ามา“หาเจอแล้ว” เขาหยิบยาเม็ดที่บรรจุด้วยขี้ผึ้งออกมาจากโถยาหนึ่งเม็ด หลังจากเปิดขี้ผึ้งหนา ๆ ออกหนึ่งชั้นแล้ว ภายในยังห่อด้วยหีบห่อไว้อีกหนึ่งชั้นหีบห่อชั้นนั้น ก็คือลูกบอลพลาสติกที่อยู่ด้านนอกยาลูกกลอนน้ำผึ้งเม็ดใหญ่ครั้นเปิดลูกบอลพลาสติกออก ด้าน
ฮ่องเต้ยืนอยู่ห่างจากเจ้าสิ่งนั้นไม่ไกลมากเขามองสิ่งประหลาดชิ้นนั้นขยายตัวด้วยความเร็วที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า หลังจากที่มันเจอกับเปลวไฟ พลันเผาไหม้กลายเป็นเถ้าถ่านในทันทีกลิ่นหอมประหลาดสายหนึ่งฟุ้งกระจายไปทั่วทั้งห้อง“ระบายอากาศเร็วเข้า” ฉินเหยี่ยนเย่ว์ตะโกนร้องหนึ่งคำ ฮ่องเต้รีบเปิดหน้าต
นางกำชับทุกคนให้เปลี่ยนอาภรณ์ให้เรียบร้อยแสงเทียนทั้งหมดกระจุกตัวกันอยู่ในจุด ๆ เดียวเมื่อแสงยังสว่างไม่มากพอ ฮ่องเต้จึงมีรับสั่งให้องครักษ์จื่ออวี๋นำไข่มุกราตรีในคลังเก็บสมบัติมาแสงสว่างของไข่มุกราตรีสะท้อนอยู่ภายในห้องจนดูคล้ายกับตอนกลางวันฉินเหยี่ยนเย่ว์มิสนใจพูดขอบคุณ หลังจากแบ่งงานกันอย่างช
ฉินเหยี่ยนเย่ว์รู้สึกลำบากใจยิ่งนักในสายตานาง เทียบกับชีวิตแล้ว ความเป็นส่วนตัวเท่านี้ไม่นับว่าเป็นอันใดด้วยซ้ำ“ป้าฉา บางครั้งเจ้ามิอาจเข้าใจได้ ทว่าข้ายังจะต้องบอกกับเจ้าว่า ในระหว่างขั้นตอนการผ่าตัด ต่อให้สวมอาภรณ์ก็จำเป็นต้องตัดทิ้ง โดยเฉพาะสถานการณ์ในยามนี้นั้นยากลำบากยิ่งนัก”การผ่าตัดเปิดช่อ
นางจับข้อมือของพระสนมอวิ๋น หากแต่ยังไร้ชีพจร หัวใจก็แทบหยุดเต้น “เสด็จแม่ ขอประทานอภัยเพคะ” ฉินเหยี่ยนเย่ว์รู้สึกผิดอย่างยิ่งยวดนางรู้มาตั้งแต่เนิ่น ๆ แล้วว่าพระสนมอวิ๋นสุขภาพไม่ดี ควรจะเตรียมการให้รอบด้านถึงจะถูกนางมั่นใจในตัวเองมากเกินไป มิได้คำนึงว่ากระเพาะอาหารจะยังมีแมลงพิษกู่ด้วยเช่นกัน จึง
ฮ่องเต้ทรงกุมมือของพระสนมอวิ๋นแน่น“เรื่องเช่นนั้น สามารถทำได้หรือ?” เขามองพระสนมอวิ๋นที่อ่อนแรง ก่อนตรัสถามด้วยเสียงเบาทำเอาฉินเหยี่ยนเย่ว์ถอนหายใจยาวเหยียดตามหลักแล้วทำไม่ได้พระสนมอวิ๋นมีความดันโลหิตต่ำ ชีพจรแทบจะไม่มี ไม่เหมาะจะฉีดยาชา และไม่เหมาะจะทำการผ่าตัดเช่นกันโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เงื่อนไข
หากมิใช่เพราะนางยังสามารถสัมผัสได้ถึงชีพจรที่เต้นอย่างอ่อนแรง ก็แทบจะคิดว่าพระสนมอวิ๋นตายไปแล้วต้องเกิดปัญหาขึ้นที่ไหนสักที่!ฉินเหยี่ยนเย่ว์กำมือแน่น สมองหมุนวนอย่างรวดเร็วก่อนที่จะกำจัดกู่นั้น นางได้ตรวจร่างกายของพระสนมอวิ๋นแล้ว นอกเสียจากถูกพิษกู่กัดกร่อนจนทำให้รู้สึกเจ็บปวดร่างกาย แล้ว ก็มีเพี