ถ้าหากนางวินิจฉัยโรคไม่ผิด อาการป่วยของฉินเหยี่ยนเย่ว์น่าจะเป็นโรคในกะโหลกศีรษะ ตอนที่อาการไม่กำเริบยังพอไหว หากอาการกำเริบก็จะเจ็บปวดทรมานเป็นอย่างยิ่ง ถึงขนาดตกอยู่ในอาการเสียสติโรคในกะโหลกศีรษะมีทั้งไม่รุนแรงและสาหัส ในกรณีที่ไม่รุนแรงอาการจะค่อย ๆ ทุเลา ในกรณีที่รุนแรงอาจจะเส้นเลือดในสมองแตกและ
“หากเป็นเมื่อคืนวานนี้ ท่านสังหารหม่อมฉัน หม่อมฉันก็คงขัดขืนมิได้ แต่ หากเป็นท่านในวันนี้ ก็คงจะไม่มีปัญญาหรอกเพคะ” ฉินเหยี่ยนเย่ว์น้ำเสียงอ่อนแอ ทันทีที่พูดจบ นางก็หาโอกาสเหมาะ โจมตีที่จุดถันจงของตงฟางหลีเดิมทีตงฟางหลีก็มาถึงขีดจำกัดแล้ว หลังจากที่ถูกโจมตี ก็รู้สึกเจ็บปวดที่บริเวณหน้าเป็นอย่างยิ่ง
ต่อไป เขาย่อมสูญเสียการควบคุมตนเองไปอย่างแน่นอน“เจ้ามีหนทางงั้นหรือ?” ตงฟางหลีหยุดลง พร้อมทั้งร่างกายที่โอนเอนไปมาเล็กน้อย พลางแย้มยิ้มออกมาด้วยความเย็นชาว่า “เจ้าจักไปทำอันใดได้?”“มีเพคะ” ฉินเหยี่ยนเย่ว์พลางบีบขวดแมนนิทอลในแขนเสื้อของตนเองเอาไว้แน่นขวดแมนนิทอลขวดนี้ เดิมทีมันปรากฏขึ้นมานานแล้ว
ตงฟางหลียังคงหลับตาอยู่เช่นเดิมเมื่อครู่เขามองอันใดไม่ค่อยชัดแจ้งนัก จึงมิเห็นว่าฉินเหยี่ยนเย่ว์ทำอันใดกับเขากันแน่สิ่งเดียวที่เขารู้สึกได้ก็คือ หลังจากที่รู้เจ็บปวดจากการแทงเข็มลงไปนั้น ร่างกายพลันมีอะไรเย็น ๆ บางอย่างถูกฉีดเข้ามาที่แขนในทันที ไม่นานนักอาการปวดหัวของเขาก็หายไปเสมือนกับคลื่นลมพาย
หากเดินอ้อมจากทางด้านหลังภูเขาเทียมออกมาจักพบเห็นทางเล็ก ๆ สายหนึ่ง ที่สองข้างทางขนาบข้างไปด้วยดอกเหมย ในยามนี้ นับว่าถึงช่วงที่ดอกเหมยกำลังเบ่งบานออกมาพอดี ดอกเหมยสีขาวสีแดงมากมายที่พากันร่วงโรยตกลงบนพื้นหิมะด้านหลัง ราวกับดอกไม้ที่กำลังเบ่งบานอยู่บนก้อนเมฆก็ไม่ปาน ช่างงดงามยิ่งนัก ฉินเหยี่ยนเย่ว
“เจ้าคิดว่าข้าโง่หรืออย่างไร?” ตงฟางอิงพลันเชิดหน้าขึ้นในทันที พลางหันหน้ามาอีกฝั่งหนึ่ง ทว่า สายตายังคงเหลือบมองไปยังขนมที่อยู่ในมือของฉินเหยี่ยนเย่ว์ไม่มีหยุด“หากเจ้าไม่กิน เช่นนั้นข้าจักกินมันแทนนะ” ฉินเหยี่ยนเย่ว์พูดจบ พลางอ้าปากกว้างกำลังจะนำขนมเข้าปาก “อย่า” ตงฟางอิงพลันส่งเสียงร้องห้าม “ช่า
ตงฟางหลีพลันหลุบสายตาลง เพื่อปกปิดนัยน์ตาที่เต็มไปด้วยความเย็นชาเอาไว้ ก่อนจะกดเสียงต่ำกระซิบกล่าวเตือนว่า “อีกครู่หนึ่ง เจ้าควรคิดให้รอบคอบเสียก่อนคิดจะเอ่ยสิ่งใดออกมา”กองเพลิงในครานี้ นับว่าเผาไหม้รุนแรงยิ่งนัด หากเอ่ยปิดพลาดแม้เพียงครั้งเดียว อาจจะทำให้พวกนางถูกเพลิงเผาไหม้จนเละเป็นจุลณก็ว่าได้
“หากว่ามิมีผู้ใดเข้าไปใกล้ตำหนักจริง ๆ แล้วนั้น เช่นนั้นแล้วองค์หญิงเย่ว์ลู่เข้าไปในตำหนักเยว่ชูได้อย่างไรกัน?” ตงฟางหลีพลางกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงนุ่มลึก “เกรงว่านางคงจะจงใจหลีกเลี่ยงขันทีและนางกำนัลสาวใช้เข้าไปเป็นแน่”“เจ้าหมายความว่าอย่างไรกัน?” ท่านอ๋องหลูหยางเอ่ยถาม“เมื่อครู่กระหม่อมได้เข้าไปด
“ตงฟางหลี” ฉินเหยี่ยนเย่ว์สาวเท้าเดินไปหยุดข้างกายเขา พลางจับมือเขาแน่น “หม่อมฉัน...”นางมีคำพูดมากมายที่ต้องการพูด ครั้นเห็นความเศร้าโศกในแววตารวมถึงใบหน้าซีดขาวของเขา สุดท้ายก็ต้องกลืนคำพูดกลับเข้าไปพระสนมอวิ๋นจากไปแล้ว ตงฟางหลีน่าจะโทษนางกระมัง“ขอโทษ” นางสูดจมูก“เจ้าไม่จำเป็นต้องขอโทษ” ตงฟางหล
ความรู้สึกต่าง ๆ นานา พวยพุ่งขึ้นมาในใจ จนทำให้ฮ่องเต้นัยน์ตาแดงก่ำร่างกายของเขา เปี่ยมล้นไปด้วยความเศร้า ความเจ็บปวด และความเสียใจ...แตกต่างไปจากความจริงจังในยามปกติ เขาในยามนี้ อ่อนแอจนดูเปราะบาง“เสด็จพ่อ” ฉินเหยี่ยนเย่ว์เห็นปฏิกิริยาของฮ่องเต้ผิดแปลกไป จึงหมายจะก้าวเข้าไปห้ามปราม“ออกไป”“เสด็
ผ่านไปเพียงไม่นาน ฮ่องเต้ก็อุ้มโถยาโถหนึ่งเดินเข้ามา“หาเจอแล้ว” เขาหยิบยาเม็ดที่บรรจุด้วยขี้ผึ้งออกมาจากโถยาหนึ่งเม็ด หลังจากเปิดขี้ผึ้งหนา ๆ ออกหนึ่งชั้นแล้ว ภายในยังห่อด้วยหีบห่อไว้อีกหนึ่งชั้นหีบห่อชั้นนั้น ก็คือลูกบอลพลาสติกที่อยู่ด้านนอกยาลูกกลอนน้ำผึ้งเม็ดใหญ่ครั้นเปิดลูกบอลพลาสติกออก ด้าน
ฮ่องเต้ยืนอยู่ห่างจากเจ้าสิ่งนั้นไม่ไกลมากเขามองสิ่งประหลาดชิ้นนั้นขยายตัวด้วยความเร็วที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า หลังจากที่มันเจอกับเปลวไฟ พลันเผาไหม้กลายเป็นเถ้าถ่านในทันทีกลิ่นหอมประหลาดสายหนึ่งฟุ้งกระจายไปทั่วทั้งห้อง“ระบายอากาศเร็วเข้า” ฉินเหยี่ยนเย่ว์ตะโกนร้องหนึ่งคำ ฮ่องเต้รีบเปิดหน้าต
นางกำชับทุกคนให้เปลี่ยนอาภรณ์ให้เรียบร้อยแสงเทียนทั้งหมดกระจุกตัวกันอยู่ในจุด ๆ เดียวเมื่อแสงยังสว่างไม่มากพอ ฮ่องเต้จึงมีรับสั่งให้องครักษ์จื่ออวี๋นำไข่มุกราตรีในคลังเก็บสมบัติมาแสงสว่างของไข่มุกราตรีสะท้อนอยู่ภายในห้องจนดูคล้ายกับตอนกลางวันฉินเหยี่ยนเย่ว์มิสนใจพูดขอบคุณ หลังจากแบ่งงานกันอย่างช
ฉินเหยี่ยนเย่ว์รู้สึกลำบากใจยิ่งนักในสายตานาง เทียบกับชีวิตแล้ว ความเป็นส่วนตัวเท่านี้ไม่นับว่าเป็นอันใดด้วยซ้ำ“ป้าฉา บางครั้งเจ้ามิอาจเข้าใจได้ ทว่าข้ายังจะต้องบอกกับเจ้าว่า ในระหว่างขั้นตอนการผ่าตัด ต่อให้สวมอาภรณ์ก็จำเป็นต้องตัดทิ้ง โดยเฉพาะสถานการณ์ในยามนี้นั้นยากลำบากยิ่งนัก”การผ่าตัดเปิดช่อ
นางจับข้อมือของพระสนมอวิ๋น หากแต่ยังไร้ชีพจร หัวใจก็แทบหยุดเต้น “เสด็จแม่ ขอประทานอภัยเพคะ” ฉินเหยี่ยนเย่ว์รู้สึกผิดอย่างยิ่งยวดนางรู้มาตั้งแต่เนิ่น ๆ แล้วว่าพระสนมอวิ๋นสุขภาพไม่ดี ควรจะเตรียมการให้รอบด้านถึงจะถูกนางมั่นใจในตัวเองมากเกินไป มิได้คำนึงว่ากระเพาะอาหารจะยังมีแมลงพิษกู่ด้วยเช่นกัน จึง
ฮ่องเต้ทรงกุมมือของพระสนมอวิ๋นแน่น“เรื่องเช่นนั้น สามารถทำได้หรือ?” เขามองพระสนมอวิ๋นที่อ่อนแรง ก่อนตรัสถามด้วยเสียงเบาทำเอาฉินเหยี่ยนเย่ว์ถอนหายใจยาวเหยียดตามหลักแล้วทำไม่ได้พระสนมอวิ๋นมีความดันโลหิตต่ำ ชีพจรแทบจะไม่มี ไม่เหมาะจะฉีดยาชา และไม่เหมาะจะทำการผ่าตัดเช่นกันโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เงื่อนไข
หากมิใช่เพราะนางยังสามารถสัมผัสได้ถึงชีพจรที่เต้นอย่างอ่อนแรง ก็แทบจะคิดว่าพระสนมอวิ๋นตายไปแล้วต้องเกิดปัญหาขึ้นที่ไหนสักที่!ฉินเหยี่ยนเย่ว์กำมือแน่น สมองหมุนวนอย่างรวดเร็วก่อนที่จะกำจัดกู่นั้น นางได้ตรวจร่างกายของพระสนมอวิ๋นแล้ว นอกเสียจากถูกพิษกู่กัดกร่อนจนทำให้รู้สึกเจ็บปวดร่างกาย แล้ว ก็มีเพี