“เจ้าคิดว่าข้าโง่หรืออย่างไร?” ตงฟางอิงพลันเชิดหน้าขึ้นในทันที พลางหันหน้ามาอีกฝั่งหนึ่ง ทว่า สายตายังคงเหลือบมองไปยังขนมที่อยู่ในมือของฉินเหยี่ยนเย่ว์ไม่มีหยุด“หากเจ้าไม่กิน เช่นนั้นข้าจักกินมันแทนนะ” ฉินเหยี่ยนเย่ว์พูดจบ พลางอ้าปากกว้างกำลังจะนำขนมเข้าปาก “อย่า” ตงฟางอิงพลันส่งเสียงร้องห้าม “ช่า
ตงฟางหลีพลันหลุบสายตาลง เพื่อปกปิดนัยน์ตาที่เต็มไปด้วยความเย็นชาเอาไว้ ก่อนจะกดเสียงต่ำกระซิบกล่าวเตือนว่า “อีกครู่หนึ่ง เจ้าควรคิดให้รอบคอบเสียก่อนคิดจะเอ่ยสิ่งใดออกมา”กองเพลิงในครานี้ นับว่าเผาไหม้รุนแรงยิ่งนัด หากเอ่ยปิดพลาดแม้เพียงครั้งเดียว อาจจะทำให้พวกนางถูกเพลิงเผาไหม้จนเละเป็นจุลณก็ว่าได้
“หากว่ามิมีผู้ใดเข้าไปใกล้ตำหนักจริง ๆ แล้วนั้น เช่นนั้นแล้วองค์หญิงเย่ว์ลู่เข้าไปในตำหนักเยว่ชูได้อย่างไรกัน?” ตงฟางหลีพลางกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงนุ่มลึก “เกรงว่านางคงจะจงใจหลีกเลี่ยงขันทีและนางกำนัลสาวใช้เข้าไปเป็นแน่”“เจ้าหมายความว่าอย่างไรกัน?” ท่านอ๋องหลูหยางเอ่ยถาม“เมื่อครู่กระหม่อมได้เข้าไปด
ทว่า หากเป็นกลิ่นที่ติดตัวจริง ๆ ย่อมต้องติดตัวไปตลอดหรือค่อยๆ จางหายไป แทนที่จะส่งกลิ่นออกมาเป็นระยะๆ เช่นนี้เว้นแต่ว่า......ฉินเหยี่ยนเย่ว์คิดถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่งขึ้นมาในทันทีเมื่อมีความคิดนี้ผุดขึ้นมาในหัวนั้น ฉินเหยี่ยนเย่ว์พลันขมวดคิ้วพร้อมทั้งหัวใจที่เต้นรัวออกมาไม่หยุด นับว่าเป็นการ
“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ทรงอนุญาตให้นางดูด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ” ท่านอ๋องหลูหยางที่มีท่าทีร้อนใจเป็นทุนเดิมอยู่แล้วนั้น เมื่อรู้ว่าหลานสาวหัวแก้วหัวแหวนของตนเองอาจจะยังมีชีวิตอยู่ บุรุษชายชาตรีที่ร่างกายกำยำพลางกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือไปในทันที “หากว่าเป็นเสมือนกับแมวตาบอดเจอหนูตายเล่า?” มุมปากของฉินเหย
องค์จักรพรรดิหาได้ตำหนิที่ท่านอ๋องหลูหยางทำตัวไร้มารยาทไม่ เมื่อคนตายฟื้นคืนชีพขึ้นมาเช่นนี้ ท่านอ๋องหลูหยางเองก็มิจำเป็นต้องให้คนผมขาวส่งคนผมดำไปเสียก่อน นี่ถือว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีอีกเรื่องหนึ่งองค์จักรพรรดิจึงหันกลับมามองไปที่ฉินเหยี่ยนเย่ว์อีกครั้งฉินเหยี่ยนเย่ว์พลันรีบคุกเข่าลงกับพื้นไปใน
หลังจากที่ตงฟางหลีเห็นซูเตี่ยนฉิง สีหน้าที่เต็มไปด้วยความมืดครึ้มของเขาพลันอันตรธานหายไปในทันที ก่อนจะปรากฏร่องรอยความนุ่มนวลอันอบอุ่นขึ้นมาแทน น้ำเสียงยังกดแผ่วเบาลงมาหลายส่วน “ฉิงเอ๋อร์ อากาศหนาวยิ่งนัก เหตุใดเจ้าถึงไม่ไปพักที่เรือนรับรองข้าง ๆ เล่า?”ซูเตี่ยนฉิงเพียงขบเม้มริมฝีปากของตนเอง ก่อนจะก
ซูเตี่ยนฉิงหาได้หยุดฝีเท้าตัวเองไม่ ก่อนจะรับจ้ำก้าวเข้าไปในเรือนรับรองในทันที เมื่อแผนการของตงฟางอิงประสบความสำเร็จแล้วนั้น เขาพลันแลบลิ้นปลิ้นตาออกมา ด้วยใบหน้าน้อย ๆ ที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ“นางให้เจ้ามาหรือ?” น้ำเสียงของตงฟางหลีเอ่ยออกมาด้วยความเย็นชา พร้อมทั้งกลิ่นอายรังสีฆ่าฟันที่แผ่กระจาย
เวลาเดียวกับที่เช็ดเลือดออก ได้ใส่ยาห้ามเลือด และในเวลาเดียวกันก็ฉีดยาฉุกเฉินเช่น ยากระตุ้นหัวใจอาการของเซียวเซี่ยงหวั่นค่อนข้างแย่แม้จะได้รับการรักษาฉุกเฉินแล้ว แต่การหายใจของนางยังคงอ่อนแรงมากโดยเฉพาะมือและเท้าเริ่มแข็ง ทำให้ไม่สามารถวัดชีพจรได้สิ่งที่เร่งด่วนที่สุด ทำได้เพียงตรวจคลื่นไฟฟ้าหัว
หลังจากกินยาช่วยชีวิตแล้ว เซียวเซี่ยงหวั่นก็เกิดอาการชักอย่างรุนแรงทันทีใบหน้าที่แทบจะจำไม่ได้บิดเบี้ยวเพราะความเจ็บปวดนางดิ้นรนด้วยความทรมาน มีเสียงร้องครวญครางอย่างไม่รู้สึกตัวออกมาจากลำคอ“แย่แล้ว” หัวใจของฉินเหยี่ยนเย่ว์ยังไม่ทันวางลง ก็ลอยขึ้นสูงอีกครั้งเซียวเซี่ยงหวั่นถูกเฉียนอ๋องทรมานจนหาย
เมื่อพวกเขาได้กลิ่นของฉินเหยี่ยนเย่ว์นั้น ทุกสายตาพลันหันไปหานางในทันที ก่อนจะน้ำลายไหลออกมา พร้อมทั้งนัยน์ตาที่แดงก่ำพวกเขาทั้งหมดล้วนแต่มีร่างกายสูงใหญ่ บนร่างกายนั้นกลับมีเงามันแปลก ๆ พร้อมทั้งเปรอะเปื้อนเลือดของพระชายาเฉียนอีกด้วยพวกมันราวกับสัตว์ร้ายที่จ้องมองนางด้วยสายตาราวกับอยากจะจับนางฉีก
ยามที่นางตกอยู่ในสภาวะว่างเปล่านั้น ย่อมมิอาจทำอันใดกับเฉียนอ๋องได้ทว่า นางในสภาวะปกติเช่นนี้ หาได้เห็นเขาอยู่ในสายตาไม่ยิ่งมิต้องเอ่ยถึงในยามที่พลังแห่งจิตวิญญาณของนางได้เพิ่มขึ้นเป็นสามเท่าตัวเช่นนี้เลยเมื่อต้องมาเผชิญหน้ากับสารเลวอย่างเฉียนอ๋องที่รังแกสตรีเช่นนี้ ฉินเหยี่ยนเย่ว์ย่อมมิมีทางวิ่ง
“อ๊าก มือข้า”เฉียนอ๋องพลันมองไปยังข้อมือของตนเองที่กำลังมีเลือดไหลออกมาก่อนหน้านั้น มือนั้นยังอยู่บนข้อมือของเขา เพียงพริบตาเดียวมิรู้ว่าหายไปไหนแล้วหลงเหลือไว้เพียงข้อมือว่างเปล่าที่มีเลือดพุ่งกระฉูดออกมาเลือดสด ๆ ที่ไหลออกมาไม่หยุดนั้น พลันไหลปกคลุมเตียงหินที่มีรอยเลือดแห้งดำด่างเก่า ๆ ในทันที
ความโกรธเกรี้ยวที่โหมกระหน่ำราวกับคลื่นที่ซัดเข้ามาฉินเหยี่ยนเย่ว์แทบจะควบคุมความโกรธที่สุมอยู่เต็มอกของนางไม่ไหวนางพยายามดิ้นรน เพื่อที่จะหลุดออกจากโซ่ตรวนนี้ภายในห้องลับที่มืดมิดนั้น เสียงดังของโซ่ตรวนเหล็กที่กระทบกันไปมาพลันกลบเสียงร้องของพระชายาเฉียนไปจนหมด“โกรธหรือ? ดิ้นรนหรือ? ฮ่าฮ่า ฉินเห
นางมิคิดเลยว่า เฉียนอ๋องจักกล้าโยนชายาของตนเองลงไปในดงบุรุษเหล่านั้นได้หูของนางพลันได้ยินเสียงกรีดร้องขอความช่วยเหลือของพระชายาเฉียนดังขึ้นมาเสียงนั่น ดังกึกก้องลึกเข้าไปในใจของฉินเหยี่ยนเย่ว์ในทันทีถึงแม้ว่านางจักมิไปเห็น มิได้ยิน แต่นางก็สัมผัสได้ว่าพระชายาเฉียนกำลังทุกข์ทรมานใจมากเพียงใดในยามน
ฉินเหยี่ยนเย่ว์พลันลืมตาขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวการมองในครานี้ กลับทำเอาทั่วร่างเย็นยะเยือก พร้อมทั้งเลือดในกายที่ถูกสูบฉีดไหลเวียนไปทั่วร่างยามที่นางกำลังปิดกั้นตนเองจากโลกภายนอก เพื่อมุ่งมั่นในการรวบรวมสมาธิของตนเองมิรู้ว่าเฉียนอ๋องไปนำบุรุษสามสี่คนมาจากที่ใดบุรุษเหล่านั้นรูปร่างสูงใหญ่กำยำมิต่างอัน
“หากมิใช่เพราะข้าคิดถึงเจ้ามากถึงเพียงนั้น จนถึงกับลอบสังเกตติดตามผู้ที่เกี่ยวข้องกับเจ้าอย่างใกล้ชิดแล้วละก็ ถึงได้พบนกกางเขนเงาที่บินไปที่จวนอ๋องเจ็ดตัวนั้น มิเช่นนั้นข้าก็คงมิมีทางหาเจ้าพบแน่”“เจ้าเป็นของของข้า แต่กลับคิดหาทางหลบหนี ผู้ใดให้ความกล้าแก่เจ้ากัน? เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นตัวอันใด? ถึงกล้า