นอกประตู หมอหลี่แบกกล่องยาวิ่งมาอย่างเร่งรีบ ไม่ทันได้คำนับ ก็ถูกเฟิงเย่เสวียนกระชากเข้ามา“เร็ว! รีบไปดูพระชายา!”ท่าทางที่ป่วยกระท่อนกระแท่นของนาง ราวกับจะตายแล้ว มันแทงใจเขาหมอหลี่รีบตรวจชีพจรเมื่อจับชีพจร สุขภาพของพระชายาแข็งแรง ลูกก็ค่อนข้างมั่นคง ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงมาก แค่สีหน้าแลดูซีดเซียว จึงกล่าว“ท่านอ๋อง สุขภาพของพระชายาไม่มีปัญหา เกรงว่าเป็นไข้ใจ!”มีปมในใจ หดหู่จมอยู่กับความทุกข์ เป็นโรคที่ไร้ยารักษาบางคนติดอยู่ในปมในใจของตนเอง ไม่สามารถเดินออกมาตลอดชีวิต เหมือนกับติดอยู่บนทางตัน ผอมลงทุกวัน เดินไปสู่ความตายอาการเจ็บไข้ได้ป่วยทรมานของร่างกาย สามารถรักษาแต่บาดแผลทางจิตใจและจิตวิญญาณ หากไม่สามารถปลอบประโลมทันท่วงที ผลที่ตามมาอาจจะร้ายแรงมาก“ท่านอ๋อง ช่วงนี้พระชายามีเรื่องในใจอะไรหรือ? ไข้ใจต้องรักษาด้วยยาใจ ขอแค่สามารถเปิดปมในใจ เดินออกมาได้ทันเวลา ก็ปลอดภัยไร้กังวลแล้วขอรับ”ดวงตาที่มืดมนของเฟิงเย่เสวียนมองไปทางฉู่เชียนหลีนางนั่งเงียบๆ อยู่ตรงนั้น อาเจียนจนสีหน้าซีดขาวราวกับกระดาษ หนังตาหลุบลงเล็กน้อย ไม่มีชีวิตชีวา เหมือนกับสูญเสียจิตวิญญาณทั้งหมดเป็น
เฟิงเย่เสวียนได้ยินแล้ว เงยหน้าขึ้นด้วยความดีใจฉับพลันในที่สุดก็เอ่ยปาก!“ได้ ได้! ออกไป พวกเราออกไปเดี๋ยวนี้!” เขารีบลุกขึ้นยืน กล่าวกำชับอย่างรวดเร็ว “ใครก็ได้ เอาเสื้อกันหนาวของพระชายามา เตรียมรถม้ากับขนมให้พร้อม ไปพักผ่อนแถบชานเมือง!”เยว่เอ๋อร์กับอวิ๋นอิงขานรับอย่างมีความสุข รีบวิ่งออกไปแล้วเฟิงเย่เสวียนดีใจมาก วิ่งออกไปอย่างตื่นเต้น หยิบเสื้อกันหนาวหนาๆ มาสองตัวตอนที่หมอหลี่แบกกล่องยา เตรียมตัวจากไป ฉู่เชียนหลีเรียกเขากะทันหัน“ลูกของข้ามีโอกาสเป็นเด็กพิการหรือ?”เสียงที่มาอย่างกะทันหันของนาง ทำเอาร่างกายหมอหลี่แข็งทื่อ ตกใจจนสีหน้าเปลี่ยน คุกเข่าลงพื้นอย่างขาอ่อนนี่…เขาจะกล้าพูดได้อย่างไร?“พระ พระชายา ท่าน ท่านกำลังพูดอะไร? ข้าน้อยไม่ค่อยเข้าใจ…”ฉู่เชียนหลีอุ้มท้องไว้ เอียงศีรษะ มองเขาด้วยสายตาเรียบเฉย“ข้ารู้เรื่องนี้แล้ว เหตุใดเจ้ายังต้องปิดบังข้า?”“!”หมอหลี่ตกใจจนเกือบเป็นลมพระชายารู้คำพูดเช่นนี้ หากพระชายาไม่พอใจ เด็ดศีรษะของเขา ชีวิตน้อยๆ ของเขาก็รักษาไว้ไม่ได้แล้ว!ตกใจจนรีบกล่าวอธิบาย“พระชายาใจเย็นๆ พระชายาใจเย็นๆ! ท่านอ๋องไม่ให้ข้าบอกท่าน ท่าน
เนื่องจากฉู่เชียนหลีไม่พอใจ ทั้งจวนอ๋องเหมือนถูกเมฆดำปกคลุม บรรยากาศอึดอัด กดดันมาก เหล่าคนรับใช้ทำงานอย่างอกสั่นขวัญแขวน กลัวไม่ระวังจะตกเป็นคนซวยส่วนพระชายาอ๋องเฉินกับท้องของนาง ก็เป็นหัวข้อสนทนาที่คนในเมืองหลวงให้ความสนใจพลันนางไม่พอใจ ข่าวก็แพร่กระจายออกไปแล้วพระชายาอ๋องติ้งกับหลิงเชียนอี้ที่ได้ยินความผิดปกติรีบเดินทางมาทันที พวกเขาเจอกันหน้าประตู เข้าไปเยี่ยมฉู่เชียนหลีด้วยกันเข้าไปในเรือนหานเฟิง ฉู่เชียนหลียังนอนขดตัวหลับอยู่บนเตียง“น้าสะใภ้!”หลิงเชียนอี้วิ่งเข้าไป “น้าสะใภ้ ท่านเป็นอย่างไรบ้างน้าสะใภ้!”ได้ยินมาว่านางนอนมาสองวันหนึ่งคืน ไม่ดื่มแม้แต่น้ำหยดเดียว เขากังวลจนแทบเป็นบ้าถ้าหากน้าสะใภ้เป็นอะไรไป ทิ้งน้าของเขาให้อยู่คนเดียว น้าของเขาจะอยู่อย่างไร!“เสียวฉู่ เจ้าไม่สบายหรือ?” พระชายาอ๋องติ้งรีบใช้หลังมืออังหน้าผากฉู่เชียนหลี ทดสอบอุณหภูมิร่างกาย ทว่าอุณหภูมิร่างกายกลับปกติฉู่เชียนหลียกเปลือกตาที่หนักอึ้งขึ้นอย่างสะลึมสะลือ มองไปทางคนทั้งสองอย่างเกียจคร้าน พยายามฉีกยิ้มจางๆ ที่มุมปาก“ข้าไม่เป็นอะไร…”นอนนานเกินไป บวกกับไม่ได้กินอะไร เสียงจึงแหบมาก เบา
“ท่านอ๋อง อ๋องหลีมาขอรับ” พ่อบ้านเข้ามารายงาน จากนั้นเฟิงเจิ้งหลีที่สีหน้าร้อนใจ เดินเข้ามาอย่างเร่งรีบ“พระชายา!”เขาเดินอย่างรีบร้อน หอบหายใจเล็กน้อย สังเกตเห็นร่างเงาของฉู่เชียนหลีอย่างรวดเร็ว สายตาตกอยู่บนใบหน้าที่ซีดเซียวและเศร้าหมองของนาง ร้อนใจมาก แต่ก็อดกลั้นเอาไว้“อ๋องเฉิน ข้าได้ข่าวว่าพระชายาอ๋องเฉินไม่สบาย ตั้งใจมาเยี่ยม…” เขาลดฝีเท้าให้ช้าลงแล้วเดินเข้ามา สายตากลับมองไปที่ฉู่เชียนหลีตลอด ไม่ละสายตาแม้แต่น้อยทุกคนล้วนมองฉู่เชียนหลีด้วยความเป็นห่วง มีเพียงพระชายาอ๋องเฉินมองอ๋องหลีแวบหนึ่ง สายตาลึกซึ้งแล้วลึกซึ้งอีกครั้งก่อน ในเขตตั้งถิ่นฐานขอทาน อ๋องหลีปรากฏตัวกะทันหัน ช่วยนางแบบเสาบ้านที่ล้มทับลงมาครั้งนี้ ก็รีบร้อนเช่นนี้…นางมองอ๋องหลีด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย แล้วกวาดมองอ๋องเฉินแวบหนึ่ง เม้มปาก ไม่ได้พูดอะไรสักคำฉู่เชียนหลียกดวงตาที่ว่างเปล่าขึ้น มองดูคนมากมายที่อยู่ในห้องเฟิงเย่เสวียน อ๋องหลี พระชายาอ๋องติ้ง หลิงเชียนอี้ เยว่เอ๋อร์ อวิ๋นอิง หานเฟิง…คนเยอะมากพวกเขาทุกคนมองนาง ระมัดระวังมาก มีทั้งอ้อนวอน มีทั้งร้อนใจ ราวกับนางสำคัญมาก แต่นางกลับรู้สึกว่าต
พระชายาอ๋องติ้งรีบประคองฉู่เชียนหลี แล้วรับแก้วน้ำ ป้อนให้ฉู่เชียนหลี ฉู่เชียนหลีจิบติดต่อกันสี่ห้าคำ ท่าทางที่ดูอ่อนแอนั่นจึงจะดูดีขึ้นเล็กน้อย“ลูกทรพี!”“เจ้าลูกทรพี!”เวลานี้ นอกประตู จู่ๆก็มีร่างเงาสายหนึ่งพุ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน และยังมีนางกำนัลสี่คนวิ่งตามอยู่ข้างหลังเมื่อถงเฟยเข้ามา เห็นสภาพที่น่าสังเวชของฉู่เชียนหลี ก็พุ่งเข้าไปคว้าแขนเฟิงเย่เสวียน และยกมือตบหลังเขาอย่างแรงโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง“เจ้ามันลูกทรพี! แม้แต่เมียก็ดูแลไม่ดี ยังจะเก็บเจ้าไว้ทำอะไร!”เพียะๆ!เสียงฝ่ามือดังเพียะๆ ติดต่อกัน ทุกคนตกใจมาก“พระสนม ท่านใจเย็นๆ!” เหล่านางกำนัลตามเข้ามา ห้ามปรามอย่างประหม่า ทั้งสองท่านล้วนเป็นนาย กลัวทั้งสองจะเป็นอะไรไป“ใช่แล้วพระสนมถงเฟย! ท่าน ท่านใจเย็นๆ ท่านอ๋องเขาไม่ได้หลับตานอนสองวันแล้ว!” เยว่เอ๋อร์กับอวิ๋นอิงรีบเกลี้ยกล่อมถงเฟยไม่ฟัง กระชากแขนของเฟิงเย่เสวียน ก็ทุบตีอีกรอบ“โตจนอายุยี่สิบกว่าแล้ว แม้แต่ผู้หญิงก็ดูแลได้ไม่ดี! บัดซบ! ลูกเวร! ถ้าหากเสียวฉู่กับลูกในท้องของนางเป็นอะไร ข้าจะไปกับนาง ข้าก็ไม่อยู่แล้ว!”นางกระชากเฟิงเย่เสวียนไว้ ทั้งตีทั้งด่า โกรธมาก
ถงเฟยหันหน้าไปค้อนเขาทีหนึ่งคนหยาบคาย พูดเรื่องการฆ่าคน แต่นางนับถือศาสนาพุทธ ให้ความสำคัญกับการได้ขึ้นสวรรค์ การกลับชาติมาเกิด ความหมายแบบเดียวกันได้อย่างนั้นหรือ?หลิงเชียนอี้หุบปาก “...”เป็นเขาที่ความรู้ตื้นเขินฉู่เชียนหลีจ้องมอง อดไม่ได้ที่จะส่งเสียงหัวเราะออกมา“พระชายาหัวเราะแล้ว!” เยว่เอ๋อร์กุมปากร้องเสียงแหลม ทุกคนเบิกตากว้างหันไปมองฉู่เชียนหลี “...”รีบเก็บรอยยิ้มจาง ๆ นั้นลงไป การถูกคนหลายคนจับตามอง เหมือนกับว่าเสื้อผ้าถูกถอดออกไปหมด รู้สึกเก้อเขินเล็กน้อย มือทั้งสองข้างจับผ้าห่ม แล้วดึงขึ้น คลุมตัวเองไว้อย่างเอียงอาย“อารมณ์ดีขึ้นมาหน่อยแล้วใช่หรือไม่?” ถงเฟยรีบเอียงศีรษะเข้าไปใกล้“คิดดีแล้วใช่หรือไม่?” พระชายาอ๋องติ้งเองก็รีบเอียงศีรษะเข้าไปใกล้เช่นกัน“ระบายความโมโหในใจออกมา หนทางในอนาคตยังอีกยาวไกล อย่าได้ถูกอุปสรรคเล็ก ๆ น้อย ๆทำให้ท้อใจสิท่านน้าสะใภ้!” หลิงเชียนอี้กำหมัดแน่น กล่าวให้กำลังใจ“พระชายา ท่านทำได้! เมื่อก่อนพวกเราใช้ชีวิตอยู่ในจวนอัครมหาเสนาบดีฉู่อย่างยากลำบาก ยังมีเรื่องอะไรที่ควรค่าแก่การกลัวอีก?” เยว่เอ๋อร์กล่าวออกมาจากใจจริง“พระชายา ในใ
ลูกชั่ว?ถงเฟยเป็นแม่บุญธรรมของเขา เรียกเขาว่า ‘ลูกชาย’ เป็นเรื่องที่สมควร แต่หลิงเชียนอี้เป็นลูกชายของพี่สาวเขา เป็นหลานชายคนเล็กของเขา อยู่ ๆ ก็ข้ามรุ่นมาสองรุ่น คิดจะดูหมิ่นเขา?เฟิงเย่เสวียนหรี่ดวงตาดำขลับที่อันตรายลงช่วงนี้เขาเข้าถึงได้ง่ายจนเกินไปแล้ว?“เจ้าไม่มีขื่อไม่มีแปลแล้วใช่หรือไม่!” ยกมือขึ้น ตบฉาดเข้าไปที่หลิงเชียนอี้ทีหนึ่ง จนหลิงเชียนอี้ตัวหมุนรอบหนึ่งหลิงเชียนอี้กุมหน้า เม้มปาก จ้องมองเขาด้วยความน้อยใจเป็นอย่างยิ่ง“ท่านน้า...”เขาแค่ช่วยระบายความโมโหให้ท่านน้าสะใภ้เท่านั้นฉู่เชียนหลีหัวเราะจนหุบปากไม่ลง เจ้าหลิงเชียนอี้ทะเล้นเกินไปแล้ว ทำให้คนชอบมาก มีเขาคอยกวนใจอยู่ อยากจะเศร้าก็คงเศร้าไม่ได้เมื่อเห็นพวกเขาทะเลาะกัน นางก็หยิบตะเกียบขึ้นมา คีบเต้าหู้ผัดเสฉวนชิ้นหนึ่ง ใส่เข้าไปในปาก แล้วกินข้าวตามไม่ได้กินข้าวมาสองวัน เจริญอาหารดีจริง ๆพวกเขาทะเลาะกันที่ด้านหน้าเตียงถงเฟยชี้ไปที่หลิงเชียนอี้ด้วยสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก “เจ้าเด็กโง่ ยังกล้าแม้แต่ดูหมิ่นท่านน้าของเจ้า ท่านน้าเป็นใคร ในใจของตัวเองไม่ชัดเจนงั้นหรือ? อยากหาเรื่องให้โดนตีใช่หรือไม่?”พ
ทุกคนร่วมแรงร่วมใจกันดึงฉู่เชียนหลีให้ลุกขึ้นมาจากเตียง ฉู่เชียนหลีรู้สึกจนปัญญาเป็นอย่างยิ่ง อันที่จริงนางเองก็ตั้งใจไว้ว่าจะลุกขึ้นมาเดินเสียหน่อยฤดูใบไม้ผลิอันอบอุ่นดอกไม้บานสะพรั่ง ปีใหม่ แสงแดดเจิดจ้า ทุกทีเต็มไปด้วยภาพอันมีชีวิตชีวาฉู่เชียนหลีคลุมเสื้อคลุมเรียบร้อย เดินไปยังด้านในสวน ได้ออกจากเรือนแล้ว“พระชายา ที่อุ่นมือ” เยว่เอ๋อร์ยื่นที่อุ่นมือสิ่งประดิษฐ์ที่อบอุ่น ขนยาวมาให้ฉู่เชียนหลีกอดมันเอาไว้ นำมือทั้งสองข้างใส่เข้าไป อบอุ่นมาก ไม่รู้สึกหนาวเลยสักนิด ลากร่างกายที่ปวดร้าว เดินไปตามทางนอนมานอน ออกมาเดินเล่น กลับรู้สึกสดชื่นมากเมืองหลวงยังไงก็ยังคงเป็นเมืองหลวงเหมือนเดิม ทั้งเจริญรุ่งเรือง ทั้งคึกคัก ผู้คนมากหน้าหลายตาเดินทางสัญจรไปมา ยุ่งกับเรื่องของแต่ละคน ชีวิตที่แตกต่างกันไป แต่มาบรรจบกันที่นี่นางเดินช้ามาก ๆ เดิน ๆ หยุด ๆ ด้านหลัง กลุ่มคนเดินตามติด ๆนางยืนอยู่ที่หัวถนน เห็นพ่อค้ากำลังเข็นรถเข็นเกวียน พลางเดินพลางตะโกนเรียกลูกค้า เห็นหญิงสาวคล้องตะกร้าเดินซื้อผักบนถนน มืออีกข้างหนึ่งจูงมือเด็ก เห็นเด็กผู้หญิงวัยแรกแย้มนัดกันเดินซื้อของ ยังเห็นผู้ชายคนหนึ่
อันธพาลเจ็บจนกรีดร้องเหมือนหมูโดนเชือด “อ๊ะๆ!”ยังไม่ทันได้พักหายใจ ก็โดนถีบจนไปกลิ้งอยู่บนพื้น รองเท้าปักลายดอกไม้เหยียบลงบนหน้าอก หนักจนทำให้เขาหายใจไม่ออก กระอักเลือดออกมา“พู่!”เขากอดต้นขาของอวิ๋นอิง อยากดิ้นให้หลุด แต่หาของอวิ๋นอิงกดทับอยู่บนร่างกายของเขาเหมือนเหล็กกล้า และเขาก็เหมือนกับปลาตัวหนึ่งที่ถูกตอกตะปูอยู่บนเขียง พยายามดิ้นรนอย่างสุดชีวิต แต่ก็ดิ้นไม่หลุดเจอผีแล้ว!ทั้งที่นางผอมเช่นนี้ เหตุใดจึงมีแรงมากเช่นนี้?ผู้หญิงคนนี้ยังเป็นมนุษย์อยู่หรือ?ชาวบ้านก็ตะลึงเช่นกันอวิ๋นอิงอุ้มลูกสาวไว้ด้วยมือข้างเดียว ค่อยๆ ก้มลง ยกฝ่ามืออีกข้าง เหวี่ยงไปที่ใบหน้าของอันธพาลโดยตรง“ข้าสั่งให้เจ้าเก็บ”เพียะ!“ไม่ได้ยินที่ข้าพูดหรือ?”เพียะ!“หูหนวกหรือ?”เพียะ!หนึ่งประโยค หนึ่งฝ่ามือ ตบจนอันธพาลหันซ้ายหันขวา มุมปากแตกมีเลือดไหล หูอื้อ สะบักสะบอมเหมือนสุนัขจรจัดตัวหนึ่ง ไม่หลงเหลือความฮึกเหิมของก่อนหน้านี้เลย“ลูกพี่!”ลิ่วล้อสามคนคว้าโต๊ะเก้าอี้และท่อนไม้ที่อยู่ข้างๆ ฟาดไปทางอวิ๋นอิงอย่างแรงอวิ๋นอิงกระโดนหมุนตัวเตะพวกเขาสามคนจนลอยกระเด็นออกไปไกลเจ็ดแปดเมตร โดยไม่หั
ตงหลิงเจียงหนาน ทำเนียบสามเดือนที่พระชายาจากไป อ๋องเฉินเอาแต่เก็บตัว ไม่ยุ่งเกี่ยวกับทางโลก หานเฟิงต้องรับผิดชอบงานแทนทุกอย่าง เมื่อนานวันเข้า โลกภายนอกต่างกำลังคาดเดา จิตใจของอ๋องเฉินได้รับกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ล้มแล้วลุกไม่ขึ้น เกรงว่าเหลือเวลาอีกไม่นานแล้วช่วงนี้ ในที่สุดอาการบาดเจ็บของจิ่งอี้ก็ดีขึ้นแล้วอาการบาดเจ็บทางกระดูกหรือเส้นเอ็น ต้องรักษาอย่างน้อยหนึ่งร้อยวันในที่สุดกระดูกซี่โครงที่หักสองซี่ก็หายดีแล้ว สามารถขี่ม้าได้แล้ว ตอนนั้นเขาบอกว่าจะนำทัพกลับแคว้นซีอวี้ทันทีแต่ก่อนไป เขาถามเหมือนไม่ใส่ใจ“เหตุใดไม่เจอแม่นางอวิ๋นอิงเลย?”จ้านหูจริงจังขึ้นมาทันที เขาตอบ“องค์ชายใหญ่ ข้าจะส่งคนไปสืบเดี๋ยวนี้!”“ไม่ต้อง”หลังจากปฏิเสธอย่างเฉยเมย ปีนขึ้นหลังม้า ขี่ออกไปคนเดียวแล้วจ้านหู “?”หมายความว่าอย่างไร?ตอนที่องค์ชายใหญ่หมดสติ แม้อวิ๋นอิงบอกว่าไม่สนใจ แต่แอบมาเยี่ยมองค์ชายใหญ่ตอนดึกดื่นเวลาที่ไม่มีคนองค์ชายใหญ่ก็อีกคน ทั้งที่คิดถึงอวิ๋นอิง แต่ไม่ยอมรับในใจของพวกเขาสองคนล้วนมีอีกฝ่าย ลูกสาวก็อายุเกือบครึ่งขวบแล้ว เหตุใดไม่ลองเปิดใจสักนิดแล้วอยู่ด้วยกันเลย
คืนแรกที่มาถึงต่างโลก ฉู่เชียนหลีฝันในความฝัน นางอยู่บนสนามรบ สู้จนตัวตาย เลือดไหลเป็นแม่น้ำ น่าสลดใจนัก…ในความฝัน นางได้ต่อสู้ร่วมกับชายคนหนึ่งที่มองไม่เห็นใบหน้า ร่วมเป็นร่วมตาย และยังมีเสียงที่นุ่มนิ่มของเด็ก เรียก ‘ท่านแม่’ ครั้งแล้วครั้งเล่าในความฝัน ราวกับนางได้รับความอยุติธรรมครั้งใหญ่ หัวใจเจ็บปวด และพยายามอธิบายสุดชีวิต แต่พวกคนที่เรียกตัวเองว่า ‘ครอบครัว’ ไม่เชื่อนาง และยังบีบคั้นนางสู่เส้นทางที่สิ้นหวังในความฝัน…มีคนกำลังเรียกนาง‘เชียนหลี…เชียนหลี…’ฉึก!ฉู่เชียนหลีลืมตาฉับพลัน ท้องฟ้าข้างนอกสว่างแล้ว แสงแดดอุ่นๆ ยามเช้าสาดส่องเข้ามา สามารถมองเห็นการเคลื่อนไหวของอากาศ สงบมากนางรู้สึกเวียนศีรษะ และแน่นหน้าอกราวกับนางอยู่ในความฝันอันยาวนานจริงๆนางได้รับความอยุติธรรมนางถูกคนในครอบครัวฆ่าตายแต่เหตุใดนางจำผู้ชายที่เรียกนาง และภาพที่เรียกนางว่า ‘ท่านแม่’ ไม่ได้เลย“องค์หญิง ท่านตื่นแล้ว”เมื่ออ้ายอ้ายได้ยินเสียง ถือกะละมังน้ำอุ่นกับเครื่องใช้เข้ามาปรนนิบัติฉู่เชียนหลีนวดขมับ อยู่ในอาการเหม่อลอย แขนขาอ่อนแรง ไม่มีแรงขยับ ดึงผ้าห่มออก ลงจากเตียง สวมรองเท้
สาวใช้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็รีบฝนหมึกอย่างเชื่อฟังมองดูองค์หญิงรีบหยิบพู่กัน เขียนอะไรบางอย่าง ท่าทางที่รีบร้อนนั่น เมื่อก่อนเวลาที่นังเป็นห่วงคุณชายเซิ่น ยังไม่รีบร้อนเช่นนี้เลยองค์หญิงกระโดดสระน้ำ หมดสติไปสามวัน หลังจากฟื้น ก็เปลี่ยนไปจากเดิมเล็กน้อย?นิสัยเปลี่ยนไปน้ำเสียงเปลี่ยนไปแต่เมื่อลองตั้งใจมอง องค์หญิงยังคงเป็นองค์หญิง ยังคงเป็นใบหน้าที่คุ้นเคยฉู่เชียนหลีเขียนอย่างรวดเร็ว…อ๋องเฉินเป็นอย่างไรบ้าง ข้าอยู่แคว้นหนานยวน…พลางเขียน พลางกล่าวอย่างรีบร้อน “รีบไปหาคน ช่วยข้าส่งจดหมายฉบับนี้ไปให้อ๋องเฉินที่ตงหลิงเจียงหนาน”นางอยากบอกความจริงกับเฟิงเย่เสวียน ต่อให้ตนลืมแล้ว แต่เฟิงเย่เสวียนจำนางได้เขาจะต้องมาหานางแน่นอนไม่ช้าก็เร็วสักวัน พวกเขาครอบครัวสี่คนจะอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตา“อ๋องเฉินแห่งตงหลิงเจียงหนาน?”สาวใช้เกาศีรษะด้วยความสงสัย “องค์หญิง ท่านส่งจดหมายให้อ๋องเฉินทำไม? ท่านรู้จักอ๋องเฉินตั้งแต่เมื่อไร?”ฉู่เชียนหลีรีบกล่าว“อธิบายกับเจ้าไม่ได้ แต่ความสัมพันธ์ของข้ากับอ๋องเฉินไม่ธรรมดา…อ๋องเฉิน? อ๋องเฉินตงหลิง?”เงยหน้าฉับพลัน“ข้ารู้จักอ๋องเฉ
ทุกคน “...”สีหน้าฮ่องเต้หนานยวนดูไม่ดีนัก เซิ่ยซือเฉินเป็นแค่บัณฑิตคนหนึ่ง เพื่อบัณฑิตคนหนึ่ง ต้องทุ่มสุดตัวเช่นนี้เลย ต้องตื่นเต้นเช่นนี้เลย?ในฐานะองค์หญิง ไม่ควรมองให้ไกลกว่านี้หน่อยหรือ?เพื่อป้องกันจวินลั่วยวนทำร้ายตัวเอง เขาออกคำสั่ง มัดมือและเท้าของนางโดยตรงจวินลั่วยวนขยับไม่ได้แล้วเห็นท่าทางที่จะยิ้มไม่ยิ้มของฉู่เชียนหลี และยังเลิกคิ้วอย่างยั่วยุ นางโมโหจนแทบกัดลิ้นฆ่าตัวตายหลังจากเหตุการณ์ที่วุ่นวาย ไปจากตำหนักองค์หญิงฉู่เชียนหลีกับหลิงอี้ซิงเดินเคียงข้างกันจากไป เมื่ออารมณ์ดี จังหวะการเดินก็ผ่อนคลายเป็นพิเศษ อดไม่ได้ที่จะฮัมเพลงเบาๆฮัมไปฮัมมา จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าหลิงอี้ซิงเป็นผู้มีจิตใจเมตตา อุทิศตนให้กับความดีและคุณธรรมหยุดฝีเท้าหันไปถาม “ท่านพี่ ท่านน่าจะเห็นกระมัง ว่าข้าจงใจรังแกจวินลั่วยวน?”หลิงอี้ซิงเดินตามปกติ สายตามองไปข้างหน้า พยักหน้าอย่างเกียจคร้าน ตอบสั้นๆ เพียงคำเดียว“อืม”“ท่านไม่รู้สึกว่าข้านิสัยไม่ดีหรือ?”เขาหยุดเดินหันมามองนาง กล่าวอย่างจริงจัง “ที่เจ้ารังแกนาง นั่นก็ต้องเป็นเพราะนางล่วงเกินเจ้าก่อนแน่นอน ล้วนเป็นความผิดของนาง”เขาไ
“ยวนเอ๋อร์! ยวนเอ๋อร์!” ฮ่องเต้หนานยวนร้อนใจจนหน้าถอดสี “ใครก็ได้ ใครก็ได้รีบมาเร็ว ยวนเอ๋อร์เสียเลือดมากเกินไป หมดสติไปแล้ว!”จวินลั่วยวนที่ ‘เสียเลือดมากเกินไปจนหมดสติ’ “...”เจ้าน่ะสิที่เสียเลือดมากเกินไปเจ้าเสียเลือดมากเกินไปทั้งครอบครัว!หมอหลวงมาอย่างรวดเร็ว หลังจากทำแผลให้จวินลั่วยวนเสร็จ ถอนหายใจด้วยความกังวล “สามเดือนแล้ว ในที่สุดเอ็นขององค์หญิงก็เชื่อมต่อกัน คิดไม่ถึงว่าขาดอีกแล้ว ความพยายามในช่วงสามเดือนที่ผ่านมาล้วนสูญเปล่า” ต่อจากนี้ก็ต้องใช้เวลาอีกสามเดือน เปิดบาดแผล บำรุงเอ็นทุกวันเมื่อฉู่เชียนหลีได้ยินคำนี้ เบ้าตาแดงฉับพลัน“ล้วนเป็นความผิดของข้า…”นางดึงชายเสื้อของหลิงอี้ซิง กล่าวเสียงสะอึก“ท่านพี่ ข้ามันไม่ดี ต้องเป็นเพราะเรื่องของคุณชายเซิ่นแน่ องค์โกรธข้า ไม่ชอบข้า จึงฟาดมือของตัวเองใส่เสา เพื่อเป็นการแสดงความรังเกียจต่อข้า”“ข้าทำร้ายนาง ฮือๆ…”หลิงอี้ซิงรักน้องสาว ทุกคนในแคว้นหนานยวนรู้เรื่องนี้แล้วฮ่องเต้หนานยวนกล่าวโทษนางได้อย่างไร?กลับกัน เขายังต้องขอร้องหลิงอี้ซิงทักษะการทำนายของหลิงอี้ซิงมีเพียงหนึ่งเดียวในใต้ฟ้า ตลอดหลายปีที่เขานั่งตำแหน
ระหว่างที่ทั้งสองคุยกัน นางค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้เตียง จวินลั่วยวนนอนหลับแล้ว ไม่ได้เคลื่อนไหวเป็นเวลานาน หน้าซีดซูบผอม เหลือแต่หนังหุ้มกระดูกฉู่เชียนหลีเหลือบมองแวบหนึ่ง“เหตุใดข้อมือของนางยังมีเลือด?”สามเดือนแล้ว แผลยังไม่หาย?นางกำนัลที่อยู่ข้างๆ ตอบ“หมอหลวงบอกว่า จะใช้ยาพิเศษรักษาเอ็นมือและเท้าที่ขาดขององค์หญิง จำเป็นต้องเปิดแผล ขยับเอ็นที่ขาดไปรวมกันทุกวัน จนกระทั่งเชื่อมต่อกัน”“ฮืม?”ฉู่เชียนหลีเลิกคิ้วด้วยความสนใจเช่นนี้ก็เท่ากับว่า จวินลั่วยวนต้องทนกับความเจ็บปวดที่ใช้มีดเปิดปากแผลทุกวันติดต่อกันสามเดือนเต็มๆ น่าสังเวชน่าจะเจ็บมากกระมัง?นางค่อยๆ นั่งลง จับข้อมือของจวินลั่วยวนเบาๆ มองผ้าพันแผลที่ถูกพันห้าหกรอบอย่างครุ่นคิดทันใดนั้นออกแรงกดที่นิ้ว“ซี้ด…!”จวินลั่วยวนเจ็บจนตื่น ลืมตาทันทีฉู่เชียนหลีรีบปล่อยมือ “โอ๊ย…ขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจแตะตัวท่าน ดูท่านเจ็บมากเลยนะ ขอโทษจริงๆ”“!”หลินเหยี่ยมาอยู่ในตำหนักของนางได้อย่างไร?นางรังเกียจผู้หญิงคนนี้ที่สุด!อาศัยที่พี่ชายของตัวเองเป็นราชครู แสร้งทำเป็นช่วยเหลือชาวบ้าน ทำแต่ความดีทุกวัน มีแต่คนบอกว่าองค์หญ
เซิ่นสือเฉิน “?”เหตุใดวันนี้รู้สึกว่าหลิงเหยี่ยแปลกๆ?เมื่อก่อนนางชอบเขามากเลยไม่ใช่หรือ? เวลาที่เขาอ่านหนังสือ นางชอบมาอยู่ข้างๆ ฝนหมึกพัดลมให้เขา เวลาที่เขาเขียนหนังสือ นางชอบแอบที่นอกหน้าต่าง จับจิ้งหรีดเล่น เวลาที่เขางีบหลับ นางมักจะชงชาหิมะชั้นดีมาให้เขานางยังบอกว่าจะแต่งงานกับเขาคนเดียวเหตุใดแค่วันเดียว ก็ปล่อยวางได้แล้ว?“องค์หญิงหลิง ข้าขอโทษ” เขากล่าวอย่างรู้สึกผิดที่จริงเขาก็ชอบหลิงเหยี่ยเช่นกัน แต่องค์หญิงยวนบอกเขาว่าหลิงเหยี่ยนิสัยไม่ดี ชอบรังแกคนรับใช้ หาเรื่องชาวบ้าน ใส่ร้ายโยนความผิดให้ผู้อื่นด้วยวิธีที่น่ารังเกียจ และทำทุกอย่างเพื่อบรรลุเป้าหมายเขาเป็นคนเรียนหนังสือ นิสัยซื่อตรง ไม่สามารถยอมรับคนที่จิตใจอำมหิตอย่างหลิงเหยี่ยเมื่อเปรียบเทียบกัน เขาชอบจวินลั่วยวนที่ไร้เดียงสา จิตใจดี และร่าเริงมากกว่า“เมื่อก่อนท่านส่งข้าเรียนหนังสือ ช่วยข้าหาอาจารย์ ใช้เส้นสาย ทำให้ข้าสอบติดขุนนาง…บุญคุณส่วนนี้ ข้า ข้าทำได้เพียงตอบแทนท่านชาติหน้าแล้ว…”ฉู่เชียนหลียิ้มอย่างอ่อนโยน“ไม่เป็นไร แค่เรื่องเล็กน้อย”“ได้ยินมาว่าองค์หญิงยวนได้รับบาดเจ็บ พวกเราเข้าวังไปดูนางกันเ
องค์หญิง?คุณชายเซิ่น?ฉู่เชียนหลีไม่ได้รับความทรงจำใดๆ เพิ่งมาที่นี่ครั้งแรก สับสนและงงงวยเล็กน้อยยังไม่ทันรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น มีเสียงฝีเท้าที่ยุ่งเหยิงและเสียงต่อต้านดังมาจากนอกประตู “ใต้เท้าหลิง! ใต้เท้าหลิง ต่อให้ท่านบีบคั้นข้าจนตาย ข้าก็ไม่แต่งงานกับนาง!”“ตั้งแต่ต้นจนจบ ในใจข้ามีเพียงองค์หญิงยวนเอ๋อร์เท่านั้น!”ยวนเอ๋อร์?องค์หญิง?ฉู่เชียนหลีเงยหน้ามองไป เห็นชายหนุ่มสวมชุดเพ้าสีขาวและที่ครอบผมหยก กำลังลากผู้ชายที่ท่าทางสุภาพเหมือนคนเรียนหนังสือเข้ามานางตระหนักถึงบางอย่าง รีบดึงสาวใช้ที่อยู่ข้างกายมาถามเบาๆ“ที่นี่คือแคว้นหนานยวน?”สาวใช้ “?”องค์หญิงเป็นอะไรไป?เหตุใดถามคำถามเช่นนี้?“องค์หญิง ท่าน…”“อย่าพูดไร้สาระ ตอบข้า!”สาวใช้ตกใจ รีบกล่าว “ท่านคือหลิงเหยี่ย องค์หญิงต่างแซ่ของแคว้นหนานยวน ใต้เท้าคือมหาราชครูของแคว้นหนวนยวน เป็นพี่ชายแท้ๆ ของท่าน เพราะใต้เท้าชำนาญการทำนาย เคยช่วยแคว้นสามครั้ง สร้างคุณประโยชน์มากมาย ท่านจึงได้รับการแต่งตั้งเป็นองค์หญิงต่างแซ่…”คำพูดที่เหลือ ฉู่เชียนหลีมองข้ามโดยตรงสิ่งเดียวที่นางคิดคือ นางถูกส่งมาเป็นองค์หญิงต่างแซ่ อีกท