วิ่งเร็วมากพ่อบ้านเฒ่ายิ้มจนตาหยีเป็นเส้นตรง จนจะมองไม่เห็นแล้ว “ท่านอ๋อง นี่พระชายากำลังอาย”เฟิงเย่เสวียนเลิกคิ้วนางเขินอายเป็น?น่าประหลาดไม่แน่ว่าตอนนี้นางอาจจะกำลังคิดว่าเหตุใดเขาจึงดีต่อนางเช่นนั้น ไม่ใช่ว่าเขาคิดจะทำร้ายนาง เขาต้องมีแผนการร้ายอะไรอย่างแน่นอน...พ่อบ้านเฒ่ากล่าวทันที “เมื่อครู่นี้ตอนที่พระชายาทานอาหาร บ่าวจ้องเจาะจงมองอยู่หลายครั้ง พบว่าพระชายาค่อนข้างชอบทานหมูเส้นผัดเปรี้ยวหวาน ปลาน้ำแดง หัวปลานึ่งราดพริก ยังค่อนข้างชอบทานเผ็ดอีกด้วย พวกน้ำแกงและอาหารพวกผักที่มีรสจืดพวกนั้น นางไม่แตะต้องเลยสักนิด”เฟิงเย่เสวียนกวาดสายตามองพ่อบ้านเฒ่าอย่างค่อนข้างพึงพอใจแวบหนึ่ง พ่อบ้านเฒ่าทำงานจริงจัง ประสิทธิภาพการทำงานสูง ความคิดรอบคอบ ทำงานละเอียดผิดพลาดน้อย จุดนี้ทำให้พอใจมาก“นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป อาหารในเรือของพระชายาจะต้องมีเจ็ดอย่างเป็นอย่างน้อย ทั้งหมดทำตามรสชาติที่นางชอบ”ชายหนุ่มลุกขึ้น เตรียมที่จะออกไป ทันใดนั้น ก็หันหน้ากลับไป“ยังมีอีกเรื่อง กำชับห้องครัว อย่าใส่ต้นหอม นางไม่ชอบ”พ่อบ้านเฒ่าอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มอย่างล้ำลึกพระชายาไม่ชอบกิ
จวนอัครมหาเสนาบดีฉู่ภายในเรือนที่งดงามหลังหนึ่ง แสงแดดในฤดูใบไม้ร่วงไม่ได้ร้อนแผดเผา แต่กลับมีความอบอุ่น เมื่อสาดส่องลงมาที่ตัวก็กำลังพอดี สบายอย่างยิ่งภายในศาลา สองคนแม่ลูกกำลังปอกเปลือกองุ่นด้วยท่าทางสง่างาม โบกพัด เสพสุขกับชีวิตอันสุขสบาย“ท่านแม่ ฉู่เชียนหลีได้รับความโปรดปรานจากอ๋องเฉินแล้ว จะกลับมาหรือ?”ฉู่เจียวเจียวเอ่ยปากถามนางอันกรีดกรายเล็บมือที่เรียวยาวอย่างเกียจคร้าน นิ้วดอกกล้วยไม้[footnoteRef:1]เด็ดองุ่น ค่อย ๆ ปอกเปลือกทีละนิด กล่าวด้วยเสียงไม่พอใจ [1: กระบวนท่าวาดมือไม้ กรีดกรายนิ้วที่อ่อนช้อย] “นางเป็นลูกสาวของข้า ข้าเป็นแม่ของนาง นางไม่เชื่อฟังข้า ทั่วทั้งเมืองหลวงจะได้รู้ว่าพระชายาอ๋องเฉินแต่งงานไปแล้ว ก็ลืมมารดา เป็นลูกอกตัญญู”นางกล้าไม่กลับมา?หึ~“ถ้าไม่ใช่เพื่อเจ้า” นางอันกินองุ่นลงไป เช็ดปลายนิ้วจนสะอาด แล้วใช้นิ้วชี้จิ้มไปที่หน้าผากของฉู่เจียวเจียวแรง ๆ“ถ้าหากเจ้าเชื่อฟังคำของแม่ อยู่ให้ห่างจากอ๋องหลีคนนั้น แม่จะต้องทุกข์ใจเพราะเจ้าขนาดนี้หรือ?”“ชอบใครไม่ชอบ ดันจะไปชอบขยะอย่างอ๋องหลีผู้ไร้อำนาจไร้อิทธิพลคนนั้น ทั้งยังไม่ได้รับความโปรดปรานนั่
ฉู่เชียนหลีเงยหน้าทันที “?”ตรวจตราทางใต้?ให้อ๋องเฉินพาอ๋องหลีไปด้วยนางอันค่อย ๆ เอ่ย “ท่านพ่อของเจ้าเห็นด้วยเรื่องการแต่งงานของเจียวเจียวกับอ๋องหลีแล้ว อีกไม่กี่วันในวังหลวงก็จะมีราชโองการลงมา แต่ว่ามารดาผู้ให้กำเนิดของอ๋องหลีจากไปไว ฝ่าบาทก็ไม่ได้โปรดปรานเขาสักเท่าใด เจ้าให้อ๋องเฉินพาเขาไปด้วยบ่อย ๆ”ฉู่เชียนหลีเข้าใจจุดประสงค์ของนางอันทันทีอ๋องหลีไม่ได้รับความโปรดปราน อ๋องเฉินได้รับความโปรดปรานที่สุด นางต้องการให้อ๋องเฉินสนับสนุนอ๋องหลีนี่จะเป็นไปได้อย่างไร!องค์ชายมากมายขนาดนั้น แต่ราชบัลลังก์มีเพียงแค่หนึ่งเดียว คนที่มีโอกาสเป็นจักรพรรดิที่สุด จะสนับสนุนผู้ที่อ่อนแอที่สุดได้อย่างไร?ทันทีที่อ๋องเฉินทำแบบนี้ ฝ่าบาทก็จะระแวงยิ่งไปกว่านั้น เรื่องนี้เกี่ยวพันกับสมาชิกของราชวงศ์ การแก่งแย่งชิงดีระหว่างองค์ชาย ไม่ได้ง่ายเหมือนการแก่งแย่งชิงดีกันในครอบครัวความคิดของนางอันจะใหญ่โตเกินไปหน่อยแล้ว!ฉู่เชียนหลีปฏิเสธทันที “ท่านแม่ ท่านมองอ๋องเฉินง่ายเกินไปแล้ว เขาเป็นถึงองค์ชาย เป็นไปได้อย่างไรที่จะสนับสนุนองค์ชายองค์อื่น? เรื่องนี้หากจัดการไม่ดี จะพลอยเดือดร้อนข้า เดือดร้อน
น้ำตาไหลออกจากเบ้าตา จ้องมองฉู่เชียนหลีด้วยดวงตาแดงก่ำอย่างเห็นได้ชัด บนใบหน้าเต็มไปด้วยการประณามและน้อยใจ“หากรู้แต่แรกว่าจะเป็นเช่นนี้ ตอนนั้น ข้าตายไปในกองหิมะที่หนาวเหน็บพร้อมกันกับเจ้าเสียดีกว่า จะได้ไม่ต้องรับความไม่ยุติธรามเช่นวันนี้...” นางอันกุมหน้า ร้องได้สะอึกสะอื้น“ชีวิตของข้าลำบากเหลือเกิน...เจ้ามันลูกอกตัญญู...เจ้าเติบโตขึ้นมาได้จากการดื่มเลือดของข้า!”“ท่านแม่...” ฉู่เจียวเจียวกอดท่านแม่เอาไว้ ดวงตาแดงก่ำเช่นเดียวกันฉู่เชียนหลีนั่งตัวแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น เหมือนกับมีก้อนเลือดก้อนหนึ่งอยู่ในลำคอ ติดอยู่ตรงนั้น ออกมาไม่ได้ ลงไปไม่ได้ ติดอยู่ตรงนั้นจนรู้สึกอึดอัดใช่นางเป็นเนื้อก้อนหนึ่งที่ออกมาจากร่างกายของนางอันไม่มีนางอัน นางก็ไม่มีทางเติบใหญ่ได้ไม่ว่านางจะทำอย่างไร บุญคุณที่ให้กำเนิดและเลี้ยงดูมาไม่มีทางตอบแทนได้หมดไปชั่วนิรันดร์...ฉู่เชียนหลีเม้มปาก จ้องมองนางอันที่ร้องไห้อย่างเศร้าโศกไม่หยุด เผยอริมฝีปากออก “ข้า...รับปากท่านก็ได้”นางอันตะลึงงันไปครู่หนึ่ง นางเงยหน้าขึ้นอย่างดีใจ รีบดึงมือทั้งสองข้างของฉู่เชียนหลี“เสียวฉู่ เจ้าตกลงแล้ว?”“เจ้าอย่าโทษท
ฉู่เชียนหลีจับหน้าผาก แล้วนวดคลึงที่บริเวณขมับ “เยว่เอ๋อร์ เจ้ากลับจวนอ๋องเฉินเถอะ ข้าอยากเดินเล่นคนเดียว”เยว่เอ๋อร์เป็นห่วง “พระชายา แต่ว่า...”“ไปเถอะ ข้าโตขนาดนี้ ยังหลงทางได้อีกหรือ?”ฉู่เชียนหลีโบกมือ ไม่รอให้เยว่เอ๋อร์พูดอีก ก็เดินไปแล้วเมืองหลวง คึกคัก คนสัญจรไปมาคนไม่น้อยพากันวิพากษ์วิจารณ์เรื่องเมื่อคืนนี้ของจวนอ๋องมีคนกล่าวว่า อาสะใภ้ของข้าที่ทำงานอยู่จวนอ๋องเล่าว่า ตอนนั้นฮูหยินผู้เฒ่าหวังขาดใจตายไปแล้ว ถูกพระชายาช่วยชีวิตกลับมา ได้ข่าวว่าตอนนางเป็นเด็กเคยถูกคนลึกลับคนหนึ่งช่วยชีวิตเอาไว้ ได้เรียนรู้ฝีมือการรักษาโรคที่ยอดเยี่ยม...”มีคนพูดว่า “ฝีมือการรักษาโรคอะไรกัน ข้าได้ข่าวว่าอันที่จริงเป็นนางที่กุเรื่องขึ้นมาเอง จุดประสงค์ก็เพื่อพิสูจน์ตนเองต่อหน้าของอ๋องเฉิน ก็เพื่ออยากจะแย่งความโปรดปราน”“ข้ายังได้ข่าวมาอีกว่า...”แต่ละคนมีความคิดที่แตกต่างกันออกไปพวกชาวบ้านพากันคาดเดาพร้อมกับจินตนาการ คำที่พูดออกมากลับน่าสนใจฉู่เชียนหลีเดินผ่านกลางฝูงชน เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น จ้องมองผู้คนที่กำลังเดินผ่านไปมามีทั้งผู้หญิงเลี้ยงลูก มีทั้งคู่สามีภรรยาที่เดินซื้อของ
‘ติ่ง’ ในสมัยโบราณบ้าคลั่งกันขนาดนี้เลยเหรอ!บนสนามแข่งขัน ภายใต้แสงแดด บรรดาหนุ่มน้อยแต่ละคนหน้าตาหล่อเหลาแข็งแกร่ง ท่าทางเย่อหยิ่ง หล่อสะดุดตา“ไอ้ลูกหมา กล้าสนใจในตัวของอาเซียง วันนี้ข้าให้เจ้าได้เห็น ว่าอะไรถึงเรียนว่าผู้ชายที่ประสบความสำเร็จ!” หลิงเชียนอี้กุมเชือกบังเหียน พูดกดดัน ใบหน้าที่หล่อเหลาจนถึงขีดสุดทำให้มีเสียงกรีดร้องของหญิงสาวจำนวนนับไม่ถ้วนบนหลังม้าอีกกลุ่มหนึ่ง หยางเหวินเฉิงฉีกยิ้มมุมปากอย่างเยาะหยัน“หลิงเชียนอี้ เจ้าก็แค่อาศัยที่แม่ของเจ้าเป็นองค์หญิงใหญ่ พ่อของเจ้าเป็นท่านโหว ห่างท่านพ่อท่านแม่ไป เจ้าก็ไม่เหลืออะไรแล้ว ยังมีหน้ามาแย่งอาเซียงกับข้าอีกงั้นหรือ?”“ไอ้เด็กเวร!”“เจ้ามันตัวอะไร!”ทั้งสองคนด่ากันไปมาดวงตาทั้งสองคู่ปะทะกันกบางอากาศจนทำให้เกิดประกายไฟที่รุนแรง เสียงดัง‘ซี่ ๆ’ขึ้นทันที ท่าทางสูสีฉู่เชียนหลีสีหน้าตึงเมื่อได้ยินประโยคนี้ ชัดแจ้งว่าทั้งสองคนกำลังแย่งชิง ‘แม่นางอาเซียง’ ผู้นี้อยู่เด็กเหลือขออายุสิบสี่สิบห้าปีสองคน แสดงบทละครตีกัน เพื่อความรัก?อายุที่เพิ่งจะเรียนมัธยมศึกษาปีที่สามจะรู้อะไร ก็มีแต่เรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ ตอนที่นางอา
แควก!เป้ากางเกงขาด...ในเวลาเดียวกัน เสียงโห่ร้องในสนามดังขึ้นทันที“ท่านโหวน้อยชนะแล้ว...!” บรรดาสาวน้อยวัยแรกแย้มจำนวนนับไม่ถ้วนส่งเสียงโห่ร้อง ปรบมือ ประทับใจ พากันมองไปทางชายหนุ่มชุดแดงที่จุดเส้นชัย“ท่านโหวน้อย!”ทันใดนั้น ชายหนุ่มราวกับบุตรสวรรค์โปรด ได้รับการสนับสนุนจากทุกคน แล้วก็จ้องมองหยางเหวินเฉิงที่ยังคงฉีกขาอยู่ในสนามแข่ง...ขาทั้งสองข้างแข็งทื่อราวกับพิการไปแล้ว ขยับไม่ได้ไปทันที“คุณชายหยาง เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?”“เหวินเฉิง!”เพื่อนสนิททั้งสองคนวิ่งเข้ามาหาอย่างรีบร้อน ประคองหยางเหวินเฉิงซ้ายขวาคนละข้าง หยางเหวินเฉิงเจ็บจนหน้าเขียว เงยหน้ามองไป ก็เห็นหลิงเชียนอี้ถูกทุกคนโอบล้อมเอาไว้ มีเสียงโห่ร้องด้วยความดีใจสีหน้าของเขายิ่งหม่นหมองขึ้นทันทีแหวกฝูงชนออก พุ่งตัวเข้าไปหา ตะคอกเสียงดัง“หลิงเชียนอี้ คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะเล่นสกปรกต่อหน้าทุกคน!”หลิงเชียนอี้หันหน้ากลับไปมอง เหลือบตามองอย่างดูถูก เหยียดหยางเหวินเฉิง ไม่แม้กระทั่งจะมองเขาตรง ๆเพื่อนสนิททั้งสามคนข้างกายเขาก้าวไปข้างหน้ามือทั้งสองข้างของตู้หนิงกอดอก เขย่าขาขวา ยิ้มพร้อมพูดเหน็บแนม “แหม เมื่
“ได้!”ฉู่เชียนหลีพูดอย่างหนักแน่น จากนั้นก็หยิบขวดกระเบื้องเล็กสีขาวขวดหนึ่งออกมาจากในแขนเสื้อ เทผงละเอียดลงบนฝ่ามือ“คุณชายหยาง ทุกท่าน ดูให้ดี ม้าตัวนี้เป็นตัวที่ท่านโหวน้อยขี่เมื่อครู่ พวกท่านดูขาด้านหลังทั้งสองข้างของมัน มีความผิดปกติหรือไม่?”ตามเสียงที่จบลงของนาง สายตาทุกคนพากันมองไปขนหน้าแน่นบนขาลูกม้า ตัดแต่งอย่างเป็นระเบียบ ขนแผงคอยาวถูกหวีอย่างดี สวยงามสง่า ไม่มีความผิดปกติใด ๆ ไม่รีบร้อนฉู่เชียนหลีก้าวไปข้างหน้า นำผงยาพิเศษทาลงไปบนขาของม้าปรากฏการณ์ประหลาดปรากฏขึ้น~เห็นว่า ขาหลังด้านขวาที่แต่เดิมมีขนหนาแน่น ค่อย ๆ ปรากฏร่องรอยรูปร่างคดเคี้ยว สามสี่รอยขึ้นมา...“นี่มัน?!”ทุกคนจ้องมองฉากนี้อย่างประหลาดใจฉู่เชียนหลีหยิบแส้ยาวออกมา “นี่คือแส้ยาวที่คุณชายหยางใช้ เมื่อตอนแข่งม้าเมื่อครู่นี้”นางนำแส้พันลงไปบนขาหลังของลูกม้า ตรงกันกับสองรอยพอดี!พอดีแบบไม่มีช่องว่างแม้แต่นิดเดียว!“เป็นเจ้า!”หลิงเชียนอี้เห็นฉากนี้ ก้าวไปข้างหน้าด้วยความโมโห “มิน่าเล่าตอนที่ข้าขี่ม้าเมื่อครู่นี้ จู่ ๆ ด้านหลังก็มีแรงหนึ่งกลุ่มหนึ่ง กระชากจนข้าเกือบจะตกจากหลังม้า ที่แท้เป็นเจ้