เสียงตำหนิในหมู่ชาวบ้านค่อนข้างดัง วันรุ่งขึ้น หลังจากประชุมสำนัก ฝ่าบาทได้เรียกตัวเฟิงเย่เสวียนไปที่ห้องทรงพระอักษรเป็นการส่วนตัว“เสด็จพ่อ ท่านเรียกหาข้า”เฟิงเย่เสวียนมาถึงแล้วฝ่าบาทพึ่งจะลงจากการประชุมสำนัก ถอดกวานอันหนักที่สวมอยู่บนหัวนั่นออก วางลงบนโต๊ะ “เจ้าน่าจะรู้ว่าที่เราเรียกหาเจ้า เพราะเรื่องอันใด”วันนี้ ในท้องพระโรง มีขุนนางจำนวนไม่น้อยที่หยิบยกเรื่องออกศึกมาเป็นหัวข้อ ในการวิจารณ์อ๋องเฉินเฟิงเย่เสวียนย่อมรู้ดีฝ่าบาทจับพู่บนกวานนั่น แล้วถอนหายใจยาวเหยียด“ประเทศชาติหนึ่ง ราษฎรเป็นสิ่งสำคัญ”ตั้งแต่สมัยโบราณ มีคำกล่าวที่ว่าราษฎรสำคัญกว่าจักรพรรดิ“ชาวบ้านถือเป็นเกณฑ์ในการพิสูจน์ว่าประเทศนั้นแข็งแกร่งหรือไม่ ชาวบ้านอยู่เย็นเป็นสุข ได้ใจของประชาชน ประเทศชาติก็จะแข็งแกร่ง ในทางกลับกัน ต่อให้ประเทศจะแข็งแกร่งมากขนาดไหน ไม่มีการสนับสนุนของประชาชน จะช้าหรือเร็วก็ต้องพังทลาย”เฟิงเย่เสวียนเข้าใจเหตุผลข้อนี้ยืนอยู่ตรงนั้น ไม่พูดจา ฟังคำสั่งสอนฝ่าบาททรงตรัสอีกว่า“ในหมู่ราษฎร พวกชาวบ้านมีความเห็นด้านลบต่อเจ้าเป็นอย่างมาก ถ้าหากเจ้าไม่ไปออกศึกละก็ จะให้เราเอาหน้าไป
จวนอ๋องเฉินใกล้ถึงกำหนดคลอด คนในจวนก็ยุ่งกับการทำงาน ได้จัดเตรียมกลุ่มหมอตำแยที่มีประสบการณ์ยาวนานที่สุดเอาไว้เรียบร้อยตั้งแต่เนิ่น ๆ แล้ว พร้อมรับคำสั่งทุกเมื่อถงเฟยนั่งอยู่บนเก้าอี้ ขาแช่อยู่ในตะกร้าใบใหญ่ กำลังคัดเลือกเสื้อผ้าตัวน้อยรูปแบบต่าง ๆ ที่อยู่ในตะกร้า มีทั้งของเด็กผู้ชาย แล้วก็มีทั้งของเด็กผู้หญิง จัดเตรียมได้อย่างครบครัน“เสียวฉู่ เจ้าชอบเด็กผู้ชายหรือว่าเด็กผู้หญิง?”“เราต้องเลือกคลอดในวันฤกษ์งามยามดีหรือไม่? ข้าจะไปตามหาหมอดูมาทำนายดีหรือไม่?”“ท้องของเจ้าใหญ่มาก...”นางถือเสื้อผ้าตัวน้อย ในดวงตาเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยนฉู่เชียนหลีนั่งอยู่ริมหน้าต่าง ไขว้ขาอย่างเกียจคร้าน มองดูคนใช้ที่เดินผ่านไปมาที่ด้านนอกเป็นครั้งคราว จ้องมองท่าทางที่กำลังยุ่งของพวกเขา ถอนหายใจเบา ๆ เป็นครั้งคราวแสงแดดสาดส่องเข้ามา ทำให้รู้สึกเกียจคร้าน และง่วงนอน“พระชายาจะต้องให้กำเนิดท่านอ๋องน้อยแน่นอน ดูจากท้องที่กลม ต้องเป็นลูกชายแน่นอน” เยว่เอ๋อร์กล่าวพร้อมรอยยิ้ม“พระชายาควรจะขยับให้มาก ๆ ยิ่งเข้าใกล้วันคลอด ยิ่งต้องเดินให้มาก ได้ยินมาว่าแบบนี้จะทำให้คลอดง่าย” อวิ๋นอิงกล่าวทัน
ก่อนหน้าที่เฟิงเย่เสวียนจะออกไป ได้ไปที่จวนอ๋องติ้ง“พี่สี่”การเรียกว่าพี่สี่ หมายความว่าเขามีความเชื่อมั่นและฝากฝังต่ออ๋องติ้งอ๋องติ้งย่อมเข้าใจความหมายของเขา กล่าวเสียงขรึม“น้องเจ็ดไปอย่างไว้วางใจเถอะ ช่วงเวลาที่เจ้าไม่อยู่ ข้าจะดูแลพระชายาอ๋องเฉินแทนเจ้าเป็นอย่างดี ถ้าหากมีผู้ใดคิดจะแตะต้องฉู่เชียนหลีแม้แต่ปลายผม จะต้องข้ามศพข้าไปก่อน!”คำพูดของเขา ทำให้เฟิงเย่เสวียนสงบใจ“ขอบคุณมาก”“เดิมทีเจ้ากับข้าก็เป็นพี่น้องกัน ครอบครัวเดียวกันไม่จำเป็นต้องเกรงใจ น้องเจ็ด เดินทางโดยสวัสดิภาพ!”ออกจากจวนอ๋องติ้ง เฟิงเย่เสวียนก็ไปที่โรงหมอ เพื่อพบกับจิ่งอี้หลังจากที่จิ่งอี้รับทราบเจตนาของเขา กล่าวให้คำมั่นสัญญา“อ๋องเฉินวางใจ แม้ว่าท่านไม่เอ่ย ข้าก็จะเก็บเรื่องของพระชายาอ๋องเฉินมาใส่ใจเช่นกัน มีข้าอยู่ ไม่มีผู้ใดทำร้ายนางได้”“ฝากด้วย”“ขอตัวก่อน”เฟิงเย่เสวียนจัดการเรื่องที่สำคัญเรียบร้อยแล้ว ตอนก่อนออกเดินทาง เขาได้ทิ้งหานอิ๋งไว้ที่เมืองหลวง ให้นางอารักขาฉู่เชียนหลีหานอิ๋งไม่เต็มใจ ต้องการจะเดินทางไปกับนายท่านด้วยแต่สุดท้ายก็ไม่ได้ดื้อรั้น จำต้องถูกบังคับให้อยู่ที่นี่นา
ภายในหุบเขา ทิวทัศน์ดีมาก หลิงเชียนอี้วิ่งตามอวิ๋นอิงไปทั่วทุกที่ อวิ๋นอิงจะสลัดก็สลัดไม่ออก จนปัญญาแล้วองครักษ์ลับที่คอยอารักขาที่ซ่อนตัวอยู่ในที่ลับเมื่อเห็นแล้ว ต่างพากันส่ายหน้าท่านโหวน้อยผู้นี้ หน้าไม่อายจริง ๆ“อวิ๋นอิง เจ้าวิ่งเร็วขนาดนี้ เป็นเพราะเตรียมที่จะหนีไปกับข้าใช่หรือไม่?”“รอข้าด้วย!”“ดูสิ ทางนั้นมีกระต่าย! เราไปล่ามันกันเถอะ!”หลิงเชียนอี้ไล่ตามอวิ๋นอิง จับข้อมือของนาง ไปตัดกระบองที่ทั้งยาวและตรงในป่ามาสองท่อน เหลาปลายด้านหนึ่งจนแหลมคม“นี่ไว้ใช้แทงปลาไม่ใช่หรือ?” อวิ๋นอิงถาม“สามารถใช้แทงกระต่ายได้เช่นกัน” หลิงเชียนอี้ลับมีด ทดสอบระดับความคมของไม้กระบอง“กระต่ายน่ารักขนาดนั้น เดิมทีพวกมันก็มีชีวิตอยู่ที่นี่อย่างอิสระ แต่เป็นเพราะการบุกรุกของพวกเรา และต้องประสบกับภัยพิบัติ อย่างไรเสียก็อย่าทำร้ายพวกมันเลย”“ถ้าอย่างนั้นกระบองของข้าเหลาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ไม่แทงกระต่ายแล้วจะให้แทงอะไร? แทงเจ้างั้นหรือ?”“?”อวิ๋นอิงเบิกตากว้างหลังจากหลิงเชียนอี้พูดออกมา ก็สังเกตได้ถึงความผิดปกติทันที รีบเอามือปิดปากเขาไม่ได้เจตนา!“หลิงเชียนอี้!”อวิ๋นอิงอดกลั้นเอาไ
“ข้าไม่มีทางลงเอยกับท่านโหวน้อย ท่านปล่อยข้าไปเถอะ...”นางตาแดงชายหนุ่มดวงตาหมอง ย่อตัวลง บีบคางของนาง “เหตุใดถึงต้องทำท่าทางเหมือนข้ารังแกเจ้าอยู่ตลอดด้วย?”เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าเขาไม่ได้แตะต้องนางแม้แต่ปลายผม เพียงแค่พูดไม่กี่ประโยคเท่านั้น นางก็ตาแดงเสียแล้วในสายตาของนาง ไม่คิดเลยว่าเขาจะเป็นคนเลวร้ายเช่นนี้“คนที่ควรจะปล่อยข้าไป ไม่ใช่เจ้าหรอกหรือ อวิ๋นอิง”เขาเหลือบตาลงจ้องมองนาง นิ้วมือที่หยาบกร้าน ลูบไล้ไปตามโครงหน้าของนางอย่างเบามือทุกตารางนิ้วทุกจุดดวงตาค่อย ๆ ล้ำลึกขึ้น “เห็นเจ้ากับท่านโหวน้อยอยู่ด้วยกัน หัวเราะอย่างมีความสุขกันแบบนั้น ข้าเองก็ควรจะรู้สึกดีใจแทนเจ้า จางเฟยก็ควรจะมีดีใจมากเช่นกัน”“อย่างไรเสีย สุสานของเขา ก็อยู่ไม่ไกล”อวิ๋นอิงตัวสั่นไปทั้งตัว รูม่านตาหดเล็กลงจางเฟยอยู่แถวนี้...“เขาตายไปนานขนาดนั้นแล้ว แต่เจ้ากลับไม่เคยไปเยี่ยมเขาเลยสักครั้ง เพราะอะไร? รู้สึกผิดอย่างนั้นหรือ? กลัวว่าเมื่อได้เห็นสุสานของเขา ตอนกลางคืนนอนฝันร้ายหรือ?”“ข้าเปล่า...”นางรีบส่ายหน้า “จิ่งอี้ ข้าไม่ได้ทำให้เขาตาย!”สายตาของจิ่งอี้หมองลงอย่างรวดเร็ว แม้แต่ปลายนิ้วม
ชายหนุ่มคร่อมอยู่บนตัวของนาง จับสายคาดเอวของนางเอาไว้ ปลายนิ้วจับแล้วกระชากออกรูม่านตาของนางกดลง ในดวงตามีความหวาดกลัวปรากฏออกมาแวบหนึ่ง รีบคว้าเสื้อผ้าเอาไว้ รีบถอยไปข้างหลังอย่างรวดเร็ว“ไม่เอา! จิ่งอี้ ไม่เอา...”เขาจับข้อเท้าของนางเอาไว้นางดิ้นไม่หลุด หนีไม่พ้น“จะเอาหรือไม่เอา ไม่ได้อยู่ที่เจ้า” เขาลากตัวนางลงมาพร้อมรอยยิ้มเย็นชา สูดกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์จากร่างกายของนาง บีบคางของนางยิ้มอย่างโหดเหี้ยม“ไม่ได้เจอกันไม่กี่วัน ข้าคิดถึงรสชาติบนตัวของเจ้าขึ้นมานิดหนึ่งแล้ว ความรู้สึกมีความสุขในการเอาชนะคนหนึ่งได้ ก็เหมือนกับแมวไล่จับหนู จ้องมองหนูดิ้นรน แล้วก็ค่อย ๆ จมลงสู่ความสิ้นหวังและความมืดมน ความรู้สึกมีความสุขในตอนนี้ ไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้”นางกลั้นหายใจ เบ้าตาแดงน้ำตาไหลพรากเขาโหดร้ายมากจริง ๆถูกเขาจับตามอง นางไปสูญเสียความเป็นตัวเองไปแล้ว ถึงขนาดที่ไม่กล้าแม้กระทั่งตาย นางได้อยู่ในความมืดมิดแล้ว ไม่ได้เห็นแสงตะวันไปชั่วชีวิตแล้วฝ่ามือใหญ่ของเขา ปิดดวงตาของนางเอาไว้“อย่าใช้สายตาแบบนี้จ้องมองข้า อวิ๋นอิง ข้าไม่เคยรังแกเจ้า นี่คือสิ่งที่เจ้าติดค้างข้า”
หลิงเชียนอี้จับมือของอวิ๋นอิงไว้ ทั้งสองนั่งอาบแดดอยู่ตรงริมธารน้ำในหุบเขา เท้าของหลิงเชียนอี้จุ่มอยู่ในน้ำ พลางเตะน้ำเล่นไปด้วย“เมื่อก่อนข้าหัวเราะเยาะป้าจางที่อาศัยอยู่ข้างสถานศึกษาส่วนตัว นางเป็นคนตาบอด มองไม่เห็นตั้งแต่เด็ก กลับสามารถทำความสะอาดบ้านได้อย่างสะอาดสะอ้านเสมอ และยังมีฝีมือการทำอาหารที่ดีมาก สามีของเขาสอบติด ได้เป็นขุนนางเล็กๆ”“ได้ยินมาว่ามีคุณหนูของครอบครัวหนึ่งยินดีแต่งงานกับเขา สนับสนุนเขาเดินบนเส้นทางขุนนาง แต่เขาปฏิเสธ และไม่เป็นขุนนาง แต่ไปเป็นอาจารย์สอนหนังสือของสถานศึกษาส่วนตัว ความสัมพันธ์ของเขากับป้าจางดีมาก”“แล้วก็น่ะ เมื่อก่อนตอนที่ข้าเรียนหนังสือ…”เขาพูดตรงนี้ พูดตรงนั้น บางครั้งก็กุมท้องหัวเราะ บางครั้งก็ร้องไห้ไม่ได้หัวเราะไม่ออก เล่าเรื่องที่น่าสนใจในอดีตไปพลาง“อวิ๋นอิง เจ้ายังจำตอนแม่ข้าตั้งครรภ์ลูกคนที่สอง ข้าหึงหวงจนหนีออกจากบ้านได้หรือไม่?”“ตอนนี้อายุน้องสาวของข้าเกือบครึ่งขวบแล้ว ร้องอุแว้ๆ ทั้งวัน น่ารักมาก ครั้งหน้าพวกเราลองกลับไปเยี่ยมนางเถอะ พ่อแม่ข้าก็คิดถึงเจ้า”“เมื่อเทียบกับอุ้มลูกสาว พ่อแม่ข้าอยากอุ้มหลานชายยิ่งกว่า”อวิ๋นอิงห
อวิ๋นอิงเผลอหัวเราะ ถือชามไว้ เพิ่งจิบไปได้หนึ่งคำ เมื่อได้กลิ่นคาวของกุ้งแห้ง ก็รู้สึกปั่นป่วนในกระเพาะสีหน้าเปลี่ยนฉับพลันอยากอาเจียน แต่อดกลั้นไว้สุดชีวิต“เป็นอะไร? เจ้าไม่ชอบหรือ?” หลิงเชียนอวี้ถาม“ข้า…ข้านั่งรถม้ามาตลอดทาง ถนนบนเขาขรุขระ ข้ายังรู้สึกไม่ค่อยสบายนัก ขออภัย พระสนมถงเฟย ฝีมือของท่านเยี่ยมมาก”“ไม่เป็นอะไร ไม่สบายก็พักผ่อนเร็วๆ เถอะ เพิ่งมาถึงที่นี่ครั้งแรก อาจจะยังไม่คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมของที่นี่ อีกสองสามวันก็ดีเอง” ถงเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้ม“อืม!”อวิ๋นอิงไม่มีความอยากอาหาร หลังจากกินข้าวสองคำ ก็ลุกไปแล้วยามราตรีของหุบเขา เงียบมากในคืนฤดูร้อน ท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาว ดวงดาวกะพริบส่องแสงเป็นระยะ ในหุบเขาที่ตัดขาดจากโลกภายนอก ท้องฟ้าของที่นี่ไม่มีเสียงแห่งความวุ่นวาย ไม่มีกลิ่นของควันไฟ ไม่มีแสงเทียนปนเปื้อน สวยงามเหมือนภาพวาดงามเกินความบรรยาย!อวิ๋นอิงไม่กล้ากลับห้อง และไม่กล้านอน ถึงขั้นไม่กล้าอยู่คนเดียวมักจะมีเสียงของจิ่งอี้ดังขึ้นที่ข้างหู‘กลางคืน ข้าจะมาหาเจ้า’เสียงที่เย็นชานั่น มีความหนาวเย็นที่แทรกซึมเข้าไปในวิญญาณแฝงอยู่ ทำให้นางรู้สึกกังว