หลังจากฉู่เชียนหลีรู้ความคิดของเขา ยิ่งไม่มีทางเข้าใกล้เขาแล้ว รับผิดชอบต่อเขา ก็เป็นการรับผิดชอบต่อตนเองเช่นกัน รักษาระยะห่างที่เหมาะสม จึงจะเป็นพื้นฐานของความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนแต่เฟิงเจิ้งหลีจับนางไว้เหมือนบ้าไปแล้ว ราวกับสูญเสียสติสัมปชัญญะนางขมวดคิ้ว ออกแรงง้างนิ้วมือของเขา พยายามงัดออก หลังจากสะบัดหลุด ถอยหลังสามก้าว“เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ไม่ต้องพูดถึงแล้ว ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ท่านไม่ทำร้ายข้า ข้าก็จะไม่หาเรื่องท่าน หากท่านเกิดความคิดที่ไม่ซื่ออีก ข้า…ก็จะไม่นั่งรอความตายเช่นกัน”คำพูดสั้นๆ ไม่กี่คำ ได้ขีดเส้นกั้นระหว่างทั้งสองอย่างชัดเจนเฟิงเจิ้งหลีรู้สึกเพียงร่างกายสั่นสะท้าน สมองว่างเปล่า เหม่อลอยราวกับฟ้าพังทลาย สูญเสียสิ่งสำคัญที่สำคัญที่สุดไปแล้วหลายปีมานี้ ชีวิตของเขามันแย่มากๆ เจ็บปวดมากๆ ครอบครัวไม่ใช่ครอบครัวที่ต้องการ ความรักไม่ใช่ความรักที่ต้องการ ทั้งชีวิตของเขาจมอยู่ในเหวลึกมาโดยตลอดการที่ได้พบกับนาง เขาเหมือนมองเห็นแสงสว่างในความมืดเขาปกป้องและรักษาไว้อย่างระมัดระวังมาโดยตลอด ทว่าเพราะความเลอะเลือนชั่วขณะ ได้ทำผิดพลาด ทำลายทุกอย่างไม่อยากสูญเสียไ
“ออกไป”“ขอรับ…” หานเฟิงรู้สึกถึงความผิดปกติ ไม่กล้าพูดมาก แม้เห็นบนร่างกายพระชายามีเลือด แต่ไม่ได้รับบาดเจ็บ จึงจะออกไปอย่างเบาใจเล็กน้อยเอี๊ยด…เสียงผลักประตูที่เบามาก แลดูกะทันหันในยามราตรีการเคลื่อนไหวที่เงยหน้าของฉู่เชียนหลีค่อนข้างแข็ง เหมือนยังไม่หวนคืนสติ ประกายในดวงตามืดมน เหม่อลอยเล็กน้อย“อาเฉิน…”“กลับมาแล้ว” เฟิงเย่เสวียนสั่งให้เยว่เอ๋อร์ตักน้ำมาหนึ่งกะละมัง ล้างคราบเลือดที่ติดอยู่บนมือนางอย่างพิถีพิถันจนสะอาด แล้วนำเสื้อผ้ามาเปลี่ยนให้ใหม่ หลังจากนั้นอุ้มนางขึ้นเตียงไปพักผ่อนไม่พูดอะไร และไม่ถาม มอบความไว้วางใจอย่างเต็มที่ฉู่เชียนหลีขดตัวอยู่ในอ้อมกอดที่อ่อนโยนและคุ้นเคย รู้สึกมั่นคงเป็นพิเศษฝ่ามือใหญ่เฟิงเย่เสวียนลูบศีรษะนางเบาๆผ่านไปเนิ่นนานจึงจะกล่าว“ช่วงนี้ยุ่งมาก ไปหาดอกไม้แห่งความตายเหนื่อยมาแล้วหนึ่งรอบ ต่อจากนี้ก็ใกล้วันเชงเม้งเซ่นไหว้บรรพชน เจ้าอยู่กับข้าก็ไม่ได้สบายใจ พรุ่งนี้ไปอยู่บ้านพักที่ชานเมือง สงบจิตสงบใจและบำรุงครรภ์สักสองสามวันเถอะ”“ข้าจะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย”เขาส่งนางออกจากสถานที่ที่วุ่นวายนี้ชั่วคราว ไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่สง
จวนอ๋องหลีแม้เฟิงเจิ้งหลีได้รับการรักษาทันเวลา ยื้อชีวิตกลับมาได้ ทว่าเนื่องจากบาดแผลอยู่ที่หน้าอก เสียเลือดมากเกินไป เวลานี้นอนหน้าซีดอยู่บนเตียง ขยับตัวไม่ได้ ท่าทางที่ริมฝีปากซีดขาวและแห้งผาก เกือบจะเหมือนตายแล้ว…ฉู่เจียวเจียวร้องไห้จนน้ำตาเกือบแห้งแล้ว สิ่งที่มากกว่านั้นคือปวดใจนางไม่เข้าใจ ฉู่เชียนหลีมีอะไรดี เหตุใดท่านอ๋องจึงมุ่งมั่นที่จะลุยไปข้างหน้าเช่นกัน ต่อให้ชนกำแพงก็ไม่ยอมหันหลังกลับยิ่งไม่เข้าใจ ตกลงนางสู้ฉู่เชียนหลีไม่ได้ตรงไหน!ฮูหยินเว่ยไม่รู้รายละเอียดของเรื่องราว คิดว่าถูกมือสังหารทำร้าย ในดวงตาที่แดงก่ำเต็มไปด้วยความกังวลหลายวันมานี้ มักจะเกิดเรื่องที่ไม่คาดคิดต่างๆ หัวใจของนางแทบรับไม่ไหวแล้ว บวกกับสุขภาพแย่มาโดยตลอด เวลานี้ก็ไอไม่หยุดเช่นกัน ราวกับแก่ลงสิบกว่าปี ร่างกายที่อ่อนแอสั่นเทา“มีราชโองการ…”ทันใดนั้น ข้างนอกมีเสียงรายงานที่ยาวเหยียดสายหนึ่งดังขึ้นฉู่เจียวเจียวกับฮูหยินเว่ยรีบเช็ดน้ำตาบนใบหน้า ทำตัวให้กระปรี้กระเปร่า แสดงสภาวะที่ดีที่สุดออกมา รีบเดินออกไปข้างนอก กลับเห็นผู้ที่มาส่งราชโองการคือ…อ๋องเฉิน!เฟิงเย่เสวียนหยิบราชโองการสีเหลือง
“อะไรนะ?!”ฉู่เจียวเจียวเบิกตากว้าง แทบจะกรีดร้องเสียงแหลมออก “ท่านอ๋องได้รับบาดเจ็บสาหัส รักษาชีวิตเอาไว้ได้ไม่ง่ายเลย ยังรักษาตัวไม่ทันหายดี เหตุใดจึงต้องไปที่สุสานหลวง! ทำแบบนี้เป็นการเอาชีวิตเขาไม่ใช่หรือ!”แม้แต่ลงจากเตียงเขายังทำได้อย่างยากลำบาก เพื่อรับราชโองการ ต้องเดินหลายก้าว เลือดนองเต็มพื้น หายใจรวยรินถ้าหากไปซ่อมแซมสุสานหลวง จะต้องตายอย่างแน่นอน!เฟิงเย่เสวียนพับราชโองการ จากนั้นโยนไปที่ตรงหน้าของเฟิงเจิ้งหลี “นี่คือพระประสงค์ของฝ่าบาท ไปหรือไม่ไป ไม่ได้อยู่ที่ข้า”ทันทีที่พูดอย่างเฉยชาจบ ก็หันหลังแล้วเดินจากไป“ท่านอ๋อง ท่านอ๋อง! ท่านอย่าไป!” ฉู่เจียวเจียวคลานเข่ามาข้างหน้าอย่างร้อนใจ “ร่างกายของท่านทนต่อการทรมานอีกไม่ไหว อาการบาดเจ็บของท่านสาหัสมาก! ท่านหมอบอกว่าท่านเสียเลือดมากเกินไป ถ้าหากท่านยังได้รับความเจ็บปวดอีกละก็ ท่านจะตายได้!”“หลีเอ๋อร์ เจ้าอย่าไปนะ!” ฮูหยินเว่ยร้องไห้เสียงดัง “เหตุใดฝ่าบาททรงพระทัยดำเช่นนี้ เขาทำได้อย่างไร! เจ้าเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของพระองค์นะ!”ฉู่เจียวเจียวฝืนยิ้มนี่เป็นพระประสงค์ของฝ่าบาทที่ไหนกัน? เห็นได้ชัดว่าเป็นความตั้งใจขอ
ณ ชานเมือง ภายในบ้านพักที่สภาพแวดล้อมดีมาก ถึงขั้นเงียบสงบ ตอนที่เฟิงเย่เสวียนยังอยู่ ฉู่เชียนหลีกำลังอาบแดดอยู่ในสวน ทันทีที่เขาไป ท้องฟ้าก็มีเมฆดำปรากฏขึ้น แล้วก็มีฝนตกตกอยู่สี่ชั่วยามก็ยังคงตกอยู่ฝนตกหนักดังซู่ซ่า ตั้งแต่เช้ายันพลบค่ำ พื้นเต็มไปด้วยแอ่งน้ำขนาดใหญ่ ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตก ฝนตกอย่างต่อเนื่อง ลมพัดเข้ามาจากทางหน้าต่าง หนาวยะเยือก“พระชายา ท่านอย่ายืนอยู่ริมหน้าต่างเลยเจ้าค่ะ ระวังสุขภาพด้วย”เยว่เอ๋อร์รีบห่มเสื้อคลุมผืนหนาให้นาง เกรงว่านางจะต้องลมหนาวคนที่กำลังตั้งท้องไม่สามารถกินยาได้ตามอำเภอใจ จะไม่ดีต่อเด็กฉู่เชียนหลีกระชับเสื้อผ้าบนร่างกาย หันหน้าไปมองท้องฟ้าที่มืดครึ้ม ท่าทางที่อึมครึมนั่น เหมือนกับว่าท้องฟ้าจะถล่มลงมาตลอดหลายเดือนมานี้ ยังไม่เคยเห็นฝนตกหนักขนาดนี้มาก่อน“ท่านอ๋องยังไม่กลับมา?”เยว่เอ๋อร์ตอบ “ท่านอ๋องอาจจะกำลังยุ่งอยู่ เมื่อเขาเสร็จธุระก็จะกลับมา อีกอย่าง วันนี้ฝนตกทั้งวัน ท่านอ๋องอยากจะกลับมา ก็จำต้องรอให้ฝนหยุดตกก่อน”ฝนตกหนักเกินไป จะตัวเปียกเอาได้ฉู่เชียนหลีหลุบตาลงไม่เห็นเขาทั้งวัน ก็รู้สึกจิตใจหดหู่แปลก ๆบ้านพักแห่งนี
จวนอ๋องหลีอ๋องหลีได้เดินทางไปเป็นเวลาสองวันหนึ่งคืนแล้ว...ฉู่เจียวเจียวหลับตาไม่ลงมาตลอด นางนั่งอยู่ริมหน้าต่าง จ้องมองฝนที่ตกหนักมาสองวันหนึ่งคืนแล้ว ดวงตาคู่นั้นทั้งแห้งทั้งแดง เนื่องจากผ่านการร้องไห้ ประกอบกับถูกลมพัด แดงก่ำจนเต็มไปด้วยเส้นเลือด แดงก่ำจนเหมือนใกล้จะมีเลือดไหลออกมามือเท้าของนาง เย็นเฉียบ แม้กระทั่งท้องก็เย็นเช่นกัน เย็นจนเหมือนไม่รู้สึกถึงการมีอยู่ของลูกฝนยิ่งตกยิ่งหนัก หัวใจของนางยิ่งหนาวเหน็บขึ้นเรื่อย ๆ...ท่านอ๋องแม้กระทั่งลุกขึ้นยังลำบาก แต่กลับกำลังดำเนินภารกิจซ่อมอยู่ในสุสานหลวง ฝนตกห่าใหญ่ขนาดนี้ แล้วเขาก็ยังบาดเจ็บสาหัสขนาดนั้นอีกด้วย แม้ว่าร่างกายจะแข็งแรง ก็ไม่มีทางทนรับความทรมานแบบนี้ได้เมื่อนางจินตนาการถึงภาพที่ท่านอ๋องเปียกปอนไปทั้งตัว บาดแผลฉีกขาด น้ำฝนผสมเข้ากับเลือดไหลรินเป็นทาง...ทุกครั้งที่นึกถึง ความเกลียดแค้นภายในใจของนางก็เพิ่มมากขึ้นฉู่เชียนหลี!ฉู่เชียนหลี!ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะเจ้า!ท่านอ๋องไม่มีชีวิตรอด เจ้าเองก็ไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเช่นกัน เจ้า ลูกของเจ้า ข้าจะให้เจ้าได้ลองลิ้มรสชาติความเจ็บปวดแบบนี้!นางดึงลิ้นชัก
ความหมายของฉู่เชียนหลีคือ เห็นคุณค่าปัจจุบัน ใช้ชีวิตให้ดี เฉิดฉายและมั่นใจในตนเอง ทุกคนมีเพียงหนึ่งเดียว คนไม่มีทางรู้ว่าระหว่างวันพรุ่งนี้กับสิ่งที่คาดไม่ถึงอันไหนจะมาถึงก่อนเมื่อเยว่เอ๋อร์ได้ยินประโยคนี้ กลับคิดว่าขนาดพระชายายังพูดข้อดีของนางออกมาไม่ได้ ทำได้เพียงพูดแบบนี้เพื่อปลอบโยนนางนางไม่มีข้อดีเมื่อมองอวิ๋นอิง เป็นทั้งวรยุทธ์ ทั้งฉลาดปราดเปรื่อง ทั้งรู้หนังสือ ทั้งเขียนหนังสือเป็น ไม่เหมือนนาง...นางเบะปาก นำหนังสือละครโยนลงบนโต๊ะ ตอบกลับเสียงอู้อี้“อ่อ...”ในใจของฉู่เชียนหลี กระสับกระส่ายอีกครั้ง...นางไม่ได้สนใจอารมณ์เล็ก ๆ ของเยว่เอ๋อร์ นางไม่ได้เจอหน้าเฟิงเย่เสวียนมาสองวันแล้ว ก่อนหน้านี้เฟิงเย่เสวียนจะกลับมาทุกวัน มากอดนางนอนหลับนางเป็นห่วง...“พระชายา แย่แล้ว!”จู่ ๆ ด้านนอก เด็กรับใช้คนหนึ่งวิ่งฝ่าฝนที่ตกหนักเข้ามาเป็นเด็กรับใช้ของจวนอ๋องเฉิน ฉู่เชียนหลีคุ้นหน้าดีแม้ว่าเด็กรับใช้จะถือร่มกระดาษน้ำมัน เสื้อผ้าเปียกปอน วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา “พระชายา แย่แล้ว แม่นางอวิ๋นอิงสะดุดล้มโดยไม่ทันระวังเมื่อครึ่งชั่วยามก่อน หัวเข่าพับ ตำแหน่งที่ได้รับบาดเจ็บก่อนหน้
ฝีเท้าของฉู่เชียนหลีหยุดชะงักทันทีอ๋องหลี?ตาย?“หมายความว่าอย่างไร?” นางหันหน้ากลับไปมองฉู่เจียวเจียว “ที่เจ้าพูดมาหมายความว่าอย่างไร?”ฉู่เจียวเจียวหัวเราะอย่างถากถาง “ฮ่า ๆ! ฮ่า ๆ ๆ!”ดูสิ!ดูสีหน้าท่าทางที่ไร้เดียงสาของฉู่เชียนหลีซิ! เหมือนกับว่าไม่รู้เรื่องอะไรเลย เสแสร้งได้สมจริง ทักษะการแสดงที่สมบูรณ์แบบ แม้แต่นางก็เกือบจะถูกหลอกเฟิงเจิ้งหลีชอบคนแพศยาแบบนี้ได้อย่างไรกันนะ!“ฉู่เชียนหลี เจ้ามันสารเลวยิ่งนัก! เจ้ามันสารเลวจริง ๆ! ฝนตกหนักขนาดนี้ เฟิงเจิ้งหลีบาดเจ็บสาหัสขนาดนั้น แต่กลับถูกเฟิงเย่เสวียนบังคับให้ไปซ่อมแซมสุสานหลวง พวกเจ้าบีบให้เฟิงเจิ้งหลีถึงทางตันฮ่า ๆ ๆ!”อะไรนะ!ฉู่เชียนหลีไม่รู้เรื่องนี้เลยแม้แต่นิดเดียวเป็นฝีมือของเฟิงเย่เสวียนหรือว่าเพื่อปิดบังเรื่องนี้แล้ว เฟิงเย่เสวียนถึงได้จัดการให้นางอยู่ที่บ้านพักชานเมืองแห่งนี้ชั่วคราว?ถ้าหากเฟิงเย่เสวียนกับเฟิงเจิ้งหลีสู้กันขึ้นมาจริง ๆ ละก็...“ตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ไหน!” นางถามเสียงเย็นชา“ฮ่า ๆ! ฮ่า ๆ ๆ! ไม่ใช่ฝีมือของเจ้าหรอกหรือ เจ้ายังมีหน้ามาถามข้าอีกหรือ?” ฉู่เจียวเจียวหัวเราะเสียงดังอย่างเยาะหยั