ท่านอ๋องมีชีวิตสุขสบายตั้งแต่เด็ก ได้รับความโปรดปราน อำนาจและอิทธิพลล้นหลาม แน่นอนว่าอุปนิสัยย่อมต้องค่อนข้างโอหังและถือดี ให้คนแบบนี้ก้มหัวขอโทษ นั่นคือเรื่องที่เป็นไปไม่ได้พระชายาก็ไม่เหมือนกับหญิงสาวคนอื่น มีความคิดความอ่านเป็นของตนเอง ไม่มีทางร่วมมือกับคนเลว ยิ่งชัดเจนและรู้ว่าตนเองอยากได้อะไร คนที่มีสติเช่นนี้ โดยปกติก็ไม่มีทางก้มหัวยอมรับผิดเช่นกันก็เหมือนกับหัวสองหัวชนกันเขาวัวขวิดกัน ย่อมไม่อ่อนข้อให้กันเมื่อเยว่เอ๋อร์ได้ยินคำพูดของอวิ๋นอิง ก็พยักหน้าคล้ายจะเข้าใจ“ไม่ต้องกังวล ดูตามสถานการณ์เมื่อก่อนนี้ ครั้งนี้ไม่เกินสองวันก็ดีกัน” อวิ๋นอิงตบบ่าของเยว่เอ๋อร์ กล่าวด้วยรอยยิ้มบนโต๊ะฉู่เชียนหลีกำลังก้มหน้า คีบอาหารอย่างทุกข์ จู่ๆ ก็ขาดคนคีบอาหาร ปอกหัวหอม เลือกก้างปลาให้นาง นางไม่ค่อยคุ้นชินเท่าไหร่เหลือบตามอง แอบกวาดสายตามองชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงข้ามเงียบ ๆนางไม่เอ่ยปากพูดเปิดปากพูดก่อนก็เท่ากับว่ายอมแพ้ถ้าหากยอมแพ้แล้ว เขาก็คงคิดว่าตนเองสามารถควบคุมนางได้ ต่อไปอาจจะกลั่นแกล้งนางอย่างกำเริบเสิบสานได้แล้วสินะ?ปฏิเสธ!ตรงกันข้าม!เฟิงเย่เสวียนเลือกอาหารใน
ฉู่เชียนหลีที่เดิมทีไม่อยากสนใจได้ยิน ก็ควบคุมตัวเองไม่อยู่...ชายหนุ่มคนนี้สมควรตาย!เป็นหวัดแล้วยังไม่ไปนอนห้องข้าง ๆ อีกหรือ? จะต้องนอนกับนาง? ตอนนี้นางกำลังตั้งครรภ์ ถ้าหากเป็นหวัดขึ้นมา จะกินยามั่วซั่วไม่ได้ เขาไม่กลัวจะส่งผลกระทบถึงลูกเลยหรือไง?ในที่สุด ฉู่เชียนหลีก็อดไม่ได้ เอ่ยปากพูดเสียงเบาเป็นการหยั่งเชิงถาม“เจ้า...ไม่สบายหรือ?”ในขณะที่เสียงพูดจบลง เสียงไอของชายหนุ่มก็ไอมากขึ้น ในเวลาเดียวกัน ระหว่างทั้งสองคนก็เงียบขรึมไปหลายวินาทีบนเตียงที่มืดสลัว ไม่เห็นดวงตาดำขลับที่ล้ำลึกของชายหนุ่มตลอดบ่ายกับอีกหนึ่งคืน ในที่สุดนางก็เอ่ยปากพูดกับเขาแล้ว…เขาไม่พูดฉู่เชียนหลีรออยู่ครู่หนึ่ง กัดริมฝีปากล่างเบา ๆ “อยากให้ข้าช่วยจับชีพจรให้เจ้าหรือไม่?”คำตอบที่นางได้รับยังคงเป็นความเงียบสงบ แต่นางรู้ว่า เขายังไม่ได้นอน แล้วก็ไม่สนใจนาง รู้สึกว่ากำลังจงใจปั่นประสาทนางอยู่?โมโหขึ้นมาทันที “เจ้าเป็นใบ้ใช่หรือไม่?”“เจ้าอยากให้ข้าเงียบ ๆ ไม่ใช่หรือ?”ครั้งนี้ ในที่สุดชายหนุ่มก็เอ่ยปากพูดแล้วฉู่เชียนหลี “...”เป็นอย่างที่คิดไว้ เขากำลังผูกพยาบาทวันนี้ตอนที่อยู่จวนอ๋องหลี
ค่ำคืนที่นอนไม่หลับ...เป็นเพราะมีความในใจ ทั้งสองคนนอนเตียงเดียวกัน หายใจรดกัน แต่หัวใจกลับไม่ประสานเข้าด้วยกัน ต่างตนต่างคิดเรื่องของตนเอง ไม่รู้ว่าผ่านไปนานขนาดไหนแล้ว ฉู่เชียนหลีถึงค่อย ๆ หลับไปตอนที่ตื่นขึ้นมา เฟิงเย่เสวียนไม่อยู่แล้ว ข้างกายเย็นเฉียบตั้งนานแล้ว คงจะไปนานมากแล้วน่าจะไปเข้าประชุมสำนักแล้วฉู่เชียนหลีลุกจากเตียง หลังจากล้างหน้าแปรงฟันเสร็จก็นั่งลงกินข้าวเช้า คีบข้าวในถ้วย แต่กลับไม่ค่อยมีความอยากอาหารเท่าไหร่นางกัดตะเกียบ เท้าคาง จ้องมองทิวทัศน์ในฤดูใบไม้ผลิด้านนอกหน้าต่าง รู้สึกน่าเบื่อหน่ายเป็นอย่างมากแล้วก็จิ้มท้อง อยากจะให้เจ้าเด็กน้อยรีบคลอดออกมาไว ๆ เพื่ออยู่เป็นเพื่อนนางเยว่เอ๋อร์จ้องมองข้าวในถ้วยที่กินไปไม่ถึงสองคำของนาง ก็อยากจะให้พระชายากับท่านอ๋องคืนดีกัน จึงเอ่ยปากกล่าวเป็นการลองหยั่งเชิง“พระชายา หรือไม่ก็รอท่านอ๋องเลิกประชุมกลับมากินข้าวด้วยกันหรือไม่?”“...”ฉู่เชียนหลีเม้มปากทันที แม้ว่าจะไม่มีความอยากอาหาร แต่ก็ยังยกถ้วยข้าวขึ้น โกยข้าวสี่ห้าคำอย่างรวดเร็วเยว่เอ๋อร์ “...”อวิ๋นอิง “...”ทั้งสองคนสะอึกไปทันที หางตาเหลือบมองที่ด้านน
“หรือว่าเป็นอ๋องเจวี๋ย?”“เป็นไปไม่ได้เช่นกัน” พระชายาอ๋องเฟิงส่ายหน้า “อ๋องเฟิงกับอ๋องเจวี๋ยสนิทกันมาตลอด เรื่องที่พวกเขาทำข้าก็รู้เพียงบางส่วนเท่านั้น ถ้าหากอ๋องเจวี๋ยอยากจะช่วยเหลือเซียวจือฮว่า รวมหัวกันทำร้ายเจ้า เขาจะต้องลากอ๋องเฟิงไปด้วย”อ๋องเจวี๋ยเองก็เป็นคนฉลาดคนหนึ่ง เขารู้ถึงความแตกต่างระหว่างการทำผิดคนเดียว รับผิดคนเดียว กับการร่วมกันทำความผิด ร่วมกันรับผิดถ้าหากเขาอยากลงมือเพียงลำพัง ก็คงไม่มีทางร่วมมือกับอ๋องเฟิง หลังจากเกิดเรื่องเสาเรือนถล่ม กับเรื่องขององค์หญิงใหญ่หรอกฉู่เชียนหลีขมวดคิ้วถ้าไม่ใช่อ๋องเฟิง แล้วก็ไม่ใช่อ๋องเจวี๋ยด้วยเช่นกัน แล้วจะเป็นใครที่แอบช่วยเหลือเซียวจือฮว่ากันนะ?ยังมีใครที่คิดอยากจะทำร้ายนางอีก?หรือว่านางยังทำให้ใครไม่พอใจอีก?เมื่อพระชายาอ๋องเฟิงเห็นสีหน้าของฉู่เชียนหลี มีคำพูดหลายคำที่กำลังจะพูดออกมา แต่ก็เม้มปากอีกครั้ง ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ถึงได้เอ่ยขึ้น“ที่ข้ามาในวันนี้ อันที่จริงยังมีอีกเรื่องที่อยากบอกเจ้า”“หืม?” ฉู่เชียนหลีหันไปมองนาง เงียบเพื่อรอฟังคำพูดต่อไปจากนี้แต่พระชายาอ๋องเฟิงกลับพูดจามีเงื่อนงำ “เรื่องนี้เกี่ยวข้อ
ในเวลานี้ ระหว่างหุบเขาที่อยู่ห่างออกไปจากเมืองหลวงหลายร้อยเมตร ภูเขาเขียวขจี น้ำใส เทือกเขาที่ทอดยาวต่อกัน ถนนหลวงอันเงียบสงบที่อยู่ท่ามกลางนั้น เส้นทางที่คดเคี้ยว ลมพัดใบไม้ปลิวว่อน แสงแดดที่ตกกระทบเล็กน้อย ทิวทัศน์ธรรมชาติอันงดงาม สวยจนเหนือจินตนาการท่ามกลางต้นไม้ที่ร่มรื่น เสียงฝีเท้าม้าอันแผ่วเบาดังขึ้นกะทันหันกรับ...กรับ ๆ...คนกลุ่มหนึ่งนั่งอยู่บนอานม้า สวมชุดลำลองกำลังเดินทาง ด้านหน้ามีคนสามสี่คนกำลังเปิดทาง ด้านหลังมีสี่คนปิดท้าย คนที่ถูกอารักขาอย่างแน่นหนาอยู่ตรงกลางก็คือเฟิงเย่เสวียนที่นี่ห่างจากเมืองหลวงประมาณร้อยกว่าลี้หานเฟิงกับหานอิ๋งขนาบซ้ายขวา ตั้งแต่ตอนเช้าออกเดินทางจนกระทั่งตอนนี้ นายท่านเอาแต่ขมวดคิ้วแน่น ท่าทางไม่พูดจาสักคำ ราวกับว่ากำลังทุกข์ใจ มีบรรยากาศมืดครึ้มที่รุนแรงแผ่ปกคลุมอยู่บนตัว ทำให้คนไม่กล้าเข้าไปวุ่นวายกองทัพเร่งเดินทางอย่างเงียบ ๆ นอกจากเสียงฝีเท้าม้ากับเสียงลมพัดใบต้นไม้ใบหญ้าแล้ว ก็ไม่มีเสียงอื่นอีก เงียบจนน่าประหลาดใจ ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว...กองทัพหยุดลงหานเฟิงขี่ม้าเดินไปดูที่ด้านหน้า ที่แท้มีทางแยก ไม่รู้ว่าควรจะไปทางไ
อวิ๋นอิงเรียกสายตากลับคืนมา ก้มหน้ากล่าว “พระชายา ข้าอยากติดตามท่าน ท่านปลอดภัยข้าถึงจะวางใจ”“มีเจ้าดำน้อยกับคนอื่นอยู่ด้วย ไม่เกิดเรื่องขึ้นหรอก พวกเจ้าเดินทางไปกันก่อน พลางตามท่านอ๋อง พลางทิ้งสัญลักษณ์เอาไว้ พวกเราจะตามอยู่ด้านหลัง”ด้านนอกรถม้า หมาป่าตัวใหญ่กำลังวิ่งตามกองทัพด้วยอุ้งเท้าอย่างบ้าคลั่ง ราวกับกำลังดีใจอย่างลิงโลด วิ่งไปตรงนั้นที วิ่งไปตรงนี้ที บางครั้งยังแหงนคอ ส่งเสียงหอน ‘บรู้ว’ ที่ทรงอานุภาพอวิ๋นอิงยังอยากปฏิเสธ...“จางเฟย เจ้าพาคนสองสามคนเหลือเอาไว้ อารักขาความปลอดภัยของคุณหนู คนอื่นที่เหลือ ตามข้าไปก่อน” จิ่งอี้กำบังเหียนแน่น ม้ายกเท้าสูง เดินวนอยู่ที่เดิมสองรอบบนหลังม้า ชายหนุ่มกวาดตามองไปทางอวิ๋นอิงด้วยสายตาเย็นชา ยังไม่ทันได้พูดอะไร ก็กำบังเหียนม้าแน่น แล้วเดินไปข้างหน้าอวิ๋นอิงเม้มปาก ถึงแม้ว่าไม่อยากไปเอามากๆ แต่ไม่เชื่อฟังคำสั่งพระชายาก็ไม่ได้ แม้ว่าจะไม่เต็มใจเลยสักนิด แต่ก็ยังตามไปเงียบๆ...ทหารแบ่งแยกเป็นสองทางการให้อวิ๋นอิงกับจิ่งอี้ไปก่อน ฉู่เชียนหลีก็วางใจขึ้นมาได้เล็กน้อย ในมือถือแผนที่ที่ไปหามาจากห้องหนังสือ ด้านบนทำสัญลักษณ์ของตำแหน่งกั
ความมืดคืบคลานเข้ามา หมอกดำสลัว หมู่บ้านในป่าลึกถูกปกคลุมอยู่ท่ามกลางความมืด นอกจากแสงเทียนที่มาจากไม่กี่ครอบครัวแล้ว ก็มีเสียงเห่าของสุนัขสองตัวบ้างเป็นครั้งคราว สงบเงียบเป็นอย่างยิ่งใจกลางหมู่บ้าน ในเรือนที่สร้างขึ้นมาจากไม้และไม้ไผ่หลังหนึ่งชายชรานำฉู่เชียนหลีและคนอื่นๆ เดินเข้ามาในห้อง ทันทีที่เปิดประตู ในบ้าน ก็มีสาวน้อยคนหนึ่งวิ่งออกมา“ท่านพ่อ! ท่านกลับมาแล้ว!”เอ๋?เมื่อได้เห็นคนแปลกหน้ามากมายขนาดนี้อย่างกะทันหัน ก็จ้องมองตาปริบ ๆด้วยความสงสัย ดวงตามองสำรวจ“หวาเอ๋อร์ ไปบอกให้ท่านแม่ของเจ้าทำอาหารให้เยอะอีกหน่อย เพื่อต้อนรับแขกที่เดินทางมาไกล ฮูหยินท่านนี้ เป็นภรรยาของท่านปู่คนนั้นที่มาถึงเมื่อตอนกลางวัน”ฉู่เชียนหลีหันไปมองสาวน้อย ยิ้มด้วยรอยยิ้มอบอุ่น “ว่าไงจ้ะ”“มารบกวนกะทันหัน ถือเป็นการไม่มีมารยาทมาก จึงนำของขวัญเล็กๆ น้อยๆ มาด้วย ถือเป็นน้ำใจเล็กน้อย” นางยกมือขึ้น เยว่เอ๋อร์ก็หิ้วเงินทอง เสื้อผ้าแพรชั้นดีจำนวนเล็กน้อย เพื่อเป็นของขวัญอย่างเข้าใจ อาหวาประคองด้วยมือทั้งสองข้าง เอียงคอ สายตาจ้องมองไปยังฉู่เชียนหลีทั้งสำรวจทั้งสงสัยทั้งแปลกใจคุณชายคนนั้นที
หลังจากกินข้าวเย็นง่ายๆ เรียบร้อยแล้ว ผู้ใหญ่บ้านชายชราที่ต้อนรับอย่างอบอุ่น พาทุกคนไปพักผ่อน จูงม้าออกไปกินหญ้าด้านนอก พวกผู้ชายไปนอนที่บ้านของเพื่อนบ้าน ฉู่เชียนหลีนอนกับลูกสาวของผู้ใหญ่บ้านสิ่งอำนวยความสะดวกในหมู่บ้านมีจำกัด ย่อมเทียบไม่ได้จวนอ๋องเฉิน แต่ห้องของลูกสาวผู้ใหญ่บ้านสะอาดเป็นระเบียบฉู่เชียนหลีนอนลง แต่กลับนอนไม่ค่อยหลับอาหวานอนอยู่ข้างฉู่เชียนหลี กะพริบดวงตาทั้งสองข้างอย่างสงสัย จ้องมองฉู่เชียนหลีตาปริบ ๆ“ท่านเป็นฮูหยินของคุณชายคนนั้นจริงหรือ?”ยังเป็นเรื่องหลอกลวงได้หรือไงฉู่เชียนหลีกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ตอนกินข้าวเมื่อครู่นี้ สาวน้อยคนนี้ก็จ้องตนอยู่เป็นบางครั้ง“เจ้าสงสัยอะไรอย่างนั้นหรือ?”อาหวากัดริมฝีปากล่างเบาๆ ย่อมมีความสงสัย หญิงสาวที่อัปลักษณ์ขนาดนี้ จะเป็นภรรยาของคุณชายคนนั้นได้อย่างไร?หรือว่าคุณชายคนนั้นตาบอดไปแล้ว?นางคิดว่าตนเองหน้าตาดีกว่าฮูหยินคนนี้หลายสิบเท่า ร้อยเท่า...ดึงผ้าห่มพลิกกาย หันหลังให้ฉู่เชียนหลี “ไม่มีอะไร วันพรุ่งนี้การเดินทางเข้าสู่ภูเขายากลำบากมาก ท่านกำลังตั้งครรภ์ น่าจะเดินทางไม่ได้ ถ้าหากท่านอยากตามหาคุณชายท่านนั้นละก็
ทุกคนรออยู่ที่นอกประตูเมือง เฟิงเย่เสวียนขี่ม้าเข้าไปใกล้ สายตาจ้องฉู่เชียนหลีอย่างลึกซึ้งหลายวินาทีฉู่เชียนหลียิ้มระหว่างทั้งสองคน คำพูดมากมายไม่จำเป็นต้องพูด แค่สบตากัน ก็สามารถเข้าใจกันแล้วผ่านไปครู่หนึ่งเขาถอนสายตากลับ กระตุกม้าให้หยุดลง โน้มกายและเอื้อมมือไปรับลูก“ส่งเขาให้ข้า”เฟิงเจิ้งหลียิ้มได้อ่อนโยนมาก ก้าวไปข้างหน้าครึ่งก้าวอย่างเชื่อฟัง ยกมือทั้งสองข้างขึ้นเล็กน้อย ส่งเด็กที่อยู่ในมือออกไป“น้องเจ็ด เดินทางปลอดภัย”เขาเน้นเสียงคำว่า ‘ปลอดภัย’ เป็นพิเศษ เหมือนมีความหมายที่ลึกซึ้งซ่อนอยู่อ๋องเฉินยื่นมือออกมาแล้ว ขณะที่กำลังจะสัมผัสโดนเด็ก เฟิงเจิ้งหลีปล่อยมือกะทันหันทันใดนั้นเด็กสูญเสียแรงยึดเหนี่ยว ร่วงลงไปโดยตรง!“จื่อเยี่ย!”พลันเฟิงเย่เสวียนแน่นหน้าอก กระโดดลงจากม้าด้วยความเร็วที่เร็วที่สุด ก็เห็นอ๋องหลีรับเด็กไว้แล้ว และก็เพราะพริบตาที่เขาเผลอนี้ จึงถูกธนูลับดอกหนึ่งยิงเข้าที่สะบักฉึก…“อาเฉิน!”“ท่านอ๋อง!”เหตุการณ์เกิดขึ้นกะทันหัน ไม่มีใครรับมือทันเวลาเฟิงเจิ้งหลีใช้มือซ้ายอุ้มเฟิงเจิ้งจื่อเยี่ย มือขวาจับตัวฉู่เชียนหลี ถอยหลังเจ็ดแปดก้าว ขณะ
เฟิงเย่เสวียนเดินออกมาข้างหน้าหนึ่งก้าว “ปล่อยฉู่เชียนหลีกับเด็ก ข้าอยู่เอง เจ้าจับฉู่เชียนหลีไม่มีประโยชน์ มีเพียงจับข้าเท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถนั่งราชบัลลังก์ได้อย่างมั่นคง”เฟิงเจิ้งหลีเย้ยหยัน“อย่ามาต่อรองกับข้า ข้ายอมถอยให้แล้ว ถ้าหากยังได้คืบจะเอาศอก ข้าไม่ถือสาที่จะพินาศไปพร้อมกัน”ฉู่เชียนหลีรีบถอยกลับมาจับข้อมือเฟิงเย่เสวียน กล่าวเสียงเบา “เจ้าพาจื่อเยี่ยไป!”“เชียนหลี…”“คนที่เขาต้องการคือข้า มีเพียงเจ้าไปและมีชีวิตรอดต่อไปเท่านั้น จึงจะมีโอกาสพลิกสถานการณ์ จื่อเยี่ยไปแล้ว ข้าจึงจะวางใจ ถึงเวลานั้น เขาก็ไม่มีข้อได้เปรียบอีก และไม่จำเป็นต้องกลัวเขาอีกแล้ว” ฉู่เชียนหลีวิเคราะห์เบาๆ อย่างฉับไวเฟิงเจิ้งหลีไม่มีทางฆ่านางใช้นางคนเดียว แลกกับความปลอดภัยของจื่อเยี่ย แลกกับความปลอดภัยของทุกคน อย่างไรก็ดีกว่าสู้กันตายไปข้างหนึ่ง เลือดนองเหมือนแม่น้ำไม่ใช่ว่านางจะถูกขังอยู่ในเมืองหลวงตลอดไปตราบใดที่ยังมีชีวิต ก็มีโอกาสเฟิงเย่เสวียนรู้ผลได้ผลเสียในนี้ เด็กคนนี้อย่างไรก็ต้องช่วย แต่เขาจะทิ้งฉู่เชียนหลีไว้คนเดียวได้อย่างไร“เชียนหลี ข้ามันไร้ประโยชน์”“ข้าไม่อนุญาตให้เจ
เมื่อพรรคของอ๋องหลีได้ยินเช่นนี้ ก็กลัวทันทีดูท่าทีของพระชายาอ๋องเฉิน นี่กำลังจะเปิดฉากสังหารครั้งใหญ่ในวังชัดๆ!ฆ่าคนติดต่อกันสองคน ไม่กระพริบตาแม้แต่ทีเดียวเลือดกระเซ็นโดนใบหน้า ก็เย็นเฉียบท่าทางที่ชั่วร้ายเหมือนปีศาจนั่น ทำให้ขุนนางหลายคนเกิดความกลัว ลองถามคนทั่วหล้า จะมีสักกี่คนที่ไม่กลัว? อยู่ต่อหน้าความเป็นความตาย ทุกคนล้วนเห็นแก่ตัวพวกเขาไม่อยากตายขุนนางคนหนึ่งกลัวจนพูดติดอ่าง“อ๋อง อ๋องหลี…อย่างไรเด็กที่อยู่ในมือท่านก็เป็นพระนัดดาองค์โต เป็นสายเลือดของราชวงศ์ ถ้าหากฆ่าเขา ในวันข้างหน้า มลทินของท่านจะถูกบันทึกไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์ เกรงว่าจะถูกคนรุ่นหลังด่าทอต่อๆ กันเป็นหมื่นปี”ขุนนางอีกคนก็กล่าวเสียงสั่น“อ๋องเฉินโปรดพิจารณา…”ถ้าหากสู้กันจริงๆ พวกเขาสู้ไม่ไหวอ๋องเฉินมีฮ่องเต้หนุนหลัง มีกองทัพ มีกำลังทหาร อ๋องเฉินเป็นฝ่ายได้เปรียบทุกด้านในมืออ๋องหลี นอกจากพระนัดดาองค์โต ก็ไม่มีเบี้ยอย่างอื่นแล้ว อีกทั้ง ทหารรักษาพระองค์ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ทหารองครักษ์เงาของอ๋องเฉินเมื่อไรที่สู้กัน พวกเขาจะตายกันหมดไม่จำเป็นต้องตายไปครั้งหนึ่ง บางครั้ง เมื่อเห็นว่าพอแล้วก
เฟิงเย่เสวียนแค่ขมวดคิ้วทีหนึ่ง ก็ข่มความเจ็บปวดนี้ลงไปผู้บัญชาการจางฟาดอย่างดุร้ายลองคิดดูเขาที่เป็นขุนนางคนหนึ่ง สามารถใช้แส้ฟาดองค์ชายที่ฮ่องเต้โปรดปรานที่สุด นี่เป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจเพียงใด พูดคำนี้ออกไป เขาสามารถอวดสามสิบปียิ่งฟาดยิ่งรู้สึกสนุก ยิ่งฟาดยิ่งแรงเพี๊ยะ!เพี๊ยะๆๆ!ทุกคนร้อนใจจนกระทืบเท้า แต่ไม่มีใครกล้าเข้าไป อ๋องหลีบ้าไปแล้ว เขาไม่ใช่อ๋องหลีที่เข้าถึงได้ง่ายอีกแล้ว!ฉู่เชียนหลีเพิ่งคิดจะกระโจนเข้าไป ก็ถูกอ๋องหลีสั่งให้คนคุมตัวไปยืนอยู่ข้างๆ บังคับให้นางมองดูต่อหน้าต่อตา“ฉู่เชียนหลี ข้าเคยบอกแล้ว เจ้าจะต้องเสียใจ คนไร้ประโยชน์อย่างเฟิงเย่เสวียน แม้แต่ลูกชายก็ปกป้องไม่ได้ มีประโยชน์อะไร”แววตาเฟิงเจิ้งหลีเปล่งแสงที่บ้าคลั่ง“เขาเป็นแค่คนไร้ประโยชน์ ฝ่าบาทจะให้ความสำคัญกับคนไร้ประโยชน์เช่นนี้ได้อย่างไร? ฉู่เชียนหลี เจ้าว่าเจ้าตาบอดใช่หรือไม่? เจ้าดูสภาพที่สะบักสะบอมของเขาตอนนี้ เหมือนสุนัขตัวหนึ่ง เจ้าก็ยังชอบเขา เช่นนั้นเจ้าก็เป็นสุนัขตัวเมียที่แพศยา”เขายิ้มอย่างชั่วร้าย สิ่งที่พูดออกมายิ่งไม่น่าฟังทุกคนตาแดง อยากพุ่งเข้าไปสับอ๋องหลีเป็นชิ้นๆ เสีย
ผู้ชายที่ร่างกายสูงใหญ่งอหัวเข่า คุกเข่าอยู่ตรงหน้าอ๋องหลีอย่างตั้งตรง แม้อยู่ต่ำกว่า แต่ความสูงศักดิ์ที่แผ่ซ่านออกมาจากกระดูก ไม่ลดน้อยลงเลยสักนิดตลอดหลายปีที่ผ่านมา นอกจากคุกเข่าให้ฮ่องเต้และบรรพชน พวกเขาไม่เคยเห็นอ๋องเฉินคุกเข่าให้ใครเฟิงเจิ้งหลีเห็นดังนี้ แหงนหน้าหัวเราะ“ฮ่าๆๆ!”คิดไม่ถึงจริงๆ เขาจะมีวันนี้ด้วยลูกชายที่ฮ่องเต้โปรดปรานที่สุด แพ้ให้กับลูกชายที่ไม่โปรดปรานที่สุด ไม่สะดุดตาที่สุด และยังถูกทุกคนรังแก ความรู้สึกที่อยู่เหนือกว่าเช่นนี้ ทำให้ในใจเขาสาแก่ใจจริงๆ“ฮ่าๆๆๆ เฟิงเย่เสวียน เจ้าก็มีวันนี้ด้วย!”หัวเราะเสร็จ เขารู้สึกว่าความเย่อหยิ่งของอ๋องเฉินมันขัดตาทั้งๆ ที่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบจนต้องคุกเข่า เหตุใดยังอวดดีหยิ่งผยองเช่นนี้?เขาออกคำสั่ง “ก้มหัวเจ้าลงไป”เฟิงเย่เสวียนเม้มปาก ก้มศีรษะลงเขาออกคำสั่งอีกครั้ง “โขกศีรษะ!”“อ๋องหลี ท่านอย่ารังแกให้มันมากนัก! ท่านกับท่านอ๋องของเราเป็นคนรุ่นเดียวกัน ท่านรับการโขกหัวจากเขาไม่ได้! ไม่กลัวบรรพชนรู้แล้ว อายุสั้นหรือ!” พ่อบ้านหยางกล่าวด้วยความโกรธเพิ่งกล่าวจบ ก็ถูกผู้บัญชาการจางถีบจนล้มลงพื้นหลังจากล้มลง ก
“ปล่อยคนของเจ้าแล้ว เจ้าเป็นอิสระแล้ว คืนลูกให้ข้า” ฉู่เชียนหลีจ้องเขาเฟิงเจิ้งหลีเหลือบมองเด็กน้อยในอ้อมแขน ท่าทางที่ร้องไห้จนหน้าแดง เห็นแล้วปวดใจนักคิดว่าแค่นี้ก็จบแล้วหรือ?เขายิ้ม“ฉู่เชียนหลี เหมือนเจ้าจะยังไม่เข้าใจสถานการณ์นะ?”“?”“……”“เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาต่อรองกับข้า? เด็กอยู่ในมือข้า เป็นหรือตายขึ้นอยู่กับข้า ถึงคราวที่เจ้าต้องมาสอนข้าทำงานตั้งแต่เมื่อไร?”สีหน้าฉู่เชียนหลีเคร่งขรึมทันทีเห็นได้ชัด เขาได้คืบจะเอาศอก“เจ้ายังต้องการอะไรอีก?”“ข้าหรือ” เขาเงยหน้าด้วยรอยยิ้ม กวาดมองทุกคน และตำหนักอันหรูหราหลังนี้ วังหลวงที่กว้างใหญ่แห่งนี้ แผ่นดินที่ดีเช่นนี้เขาต้องการอะไร ยังต้องให้พูดอีกหรือ?แต่ว่า มองดูท่าทางที่ร้อนใจของฉู่เชียนหลี เขาเกิดอยากสนุก ต้องการระบายความคับข้องใจที่ได้รับในสองวันนี้ออกมาให้หมดลูบแก้มของเด็กน้อยพลางกล่าว“อยากได้ลูกคืน ไม่มีปัญหา มันก็ต้องดูว่าอ๋องเฉินมีความจริงใจหรือไม่”เงียบไปครู่หนึ่ง“อืม หรือไม่อ๋องเฉินคุกเข่า โขกหัวให้ข้าสามครั้ง ข้าก็คืนลูกให้เจ้า เป็นอย่างไร?”ฉู่เชียนหลีโมโหแล้วด้วยนิสัยที่ยอมหนึ่งก้าว จะเอาสิบก้าวข
“เจ้า!”ฉู่เชียนหลีถูกความเฉยเมยของนางยั่วจนโมโหแล้ว ยิ่งคิดไม่ถึงว่าใต้ฟ้าจะมีแม่ที่ไร้ความรับผิดชอบเช่นนี้มันก็จริงฉู่เจียวเจียวกับเฟิงเจิ้งหลี ถ้าไม่เหมือนกันก็คงอยู่ด้วยกันไม่ได้ ไม่มีอะไรที่พวกเขาสองสามีภรรยาทำไม่ลงรอหลังจากลู่ฉินเติบโต รู้ว่าตัวเองมีแม่เช่นนี้ ไม่รู้ว่าจะเศร้าเพียงใด!“ฉู่เชียนหลี เฟิงเย่เสวียน พวกเจ้าเลิกพูดไร้สาระได้แล้ว รีบปล่อยตัวอ๋องหลี ความอดทนข้ามีขีดจำกัด!” ฉู่เจียวเจียวกล่าวอย่างเย็นชา“จะเอาชีวิตของลูกชาย หรือจะปล่อยคน พวกเจ้าเลือกเอง”อย่างไรนางก็ไม่มีอะไรจะเสียแล้วไม่ดิ้นรน ตายสถานเดียวดิ้นรน เดิมพัน ยังมีโอกาสสายตาเฟิงเย่เสวียนเคร่งขรึมมาก หางตาเหลือบมองหานเฟิง หานเฟิงเข้าใจทันที เขาซ่อนมือไว้ที่หลัง และทำท่าสัญญาณมือไปที่ด้านหลังมือธนูเตรียมพร้อมจู่ๆ ฉู่เจียวเจียวก็กล่าวเสริมอีกประโยคอย่างเย็นชา “พวกเจ้าสามารถลองดูได้ ดูสิว่าการเคลื่อนไหวของพวกเจ้าไว หรือมีดที่อยู่ในมือข้าเร็ว”“ต่อให้ข้าตาย การฆ่าเฟิงเจิ้งจื่อเยี่ยก็ใช้เวลาแค่พริบตาเดียว”ฉู่เชียนหลีสั่งให้มือธนูหยุดทันที “ปล่อยคน!”อย่าทำอะไรบุ่มบ่ามผู้หญิงคนนี้มันเป็นผู
พลันฉู่เชียนหลีแน่นหน้าอก“หยุดนะ…”“อย่าเข้ามา!”ฉู่เจียวเจียวถอยหลังสามก้าว มือซ้ายจับเด็ก มือขวาถือมีดสั้น มีดสั้นที่แวววาวจ่ออยู่บนผิวอันบอบบางของเด็ก กรีดจนรอยเลือดออกแล้วเลือดไหลออกมาแล้ว“จู่ๆ เจ้าก็มาเป็นห่วงข้า และยังพยายามอยากอุ้มลูกทุกวิถีทาง ข้าก็รู้แล้วว่าเจ้าไม่ได้มีเจตนาดี”นางยิ้มอย่างเย็นชา“เหอะ! ดูเหมือนฮ่องเต้ที่แกไม่ตายสักทีนั่นเป็นคนบอกเรื่องนี้กับเจ้าสินะ!”ไอ้แก่ เป็นอัมพาตเฉียบพลันยังไม่ยอมอยู่อย่างสงบเสงี่ยมอีกต่อให้รู้ความจริงแล้วอย่างไร?ชีวิตของเด็กคนนี้อยู่ในมือนาง“ฉู่เชียนหลีนะฉู่เชียนหลี เจ้าคิดอย่างไรก็คงคิดไม่ถึงกระมังว่า เจ้าเลี้ยงลูกสาวข้า ข้าเลี้ยงลูกชายเจ้า และก็ต้องขอบคุณลูกชายคนดีคนนี้ของเจ้า กลายเป็นตัวช่วยที่สำคัญของอ๋องหลี” นางเผยอมุมปาก รอยยิ้มนั้นน่ากลัวมากฉู่เชียนหลียืนตัวแข็งอยู่ตรงที่เดิม ไม่กล้าขยับ“เจ้าต้องการอะไร?”ฉู่เชียนหลีจ้องมีดสั้นในมือนาง กลัวว่านางจะพลั้งเผลอกรีดโดนคอของเด็กตั้งครรภ์สิบเดือนลูกชายเป็นก้อนเนื้อชิ้นหนึ่งที่ตกลงมาจากร่างกายนางนางไม่กล้าเดิมพัน และเดิมพันไม่ไหวฉู่เจียวเจียวกล่าว “ข้าต้องก
กลางดึกกำลังถึงช่วงที่คนเงียบสงบ คนกลุ่มหนึ่งวิ่งไปที่ตำหนักเจาหยางราวกับคลื่นยักษ์ ตอนที่ใกล้จะถึง ฉู่เชียนหลีตวาดสั่งให้พวกเขาหยุด“พวกเจ้าอยู่ห่างๆ อยากเข้าใกล้!”พ่อบ้านหยางกล่าวด้วยความเป็นห่วง “พระชายา พวกเราต้องไปเอาพระนัดดาองค์โตกลับมา นั่นเป็นเลือดเนื้อของท่านกับท่านอ๋องนะ”“ข้ารู้!”ก็เพราะรู้ จึงไม่ให้พวกเขาเข้าใกล้“ไปทำอะไรคนเยอะแยะ ถ้าหากบีบจนฉู่เจียวเจียวไม่มีทางเลือก นางทำอะไรขึ้นมา…”ฉู่เชียนหลีแทบจะเป็นบ้าแล้ว ร้อนรนเหมือนมดที่อยู่บนกระทะร้อน ทั้งร้อนใจทั้งไม่สบายใจ น้ำเสียงก็ค่อนข้างฉุนเฉียวไม่อยากพูดมาก วิ่งเข้าไปในตำหนักเจาหยางเพียงลำพัง คนอื่นรออยู่ที่ข้างนอก ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามภายในตำหนักฉู่เจียวเจียวกำลังกล่อมจื่อเยี่ย ฉู่เจียวเจียวมาแล้ว นางมองเด็กน้อยที่อ้วนสมบูรณ์ กล่าวโดยไม่เงยหน้า“พระชายาอ๋องเฉิน ลูกของข้าเพิ่งนอนหลับ ”โปรดให้อภัย ข้าอุ้มเขาไว้ ร่างกายหนัก ไม่สะดวกลุกขึ้นยืน สายตาฉู่เชียนหลีมองไปที่ตัวเด็กเด็กน้อยอ้วนสมบูรณ์ ใบหน้าจ้ำม่ำ คิ้วละเอียดอ่อน หน้าตาที่น่ารักน่าเอ็นดู คล้ายเฟิงเจิ้งเว่ยซีแปดส่วนเหตุใดเมื่อก่อนนางไม่สังเกต