“อะไรนะ?!”เสียงเยว่เอ๋อร์ดังขึ้นกะทันหัน ปฏิกิริยารุนแรงยิ่งกว่าอวิ๋นอิงที่เป็นเจ้าตัว“เพราะเหตุใด? เขาดีกับเจ้าเช่นนั้น เหตุใดเจ้าไม่ชอบเขา! หรือยังมีอะไรที่เจ้าไม่พอใจ? หรือคนที่เจ้าชอบเป็นคนอื่น?”ไม่ใช่ว่าดีกับคนคนหนึ่ง ก็จะต้องอยู่กับเขาเวลาพูดถึงความรักมันก็คือความรู้สึก แต่ในความเป็นจริงซับซ้อนกว่าที่คิดนี่ไม่ใช่แค่เรื่องของคนสองคน แต่มันเป็นเรื่องของสองครอบครัว“พี่เยว่เอ๋อร์ ท่านมองเรื่องราวง่ายเกินไปแล้ว ต่อไปไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้อีก” อวิ๋นอิงปิดปากไม่อยากพูดเยว่เอ๋อร์จับมือของนาง จะพูดให้ได้“อวิ๋นอิง เจ้าอย่าเลอะเลือน ผู้ชายที่ดีเช่นนั้นอย่างท่านโหวน้อย ต่อให้ถือโคมไฟส่องก็หาไม่เจอ ถ้าหากพลาดไป ชาตินี้ก็ไม่มีโอกาสเช่นนี้อีกแล้วนะ!”อวิ๋นอิงขมวดคิ้ว“ตัวข้าเป็นอย่างไร ข้ารู้ดี”“เจ้า!”อะไรเป็นอย่างไร ขอแค่ชอบ เช่นนั้นก็อยู่ด้วยกันก็เหมือนกับนางเป็นสาวใช้ของพระชายา คุณชายจิ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของพระชายา พวกเขาอยู่ด้วยกันก็มีสถานะเท่าเทียม ฐานะเหมาะสมกันอวิ๋นอิงเป็นสาวใช้ของพระชายา ได้รับความสำคัญจากพระชายามาก ท่านโหวน้อยเป็นหลานของพระชายา พวกเขาอยู่ด
แต่ตอนที่นางกลับถึงจวนอ๋องเฟิง อ๋องเฟิงไม่อยู่ เวลานี้อ๋องเฟิงกำลังหารือกับอ๋องเจวี๋ยกันสองคน ในห้องส่วนตัวลับๆ ของหอน้ำชาแห่งหนึ่ง ประตูและหน้าต่างปิดสนิท บรรยากาศเคร่งขรึมเล็กน้อยข้างโต๊ะ ทั้งสองคนหันหน้าเข้าหากัน สีหน้าต่างก็เคร่งขรึมมาก“ความหมายของท่านคือ เฟิงเย่เสวียนรู้ว่าท่านเป็นคนส่งมือสังหารไป? แต่พวกเขารับเงินทำงาน มีหลักการมาก ไม่มีทางเปิดเผยตัวตนของผู้ว่าจ้าง เขารู้ได้อย่างไร…”อ๋องเจวี๋ยขมวดคิ้ว สำหรับเรื่องนี้ เขาไม่เข้าใจเลยสักนิดอ๋องเฟิงก็ไม่รู้ว่าเฟิงเย่เสวียนรู้ได้อย่างไรเช่นกัน แต่ในมือเฟิงเย่เสวียนมีจุดอ่อนของเขาระดับหนึ่ง ถ้าหากเสด็จพ่อรู้ว่าเขาจ้างมือสังหารเข่นฆ่าพี่น้อง ต้องผิดหวังมากแน่นอนถึงเวลานั้น อยากกู้สถานการณ์ก็ยากแล้วปวดหัวมากเฟิงเย่เสวียนคนนี้ เป็นน้องคนเล็กสุดของพวกเขา และเป็นคนฉลาดที่สุด จัดการยากที่สุดคนหนึ่ง“น้องสาม เรื่องจ้างมือสังหารนี่ พวกเราแอบวางแผนด้วยกัน หากข้าถูกลดศักดินา เกรงว่าเจ้าก็ต้องลำบากเช่นกัน?” อ๋องเฟิงกล่าวข่มขู่ด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาเขาจะเป็นแพะรับบาปคนเดียวไม่ได้ ต้องลากอ๋องเจวี๋ยลงน้ำไปด้วยกันบนใบหน้าอ๋องเจวี๋ย
สายตาของเฟิงเจิ้งหลีที่มองไปทางนางยังคงเปล่งประกาย “เข้ามาคุยข้างใน เจ้าตั้งครรภ์อยู่ อย่ายืนอยู่อย่างนั้น”ฉู่เชียนหลีเม้มปาก คิดแล้วคิดอีก ยกเท้าเดินเข้าไปข้างในห้องโถงหลักยกน้ำชาเข้ามา คนรับใช้ถอยออกไป เฟิงเจิ้งหลีนั่งลงที่ข้างกายนาง สายตาของเขาจ้องไปที่นางตลอดฉู่เชียนหลีจับฝาถ้วยชาจับแล้วจับอีก ไม่มีเจตนาที่จะดื่มชา วางชาลง หยิบกระบอกไม้ไผ่ที่เล็กเรียวแท่งหนึ่งออกมา แล้วดันไปหาเฟิงเจิ้งหลีเฟิงเจิ้งหลีสงสัย “นี่คืออะไร?”หยิบขึ้นมา ดึงจุกไม้ออก กลิ่นคาวเลือดโชยเข้าโพรงจมูก“เลือดของหมาป่าเทา” ฉู่เชียนหลีกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย เสริมอีกประโยค “สามารถแก้พิษกู่”“!”พริบตานั้น ร่างของเขาสั่นสะท้าน ฝ่ามือแข็งฉับพลัน กระบอกไม้ไผ่เกือบหล่นลงพื้น และปฏิกิริยานี้เอง ทำให้แววตาของนางมืดมนลงปฏิกิริยาของเขา ก็คือคำตอบที่ดีที่สุดเป็นเขาจริงๆ ด้วย…ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาปกป้องนางหลายครั้ง และปฏิบัติต่อนางด้วยความจริงใจ นางคิดว่าพวกเขาเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันมาโดยตลอด แต่ดูเหมือนตอนนี้ มีเพียงนางฝ่ายเดียวที่คิดเช่นนี้เหอะ…แม้แต่เพื่อนก็เชื่อใจไม่ได้ เช่นนั้นควรเชื่อใครมนุษ
ฉู่เชียนหลีตะลึงงันไปชั่วขณะ ย่อมเป็นเพราะคาดคิดไม่ถึง เป็นเพราะนางไม่ใส่ใจจึงมองข้าม? หรือเป็นเพราะนางตั้งครรภ์แล้วสมองใช้การได้ไม่ดี? จึงไม่สังเกตเห็น… ถ้าหากเป็นอย่างที่เขาพูดจริงๆ นางยิ่งใกล้ชิดเขาไม่ได้แล้ว!สีหน้าเย็นชาลง “เฟิงเจิ้งหลี ปล่อยข้า! ท่านรู้หรือไม่ว่าท่านกำลังพูดอะไรอยู่!”“ข้าย่อมรู้อยู่แล้ว ไม่มีช่วงเวลาใดๆ ที่ข้ามีสติเท่ากับตอนนี้แล้ว!” เฟิงเย่เสวียนมองดวงตาทั้งคู่ของนางตรงๆ “ข้ารู้ว่าไม่ควรล้ำเส้น เจ้าข้าต่างก็มีครอบครัวแล้ว ข้าพยายามข่มความรู้สึกมากแล้ว ข้าจะไม่ไปยุ่งกับเจ้า และยิ่งไม่รบกวนความสงบของเจ้าในตอนนี้”เรื่องของกู่พิษนั่น…อูหนูเป็นคนเสนอในตอนนั้น เขาก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร บุ่มบ่ามก็รับข้อเสนอของอูหนูไปแล้วแต่ตอนนี้เขารู้สึกผิดแล้วเมื่อเทียบกับเลิกคบหา ไม่สู้เป็นเหมือนเมื่อก่อน อยู่เคียงข้างและปกป้องนางในฐานะเพื่อนสนิท แม้ไม่ได้มาครอบครอง แต่สามารถเฝ้าดูทุกวัน“ต่อไปข้าจะไม่ทำเรื่องโง่ๆ อีกแล้ว ฉู่เชียนหลี เจ้าเชื่อข้านะ ข้าจะไม่ทำเรื่องที่ทำให้เจ้าผิดหวังอีกแล้ว!” เขาให้สัญญาด้วยน้ำเสียงร้อนรน หวังเพียงได้รับความเชื่อใจจากนางฉู่เชียนห
หลังจากฉู่เชียนหลีรู้ความคิดของเขา ยิ่งไม่มีทางเข้าใกล้เขาแล้ว รับผิดชอบต่อเขา ก็เป็นการรับผิดชอบต่อตนเองเช่นกัน รักษาระยะห่างที่เหมาะสม จึงจะเป็นพื้นฐานของความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนแต่เฟิงเจิ้งหลีจับนางไว้เหมือนบ้าไปแล้ว ราวกับสูญเสียสติสัมปชัญญะนางขมวดคิ้ว ออกแรงง้างนิ้วมือของเขา พยายามงัดออก หลังจากสะบัดหลุด ถอยหลังสามก้าว“เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ไม่ต้องพูดถึงแล้ว ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ท่านไม่ทำร้ายข้า ข้าก็จะไม่หาเรื่องท่าน หากท่านเกิดความคิดที่ไม่ซื่ออีก ข้า…ก็จะไม่นั่งรอความตายเช่นกัน”คำพูดสั้นๆ ไม่กี่คำ ได้ขีดเส้นกั้นระหว่างทั้งสองอย่างชัดเจนเฟิงเจิ้งหลีรู้สึกเพียงร่างกายสั่นสะท้าน สมองว่างเปล่า เหม่อลอยราวกับฟ้าพังทลาย สูญเสียสิ่งสำคัญที่สำคัญที่สุดไปแล้วหลายปีมานี้ ชีวิตของเขามันแย่มากๆ เจ็บปวดมากๆ ครอบครัวไม่ใช่ครอบครัวที่ต้องการ ความรักไม่ใช่ความรักที่ต้องการ ทั้งชีวิตของเขาจมอยู่ในเหวลึกมาโดยตลอดการที่ได้พบกับนาง เขาเหมือนมองเห็นแสงสว่างในความมืดเขาปกป้องและรักษาไว้อย่างระมัดระวังมาโดยตลอด ทว่าเพราะความเลอะเลือนชั่วขณะ ได้ทำผิดพลาด ทำลายทุกอย่างไม่อยากสูญเสียไ
“ออกไป”“ขอรับ…” หานเฟิงรู้สึกถึงความผิดปกติ ไม่กล้าพูดมาก แม้เห็นบนร่างกายพระชายามีเลือด แต่ไม่ได้รับบาดเจ็บ จึงจะออกไปอย่างเบาใจเล็กน้อยเอี๊ยด…เสียงผลักประตูที่เบามาก แลดูกะทันหันในยามราตรีการเคลื่อนไหวที่เงยหน้าของฉู่เชียนหลีค่อนข้างแข็ง เหมือนยังไม่หวนคืนสติ ประกายในดวงตามืดมน เหม่อลอยเล็กน้อย“อาเฉิน…”“กลับมาแล้ว” เฟิงเย่เสวียนสั่งให้เยว่เอ๋อร์ตักน้ำมาหนึ่งกะละมัง ล้างคราบเลือดที่ติดอยู่บนมือนางอย่างพิถีพิถันจนสะอาด แล้วนำเสื้อผ้ามาเปลี่ยนให้ใหม่ หลังจากนั้นอุ้มนางขึ้นเตียงไปพักผ่อนไม่พูดอะไร และไม่ถาม มอบความไว้วางใจอย่างเต็มที่ฉู่เชียนหลีขดตัวอยู่ในอ้อมกอดที่อ่อนโยนและคุ้นเคย รู้สึกมั่นคงเป็นพิเศษฝ่ามือใหญ่เฟิงเย่เสวียนลูบศีรษะนางเบาๆผ่านไปเนิ่นนานจึงจะกล่าว“ช่วงนี้ยุ่งมาก ไปหาดอกไม้แห่งความตายเหนื่อยมาแล้วหนึ่งรอบ ต่อจากนี้ก็ใกล้วันเชงเม้งเซ่นไหว้บรรพชน เจ้าอยู่กับข้าก็ไม่ได้สบายใจ พรุ่งนี้ไปอยู่บ้านพักที่ชานเมือง สงบจิตสงบใจและบำรุงครรภ์สักสองสามวันเถอะ”“ข้าจะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย”เขาส่งนางออกจากสถานที่ที่วุ่นวายนี้ชั่วคราว ไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่สง
จวนอ๋องหลีแม้เฟิงเจิ้งหลีได้รับการรักษาทันเวลา ยื้อชีวิตกลับมาได้ ทว่าเนื่องจากบาดแผลอยู่ที่หน้าอก เสียเลือดมากเกินไป เวลานี้นอนหน้าซีดอยู่บนเตียง ขยับตัวไม่ได้ ท่าทางที่ริมฝีปากซีดขาวและแห้งผาก เกือบจะเหมือนตายแล้ว…ฉู่เจียวเจียวร้องไห้จนน้ำตาเกือบแห้งแล้ว สิ่งที่มากกว่านั้นคือปวดใจนางไม่เข้าใจ ฉู่เชียนหลีมีอะไรดี เหตุใดท่านอ๋องจึงมุ่งมั่นที่จะลุยไปข้างหน้าเช่นกัน ต่อให้ชนกำแพงก็ไม่ยอมหันหลังกลับยิ่งไม่เข้าใจ ตกลงนางสู้ฉู่เชียนหลีไม่ได้ตรงไหน!ฮูหยินเว่ยไม่รู้รายละเอียดของเรื่องราว คิดว่าถูกมือสังหารทำร้าย ในดวงตาที่แดงก่ำเต็มไปด้วยความกังวลหลายวันมานี้ มักจะเกิดเรื่องที่ไม่คาดคิดต่างๆ หัวใจของนางแทบรับไม่ไหวแล้ว บวกกับสุขภาพแย่มาโดยตลอด เวลานี้ก็ไอไม่หยุดเช่นกัน ราวกับแก่ลงสิบกว่าปี ร่างกายที่อ่อนแอสั่นเทา“มีราชโองการ…”ทันใดนั้น ข้างนอกมีเสียงรายงานที่ยาวเหยียดสายหนึ่งดังขึ้นฉู่เจียวเจียวกับฮูหยินเว่ยรีบเช็ดน้ำตาบนใบหน้า ทำตัวให้กระปรี้กระเปร่า แสดงสภาวะที่ดีที่สุดออกมา รีบเดินออกไปข้างนอก กลับเห็นผู้ที่มาส่งราชโองการคือ…อ๋องเฉิน!เฟิงเย่เสวียนหยิบราชโองการสีเหลือง
“อะไรนะ?!”ฉู่เจียวเจียวเบิกตากว้าง แทบจะกรีดร้องเสียงแหลมออก “ท่านอ๋องได้รับบาดเจ็บสาหัส รักษาชีวิตเอาไว้ได้ไม่ง่ายเลย ยังรักษาตัวไม่ทันหายดี เหตุใดจึงต้องไปที่สุสานหลวง! ทำแบบนี้เป็นการเอาชีวิตเขาไม่ใช่หรือ!”แม้แต่ลงจากเตียงเขายังทำได้อย่างยากลำบาก เพื่อรับราชโองการ ต้องเดินหลายก้าว เลือดนองเต็มพื้น หายใจรวยรินถ้าหากไปซ่อมแซมสุสานหลวง จะต้องตายอย่างแน่นอน!เฟิงเย่เสวียนพับราชโองการ จากนั้นโยนไปที่ตรงหน้าของเฟิงเจิ้งหลี “นี่คือพระประสงค์ของฝ่าบาท ไปหรือไม่ไป ไม่ได้อยู่ที่ข้า”ทันทีที่พูดอย่างเฉยชาจบ ก็หันหลังแล้วเดินจากไป“ท่านอ๋อง ท่านอ๋อง! ท่านอย่าไป!” ฉู่เจียวเจียวคลานเข่ามาข้างหน้าอย่างร้อนใจ “ร่างกายของท่านทนต่อการทรมานอีกไม่ไหว อาการบาดเจ็บของท่านสาหัสมาก! ท่านหมอบอกว่าท่านเสียเลือดมากเกินไป ถ้าหากท่านยังได้รับความเจ็บปวดอีกละก็ ท่านจะตายได้!”“หลีเอ๋อร์ เจ้าอย่าไปนะ!” ฮูหยินเว่ยร้องไห้เสียงดัง “เหตุใดฝ่าบาททรงพระทัยดำเช่นนี้ เขาทำได้อย่างไร! เจ้าเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของพระองค์นะ!”ฉู่เจียวเจียวฝืนยิ้มนี่เป็นพระประสงค์ของฝ่าบาทที่ไหนกัน? เห็นได้ชัดว่าเป็นความตั้งใจขอ