ฉู่เชียนหลีที่เดิมทีไม่อยากสนใจได้ยิน ก็ควบคุมตัวเองไม่อยู่...ชายหนุ่มคนนี้สมควรตาย!เป็นหวัดแล้วยังไม่ไปนอนห้องข้าง ๆ อีกหรือ? จะต้องนอนกับนาง? ตอนนี้นางกำลังตั้งครรภ์ ถ้าหากเป็นหวัดขึ้นมา จะกินยามั่วซั่วไม่ได้ เขาไม่กลัวจะส่งผลกระทบถึงลูกเลยหรือไง?ในที่สุด ฉู่เชียนหลีก็อดไม่ได้ เอ่ยปากพูดเสียงเบาเป็นการหยั่งเชิงถาม“เจ้า...ไม่สบายหรือ?”ในขณะที่เสียงพูดจบลง เสียงไอของชายหนุ่มก็ไอมากขึ้น ในเวลาเดียวกัน ระหว่างทั้งสองคนก็เงียบขรึมไปหลายวินาทีบนเตียงที่มืดสลัว ไม่เห็นดวงตาดำขลับที่ล้ำลึกของชายหนุ่มตลอดบ่ายกับอีกหนึ่งคืน ในที่สุดนางก็เอ่ยปากพูดกับเขาแล้ว…เขาไม่พูดฉู่เชียนหลีรออยู่ครู่หนึ่ง กัดริมฝีปากล่างเบา ๆ “อยากให้ข้าช่วยจับชีพจรให้เจ้าหรือไม่?”คำตอบที่นางได้รับยังคงเป็นความเงียบสงบ แต่นางรู้ว่า เขายังไม่ได้นอน แล้วก็ไม่สนใจนาง รู้สึกว่ากำลังจงใจปั่นประสาทนางอยู่?โมโหขึ้นมาทันที “เจ้าเป็นใบ้ใช่หรือไม่?”“เจ้าอยากให้ข้าเงียบ ๆ ไม่ใช่หรือ?”ครั้งนี้ ในที่สุดชายหนุ่มก็เอ่ยปากพูดแล้วฉู่เชียนหลี “...”เป็นอย่างที่คิดไว้ เขากำลังผูกพยาบาทวันนี้ตอนที่อยู่จวนอ๋องหลี
ค่ำคืนที่นอนไม่หลับ...เป็นเพราะมีความในใจ ทั้งสองคนนอนเตียงเดียวกัน หายใจรดกัน แต่หัวใจกลับไม่ประสานเข้าด้วยกัน ต่างตนต่างคิดเรื่องของตนเอง ไม่รู้ว่าผ่านไปนานขนาดไหนแล้ว ฉู่เชียนหลีถึงค่อย ๆ หลับไปตอนที่ตื่นขึ้นมา เฟิงเย่เสวียนไม่อยู่แล้ว ข้างกายเย็นเฉียบตั้งนานแล้ว คงจะไปนานมากแล้วน่าจะไปเข้าประชุมสำนักแล้วฉู่เชียนหลีลุกจากเตียง หลังจากล้างหน้าแปรงฟันเสร็จก็นั่งลงกินข้าวเช้า คีบข้าวในถ้วย แต่กลับไม่ค่อยมีความอยากอาหารเท่าไหร่นางกัดตะเกียบ เท้าคาง จ้องมองทิวทัศน์ในฤดูใบไม้ผลิด้านนอกหน้าต่าง รู้สึกน่าเบื่อหน่ายเป็นอย่างมากแล้วก็จิ้มท้อง อยากจะให้เจ้าเด็กน้อยรีบคลอดออกมาไว ๆ เพื่ออยู่เป็นเพื่อนนางเยว่เอ๋อร์จ้องมองข้าวในถ้วยที่กินไปไม่ถึงสองคำของนาง ก็อยากจะให้พระชายากับท่านอ๋องคืนดีกัน จึงเอ่ยปากกล่าวเป็นการลองหยั่งเชิง“พระชายา หรือไม่ก็รอท่านอ๋องเลิกประชุมกลับมากินข้าวด้วยกันหรือไม่?”“...”ฉู่เชียนหลีเม้มปากทันที แม้ว่าจะไม่มีความอยากอาหาร แต่ก็ยังยกถ้วยข้าวขึ้น โกยข้าวสี่ห้าคำอย่างรวดเร็วเยว่เอ๋อร์ “...”อวิ๋นอิง “...”ทั้งสองคนสะอึกไปทันที หางตาเหลือบมองที่ด้านน
“หรือว่าเป็นอ๋องเจวี๋ย?”“เป็นไปไม่ได้เช่นกัน” พระชายาอ๋องเฟิงส่ายหน้า “อ๋องเฟิงกับอ๋องเจวี๋ยสนิทกันมาตลอด เรื่องที่พวกเขาทำข้าก็รู้เพียงบางส่วนเท่านั้น ถ้าหากอ๋องเจวี๋ยอยากจะช่วยเหลือเซียวจือฮว่า รวมหัวกันทำร้ายเจ้า เขาจะต้องลากอ๋องเฟิงไปด้วย”อ๋องเจวี๋ยเองก็เป็นคนฉลาดคนหนึ่ง เขารู้ถึงความแตกต่างระหว่างการทำผิดคนเดียว รับผิดคนเดียว กับการร่วมกันทำความผิด ร่วมกันรับผิดถ้าหากเขาอยากลงมือเพียงลำพัง ก็คงไม่มีทางร่วมมือกับอ๋องเฟิง หลังจากเกิดเรื่องเสาเรือนถล่ม กับเรื่องขององค์หญิงใหญ่หรอกฉู่เชียนหลีขมวดคิ้วถ้าไม่ใช่อ๋องเฟิง แล้วก็ไม่ใช่อ๋องเจวี๋ยด้วยเช่นกัน แล้วจะเป็นใครที่แอบช่วยเหลือเซียวจือฮว่ากันนะ?ยังมีใครที่คิดอยากจะทำร้ายนางอีก?หรือว่านางยังทำให้ใครไม่พอใจอีก?เมื่อพระชายาอ๋องเฟิงเห็นสีหน้าของฉู่เชียนหลี มีคำพูดหลายคำที่กำลังจะพูดออกมา แต่ก็เม้มปากอีกครั้ง ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ถึงได้เอ่ยขึ้น“ที่ข้ามาในวันนี้ อันที่จริงยังมีอีกเรื่องที่อยากบอกเจ้า”“หืม?” ฉู่เชียนหลีหันไปมองนาง เงียบเพื่อรอฟังคำพูดต่อไปจากนี้แต่พระชายาอ๋องเฟิงกลับพูดจามีเงื่อนงำ “เรื่องนี้เกี่ยวข้อ
ในเวลานี้ ระหว่างหุบเขาที่อยู่ห่างออกไปจากเมืองหลวงหลายร้อยเมตร ภูเขาเขียวขจี น้ำใส เทือกเขาที่ทอดยาวต่อกัน ถนนหลวงอันเงียบสงบที่อยู่ท่ามกลางนั้น เส้นทางที่คดเคี้ยว ลมพัดใบไม้ปลิวว่อน แสงแดดที่ตกกระทบเล็กน้อย ทิวทัศน์ธรรมชาติอันงดงาม สวยจนเหนือจินตนาการท่ามกลางต้นไม้ที่ร่มรื่น เสียงฝีเท้าม้าอันแผ่วเบาดังขึ้นกะทันหันกรับ...กรับ ๆ...คนกลุ่มหนึ่งนั่งอยู่บนอานม้า สวมชุดลำลองกำลังเดินทาง ด้านหน้ามีคนสามสี่คนกำลังเปิดทาง ด้านหลังมีสี่คนปิดท้าย คนที่ถูกอารักขาอย่างแน่นหนาอยู่ตรงกลางก็คือเฟิงเย่เสวียนที่นี่ห่างจากเมืองหลวงประมาณร้อยกว่าลี้หานเฟิงกับหานอิ๋งขนาบซ้ายขวา ตั้งแต่ตอนเช้าออกเดินทางจนกระทั่งตอนนี้ นายท่านเอาแต่ขมวดคิ้วแน่น ท่าทางไม่พูดจาสักคำ ราวกับว่ากำลังทุกข์ใจ มีบรรยากาศมืดครึ้มที่รุนแรงแผ่ปกคลุมอยู่บนตัว ทำให้คนไม่กล้าเข้าไปวุ่นวายกองทัพเร่งเดินทางอย่างเงียบ ๆ นอกจากเสียงฝีเท้าม้ากับเสียงลมพัดใบต้นไม้ใบหญ้าแล้ว ก็ไม่มีเสียงอื่นอีก เงียบจนน่าประหลาดใจ ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว...กองทัพหยุดลงหานเฟิงขี่ม้าเดินไปดูที่ด้านหน้า ที่แท้มีทางแยก ไม่รู้ว่าควรจะไปทางไ
อวิ๋นอิงเรียกสายตากลับคืนมา ก้มหน้ากล่าว “พระชายา ข้าอยากติดตามท่าน ท่านปลอดภัยข้าถึงจะวางใจ”“มีเจ้าดำน้อยกับคนอื่นอยู่ด้วย ไม่เกิดเรื่องขึ้นหรอก พวกเจ้าเดินทางไปกันก่อน พลางตามท่านอ๋อง พลางทิ้งสัญลักษณ์เอาไว้ พวกเราจะตามอยู่ด้านหลัง”ด้านนอกรถม้า หมาป่าตัวใหญ่กำลังวิ่งตามกองทัพด้วยอุ้งเท้าอย่างบ้าคลั่ง ราวกับกำลังดีใจอย่างลิงโลด วิ่งไปตรงนั้นที วิ่งไปตรงนี้ที บางครั้งยังแหงนคอ ส่งเสียงหอน ‘บรู้ว’ ที่ทรงอานุภาพอวิ๋นอิงยังอยากปฏิเสธ...“จางเฟย เจ้าพาคนสองสามคนเหลือเอาไว้ อารักขาความปลอดภัยของคุณหนู คนอื่นที่เหลือ ตามข้าไปก่อน” จิ่งอี้กำบังเหียนแน่น ม้ายกเท้าสูง เดินวนอยู่ที่เดิมสองรอบบนหลังม้า ชายหนุ่มกวาดตามองไปทางอวิ๋นอิงด้วยสายตาเย็นชา ยังไม่ทันได้พูดอะไร ก็กำบังเหียนม้าแน่น แล้วเดินไปข้างหน้าอวิ๋นอิงเม้มปาก ถึงแม้ว่าไม่อยากไปเอามากๆ แต่ไม่เชื่อฟังคำสั่งพระชายาก็ไม่ได้ แม้ว่าจะไม่เต็มใจเลยสักนิด แต่ก็ยังตามไปเงียบๆ...ทหารแบ่งแยกเป็นสองทางการให้อวิ๋นอิงกับจิ่งอี้ไปก่อน ฉู่เชียนหลีก็วางใจขึ้นมาได้เล็กน้อย ในมือถือแผนที่ที่ไปหามาจากห้องหนังสือ ด้านบนทำสัญลักษณ์ของตำแหน่งกั
ความมืดคืบคลานเข้ามา หมอกดำสลัว หมู่บ้านในป่าลึกถูกปกคลุมอยู่ท่ามกลางความมืด นอกจากแสงเทียนที่มาจากไม่กี่ครอบครัวแล้ว ก็มีเสียงเห่าของสุนัขสองตัวบ้างเป็นครั้งคราว สงบเงียบเป็นอย่างยิ่งใจกลางหมู่บ้าน ในเรือนที่สร้างขึ้นมาจากไม้และไม้ไผ่หลังหนึ่งชายชรานำฉู่เชียนหลีและคนอื่นๆ เดินเข้ามาในห้อง ทันทีที่เปิดประตู ในบ้าน ก็มีสาวน้อยคนหนึ่งวิ่งออกมา“ท่านพ่อ! ท่านกลับมาแล้ว!”เอ๋?เมื่อได้เห็นคนแปลกหน้ามากมายขนาดนี้อย่างกะทันหัน ก็จ้องมองตาปริบ ๆด้วยความสงสัย ดวงตามองสำรวจ“หวาเอ๋อร์ ไปบอกให้ท่านแม่ของเจ้าทำอาหารให้เยอะอีกหน่อย เพื่อต้อนรับแขกที่เดินทางมาไกล ฮูหยินท่านนี้ เป็นภรรยาของท่านปู่คนนั้นที่มาถึงเมื่อตอนกลางวัน”ฉู่เชียนหลีหันไปมองสาวน้อย ยิ้มด้วยรอยยิ้มอบอุ่น “ว่าไงจ้ะ”“มารบกวนกะทันหัน ถือเป็นการไม่มีมารยาทมาก จึงนำของขวัญเล็กๆ น้อยๆ มาด้วย ถือเป็นน้ำใจเล็กน้อย” นางยกมือขึ้น เยว่เอ๋อร์ก็หิ้วเงินทอง เสื้อผ้าแพรชั้นดีจำนวนเล็กน้อย เพื่อเป็นของขวัญอย่างเข้าใจ อาหวาประคองด้วยมือทั้งสองข้าง เอียงคอ สายตาจ้องมองไปยังฉู่เชียนหลีทั้งสำรวจทั้งสงสัยทั้งแปลกใจคุณชายคนนั้นที
หลังจากกินข้าวเย็นง่ายๆ เรียบร้อยแล้ว ผู้ใหญ่บ้านชายชราที่ต้อนรับอย่างอบอุ่น พาทุกคนไปพักผ่อน จูงม้าออกไปกินหญ้าด้านนอก พวกผู้ชายไปนอนที่บ้านของเพื่อนบ้าน ฉู่เชียนหลีนอนกับลูกสาวของผู้ใหญ่บ้านสิ่งอำนวยความสะดวกในหมู่บ้านมีจำกัด ย่อมเทียบไม่ได้จวนอ๋องเฉิน แต่ห้องของลูกสาวผู้ใหญ่บ้านสะอาดเป็นระเบียบฉู่เชียนหลีนอนลง แต่กลับนอนไม่ค่อยหลับอาหวานอนอยู่ข้างฉู่เชียนหลี กะพริบดวงตาทั้งสองข้างอย่างสงสัย จ้องมองฉู่เชียนหลีตาปริบ ๆ“ท่านเป็นฮูหยินของคุณชายคนนั้นจริงหรือ?”ยังเป็นเรื่องหลอกลวงได้หรือไงฉู่เชียนหลีกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ตอนกินข้าวเมื่อครู่นี้ สาวน้อยคนนี้ก็จ้องตนอยู่เป็นบางครั้ง“เจ้าสงสัยอะไรอย่างนั้นหรือ?”อาหวากัดริมฝีปากล่างเบาๆ ย่อมมีความสงสัย หญิงสาวที่อัปลักษณ์ขนาดนี้ จะเป็นภรรยาของคุณชายคนนั้นได้อย่างไร?หรือว่าคุณชายคนนั้นตาบอดไปแล้ว?นางคิดว่าตนเองหน้าตาดีกว่าฮูหยินคนนี้หลายสิบเท่า ร้อยเท่า...ดึงผ้าห่มพลิกกาย หันหลังให้ฉู่เชียนหลี “ไม่มีอะไร วันพรุ่งนี้การเดินทางเข้าสู่ภูเขายากลำบากมาก ท่านกำลังตั้งครรภ์ น่าจะเดินทางไม่ได้ ถ้าหากท่านอยากตามหาคุณชายท่านนั้นละก็
อาหวาราวกับมีคำว่าทำไมประมาณแสนคำ พูดค่อนข้างมาก ฉู่เชียนหลีไม่อยากสนใจ แต่ถ้าไม่สนใจก็จะเป็นการเสียมารยาทอีก จำต้องตอบคำถามประโยคสองประโยคเป็นครั้งคราว“เขามาหาสมุนไพรอะไร?”“สำคัญมากเลยหรือ?”“ทำไมท่านต้องมาด้วย?”“เรื่องที่ท่านตามมาเขาทราบหรือไม่?”ฉู่เชียนหลี “ข้าเองก็ไม่ทราบเช่นกันว่าเขาต้องการหาสมุนไพรอะไร ย่อมต้องสำคัญมาก ข้าเป็นห่วงว่าเขาจะเจออันตราย ก็เป็นเพราะมีอันตราย เขาถึงไม่ยอมบอกข้า จึงเดินทางมาคนเดียว...”เมื่อตอบคำถามจนเข้าใจแล้วแต่อาหวากลับรู้สึกว่าคำพูดของฉู่เชียนหลีเหมือนกับไม่ได้พูดจะตามหายาอะไร นางก็ไม่รู้การเดินทางของท่านชาย นางก็ไม่รู้เช่นกันไม่รู้อะไรทั้งสิ้นตอนนี้อาหวาสงสัยอย่างรุนแรง ท่านชายคงจะไม่ชอบผู้หญิงคนนี้ แต่ผู้หญิงคนนี้กลับไม่ยอมปล่อยท่านชายคนนั้นไป แม้ว่าท่านชายจะหลบเข้าไปในป่าลึกแล้วก็ตาม นางก็ยังตามมาโดยไม่สนใจอะไรยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกมีเหตุผล...“ฮูหยิน เหมือนว่าทางข้างหน้าจะมีทางแยก” จางเฟยที่เดินอยู่ด้านหน้าจู่ ๆก็หันหน้ามา ตะโกนบอกเจ้าดำน้อยแกว่งศีรษะไปมา วิ่งควบไปข้างหน้าในป่าหญ้ารกทึบ ไม้หนามหนาแน่น มีหญ้าสองทางที่มีรอยถ