จวนอัครมหาเสนาบดีฉู่ภายในเรือนที่งดงามหลังหนึ่ง แสงแดดในฤดูใบไม้ร่วงไม่ได้ร้อนแผดเผา แต่กลับมีความอบอุ่น เมื่อสาดส่องลงมาที่ตัวก็กำลังพอดี สบายอย่างยิ่งภายในศาลา สองคนแม่ลูกกำลังปอกเปลือกองุ่นด้วยท่าทางสง่างาม โบกพัด เสพสุขกับชีวิตอันสุขสบาย“ท่านแม่ ฉู่เชียนหลีได้รับความโปรดปรานจากอ๋องเฉินแล้ว จะกลับมาหรือ?”ฉู่เจียวเจียวเอ่ยปากถามนางอันกรีดกรายเล็บมือที่เรียวยาวอย่างเกียจคร้าน นิ้วดอกกล้วยไม้[footnoteRef:1]เด็ดองุ่น ค่อย ๆ ปอกเปลือกทีละนิด กล่าวด้วยเสียงไม่พอใจ [1: กระบวนท่าวาดมือไม้ กรีดกรายนิ้วที่อ่อนช้อย] “นางเป็นลูกสาวของข้า ข้าเป็นแม่ของนาง นางไม่เชื่อฟังข้า ทั่วทั้งเมืองหลวงจะได้รู้ว่าพระชายาอ๋องเฉินแต่งงานไปแล้ว ก็ลืมมารดา เป็นลูกอกตัญญู”นางกล้าไม่กลับมา?หึ~“ถ้าไม่ใช่เพื่อเจ้า” นางอันกินองุ่นลงไป เช็ดปลายนิ้วจนสะอาด แล้วใช้นิ้วชี้จิ้มไปที่หน้าผากของฉู่เจียวเจียวแรง ๆ“ถ้าหากเจ้าเชื่อฟังคำของแม่ อยู่ให้ห่างจากอ๋องหลีคนนั้น แม่จะต้องทุกข์ใจเพราะเจ้าขนาดนี้หรือ?”“ชอบใครไม่ชอบ ดันจะไปชอบขยะอย่างอ๋องหลีผู้ไร้อำนาจไร้อิทธิพลคนนั้น ทั้งยังไม่ได้รับความโปรดปรานนั่
ฉู่เชียนหลีเงยหน้าทันที “?”ตรวจตราทางใต้?ให้อ๋องเฉินพาอ๋องหลีไปด้วยนางอันค่อย ๆ เอ่ย “ท่านพ่อของเจ้าเห็นด้วยเรื่องการแต่งงานของเจียวเจียวกับอ๋องหลีแล้ว อีกไม่กี่วันในวังหลวงก็จะมีราชโองการลงมา แต่ว่ามารดาผู้ให้กำเนิดของอ๋องหลีจากไปไว ฝ่าบาทก็ไม่ได้โปรดปรานเขาสักเท่าใด เจ้าให้อ๋องเฉินพาเขาไปด้วยบ่อย ๆ”ฉู่เชียนหลีเข้าใจจุดประสงค์ของนางอันทันทีอ๋องหลีไม่ได้รับความโปรดปราน อ๋องเฉินได้รับความโปรดปรานที่สุด นางต้องการให้อ๋องเฉินสนับสนุนอ๋องหลีนี่จะเป็นไปได้อย่างไร!องค์ชายมากมายขนาดนั้น แต่ราชบัลลังก์มีเพียงแค่หนึ่งเดียว คนที่มีโอกาสเป็นจักรพรรดิที่สุด จะสนับสนุนผู้ที่อ่อนแอที่สุดได้อย่างไร?ทันทีที่อ๋องเฉินทำแบบนี้ ฝ่าบาทก็จะระแวงยิ่งไปกว่านั้น เรื่องนี้เกี่ยวพันกับสมาชิกของราชวงศ์ การแก่งแย่งชิงดีระหว่างองค์ชาย ไม่ได้ง่ายเหมือนการแก่งแย่งชิงดีกันในครอบครัวความคิดของนางอันจะใหญ่โตเกินไปหน่อยแล้ว!ฉู่เชียนหลีปฏิเสธทันที “ท่านแม่ ท่านมองอ๋องเฉินง่ายเกินไปแล้ว เขาเป็นถึงองค์ชาย เป็นไปได้อย่างไรที่จะสนับสนุนองค์ชายองค์อื่น? เรื่องนี้หากจัดการไม่ดี จะพลอยเดือดร้อนข้า เดือดร้อน
น้ำตาไหลออกจากเบ้าตา จ้องมองฉู่เชียนหลีด้วยดวงตาแดงก่ำอย่างเห็นได้ชัด บนใบหน้าเต็มไปด้วยการประณามและน้อยใจ“หากรู้แต่แรกว่าจะเป็นเช่นนี้ ตอนนั้น ข้าตายไปในกองหิมะที่หนาวเหน็บพร้อมกันกับเจ้าเสียดีกว่า จะได้ไม่ต้องรับความไม่ยุติธรามเช่นวันนี้...” นางอันกุมหน้า ร้องได้สะอึกสะอื้น“ชีวิตของข้าลำบากเหลือเกิน...เจ้ามันลูกอกตัญญู...เจ้าเติบโตขึ้นมาได้จากการดื่มเลือดของข้า!”“ท่านแม่...” ฉู่เจียวเจียวกอดท่านแม่เอาไว้ ดวงตาแดงก่ำเช่นเดียวกันฉู่เชียนหลีนั่งตัวแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น เหมือนกับมีก้อนเลือดก้อนหนึ่งอยู่ในลำคอ ติดอยู่ตรงนั้น ออกมาไม่ได้ ลงไปไม่ได้ ติดอยู่ตรงนั้นจนรู้สึกอึดอัดใช่นางเป็นเนื้อก้อนหนึ่งที่ออกมาจากร่างกายของนางอันไม่มีนางอัน นางก็ไม่มีทางเติบใหญ่ได้ไม่ว่านางจะทำอย่างไร บุญคุณที่ให้กำเนิดและเลี้ยงดูมาไม่มีทางตอบแทนได้หมดไปชั่วนิรันดร์...ฉู่เชียนหลีเม้มปาก จ้องมองนางอันที่ร้องไห้อย่างเศร้าโศกไม่หยุด เผยอริมฝีปากออก “ข้า...รับปากท่านก็ได้”นางอันตะลึงงันไปครู่หนึ่ง นางเงยหน้าขึ้นอย่างดีใจ รีบดึงมือทั้งสองข้างของฉู่เชียนหลี“เสียวฉู่ เจ้าตกลงแล้ว?”“เจ้าอย่าโทษท
ฉู่เชียนหลีจับหน้าผาก แล้วนวดคลึงที่บริเวณขมับ “เยว่เอ๋อร์ เจ้ากลับจวนอ๋องเฉินเถอะ ข้าอยากเดินเล่นคนเดียว”เยว่เอ๋อร์เป็นห่วง “พระชายา แต่ว่า...”“ไปเถอะ ข้าโตขนาดนี้ ยังหลงทางได้อีกหรือ?”ฉู่เชียนหลีโบกมือ ไม่รอให้เยว่เอ๋อร์พูดอีก ก็เดินไปแล้วเมืองหลวง คึกคัก คนสัญจรไปมาคนไม่น้อยพากันวิพากษ์วิจารณ์เรื่องเมื่อคืนนี้ของจวนอ๋องมีคนกล่าวว่า อาสะใภ้ของข้าที่ทำงานอยู่จวนอ๋องเล่าว่า ตอนนั้นฮูหยินผู้เฒ่าหวังขาดใจตายไปแล้ว ถูกพระชายาช่วยชีวิตกลับมา ได้ข่าวว่าตอนนางเป็นเด็กเคยถูกคนลึกลับคนหนึ่งช่วยชีวิตเอาไว้ ได้เรียนรู้ฝีมือการรักษาโรคที่ยอดเยี่ยม...”มีคนพูดว่า “ฝีมือการรักษาโรคอะไรกัน ข้าได้ข่าวว่าอันที่จริงเป็นนางที่กุเรื่องขึ้นมาเอง จุดประสงค์ก็เพื่อพิสูจน์ตนเองต่อหน้าของอ๋องเฉิน ก็เพื่ออยากจะแย่งความโปรดปราน”“ข้ายังได้ข่าวมาอีกว่า...”แต่ละคนมีความคิดที่แตกต่างกันออกไปพวกชาวบ้านพากันคาดเดาพร้อมกับจินตนาการ คำที่พูดออกมากลับน่าสนใจฉู่เชียนหลีเดินผ่านกลางฝูงชน เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น จ้องมองผู้คนที่กำลังเดินผ่านไปมามีทั้งผู้หญิงเลี้ยงลูก มีทั้งคู่สามีภรรยาที่เดินซื้อของ
‘ติ่ง’ ในสมัยโบราณบ้าคลั่งกันขนาดนี้เลยเหรอ!บนสนามแข่งขัน ภายใต้แสงแดด บรรดาหนุ่มน้อยแต่ละคนหน้าตาหล่อเหลาแข็งแกร่ง ท่าทางเย่อหยิ่ง หล่อสะดุดตา“ไอ้ลูกหมา กล้าสนใจในตัวของอาเซียง วันนี้ข้าให้เจ้าได้เห็น ว่าอะไรถึงเรียนว่าผู้ชายที่ประสบความสำเร็จ!” หลิงเชียนอี้กุมเชือกบังเหียน พูดกดดัน ใบหน้าที่หล่อเหลาจนถึงขีดสุดทำให้มีเสียงกรีดร้องของหญิงสาวจำนวนนับไม่ถ้วนบนหลังม้าอีกกลุ่มหนึ่ง หยางเหวินเฉิงฉีกยิ้มมุมปากอย่างเยาะหยัน“หลิงเชียนอี้ เจ้าก็แค่อาศัยที่แม่ของเจ้าเป็นองค์หญิงใหญ่ พ่อของเจ้าเป็นท่านโหว ห่างท่านพ่อท่านแม่ไป เจ้าก็ไม่เหลืออะไรแล้ว ยังมีหน้ามาแย่งอาเซียงกับข้าอีกงั้นหรือ?”“ไอ้เด็กเวร!”“เจ้ามันตัวอะไร!”ทั้งสองคนด่ากันไปมาดวงตาทั้งสองคู่ปะทะกันกบางอากาศจนทำให้เกิดประกายไฟที่รุนแรง เสียงดัง‘ซี่ ๆ’ขึ้นทันที ท่าทางสูสีฉู่เชียนหลีสีหน้าตึงเมื่อได้ยินประโยคนี้ ชัดแจ้งว่าทั้งสองคนกำลังแย่งชิง ‘แม่นางอาเซียง’ ผู้นี้อยู่เด็กเหลือขออายุสิบสี่สิบห้าปีสองคน แสดงบทละครตีกัน เพื่อความรัก?อายุที่เพิ่งจะเรียนมัธยมศึกษาปีที่สามจะรู้อะไร ก็มีแต่เรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ ตอนที่นางอา
แควก!เป้ากางเกงขาด...ในเวลาเดียวกัน เสียงโห่ร้องในสนามดังขึ้นทันที“ท่านโหวน้อยชนะแล้ว...!” บรรดาสาวน้อยวัยแรกแย้มจำนวนนับไม่ถ้วนส่งเสียงโห่ร้อง ปรบมือ ประทับใจ พากันมองไปทางชายหนุ่มชุดแดงที่จุดเส้นชัย“ท่านโหวน้อย!”ทันใดนั้น ชายหนุ่มราวกับบุตรสวรรค์โปรด ได้รับการสนับสนุนจากทุกคน แล้วก็จ้องมองหยางเหวินเฉิงที่ยังคงฉีกขาอยู่ในสนามแข่ง...ขาทั้งสองข้างแข็งทื่อราวกับพิการไปแล้ว ขยับไม่ได้ไปทันที“คุณชายหยาง เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?”“เหวินเฉิง!”เพื่อนสนิททั้งสองคนวิ่งเข้ามาหาอย่างรีบร้อน ประคองหยางเหวินเฉิงซ้ายขวาคนละข้าง หยางเหวินเฉิงเจ็บจนหน้าเขียว เงยหน้ามองไป ก็เห็นหลิงเชียนอี้ถูกทุกคนโอบล้อมเอาไว้ มีเสียงโห่ร้องด้วยความดีใจสีหน้าของเขายิ่งหม่นหมองขึ้นทันทีแหวกฝูงชนออก พุ่งตัวเข้าไปหา ตะคอกเสียงดัง“หลิงเชียนอี้ คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะเล่นสกปรกต่อหน้าทุกคน!”หลิงเชียนอี้หันหน้ากลับไปมอง เหลือบตามองอย่างดูถูก เหยียดหยางเหวินเฉิง ไม่แม้กระทั่งจะมองเขาตรง ๆเพื่อนสนิททั้งสามคนข้างกายเขาก้าวไปข้างหน้ามือทั้งสองข้างของตู้หนิงกอดอก เขย่าขาขวา ยิ้มพร้อมพูดเหน็บแนม “แหม เมื่
“ได้!”ฉู่เชียนหลีพูดอย่างหนักแน่น จากนั้นก็หยิบขวดกระเบื้องเล็กสีขาวขวดหนึ่งออกมาจากในแขนเสื้อ เทผงละเอียดลงบนฝ่ามือ“คุณชายหยาง ทุกท่าน ดูให้ดี ม้าตัวนี้เป็นตัวที่ท่านโหวน้อยขี่เมื่อครู่ พวกท่านดูขาด้านหลังทั้งสองข้างของมัน มีความผิดปกติหรือไม่?”ตามเสียงที่จบลงของนาง สายตาทุกคนพากันมองไปขนหน้าแน่นบนขาลูกม้า ตัดแต่งอย่างเป็นระเบียบ ขนแผงคอยาวถูกหวีอย่างดี สวยงามสง่า ไม่มีความผิดปกติใด ๆ ไม่รีบร้อนฉู่เชียนหลีก้าวไปข้างหน้า นำผงยาพิเศษทาลงไปบนขาของม้าปรากฏการณ์ประหลาดปรากฏขึ้น~เห็นว่า ขาหลังด้านขวาที่แต่เดิมมีขนหนาแน่น ค่อย ๆ ปรากฏร่องรอยรูปร่างคดเคี้ยว สามสี่รอยขึ้นมา...“นี่มัน?!”ทุกคนจ้องมองฉากนี้อย่างประหลาดใจฉู่เชียนหลีหยิบแส้ยาวออกมา “นี่คือแส้ยาวที่คุณชายหยางใช้ เมื่อตอนแข่งม้าเมื่อครู่นี้”นางนำแส้พันลงไปบนขาหลังของลูกม้า ตรงกันกับสองรอยพอดี!พอดีแบบไม่มีช่องว่างแม้แต่นิดเดียว!“เป็นเจ้า!”หลิงเชียนอี้เห็นฉากนี้ ก้าวไปข้างหน้าด้วยความโมโห “มิน่าเล่าตอนที่ข้าขี่ม้าเมื่อครู่นี้ จู่ ๆ ด้านหลังก็มีแรงหนึ่งกลุ่มหนึ่ง กระชากจนข้าเกือบจะตกจากหลังม้า ที่แท้เป็นเจ้
ทันใดนั้นทิศทางลมก็เปลี่ยน เสียงวิพากษ์วิจารณ์ทั้งหมดย้อนกลับมาทางหยางเหวินเฉิงทั้งเหยียดหยาม ทั้งด่าประจาน ทั้งเย้ยหยัน...“หน้าไม่อาย!”“ก่อนหน้านี้ ข้ายังไม่เชื่อเลยนะ แต่ว่าพระชายาอ๋องเฉินมีฝีมือทางการรักษา เป็นไปไม่ได้ที่จะหลอกลวง ไอ้หยางหน้าด้านหน้าด้านเกินไปแล้ว”“ต่อไป พวกเรารู้จักแค่ท่านโหวน้อย ไม่รู้จักหยางเหวินเฉิงอีกแล้ว!”“ใช่!”บรรดาสาวน้อยวัยแรกแย้มพากันด่าทอหยางเหวินเฉิงอย่างรุนแรง พร้อมทั้งสนับสนุนท่านโหวน้อยหยางเหวินเฉิงเบิกตาด้วยความอึ้งเกิดอะไรขึ้น?ฉู่เชียนหลีอัปลักษณ์ขนาดนี้ ทุกคนไม่ควรเปลี่ยนหัวข้อสนทนา ควรจะโจมตีฉู่เชียนหลีไม่ใช่หรือ?เหตุใดทุกคนจึงหันมาด่าเขาล่ะ?ฉู่เชียนหลียกริมฝีปากขึ้น ส่งเสียงหัวเราะอย่างเย้ยหยันเหน็บแนม บรรดาสาวน้อยกำลังสนใจ ‘รูปโฉมที่สวยงาม’ จะว่างมามองนางที่ไหนกัน? ความคิดชั่ว ๆ ของหยางเหวินเฉิงผิดพลาดแล้ว ยังเข้าตัวเองอีกต่างหากสมน้ำหน้า“คุณชายหยาง ท่านควรคุกเข่าขอโทษท่านโหวน้อยแล้ว” นางยิ้มพูดเตือนสติทุกคนพากันกล่าว “ถูกต้อง!”“คุกเข่าลงไป!”“นี่เป็นสิ่งที่ท่านเป็นคนพูดเอง!”สีหน้าของหยางเหวินเฉิงอึมครึมทันที สีห
ฉู่เชียนหลีจากไปห้าที่หก เจียงเป่ยประกาศหนังสือสงครามต่อเจียงหนาน เนื้อหามีอยู่ว่า คืนองค์หญิงเฟิงเจิ้งลู่ฉินภายในสามวัน ไม่คืนยกทัพบุกโจมตีเหตุผลเห็นสมควรอย่างยิ่งขอลูกสาวของตัวเองคืนหลังจากฉู่เชียนหลีรู้ อารมณ์สับสนอย่างบอกไม่ถูก เพราะนางรู้ว่าเฟิงเจิ้งหลีไม่ได้รักเฟิงเจิ้งลู่ฉิน เขาแค่ต้องการใช้ข้ออ้างขอลูกสาวคืน เพื่อบุกโจมตีเจียงหนาน“พระชายา ทำอย่างไรดี?”อวิ๋นอิงถามพื้นห้องถูกปูด้วยพรมหนาๆ เด็กทั้งสามคนวิ่งเล่นบนนั้น สะดุดล้ม ชนกัน กระแทกกัน ถูกพรมปกป้องอย่างดี ไม่ได้รับบาดเจ็บหลายวันที่อยู่ด้วยกัน เด็กทั้งสามคนคุ้นเคยกันแล้ว และเล่นด้วยกันอย่างมีความสุขเจ้าไล่ข้า ข้าไล่เจ้าคลานไป คลานมาเจ้าแย่งขวดนมของข้า ข้าหยิกหน้าของเจ้า พูดอีอาๆ แม้ไม่มีใครฟังเข้าใจฉู่เชียนหลีนั่งอยู่ที่ข้างโต๊ะ มองไปทางลู่ฉินลู่ฉินคลอดก่อนกำหนด รูปร่างผอมและยังมีโรคหัวใจ เหมือนกับตุ๊กตาที่อ่อนแอตัวหนึ่งเฟิงเจิ้งหลีไม่รักนาง ฉู่เจียวเจียวไม่ชอบนาง ถ้าหากนางกลับเจียงเป่ย ยังไม่รู้ว่าต้องเจอกับอะไร…ขณะที่นางกำลังกังวล ลู่ฉินที่กำลังคลานเล่นเหมือนรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง คลานไปที่ตรงหน้า
เฟิงเจิ้งหลีมาถึงตำหนักของไท่ซ่างหวงเหมือนไท่ซ่างหวงคาดการณ์ไว้นานแล้ว กำลังนั่งพิงบนหัวเตียงรอเขา สายตาของสองพ่อลูกบรรจบกันกลางอากาศเกิดความเงียบขึ้นชั่วพริบตาผ่านไปครู้หนึ่ง เฟิงเจิ้งหลีเดินเข้าไปอย่างเหนื่อยล้า “เหตุใดไม่ไป?”เขาทิ้งร่างกายที่หนักอึ้งนั่งลงไป ระหว่างคิ้วเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า แม้แต่เสียงพูดก็แหบ โดยรวมแล้วดูโทรมมากราวกับบาดเจ็บสาหัสสำหรับเขานั่น ถูกคนที่ชอบและเชื่อใจที่สุดหักหลังและทิ้ง ก็คือการทำร้าย ทิ้ง…เขาเกลียดคำนี้ที่สุดในชีวิตไท่ซ่างหวงมองดูลูกชายที่คล้ายเขาห้าส่วนตรงหน้า และคล้ายมารดาของเขาห้าส่วน พริบตาเดียว ลูกชายก็โตเช่นนี้แล้ว และเขาก็ขาดความรักมากมายเหลือเกินในดวงตาที่ขุ่นมัว เผยให้เห็นความรู้สึกผิดหลายส่วน“ถ้าหากข้าไปแล้ว เจ้าจะไม่เหลือญาติแม้แต่คนเดียว”“!”ร่างกายเฟิงเจิ้งหลีสั่นสะท้าน แผ่นหลังแข็งฉับพลันญาติ…ตั้งแต่เล็กจนโต นี่เป็นครั้งแรกที่ท่านพ่อใช้คำนี้เรียกความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขา“หลีเอ๋อร์ ข้ารู้ หลายปีมานี้ พ่อติดค้างเจ้าเยอะมาก พ่อให้ความสำคัญกับบ้านเมืองจนมองข้ามเจ้า ในใจพ่อรู้สึกผิดนัก” ไท่ซ่างหวงกล่าวอย่า
คืนแรกที่ออกจากเมืองหลวงฉู่เชียนหลีนอนไม่หลับ…เมืองหลวงอันไกลโพ้นที่อยู่อีกฟากของแม่น้ำอูหลาน วังหลวงจุดเทียนสว่างไสวในยามค่ำคืนที่มืดมิด เหล่านางกำนัลถือโคมไฟ ก้มหน้าเดินผ่านยังเงียบๆ ไม่มีใครกล้าพูดมากตำหนักเจาหยางทุกที่มืดมิด ไร้ผู้คน และไม่มีเทียนแม้แต่เล่มเดียว เหมือนกับถูกความมืดกลืนกิน เงียบราวกับดินแดนไร้ผู้คนแต่ท่ามกลางความมืดนั่น กลับมีเสียงหายใจเย็นๆ สายหนึ่งเบาจนแทบไม่ได้ยิน เฟิงเจิ้งหลีนั่งอยู่บนบันได ร่างกายของเขากลมกลืนกับความมืดจนมองเห็นแทบไม่ชัด ดวงตาคู่นั้นฉายแสงในความมืด ราวกับจมอยู่ในเหวลึกอันไร้ที่สิ้นสุดในอดีตที่นี่เคยมีเสียงหัวเราะของเด็กๆ เคยมีรอยยิ้มของนาง ท่าทางที่อ่อนโยนของนาง และเสียงอันนุ่มนวลที่พูดคุยกับเขา ภาพเหล่านั้นเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานทั้งหมดยังคงอยู่ในสมองของเขา ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขาชัดเจนมากตราตรึงมากนางเคยพูด อยู่ข้างกายเขา รู้สึกสบายใจมากนางเคยพูด จื่อเยี่ยชอบเขา นางก็จะดีกับเขานางเคยพูด…คำพูดไพเราะนางเป็นคนพูด เรื่องใจร้ายก็นางเป็นคนทำล้วนเป็นนาง!ฉู่เชียนหลี!โกหกเขาครั้งแล้วครั้งเล่า เขาเชื่อครั้งแล้วครั้
“คุณหนูอย่าคิดมาก แม้องค์หญิงแคว้นหนานยวนท่านนี้น่ารังเกียจไปบ้าง แต่นางทำงานเสร็จ ก็น่าจะกลับแคว้นแล้ว ก็แค่เจอกันชั่วคราว ทำอะไรไม่ได้หรอก” จิ่งอี้กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมฉู่เชียนหลีไม่ได้คิดมากอย่างไรก็ตามผู้ชายอย่างเฟิงเย่เสวียนที่อายุยังน้อย รูปร่างหน้าตาโดดเด่น มีฐานะมีอิทธิพล สมบูรณ์แบบไปเสียทุกอย่าง มีผู้หญิงมากมายชอบก็เป็นเรื่องปกติถ้านางจะถือสา คนมากมายเช่นนั้น จะถือสาไหวได้อย่างไร?นางนึกถึงเรื่องของกู่แพทย์ มองจิ่งอี้อย่างจริงจัง เห็นสีหน้าของเขาค่อนข้างซีดเหมือนคนป่วย ก็รู้แล้วว่าเขากำลังใช้ร่างกายตัวเองเลี้ยงกู้แพทย์“เลี้ยงรอดหรือไม่?” นางถามเบาๆมีการบันทึกในตำราโบราณ กู่แพทย์ชนิดนี้อ่อนแอเลี้ยงยาก เผลอไม่ระวังนิดเดียวก็จะตาย สิ่งที่ทำมาก่อนหน้านี้ก็เปล่าประโยชน์จิ่งอี้หลุบตา เสียงเบามาก“เลี้ยงแล้วสามสิบกว่าตัว ในที่สุดก็เลี้ยงรอดสองตัว…”กู่แพทย์สองตัวนี้ ตอนนี้ถูกเขาเก็บไว้ในหน้าอก พกติดตัวไปทุกที่ ต่อให้เป็นเวลานอน ก็จะนำออกมาดูเป็นระยะกลัวว่าพลั้งเผลอนิดเดียว พวกมันก็จะตายฉู่เชียนหลีเหลือบมอง “อวิ๋นอิงรู้หรือไม่?”“นางไม่รู้ขอรับ คุณหนู อย่าพูดถ
เป็นเด็กผู้หญิงอายุประมาณสิบหกสิบเจ็ดปีใบหน้างดงาม การแต่งกายดูขี้เล่นแต่ยังคงสูงศักดิ์ มัดมวยผมและถักเปียหางม้า ซึ่งบ่งบอกว่านางยังไม่แต่งงาน กระโดดออกมาปรากฏตัว ท่าทางที่สดใสร่าเริงนั่น ทำให้ดูเข้าถึงได้ง่ายมากฉู่เชียนหลีเหลือบมอง“เจ้าคือ…”“ข้าชื่อจวินลั่วยวน เป็นองค์หญิงแคว้นหนานยวน”นางแนะนำตัวเอง เสียงนั่นเหมือนนกขมิ้นที่บินออกจากหุบเขา สดใสไพเราะ“อ๋องเฉินกับฮ่องเต้ตงหลิงสู้กัน เสด็จพ่อให้ข้ามาช่วยอ๋องเฉินที่เจียงหนาน ก็เพราะข้าแทรกแซง ฮ่องเต้ตงหลิงจึงให้ความสำคัญกับศึกเมืองเทียนสู่เป็นพิเศษ และลงสนามรบด้วยตัวเอง”ไม่เช่นนั้น ยังไม่สามารถล่อฮ่องเต้ตงหลิงออกมาได้ล่อเสือออกจากถ้ำ พระชายาอ๋องเฉินจึงสามารถกลับมาอย่างปลอดภัยพูดถึงก็ล้วนเป็นผลงานของนางฉู่เชียนหลีเข้าใจแล้วองค์หญิงของแคว้นหนานยวนท่านนี้ ได้ยินมานานแล้วว่าเป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของฮ่องเต้หนานยวน เป็นแก้วตาดวงใจที่เหมือนไข่มุกงามบนฝ่ามือ ถูกเอาใจใส่อย่างดีตั้งแต่เด็ก“รบกวนองค์หญิงแล้ว” นางพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม ถือเป็นมารยาทจวินลั่วยวนประหลาดใจเล็กน้อย “?”แค่นี้?ไม่มีแล้ว?พูดแค่สี่คำก็แสดงความขอบค
เด็กน้อยที่ดูกลัวๆ ในตอนแรก เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เหมือนกับเจอที่พึ่งพิง เบ้าตาแดงก่ำ มุดเข้าไปในอ้อมแขนของนาง“อุแว้!”ร้องไห้เสียงดังนางกลัวมากแม่ของนางไม่อยู่ นางถูกคนรับใช้โยนไปโยนมา กินไม่อิ่ม นอนไม่หลับ และยังไม่กล้าร้องไห้ เพราะไม่มีใครกล่อมนางอย่างอ่อนโยนและอดทนเหมือนท่านแม่ในที่สุดก็ได้กลิ่นที่คุ้นเคยแล้วไม่สามารถควบคุมความน้อยใจที่กดเอาไว้ได้อีกต่อไป ปล่อยโฮร้องไห้“ฮือๆ…”สองมือจับเสื้อฉู่เชียนหลี มุดเข้าไปในอกของนางก็ร้องไห้อวิ๋นอิงยกมือขวาขึ้น รีบรับรองทันที “พระชายาวางใจได้ ตอนที่ท่านไม่อยู่ พวกเราดูแลลู่ฉินอย่างดี ไม่มีใครรังแกนางแน่นอน นางน่าจะคิดถึงท่านมาก จึงร้องไห้เช่นนี้”“ท่านไม่รู้หรอก แม้ลู่ฉินยังเล็ก แต่นางรู้ว่าใครเป็นใคร นางจะเอาท่านคนเดียว พึ่งพาท่าน คิดถึงท่าน”หัวใจฉู่เชียนหลีละลายตั้งแต่เด็กคนนี้เกิดมา นางเลี้ยงเองกับมือมาโดยตลอด และความเชื่อใจและการพึ่งพาที่เด็กมีต่อนาง ก็คือการตอบแทนที่ดีที่สุด“ไม่ร้องนะ”นางเช็ดน้ำตาเบาๆ “แม่กลับมาแล้ว ต่อไปจะไม่ไปอีกแล้ว”ในเมื่อเฟิงเจิ้งหลีกับฉู่เจียวเจียวไม่เอาเด็กคนนี้ นางเลี้ยงเอง“แม่…”เสียง
ท้ายที่สุดเฟิงเจิ้งหลีก็ไม่ได้ลงมือกองทัพทั้งสองฝ่ายประจันหน้ากันในระยะไกลทั้งเช่นนี้เฟิงเย่เสวียนกอดฉู่เชียนหลีไว้ จับเชือกบังเหียนม้าแน่น ขี่ม้าจากไปเฟิงเจิ้งหลียืนอยู่ที่ข้างแม่น้ำ ร่างกายที่บอบบางถูกลมเย็นพัดจนเสื้อคลุมพลิ้วไหว สีหน้าซีดเผือด แววตาอ่อนล้า มุมปากยังมีคราบเลือด ยืนมองนิ่งๆ ทั้งเช่นนี้…มอง…รอหลังจากขบวนของอ๋องเฉินหายลับตา เขายังคงยืนอยู่ข้างแม่น้ำ เนิ่นนานก็ไม่ขยับสองเท้าหนักเหมือนถูกถ่วงด้วยตะกั่ว สายตามองตรงไปข้างหน้ากลิ่นอายรอบตัวขรึมมาก สีหน้าแยกไม่ออกว่าดีใจหรือโกรธชั่วขณะ ไม่มีใครกล้าเอ่ยปากหรือเข้าไป…เจียงหนาน เมืองน้ำ[1] อากาศเย็นสบาย สภาพแวดล้อมดีมากขบวนตรงไปที่ทำเนียบ“ท่านอ๋องกลับมาแล้ว!”“พระชายา?!”เมื่อคนที่เข้ามาต้อนรับเห็นฉู่เชียนหลี แต่ละคนเบิกตากว้างด้วยความตกใจก่อน แต่หลังจากนั้นก็ดีใจ“พระชายากลับมาแล้ว!”“พระชายากลับมาแล้ว!”เสียงโห่ร้องด้วยความดีใจดังก้องไปทั่วท้องฟ้า จากหนึ่งเป็นสิบ จากสิบเป็นร้อย ข่าวแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็วอวิ๋นอิง จิ่งอี้ เฟิ่งหราน คนมากมายรีบมาไม่เจอครึ่งปี มิตรภาพยังคงอยู่“พระชายา ในที่สุ
แสงแห่งรุ่งอรุณยามเช้าริบหรี่เวลาหนึ่งคืนเดียว เร่งเดินทางจากเมืองหลวงไปยังแม่น้ำอูหลาน ในช่วงที่ฟ้าใกล้สว่าง คนทั้งกลุ่มข้ามแม่น้ำเมื่อเดินไปถึงครึ่งทาง จุดที่ไกลออกไป มีขบวนอีกกลุ่มมุ่งหน้ามาอย่างเร่งรีบราวกับกระแสน้ำ สายลมเย็นยามเช้าพัดผ่าน เหมือนกับทัพใหญ่เข้าใกล้ชายแดน บรรยากาศที่กดดันอบอวลกลางอากาศหานเฟิง “นายท่าน อ๋องหลีมาแล้ว…”ขบวนสองกลุ่ม พบกันที่แม่น้ำอูหลานเฟิงเย่เสวียนอยู่บนสะพานเฟิงเจิ้งหลีอยู่บนฝั่งหยาดน้ำฟ้าตก สายน้ำไหลเชี่ยว สาดซัดเข้าฝั่ง หยดน้ำกระเซ็น ในอากาศเต็มไปด้วยความหนาวเย็น สองพี่น้องยืนสบตากันจากระยะที่ห่างกันหลายเมตรอยู่ไกลเกินไป แทบมองไม่เห็นอะไรเลยแต่ก็เหมือนกับว่าพวกเขามองเห็นอีกฝ่ายอย่างชัดเจน ใช้สายตาประลองกันเงียบๆ“ฝ่าบาท” รองแม่ทัพเอ่ยปาก “นี่คือโอกาสดีในการกำจัดอ๋องเฉิน ถือโอกาสตอนที่พวกเขายังอยู่บนสะพาน พวกเราระเบิดสะพาน ให้พวกเขาตกลงไปในน้ำที่ไหลเชี่ยว ไม่ตายก็เหลือแค่ครึ่งชีวิตแน่นอน!”เขาคิดว่า นี่เป็นวิธีที่เหมาะสมมากอ๋องเฉินข้ามสะพานไปครึ่งหนึ่งแล้ว ต่อให้วิ่งไปอีกฝั่งของแม่น้ำ อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาครึ่งก้านธูปเวลาครึ่ง
“เป็นไปได้อย่างไร?”นางกล่าวด้วยความประหลาดใจ “เมื่อห้าวันก่อน ข้าคุยกับเขาแล้ว และจัดการทุกอย่างไว้ให้เขาแล้ว เขาสามารถออกจากวังอย่างราบรื่น นอกเสียจาก…”จู่ๆ นางก็เข้าใจอะไรบางอย่าง เสียงค่อยๆ เบาลงเฟิงเย่เสวียนกล่าวต่อ“เขาไม่อยากไป”ใช่!ไท่ซ่างหวงไม่อยากไปมีความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียวไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ยังอาลัยอาวรณ์ หรือเพราะสาเหตุอื่น เขาจึงเลือกที่จะอยู่เมืองหลวงแต่ถ้าหากเขาอยู่เมืองหลวง เฟิงเจิ้งหลีต้องหาเรื่องเขาแน่นอนฉู่เชียนหลีเป็นห่วง หลังจากครุ่นคิด ก็เดินออกไปข้างนอกแล้ว“ไม่ได้ ข้าต้องกลับวังหลวง ทิ้งเขาไว้ในเมืองหลวงเพียงลำพังไม่ได้”“ไม่ทันแล้ว”เฟิงเย่เสวียนจับข้อมือของนาง กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “การเคลื่อนไหวเมื่อครู่ทำให้ทุกคนรู้ตัวแล้ว เกรงว่าตอนนี้คนสนิทของเฟิงเย่เสวียนกำลังมา เขาก็อยู่ระหว่างทางกลับเช่นกัน เสียเวลาไม่ได้แล้ว”กำลังหลักของเขาอยู่ที่เจียงหนานไม่เหมาะที่จะอยู่เมืองหลวงนาน ครึ่งปีมานี้ วิธีการของเฟิงเจิ้งหลีเหี้ยมโหด กำจัดพวกต่อต้าน รวบอำนาจเข้าด้วยกัน เมืองหลวงเป็นถิ่นของเขา อยู่ในถิ่นของเขา พวกเขาเป็นฝ่ายที่เสียเปรียบ