ฉู่เชียนหลีตะลึงงันไปชั่วขณะ ย่อมเป็นเพราะคาดคิดไม่ถึง เป็นเพราะนางไม่ใส่ใจจึงมองข้าม? หรือเป็นเพราะนางตั้งครรภ์แล้วสมองใช้การได้ไม่ดี? จึงไม่สังเกตเห็น… ถ้าหากเป็นอย่างที่เขาพูดจริงๆ นางยิ่งใกล้ชิดเขาไม่ได้แล้ว!สีหน้าเย็นชาลง “เฟิงเจิ้งหลี ปล่อยข้า! ท่านรู้หรือไม่ว่าท่านกำลังพูดอะไรอยู่!”“ข้าย่อมรู้อยู่แล้ว ไม่มีช่วงเวลาใดๆ ที่ข้ามีสติเท่ากับตอนนี้แล้ว!” เฟิงเย่เสวียนมองดวงตาทั้งคู่ของนางตรงๆ “ข้ารู้ว่าไม่ควรล้ำเส้น เจ้าข้าต่างก็มีครอบครัวแล้ว ข้าพยายามข่มความรู้สึกมากแล้ว ข้าจะไม่ไปยุ่งกับเจ้า และยิ่งไม่รบกวนความสงบของเจ้าในตอนนี้”เรื่องของกู่พิษนั่น…อูหนูเป็นคนเสนอในตอนนั้น เขาก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร บุ่มบ่ามก็รับข้อเสนอของอูหนูไปแล้วแต่ตอนนี้เขารู้สึกผิดแล้วเมื่อเทียบกับเลิกคบหา ไม่สู้เป็นเหมือนเมื่อก่อน อยู่เคียงข้างและปกป้องนางในฐานะเพื่อนสนิท แม้ไม่ได้มาครอบครอง แต่สามารถเฝ้าดูทุกวัน“ต่อไปข้าจะไม่ทำเรื่องโง่ๆ อีกแล้ว ฉู่เชียนหลี เจ้าเชื่อข้านะ ข้าจะไม่ทำเรื่องที่ทำให้เจ้าผิดหวังอีกแล้ว!” เขาให้สัญญาด้วยน้ำเสียงร้อนรน หวังเพียงได้รับความเชื่อใจจากนางฉู่เชียนห
หลังจากฉู่เชียนหลีรู้ความคิดของเขา ยิ่งไม่มีทางเข้าใกล้เขาแล้ว รับผิดชอบต่อเขา ก็เป็นการรับผิดชอบต่อตนเองเช่นกัน รักษาระยะห่างที่เหมาะสม จึงจะเป็นพื้นฐานของความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนแต่เฟิงเจิ้งหลีจับนางไว้เหมือนบ้าไปแล้ว ราวกับสูญเสียสติสัมปชัญญะนางขมวดคิ้ว ออกแรงง้างนิ้วมือของเขา พยายามงัดออก หลังจากสะบัดหลุด ถอยหลังสามก้าว“เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ไม่ต้องพูดถึงแล้ว ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ท่านไม่ทำร้ายข้า ข้าก็จะไม่หาเรื่องท่าน หากท่านเกิดความคิดที่ไม่ซื่ออีก ข้า…ก็จะไม่นั่งรอความตายเช่นกัน”คำพูดสั้นๆ ไม่กี่คำ ได้ขีดเส้นกั้นระหว่างทั้งสองอย่างชัดเจนเฟิงเจิ้งหลีรู้สึกเพียงร่างกายสั่นสะท้าน สมองว่างเปล่า เหม่อลอยราวกับฟ้าพังทลาย สูญเสียสิ่งสำคัญที่สำคัญที่สุดไปแล้วหลายปีมานี้ ชีวิตของเขามันแย่มากๆ เจ็บปวดมากๆ ครอบครัวไม่ใช่ครอบครัวที่ต้องการ ความรักไม่ใช่ความรักที่ต้องการ ทั้งชีวิตของเขาจมอยู่ในเหวลึกมาโดยตลอดการที่ได้พบกับนาง เขาเหมือนมองเห็นแสงสว่างในความมืดเขาปกป้องและรักษาไว้อย่างระมัดระวังมาโดยตลอด ทว่าเพราะความเลอะเลือนชั่วขณะ ได้ทำผิดพลาด ทำลายทุกอย่างไม่อยากสูญเสียไ
“ออกไป”“ขอรับ…” หานเฟิงรู้สึกถึงความผิดปกติ ไม่กล้าพูดมาก แม้เห็นบนร่างกายพระชายามีเลือด แต่ไม่ได้รับบาดเจ็บ จึงจะออกไปอย่างเบาใจเล็กน้อยเอี๊ยด…เสียงผลักประตูที่เบามาก แลดูกะทันหันในยามราตรีการเคลื่อนไหวที่เงยหน้าของฉู่เชียนหลีค่อนข้างแข็ง เหมือนยังไม่หวนคืนสติ ประกายในดวงตามืดมน เหม่อลอยเล็กน้อย“อาเฉิน…”“กลับมาแล้ว” เฟิงเย่เสวียนสั่งให้เยว่เอ๋อร์ตักน้ำมาหนึ่งกะละมัง ล้างคราบเลือดที่ติดอยู่บนมือนางอย่างพิถีพิถันจนสะอาด แล้วนำเสื้อผ้ามาเปลี่ยนให้ใหม่ หลังจากนั้นอุ้มนางขึ้นเตียงไปพักผ่อนไม่พูดอะไร และไม่ถาม มอบความไว้วางใจอย่างเต็มที่ฉู่เชียนหลีขดตัวอยู่ในอ้อมกอดที่อ่อนโยนและคุ้นเคย รู้สึกมั่นคงเป็นพิเศษฝ่ามือใหญ่เฟิงเย่เสวียนลูบศีรษะนางเบาๆผ่านไปเนิ่นนานจึงจะกล่าว“ช่วงนี้ยุ่งมาก ไปหาดอกไม้แห่งความตายเหนื่อยมาแล้วหนึ่งรอบ ต่อจากนี้ก็ใกล้วันเชงเม้งเซ่นไหว้บรรพชน เจ้าอยู่กับข้าก็ไม่ได้สบายใจ พรุ่งนี้ไปอยู่บ้านพักที่ชานเมือง สงบจิตสงบใจและบำรุงครรภ์สักสองสามวันเถอะ”“ข้าจะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย”เขาส่งนางออกจากสถานที่ที่วุ่นวายนี้ชั่วคราว ไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่สง
จวนอ๋องหลีแม้เฟิงเจิ้งหลีได้รับการรักษาทันเวลา ยื้อชีวิตกลับมาได้ ทว่าเนื่องจากบาดแผลอยู่ที่หน้าอก เสียเลือดมากเกินไป เวลานี้นอนหน้าซีดอยู่บนเตียง ขยับตัวไม่ได้ ท่าทางที่ริมฝีปากซีดขาวและแห้งผาก เกือบจะเหมือนตายแล้ว…ฉู่เจียวเจียวร้องไห้จนน้ำตาเกือบแห้งแล้ว สิ่งที่มากกว่านั้นคือปวดใจนางไม่เข้าใจ ฉู่เชียนหลีมีอะไรดี เหตุใดท่านอ๋องจึงมุ่งมั่นที่จะลุยไปข้างหน้าเช่นกัน ต่อให้ชนกำแพงก็ไม่ยอมหันหลังกลับยิ่งไม่เข้าใจ ตกลงนางสู้ฉู่เชียนหลีไม่ได้ตรงไหน!ฮูหยินเว่ยไม่รู้รายละเอียดของเรื่องราว คิดว่าถูกมือสังหารทำร้าย ในดวงตาที่แดงก่ำเต็มไปด้วยความกังวลหลายวันมานี้ มักจะเกิดเรื่องที่ไม่คาดคิดต่างๆ หัวใจของนางแทบรับไม่ไหวแล้ว บวกกับสุขภาพแย่มาโดยตลอด เวลานี้ก็ไอไม่หยุดเช่นกัน ราวกับแก่ลงสิบกว่าปี ร่างกายที่อ่อนแอสั่นเทา“มีราชโองการ…”ทันใดนั้น ข้างนอกมีเสียงรายงานที่ยาวเหยียดสายหนึ่งดังขึ้นฉู่เจียวเจียวกับฮูหยินเว่ยรีบเช็ดน้ำตาบนใบหน้า ทำตัวให้กระปรี้กระเปร่า แสดงสภาวะที่ดีที่สุดออกมา รีบเดินออกไปข้างนอก กลับเห็นผู้ที่มาส่งราชโองการคือ…อ๋องเฉิน!เฟิงเย่เสวียนหยิบราชโองการสีเหลือง
“อะไรนะ?!”ฉู่เจียวเจียวเบิกตากว้าง แทบจะกรีดร้องเสียงแหลมออก “ท่านอ๋องได้รับบาดเจ็บสาหัส รักษาชีวิตเอาไว้ได้ไม่ง่ายเลย ยังรักษาตัวไม่ทันหายดี เหตุใดจึงต้องไปที่สุสานหลวง! ทำแบบนี้เป็นการเอาชีวิตเขาไม่ใช่หรือ!”แม้แต่ลงจากเตียงเขายังทำได้อย่างยากลำบาก เพื่อรับราชโองการ ต้องเดินหลายก้าว เลือดนองเต็มพื้น หายใจรวยรินถ้าหากไปซ่อมแซมสุสานหลวง จะต้องตายอย่างแน่นอน!เฟิงเย่เสวียนพับราชโองการ จากนั้นโยนไปที่ตรงหน้าของเฟิงเจิ้งหลี “นี่คือพระประสงค์ของฝ่าบาท ไปหรือไม่ไป ไม่ได้อยู่ที่ข้า”ทันทีที่พูดอย่างเฉยชาจบ ก็หันหลังแล้วเดินจากไป“ท่านอ๋อง ท่านอ๋อง! ท่านอย่าไป!” ฉู่เจียวเจียวคลานเข่ามาข้างหน้าอย่างร้อนใจ “ร่างกายของท่านทนต่อการทรมานอีกไม่ไหว อาการบาดเจ็บของท่านสาหัสมาก! ท่านหมอบอกว่าท่านเสียเลือดมากเกินไป ถ้าหากท่านยังได้รับความเจ็บปวดอีกละก็ ท่านจะตายได้!”“หลีเอ๋อร์ เจ้าอย่าไปนะ!” ฮูหยินเว่ยร้องไห้เสียงดัง “เหตุใดฝ่าบาททรงพระทัยดำเช่นนี้ เขาทำได้อย่างไร! เจ้าเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของพระองค์นะ!”ฉู่เจียวเจียวฝืนยิ้มนี่เป็นพระประสงค์ของฝ่าบาทที่ไหนกัน? เห็นได้ชัดว่าเป็นความตั้งใจขอ
ณ ชานเมือง ภายในบ้านพักที่สภาพแวดล้อมดีมาก ถึงขั้นเงียบสงบ ตอนที่เฟิงเย่เสวียนยังอยู่ ฉู่เชียนหลีกำลังอาบแดดอยู่ในสวน ทันทีที่เขาไป ท้องฟ้าก็มีเมฆดำปรากฏขึ้น แล้วก็มีฝนตกตกอยู่สี่ชั่วยามก็ยังคงตกอยู่ฝนตกหนักดังซู่ซ่า ตั้งแต่เช้ายันพลบค่ำ พื้นเต็มไปด้วยแอ่งน้ำขนาดใหญ่ ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตก ฝนตกอย่างต่อเนื่อง ลมพัดเข้ามาจากทางหน้าต่าง หนาวยะเยือก“พระชายา ท่านอย่ายืนอยู่ริมหน้าต่างเลยเจ้าค่ะ ระวังสุขภาพด้วย”เยว่เอ๋อร์รีบห่มเสื้อคลุมผืนหนาให้นาง เกรงว่านางจะต้องลมหนาวคนที่กำลังตั้งท้องไม่สามารถกินยาได้ตามอำเภอใจ จะไม่ดีต่อเด็กฉู่เชียนหลีกระชับเสื้อผ้าบนร่างกาย หันหน้าไปมองท้องฟ้าที่มืดครึ้ม ท่าทางที่อึมครึมนั่น เหมือนกับว่าท้องฟ้าจะถล่มลงมาตลอดหลายเดือนมานี้ ยังไม่เคยเห็นฝนตกหนักขนาดนี้มาก่อน“ท่านอ๋องยังไม่กลับมา?”เยว่เอ๋อร์ตอบ “ท่านอ๋องอาจจะกำลังยุ่งอยู่ เมื่อเขาเสร็จธุระก็จะกลับมา อีกอย่าง วันนี้ฝนตกทั้งวัน ท่านอ๋องอยากจะกลับมา ก็จำต้องรอให้ฝนหยุดตกก่อน”ฝนตกหนักเกินไป จะตัวเปียกเอาได้ฉู่เชียนหลีหลุบตาลงไม่เห็นเขาทั้งวัน ก็รู้สึกจิตใจหดหู่แปลก ๆบ้านพักแห่งนี
จวนอ๋องหลีอ๋องหลีได้เดินทางไปเป็นเวลาสองวันหนึ่งคืนแล้ว...ฉู่เจียวเจียวหลับตาไม่ลงมาตลอด นางนั่งอยู่ริมหน้าต่าง จ้องมองฝนที่ตกหนักมาสองวันหนึ่งคืนแล้ว ดวงตาคู่นั้นทั้งแห้งทั้งแดง เนื่องจากผ่านการร้องไห้ ประกอบกับถูกลมพัด แดงก่ำจนเต็มไปด้วยเส้นเลือด แดงก่ำจนเหมือนใกล้จะมีเลือดไหลออกมามือเท้าของนาง เย็นเฉียบ แม้กระทั่งท้องก็เย็นเช่นกัน เย็นจนเหมือนไม่รู้สึกถึงการมีอยู่ของลูกฝนยิ่งตกยิ่งหนัก หัวใจของนางยิ่งหนาวเหน็บขึ้นเรื่อย ๆ...ท่านอ๋องแม้กระทั่งลุกขึ้นยังลำบาก แต่กลับกำลังดำเนินภารกิจซ่อมอยู่ในสุสานหลวง ฝนตกห่าใหญ่ขนาดนี้ แล้วเขาก็ยังบาดเจ็บสาหัสขนาดนั้นอีกด้วย แม้ว่าร่างกายจะแข็งแรง ก็ไม่มีทางทนรับความทรมานแบบนี้ได้เมื่อนางจินตนาการถึงภาพที่ท่านอ๋องเปียกปอนไปทั้งตัว บาดแผลฉีกขาด น้ำฝนผสมเข้ากับเลือดไหลรินเป็นทาง...ทุกครั้งที่นึกถึง ความเกลียดแค้นภายในใจของนางก็เพิ่มมากขึ้นฉู่เชียนหลี!ฉู่เชียนหลี!ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะเจ้า!ท่านอ๋องไม่มีชีวิตรอด เจ้าเองก็ไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเช่นกัน เจ้า ลูกของเจ้า ข้าจะให้เจ้าได้ลองลิ้มรสชาติความเจ็บปวดแบบนี้!นางดึงลิ้นชัก
ความหมายของฉู่เชียนหลีคือ เห็นคุณค่าปัจจุบัน ใช้ชีวิตให้ดี เฉิดฉายและมั่นใจในตนเอง ทุกคนมีเพียงหนึ่งเดียว คนไม่มีทางรู้ว่าระหว่างวันพรุ่งนี้กับสิ่งที่คาดไม่ถึงอันไหนจะมาถึงก่อนเมื่อเยว่เอ๋อร์ได้ยินประโยคนี้ กลับคิดว่าขนาดพระชายายังพูดข้อดีของนางออกมาไม่ได้ ทำได้เพียงพูดแบบนี้เพื่อปลอบโยนนางนางไม่มีข้อดีเมื่อมองอวิ๋นอิง เป็นทั้งวรยุทธ์ ทั้งฉลาดปราดเปรื่อง ทั้งรู้หนังสือ ทั้งเขียนหนังสือเป็น ไม่เหมือนนาง...นางเบะปาก นำหนังสือละครโยนลงบนโต๊ะ ตอบกลับเสียงอู้อี้“อ่อ...”ในใจของฉู่เชียนหลี กระสับกระส่ายอีกครั้ง...นางไม่ได้สนใจอารมณ์เล็ก ๆ ของเยว่เอ๋อร์ นางไม่ได้เจอหน้าเฟิงเย่เสวียนมาสองวันแล้ว ก่อนหน้านี้เฟิงเย่เสวียนจะกลับมาทุกวัน มากอดนางนอนหลับนางเป็นห่วง...“พระชายา แย่แล้ว!”จู่ ๆ ด้านนอก เด็กรับใช้คนหนึ่งวิ่งฝ่าฝนที่ตกหนักเข้ามาเป็นเด็กรับใช้ของจวนอ๋องเฉิน ฉู่เชียนหลีคุ้นหน้าดีแม้ว่าเด็กรับใช้จะถือร่มกระดาษน้ำมัน เสื้อผ้าเปียกปอน วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา “พระชายา แย่แล้ว แม่นางอวิ๋นอิงสะดุดล้มโดยไม่ทันระวังเมื่อครึ่งชั่วยามก่อน หัวเข่าพับ ตำแหน่งที่ได้รับบาดเจ็บก่อนหน้
ทุกคนรออยู่ที่นอกประตูเมือง เฟิงเย่เสวียนขี่ม้าเข้าไปใกล้ สายตาจ้องฉู่เชียนหลีอย่างลึกซึ้งหลายวินาทีฉู่เชียนหลียิ้มระหว่างทั้งสองคน คำพูดมากมายไม่จำเป็นต้องพูด แค่สบตากัน ก็สามารถเข้าใจกันแล้วผ่านไปครู่หนึ่งเขาถอนสายตากลับ กระตุกม้าให้หยุดลง โน้มกายและเอื้อมมือไปรับลูก“ส่งเขาให้ข้า”เฟิงเจิ้งหลียิ้มได้อ่อนโยนมาก ก้าวไปข้างหน้าครึ่งก้าวอย่างเชื่อฟัง ยกมือทั้งสองข้างขึ้นเล็กน้อย ส่งเด็กที่อยู่ในมือออกไป“น้องเจ็ด เดินทางปลอดภัย”เขาเน้นเสียงคำว่า ‘ปลอดภัย’ เป็นพิเศษ เหมือนมีความหมายที่ลึกซึ้งซ่อนอยู่อ๋องเฉินยื่นมือออกมาแล้ว ขณะที่กำลังจะสัมผัสโดนเด็ก เฟิงเจิ้งหลีปล่อยมือกะทันหันทันใดนั้นเด็กสูญเสียแรงยึดเหนี่ยว ร่วงลงไปโดยตรง!“จื่อเยี่ย!”พลันเฟิงเย่เสวียนแน่นหน้าอก กระโดดลงจากม้าด้วยความเร็วที่เร็วที่สุด ก็เห็นอ๋องหลีรับเด็กไว้แล้ว และก็เพราะพริบตาที่เขาเผลอนี้ จึงถูกธนูลับดอกหนึ่งยิงเข้าที่สะบักฉึก…“อาเฉิน!”“ท่านอ๋อง!”เหตุการณ์เกิดขึ้นกะทันหัน ไม่มีใครรับมือทันเวลาเฟิงเจิ้งหลีใช้มือซ้ายอุ้มเฟิงเจิ้งจื่อเยี่ย มือขวาจับตัวฉู่เชียนหลี ถอยหลังเจ็ดแปดก้าว ขณะ
เฟิงเย่เสวียนเดินออกมาข้างหน้าหนึ่งก้าว “ปล่อยฉู่เชียนหลีกับเด็ก ข้าอยู่เอง เจ้าจับฉู่เชียนหลีไม่มีประโยชน์ มีเพียงจับข้าเท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถนั่งราชบัลลังก์ได้อย่างมั่นคง”เฟิงเจิ้งหลีเย้ยหยัน“อย่ามาต่อรองกับข้า ข้ายอมถอยให้แล้ว ถ้าหากยังได้คืบจะเอาศอก ข้าไม่ถือสาที่จะพินาศไปพร้อมกัน”ฉู่เชียนหลีรีบถอยกลับมาจับข้อมือเฟิงเย่เสวียน กล่าวเสียงเบา “เจ้าพาจื่อเยี่ยไป!”“เชียนหลี…”“คนที่เขาต้องการคือข้า มีเพียงเจ้าไปและมีชีวิตรอดต่อไปเท่านั้น จึงจะมีโอกาสพลิกสถานการณ์ จื่อเยี่ยไปแล้ว ข้าจึงจะวางใจ ถึงเวลานั้น เขาก็ไม่มีข้อได้เปรียบอีก และไม่จำเป็นต้องกลัวเขาอีกแล้ว” ฉู่เชียนหลีวิเคราะห์เบาๆ อย่างฉับไวเฟิงเจิ้งหลีไม่มีทางฆ่านางใช้นางคนเดียว แลกกับความปลอดภัยของจื่อเยี่ย แลกกับความปลอดภัยของทุกคน อย่างไรก็ดีกว่าสู้กันตายไปข้างหนึ่ง เลือดนองเหมือนแม่น้ำไม่ใช่ว่านางจะถูกขังอยู่ในเมืองหลวงตลอดไปตราบใดที่ยังมีชีวิต ก็มีโอกาสเฟิงเย่เสวียนรู้ผลได้ผลเสียในนี้ เด็กคนนี้อย่างไรก็ต้องช่วย แต่เขาจะทิ้งฉู่เชียนหลีไว้คนเดียวได้อย่างไร“เชียนหลี ข้ามันไร้ประโยชน์”“ข้าไม่อนุญาตให้เจ
เมื่อพรรคของอ๋องหลีได้ยินเช่นนี้ ก็กลัวทันทีดูท่าทีของพระชายาอ๋องเฉิน นี่กำลังจะเปิดฉากสังหารครั้งใหญ่ในวังชัดๆ!ฆ่าคนติดต่อกันสองคน ไม่กระพริบตาแม้แต่ทีเดียวเลือดกระเซ็นโดนใบหน้า ก็เย็นเฉียบท่าทางที่ชั่วร้ายเหมือนปีศาจนั่น ทำให้ขุนนางหลายคนเกิดความกลัว ลองถามคนทั่วหล้า จะมีสักกี่คนที่ไม่กลัว? อยู่ต่อหน้าความเป็นความตาย ทุกคนล้วนเห็นแก่ตัวพวกเขาไม่อยากตายขุนนางคนหนึ่งกลัวจนพูดติดอ่าง“อ๋อง อ๋องหลี…อย่างไรเด็กที่อยู่ในมือท่านก็เป็นพระนัดดาองค์โต เป็นสายเลือดของราชวงศ์ ถ้าหากฆ่าเขา ในวันข้างหน้า มลทินของท่านจะถูกบันทึกไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์ เกรงว่าจะถูกคนรุ่นหลังด่าทอต่อๆ กันเป็นหมื่นปี”ขุนนางอีกคนก็กล่าวเสียงสั่น“อ๋องเฉินโปรดพิจารณา…”ถ้าหากสู้กันจริงๆ พวกเขาสู้ไม่ไหวอ๋องเฉินมีฮ่องเต้หนุนหลัง มีกองทัพ มีกำลังทหาร อ๋องเฉินเป็นฝ่ายได้เปรียบทุกด้านในมืออ๋องหลี นอกจากพระนัดดาองค์โต ก็ไม่มีเบี้ยอย่างอื่นแล้ว อีกทั้ง ทหารรักษาพระองค์ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ทหารองครักษ์เงาของอ๋องเฉินเมื่อไรที่สู้กัน พวกเขาจะตายกันหมดไม่จำเป็นต้องตายไปครั้งหนึ่ง บางครั้ง เมื่อเห็นว่าพอแล้วก
เฟิงเย่เสวียนแค่ขมวดคิ้วทีหนึ่ง ก็ข่มความเจ็บปวดนี้ลงไปผู้บัญชาการจางฟาดอย่างดุร้ายลองคิดดูเขาที่เป็นขุนนางคนหนึ่ง สามารถใช้แส้ฟาดองค์ชายที่ฮ่องเต้โปรดปรานที่สุด นี่เป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจเพียงใด พูดคำนี้ออกไป เขาสามารถอวดสามสิบปียิ่งฟาดยิ่งรู้สึกสนุก ยิ่งฟาดยิ่งแรงเพี๊ยะ!เพี๊ยะๆๆ!ทุกคนร้อนใจจนกระทืบเท้า แต่ไม่มีใครกล้าเข้าไป อ๋องหลีบ้าไปแล้ว เขาไม่ใช่อ๋องหลีที่เข้าถึงได้ง่ายอีกแล้ว!ฉู่เชียนหลีเพิ่งคิดจะกระโจนเข้าไป ก็ถูกอ๋องหลีสั่งให้คนคุมตัวไปยืนอยู่ข้างๆ บังคับให้นางมองดูต่อหน้าต่อตา“ฉู่เชียนหลี ข้าเคยบอกแล้ว เจ้าจะต้องเสียใจ คนไร้ประโยชน์อย่างเฟิงเย่เสวียน แม้แต่ลูกชายก็ปกป้องไม่ได้ มีประโยชน์อะไร”แววตาเฟิงเจิ้งหลีเปล่งแสงที่บ้าคลั่ง“เขาเป็นแค่คนไร้ประโยชน์ ฝ่าบาทจะให้ความสำคัญกับคนไร้ประโยชน์เช่นนี้ได้อย่างไร? ฉู่เชียนหลี เจ้าว่าเจ้าตาบอดใช่หรือไม่? เจ้าดูสภาพที่สะบักสะบอมของเขาตอนนี้ เหมือนสุนัขตัวหนึ่ง เจ้าก็ยังชอบเขา เช่นนั้นเจ้าก็เป็นสุนัขตัวเมียที่แพศยา”เขายิ้มอย่างชั่วร้าย สิ่งที่พูดออกมายิ่งไม่น่าฟังทุกคนตาแดง อยากพุ่งเข้าไปสับอ๋องหลีเป็นชิ้นๆ เสีย
ผู้ชายที่ร่างกายสูงใหญ่งอหัวเข่า คุกเข่าอยู่ตรงหน้าอ๋องหลีอย่างตั้งตรง แม้อยู่ต่ำกว่า แต่ความสูงศักดิ์ที่แผ่ซ่านออกมาจากกระดูก ไม่ลดน้อยลงเลยสักนิดตลอดหลายปีที่ผ่านมา นอกจากคุกเข่าให้ฮ่องเต้และบรรพชน พวกเขาไม่เคยเห็นอ๋องเฉินคุกเข่าให้ใครเฟิงเจิ้งหลีเห็นดังนี้ แหงนหน้าหัวเราะ“ฮ่าๆๆ!”คิดไม่ถึงจริงๆ เขาจะมีวันนี้ด้วยลูกชายที่ฮ่องเต้โปรดปรานที่สุด แพ้ให้กับลูกชายที่ไม่โปรดปรานที่สุด ไม่สะดุดตาที่สุด และยังถูกทุกคนรังแก ความรู้สึกที่อยู่เหนือกว่าเช่นนี้ ทำให้ในใจเขาสาแก่ใจจริงๆ“ฮ่าๆๆๆ เฟิงเย่เสวียน เจ้าก็มีวันนี้ด้วย!”หัวเราะเสร็จ เขารู้สึกว่าความเย่อหยิ่งของอ๋องเฉินมันขัดตาทั้งๆ ที่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบจนต้องคุกเข่า เหตุใดยังอวดดีหยิ่งผยองเช่นนี้?เขาออกคำสั่ง “ก้มหัวเจ้าลงไป”เฟิงเย่เสวียนเม้มปาก ก้มศีรษะลงเขาออกคำสั่งอีกครั้ง “โขกศีรษะ!”“อ๋องหลี ท่านอย่ารังแกให้มันมากนัก! ท่านกับท่านอ๋องของเราเป็นคนรุ่นเดียวกัน ท่านรับการโขกหัวจากเขาไม่ได้! ไม่กลัวบรรพชนรู้แล้ว อายุสั้นหรือ!” พ่อบ้านหยางกล่าวด้วยความโกรธเพิ่งกล่าวจบ ก็ถูกผู้บัญชาการจางถีบจนล้มลงพื้นหลังจากล้มลง ก
“ปล่อยคนของเจ้าแล้ว เจ้าเป็นอิสระแล้ว คืนลูกให้ข้า” ฉู่เชียนหลีจ้องเขาเฟิงเจิ้งหลีเหลือบมองเด็กน้อยในอ้อมแขน ท่าทางที่ร้องไห้จนหน้าแดง เห็นแล้วปวดใจนักคิดว่าแค่นี้ก็จบแล้วหรือ?เขายิ้ม“ฉู่เชียนหลี เหมือนเจ้าจะยังไม่เข้าใจสถานการณ์นะ?”“?”“……”“เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาต่อรองกับข้า? เด็กอยู่ในมือข้า เป็นหรือตายขึ้นอยู่กับข้า ถึงคราวที่เจ้าต้องมาสอนข้าทำงานตั้งแต่เมื่อไร?”สีหน้าฉู่เชียนหลีเคร่งขรึมทันทีเห็นได้ชัด เขาได้คืบจะเอาศอก“เจ้ายังต้องการอะไรอีก?”“ข้าหรือ” เขาเงยหน้าด้วยรอยยิ้ม กวาดมองทุกคน และตำหนักอันหรูหราหลังนี้ วังหลวงที่กว้างใหญ่แห่งนี้ แผ่นดินที่ดีเช่นนี้เขาต้องการอะไร ยังต้องให้พูดอีกหรือ?แต่ว่า มองดูท่าทางที่ร้อนใจของฉู่เชียนหลี เขาเกิดอยากสนุก ต้องการระบายความคับข้องใจที่ได้รับในสองวันนี้ออกมาให้หมดลูบแก้มของเด็กน้อยพลางกล่าว“อยากได้ลูกคืน ไม่มีปัญหา มันก็ต้องดูว่าอ๋องเฉินมีความจริงใจหรือไม่”เงียบไปครู่หนึ่ง“อืม หรือไม่อ๋องเฉินคุกเข่า โขกหัวให้ข้าสามครั้ง ข้าก็คืนลูกให้เจ้า เป็นอย่างไร?”ฉู่เชียนหลีโมโหแล้วด้วยนิสัยที่ยอมหนึ่งก้าว จะเอาสิบก้าวข
“เจ้า!”ฉู่เชียนหลีถูกความเฉยเมยของนางยั่วจนโมโหแล้ว ยิ่งคิดไม่ถึงว่าใต้ฟ้าจะมีแม่ที่ไร้ความรับผิดชอบเช่นนี้มันก็จริงฉู่เจียวเจียวกับเฟิงเจิ้งหลี ถ้าไม่เหมือนกันก็คงอยู่ด้วยกันไม่ได้ ไม่มีอะไรที่พวกเขาสองสามีภรรยาทำไม่ลงรอหลังจากลู่ฉินเติบโต รู้ว่าตัวเองมีแม่เช่นนี้ ไม่รู้ว่าจะเศร้าเพียงใด!“ฉู่เชียนหลี เฟิงเย่เสวียน พวกเจ้าเลิกพูดไร้สาระได้แล้ว รีบปล่อยตัวอ๋องหลี ความอดทนข้ามีขีดจำกัด!” ฉู่เจียวเจียวกล่าวอย่างเย็นชา“จะเอาชีวิตของลูกชาย หรือจะปล่อยคน พวกเจ้าเลือกเอง”อย่างไรนางก็ไม่มีอะไรจะเสียแล้วไม่ดิ้นรน ตายสถานเดียวดิ้นรน เดิมพัน ยังมีโอกาสสายตาเฟิงเย่เสวียนเคร่งขรึมมาก หางตาเหลือบมองหานเฟิง หานเฟิงเข้าใจทันที เขาซ่อนมือไว้ที่หลัง และทำท่าสัญญาณมือไปที่ด้านหลังมือธนูเตรียมพร้อมจู่ๆ ฉู่เจียวเจียวก็กล่าวเสริมอีกประโยคอย่างเย็นชา “พวกเจ้าสามารถลองดูได้ ดูสิว่าการเคลื่อนไหวของพวกเจ้าไว หรือมีดที่อยู่ในมือข้าเร็ว”“ต่อให้ข้าตาย การฆ่าเฟิงเจิ้งจื่อเยี่ยก็ใช้เวลาแค่พริบตาเดียว”ฉู่เชียนหลีสั่งให้มือธนูหยุดทันที “ปล่อยคน!”อย่าทำอะไรบุ่มบ่ามผู้หญิงคนนี้มันเป็นผู
พลันฉู่เชียนหลีแน่นหน้าอก“หยุดนะ…”“อย่าเข้ามา!”ฉู่เจียวเจียวถอยหลังสามก้าว มือซ้ายจับเด็ก มือขวาถือมีดสั้น มีดสั้นที่แวววาวจ่ออยู่บนผิวอันบอบบางของเด็ก กรีดจนรอยเลือดออกแล้วเลือดไหลออกมาแล้ว“จู่ๆ เจ้าก็มาเป็นห่วงข้า และยังพยายามอยากอุ้มลูกทุกวิถีทาง ข้าก็รู้แล้วว่าเจ้าไม่ได้มีเจตนาดี”นางยิ้มอย่างเย็นชา“เหอะ! ดูเหมือนฮ่องเต้ที่แกไม่ตายสักทีนั่นเป็นคนบอกเรื่องนี้กับเจ้าสินะ!”ไอ้แก่ เป็นอัมพาตเฉียบพลันยังไม่ยอมอยู่อย่างสงบเสงี่ยมอีกต่อให้รู้ความจริงแล้วอย่างไร?ชีวิตของเด็กคนนี้อยู่ในมือนาง“ฉู่เชียนหลีนะฉู่เชียนหลี เจ้าคิดอย่างไรก็คงคิดไม่ถึงกระมังว่า เจ้าเลี้ยงลูกสาวข้า ข้าเลี้ยงลูกชายเจ้า และก็ต้องขอบคุณลูกชายคนดีคนนี้ของเจ้า กลายเป็นตัวช่วยที่สำคัญของอ๋องหลี” นางเผยอมุมปาก รอยยิ้มนั้นน่ากลัวมากฉู่เชียนหลียืนตัวแข็งอยู่ตรงที่เดิม ไม่กล้าขยับ“เจ้าต้องการอะไร?”ฉู่เชียนหลีจ้องมีดสั้นในมือนาง กลัวว่านางจะพลั้งเผลอกรีดโดนคอของเด็กตั้งครรภ์สิบเดือนลูกชายเป็นก้อนเนื้อชิ้นหนึ่งที่ตกลงมาจากร่างกายนางนางไม่กล้าเดิมพัน และเดิมพันไม่ไหวฉู่เจียวเจียวกล่าว “ข้าต้องก
กลางดึกกำลังถึงช่วงที่คนเงียบสงบ คนกลุ่มหนึ่งวิ่งไปที่ตำหนักเจาหยางราวกับคลื่นยักษ์ ตอนที่ใกล้จะถึง ฉู่เชียนหลีตวาดสั่งให้พวกเขาหยุด“พวกเจ้าอยู่ห่างๆ อยากเข้าใกล้!”พ่อบ้านหยางกล่าวด้วยความเป็นห่วง “พระชายา พวกเราต้องไปเอาพระนัดดาองค์โตกลับมา นั่นเป็นเลือดเนื้อของท่านกับท่านอ๋องนะ”“ข้ารู้!”ก็เพราะรู้ จึงไม่ให้พวกเขาเข้าใกล้“ไปทำอะไรคนเยอะแยะ ถ้าหากบีบจนฉู่เจียวเจียวไม่มีทางเลือก นางทำอะไรขึ้นมา…”ฉู่เชียนหลีแทบจะเป็นบ้าแล้ว ร้อนรนเหมือนมดที่อยู่บนกระทะร้อน ทั้งร้อนใจทั้งไม่สบายใจ น้ำเสียงก็ค่อนข้างฉุนเฉียวไม่อยากพูดมาก วิ่งเข้าไปในตำหนักเจาหยางเพียงลำพัง คนอื่นรออยู่ที่ข้างนอก ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามภายในตำหนักฉู่เจียวเจียวกำลังกล่อมจื่อเยี่ย ฉู่เจียวเจียวมาแล้ว นางมองเด็กน้อยที่อ้วนสมบูรณ์ กล่าวโดยไม่เงยหน้า“พระชายาอ๋องเฉิน ลูกของข้าเพิ่งนอนหลับ ”โปรดให้อภัย ข้าอุ้มเขาไว้ ร่างกายหนัก ไม่สะดวกลุกขึ้นยืน สายตาฉู่เชียนหลีมองไปที่ตัวเด็กเด็กน้อยอ้วนสมบูรณ์ ใบหน้าจ้ำม่ำ คิ้วละเอียดอ่อน หน้าตาที่น่ารักน่าเอ็นดู คล้ายเฟิงเจิ้งเว่ยซีแปดส่วนเหตุใดเมื่อก่อนนางไม่สังเกต