ภายในห้องพักผู้พิพากษามีเพียงชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคมคาย ร่างกายหนากำยำภายใต้เชิ้ตสีขาวนั่งอ่านสำนวนคดีที่อยู่ในความรับผิดชอบของตนอยู่บนโต๊ะอยู่ในห้องเพียงลำพัง เมื่อมีเสียงประตูห้องเปิดเข้ามาชายหนุ่มจึงเงยหน้าจากเอกสาร มองชายอายุอานามประมาณสี่สิบกว่าสวมชุดครุยผู้พิพากษาเปิดประตูเข้ามาในห้องพักแล้วจึงเดินไปนั่งยังโต๊ะทำงานของตน
“พี่บอกหลายครั้งแล้วนะคิณณ์ ไอ้อาการเย็นชาไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมเนี่ยให้ลดๆ ซะบ้าง ทุกวันนี้นอกจากพี่แล้วก็ไม่มีใครกล้าคบค้าสมาคมกับแกแล้วนะ เป็นแบบนี้การทำงานมันจะลำบากเอานะ” ณรงค์ผู้พิพากษาซึ่งเป็นทั้งพี่เลี้ยงและผู้พิพากษาบัลลังก์เดียวกับคิณณ์บ่นกับพฤติกรรมของชายหนุ่มที่ไม่เคยจะสนใจอะไร แต่ก็นับว่าดีขึ้นกว่าห้าปีที่แล้วนักที่เขายอมลดความเย็นชาลงและยอมพูดจากับคนแปลกหน้าบ้าง ไม่เช่นนั้นตอนนี้คงไม่มีผู้พิพากษาที่ชื่อคิณณ์ณภัทรมานั่งพิจารณาคดีร่วมกับเขาได้!!! “ผมว่าผมพูดไปมากแล้วนะครับพี่ณรงค์” กล่าวจบก็ก้มหน้าเซ็นเอกสารของตนปล่อยให้คนพูดโมโหอยู่คนเดียว “เออ!!! ใช่ที่นายพูดมากขึ้นน่ะนายพูดถูก แต่ไอ้อาการเย็นชาทำตัวน่ากลัวเมื่อไหร่จะปรับลดให้เป็นผู้เป็นคนเหมือนคนอื่นมากกว่านี้” "ครับพี่" ชายหนุ่มขานรับคำรุ่นพี่อย่างเสียไม่ได้ "ดูมันพูดมากกว่านี้กลัวดอกพิรุณจะร่วงจากปากรึไง" ณรงค์หงุดหงิดกับหนุ่มรุ่นน้องวิชาชีพเดียวกันกับตนนักที่เป็นคนประหยัดถ้อยคำ ถ้าไม่คุยถึงปัญหากฎหมายปรึกษาคดีกันแล้ว อย่าหวังว่ามันจะพูดประโยคยาวๆกับคนอื่นได้ "ครับ ผมจะพยายามเป็นมิตรดับคนอื่นตามที่พี่บอกนะครับ" ปกติเขาก็เป็นคนพูดน้อยอยู่แล้ว แต่เมื่อมาทำงานก็เป็นการบีบบังคับให้เขาพูดมากขึ้น แต่ก็ไม่ได้ทำให้เขาอยากคบหาใครมากยิ่งขึ้นไปด้วย "คิณณ์ วันนี้ไปนั่งกินเหล้าชิวๆ กันที่บาร์ไหม เครียดๆแบบนี้ต้องไปนั่งมองสาวๆแล้วจิบเหล้าไปนี่แหละ" เรื่องแบบนี้ก็ต้องมีกันบ้างล่ะ ผู้พิพากษาก็คนเหมือนกันใช้ชีวิตเหมือนปุถุชนคนธรรมดาที่ต้องมีการสังสรรค์กันบ้าง "เมียพี่?" "เมียฉันก็อยู่บ้านซิวะ จะหิ้วมาทำพระแสงอะไร เดี๋ยวเปลี่ยนจากการนั่งชิวกินเหล้ามองสาวเป็นกินเหล้าอาบเลือดแทน" ดูมันยอกย้อน พูดถึงเมียที่บ้านแล้วก็ขนลุกซู่ด้วยว่าเขาเคยมีประวัติอย่างโชกโชนเมียเขาเลยหวาดระแวงเป็นพิเศษ ถึงแม้ตอนนี้เขาจะแก่แล้วเรื่องแบบนั้นก็เลิกไปแล้วแต่ดูเหมือนว่าเมียเขาจะไม่เลิกจ้องจับผิดเรื่องผู้หญิงตามไปด้วย "พูดอย่างนี้พี่จะหิ้วสาว?" "ไอ้น้องเวรนี่ ฉันมีลูกมีเมียแล้วนะเห้ย น่าซัดสักหมัดจริงเชียว " ก๊อกๆๆๆ เสียงเคาะประตูห้องเหมือนการห้ามปรามเสียงทะเลาะของทั้งคู่ จะเรียกว่าทะเลาะกันก็ไม่เชิงในเมื่อณรงค์เป็นฝ่ายโมโหซะฝ่ายเดียว "น้องคิณณ์ทานอะไรรึยังคะ พี่ซื้อข้าวร้านโปรดของคิณณ์มาให้เลยนะคะ" หญิงสาวร่างเล็กสูง 158 มาตรฐานหญิงไทยก้าวเข้ามาในห้องพลางเดินตรงไปหาชายหนุ่มที่ตนหมายปอง “แหมๆ มีพี่อยู่ตรงนี้ทั้งคน แต่ท่านกุลนันท์บัลลังก์ 10 กลับสนใจซื้อข้าวมาให้แต่เจ้าคิณณ์รึเนี่ย” “พี่ณรงค์ก็หยอกหนูไป เห็นว่าปกติคิณณ์เขาทำงานจนลืมทานข้าวหนูเลยเป็นห่วงซื้อมาฝากน้องเขาเท่านั้นเอง” หญิงสาวเขินอายแก้มแดงเมื่อถูกณรงค์แซวกับการกระทำที่ดูเหมือนว่าจะชอบคิณณ์หนุ่มรุ่นน้องจนออกหน้าออกตา ตั้งแต่ชายหนุ่มมาประจำอยู่ที่ศาลนี้เธอก็ตกหลุมรักในใบหน้าอันหล่อเหลาราวกับนายแบบซึ่งขัดกับลุคผู้พิพากษาทั่วไปที่ถึงแม้จะมีหน้าตาดีแต่ก็ไม่อาจเทียบได้กับความหล่อของคิณณ์ “ไม่เป็นไรครับ ผมจะออกไปทานกับพี่ณรงค์พอดี ไม่รบกวนท่านกุลนันท์ให้คอยเป็นห่วงผม” ชายหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาติดห่างเหิน เมื่อกล่าวจบคิณณ์จึงคว้ากุญแจรถและโทรศัพท์เครื่องหรูใส่กระเป๋ากางเกงแบรนด์เนม แล้วเดินออกไปไม่สนใจใยดีกล่องข้าวที่กุลนันท์ซื้อมาให้เขาแม้แต่น้อย กุลนันท์ถึงกับหน้าม้านน้ำตาเอ่อรื้นขอบตาที่ชายหนุ่มปฏิเสธเธออย่างไม่ไยดีถึงแม้ว่าคิณณ์จะเป็นเช่นนี้มาตลอด 2 ปี ชายหนุ่มรุ่นน้องจะไม่มีท่าทีชอบพอตนแต่ก็รับของที่เธอซื้อมาฝากให้ตลอด การที่ชายหนุ่มปฏิเสธน้ำใจตนขนาดนี้ทำให้เธอเสียใจยิ่งนัก “ไม่เป็นไรนะนันท์ เจ้าคิณณ์ก็เป็นแบบนี้แหละ ใช่ว่าเธอจะพึ่งรู้จักมันเสียเมื่อไหร่ เดี๋ยวพี่ไปกินข้าวกับมันก่อนนะ” ณรงค์พูดปลอบใจกุลนันท์เสร็จจึงรีบเดินตามคิณณ์ออกไป “แกก็ไม่น่าไปปฏิเสธกับนันท์รุนแรงขนาดนี้เลย ไม่คิดจะรักษาน้ำใจเพื่อนร่วมงานบ้างหรือว่ะ” “ตัดไฟแต่ต้นลม” เขารู้ตั้งแต่ที่เข้ามาประจำอยู่ที่ศาลนี้แล้วว่ากุลนันท์ชอบพอเขาเป็นอย่างมาก แต่ที่ผ่านมานานๆครั้งเธอถึงจะซื้อของมาฝากบ้าง เขาก็รับไว้เพื่อไม่ให้เธอเสียน้ำใจ แต่ดูเหมือนว่าพักหลังมานี้เธอจะเทียวไปเทียวมาหาเขาถี่เกินไปนัก ครั้งนี้เขาจึงต้องปฏิเสธเพื่อไม่ให้มีปัญหาเรื่องชู้สาวในภายภาคหน้า “ฉันก็รู้นะว่าความรักมันห้ามกันไม่ได้และบีบบังคับให้รักกันไม่ได้ด้วย แต่ทำไมแกถึงไม่สนใจนันท์เขาว่ะคิณณ์ รูปร่างหน้าตาเธอก็ดีแถมยังเป็นคนเก่งอีกต่างหาก หรือเป็นเพราะว่านันท์เขาแก่กว่าแกห้าปี แกเลยไม่ชอบเขา” เมื่อคิณณ์เดินถึงรถลัมโบร์กีนีคันสีดำซึ่งจะดูเหมือนว่ารถหรูคันนี้จะจอดอยู่ผิดที่ผิดทาง ไม่ใช่ว่าที่จอดรถนี้จะไม่มีรถหรูคันอื่นเสียเลย แต่มีเพียงรถของชายหนุ่มเท่านั้นที่เป็นรถสปอร์ตอยู่คันเดียว คิณณ์เปิดประตูรถเข้าไปแล้วจึงหันไปตอบณรงค์ “เปล่าครับ ถ้าคนมันใช่ต่อให้ไม่ทำอะไรก็เป็นคนที่ใช่อยู่ดี” เมื่อคิณณ์พูดจบภาพของหญิงสาวน้ำตานองหน้าคนหนึ่งก็ลอยเข้ามาในความคิดเขา "แกยังลืมแม่เม็ดทรายไม่ได้อีกหรือว่ะ เรื่องก็ผ่านมาจะสิบปีอยู่แล้ว มันทำให้แกไม่ลืมความเจ็บพอที่จะเริ่มต้นใหม่กับใครได้บ้างรึไง" ณรงค์กล่าวถึงอดีตแฟนสาวของคิณณ์ ตัวเขาเองก็ไม่เคยเจอผู้หญิงคนนี้เพียงแต่เคยได้ยินจากปากรุ่นน้องที่เคยเรียนอยู่ด้วยกันกับคิณณ์เพียงเท่านั้น "มันไม่ใช่ว่าทำใจไม่ได้ แค่ขยาดกับการถูกทรยศหักหลังเท่านั้น อยู่เป็นโสดแบบนี้ก็ดีผมจะทำอะไรไปต่อกับใครก็ได้" “ครับๆๆ พ่อหนุ่มหล่อเลือกได้ แล้วสรุปว่าคืนนี้จะกินไหมล่ะเจ้าคิณณ์” “ครับ เดี๋ยวผมชวนเจษไปด้วย พี่สะดวกใจไหมครับ” นานๆทีเขาจะออกไปสังสรรค์จึงคิดถึงเพื่อนสนิทที่ไม่ได้เจอกันข้างนอกมานาน เจอกันทีก็เจอแต่ในห้องพิจารณาไม่มีโอกาสได้พูดคุยตามประสาเพื่อนสักที “อ่อเจ้าเจษรึ เอาซิชวนมันมากินด้วยกันเลย มีพวกกินเยอะๆสนุกดี” ณรงค์เคยเจอหน้าเพื่อนคนนี้ของคิณณ์อยู่บ่อยครั้ง เพราะส่วนใหญ่แล้วคดีของเจษนั้นเขามักจะเป็นเจ้าของสำนวนจึงรู้จักคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี “เมียอนุญาตแล้ว?” “ยัง ค่อยไปอ้อนขอตอนกลับบ้าน” “ฮึๆๆ” คิณณ์หัวเราะเบาๆอยู่ในลำคอ ขำในความกลัวเมียของรุ่นพี่ตน ชีวิตใครชีวิตมันรับผิดชอบตัวเองไป มนุษย์เราย่อมมีเสรีภาพในการดำเนินชีวิต จะมาถูกจำกัดเพียงเพราะผู้หญิงคนหนึ่งแล้วนั้นเป็นเขาๆก็ไม่ยอมเสียหรอก!!!ภายในห้องพักผู้พิพากษามีเพียงชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคมคาย ร่างกายหนากำยำภายใต้เชิ้ตสีขาวนั่งอ่านสำนวนคดีที่อยู่ในความรับผิดชอบของตนอยู่บนโต๊ะอยู่ในห้องเพียงลำพัง เมื่อมีเสียงประตูห้องเปิดเข้ามาชายหนุ่มจึงเงยหน้าจากเอกสาร มองชายอายุอานามประมาณสี่สิบกว่าสวมชุดครุยผู้พิพากษาเปิดประตูเข้ามาในห้องพักแล้วจึงเดินไปนั่งยังโต๊ะทำงานของตน “พี่บอกหลายครั้งแล้วนะคิณณ์ ไอ้อาการเย็นชาไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมเนี่ยให้ลดๆ ซะบ้าง ทุกวันนี้นอกจากพี่แล้วก็ไม่มีใครกล้าคบค้าสมาคมกับแกแล้วนะ เป็นแบบนี้การทำงานมันจะลำบากเอานะ” ณรงค์ผู้พิพากษาซึ่งเป็นทั้งพี่เลี้ยงและผู้พิพากษาบัลลังก์เดียวกับคิณณ์บ่นกับพฤติกรรมของชายหนุ่มที่ไม่เคยจะสนใจอะไร แต่ก็นับว่าดีขึ้นกว่าห้าปีที่แล้วนักที่เขายอมลดความเย็นชาลงและยอมพูดจากับคนแปลกหน้าบ้าง ไม่เช่นนั้นตอนนี้คงไม่มีผู้พิพากษาที่ชื่อคิณณ์ณภัทรมานั่งพิจารณาคดีร่วมกับเขาได้!!!“ผมว่าผมพูดไปมากแล้วนะครับพี่ณรงค์” กล่าวจบก็ก้มหน้าเซ็นเอกสารของตนปล่อยให้คนพูดโมโหอยู่คนเดียว“เออ!!! ใช่ที่นายพูดมากขึ้นน่ะนายพูดถูก แต่ไอ้อาการเย็นชาทำตัวน่ากลัวเมื่อไหร่จะปรับลดให้เป็
ภายใต้แสงอาทิตย์สีส้มยามพระอาทิตย์อัสดง หญิงสาวผิวขาว ใบหน้าซูบตอบ ดวงตากลมโตยังคงบวมช้ำถึงแม้เวลาจะผ่านมาได้เดือนหนึ่งแล้วก็ตาม เธอก็ยังคงเสียใจกับการโดนทิ้งนั้นอยู่ ลัลน์ซึ่งนอนพักอยู่ในคอนโดของหนูนา สายตาเหม่อยลอยออกไปยังหน้าต่าง จ้องมองแสงอาทิตย์ที่ลาลับขอบฟ้าเห็นเพียงแต่แสงสีส้มด้วยจิตใจเศร้าหมอง เมื่อไหร่กันนะที่เธอจะลืมความรักครั้งนี้ได้คิดแล้วน้ำตาก็เอ่อรื้นที่ขอบตา ก๊อกๆๆๆ เสียงเคาะประตูห้องพลันดึงสติหญิงสาวให้อยู่กับความเป็นจริง แล้วเปล่งเสียงดังเล็กน้อยบอกเพื่อนเธอให้เปิดประตูเข้ามาได้ “ลัลน์จ๋า คืนนี้ไปเปิดหูเปิดตากันหน่อยไหม เขาว่าอกหักต้องใช้เหล้าย้อมใจนะ” หนูนาวิ่งถลามาที่เตียง แล้วเอ่ยปากชวนเพื่อนไปเที่ยวอย่างออดอ้อนพร้อมกับเอาหน้าถือแขนลัลน์พลางทำตาปริบๆ ให้เพื่อนเอ็นดู “พาเพื่อนไปย้อมใจหรืออยากไปเที่ยวเองคะ” ลัลน์พูดดักคอหนูนาอย่างรู้ทัน “ก็แหมม อยากไปเที่ยวด้วยแล้วก็อยากพาลัลน์ไปด้วย นะๆลัลน์นะ ไปด้วยกันนะๆๆ” หนูนาทำหน้าตาอ้อนเพื่อนอย่างสุดฤทธิ์หวังว่าเพื่อนจะใจอ่อนยอมไปเที่ยวกับเธอ ที่ชวนลัลน์ไปนั้นเธอก็ไม่ได้หวังให้เพื่อนเธอเมาหัวราน้ำหรือได้ผู้ชายกลับมาหรอ
ท่ามกลางเสียงเพลงที่ดังกระหึ่ม หญิงสาวร่างกายอ่อนระทวยเคลิบเคลิ้มไปกับจูบแสนหวานที่ชายหนุ่มเป็นคนชักจูง ลัลน์จูบตอบชายหนุ่มอย่างเงอะงะไม่ประสีประสาแต่กลับเป็นฉนวนปลุกเร้าอารมณ์คิณณ์ได้เป็นอย่างดี ร่างกายสาวสั่นสะท้านแขนแกร่งจึงโอบรอบเอวพลางบีบขยำสะโพกประคองไม่ให้ล้มลง มือหนาขยำหน้าอกที่ใหญ่เกินตัวของลัลน์ชายหนุ่มยังคงตักตวงความหวานจากปากหญิงสาว ร่างบางในอ้อมแขนของคิณณ์ไม่อาจปรับลมหายใจให้ทันกับจุมพิตที่ดูดดื่มราวกับดูดชีวิตของตนไปด้วย หญิงสาวจึงส่งเสียงร้องคราง ทุบอกของชายหนุ่มให้ถอนจูบออกไปเสียที“ต่อไหม?” คิณณ์ถามหญิงสาวร่างเล็กตรงหน้าที่ตอนนี้กำลังหอบสูดอากาศหายใจเข้าปอดอย่างเอ็นดู แต่ทว่าชายหนุ่มไม่รอฟังคำตอบของเธอดันร่างหญิงสาวให้เข้าไปในห้องน้ำแล้วล็อกประตูก่อนที่จะตะโบมจูบเธออีกครั้งชายหนุ่มดันร่างลัลน์ชิดกำแพงแล้วสอดลิ้นร้อนเข้ามาสำรวจภายในโพรงปากหวานอีกครั้ง จูบครั้งนี้ร้อนแรงกว่าในตอนแรก ลิ้นหนาสอดเข้ามาในปากลากเลียสำรวจทั่วปากสาว ดูดดุนลิ้นเล็กอย่างแนบแน่นสลับกับการดูดขบริมฝีปาก มือข้างหนึ่งคิณณ์เลื่อนมาปลดสายชุดเดรสที่คล้องคอลัลน์อย่างง่ายดาย ถลกชุดเดรสลงให้กองใต้ราวนม
เสียงสบถของคิณณ์ทำให้หญิงสาวได้สติออกจากภวังค์อันแสนวาบหวาม ผลักชายหนุ่มออกห่างให้พ้นตัว อีกนิดเดียวเธอเกือบมีความสัมพันธ์กับคนแปลกหน้าสะแล้ว ดวงตากลมโตเบิกถลนเมื่อเห็นลำเอ็นเขื่องขนาดใหญ่ที่ดูเหมือนว่าจะใหญ่กว่าข้อมือเสียอีก เขาเป็นลูกครึ่งรึยังไงตรงนั้นถึงได้ใหญ่โตขนาดนี้!!!หญิงสาวพลันเห่อร้อนใบหน้าเมื่อเห็นของสงวนของเขาเต็มตา รีบหันหลังจัดการตนเองให้อยู่ในสภาพเรียบร้อย เมื่อลัลน์หันไปแล้วพบว่าชายหนุ่มได้ยัดเก็บเจ้านั่นแล้ว แต่ทว่าตรงเป้ากางเกงแสล็คนั้นยังคงนูนเด่นชัดอยู่"เอ่อ ขะ ขอโทษด้วยนะคะ จบเรื่องกันเพียงเท่านี้แล้วต่างคนต่างแยกย้ายเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นนะคะ" ก้มหน้าหงุดอย่างสำนึกผิดต่อชายหนุ่มตรงหน้าที่เธอไปลวนลามเขาก่อน รีบจ้ำอ้าวเดินออกไปจากห้องน้ำหลีกหนีให้พ้นสถานการณ์น่าอึดอัดนี้"เดี๋ยว" เสียงเย็นเยียบของชายหนุ่มต่างจากเสียงตอนเขากระเซ้าเย้าแหย่เธอที่ดูจะร้อนแรงอบอุ่นราวกับเปลี่ยนไปคนละคน คิณณ์คว้าข้อมือลัลน์ไว้ คิ้วหนาขมวดเป็นปม สายตาคมกริบจ้องมองดวงหน้าหวานซึ้งอย่างจับผิด"ถะ ถือว่าให้มันจบตรงนี้จะดีกว่านะคะ ถ้าคุณไม่ยินยอมหนูคงได้แต่แจ้งความเอาผิดกับคุณ" เมื่อเ
วันนี้เป็นวันเริ่มฝึกงานวันแรกของลัลน์ ประจวบเหมาะที่พี่ทนายมีคดีที่ศาลในวันนี้ จึงให้เธอติดตามเข้าไปดูการพิจารณาคดีในศาลได้ หญิงสาวตื่นเต้นเป็นอย่างมากเมื่อจะได้เข้าห้องพิจารณาคดี ไปดูการว่าความของทนายว่าแต่ละคนมีชั้นเชิงอย่างไร ฝึกงานตลอด 3 เดือนนี้เธอจะเก็บเกี่ยวประสบการณ์ให้เต็มที่ ไปต่อยอดในการสอบใบอนุญาตทนายความในวันข้างหน้า"ลัลน์ เดี๋ยวหนูเข้าไปบัลลังก์ 3 ขอสำนวนมาจากหน้าบัลลังก์แล้วรอพี่ข้างในก่อน พี่ไปยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีก่อน เดี๋ยวพี่มา" เจษฎาหันมาชี้แจ้งงานหญิงสาวพยักหน้าตอบรับ ก่อนที่เขานั้นจะเดินไปอีกบัลลังก์ 5 ซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่งของชั้นหญิงสาวรับคำแล้วจึงเดินเข้าไปไหว้สวัสดีเจ้าหน้าที่สาวหน้าบัลลังก์ขอสำนวนคดีของพี่ทนายมาไว้ที่ตน ก่อนที่จะไปนั่งอยู่ที่เก้าอี้ทางด้านหลัง ซึ่งจัดไว้สำหรับคู่ความที่มาศาล ก่อนขึ้นมาพี่เจษชี้ให้เธอดูตารางนัดความที่แสดงรายการคดีของวันนี้ทั้งหมด ห้องพิจารณา รวมทั้งผู้พิพากษาเจ้าของคดี เห็นว่าคดีในวันนี้ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนจะเป็นของท่านคิณณ์ณภัทร ที่เธอเคยได้ยินจากพี่ทนายในสำนักงานช่วงที่เธอขอไปติดต่อฝึกงานถึงสมญานามความเฮี้ยบและน่ากลัว
"ลัลน์ให้เราไปส่งที่หอดีกว่าไหม นี่ก็ดึกมากแล้วหนูนาเป็นห่วงไม่อยากให้ลัลน์นั่งแท็กซี่กลับคนเดียว" หนูนาเอ่ยอย่างกระเง้ากระงอด กินข้าวเสร็จแล้วแทนที่ลัลน์จะกลับไปด้วยกันกับเธอ แต่เธอกลับเกรงใจเลือกที่จะนั่งรถไปเอง"ไม่เป็นไรหรอกหนูนา หอเราอยู่คนละเส้นกับคอนโดหนูนาเลยนะ ลัลน์ไม่อยากให้หนูนาวนไปมา มันดึกมากแล้วด้วย""แค่ไม่กี่กิโลเอง ลัลน์ไปกับเรานะ""ลัลน์กลับเองได้จริงๆ หนูนาไม่ต้องเป็นห่วง ถึงหอแล้วเดี๋ยวลัลน์ส่งข้อความบอกนะ" เมื่อหนูนาเห็นท่าทีเพื่อนเธอไม่ยอมกลับกับตนเป็นแน่ จึงยอมแพ้ทิ้งเพื่อนไว้ที่สถานีให้โบกรถกลับหอพักเอง"ถึงแล้ว อย่าลืมส่งข้อความมานะ" "ค่าาา คุณหนูนาจะไม่ลืมเป็นอันขาด ขับรถกลับดีๆนะ"หนูนาได้ยินเพื่อนตกปากรับคำจึงขับรถกลับคอนโดตัวเอง ลัลน์มักเป็นอย่างนี้ขี้เกรงใจเสมอกับคนอื่นน่ะไม่เท่าไหร่ แต่กับเธอซึ่งเป็นเพื่อนกันมาจะ 4 ปีแล้วยังต้องมาเกรงอกเกรงใจกันอีกหญิงสาวนั่งรอรถแท็กซี่เป็นเวลานานก็ไม่มีรถคันไหนจอดให้เธอ จนกระทั่งลมเริ่มพัดแรงพาไอฝนมาจนเธอรู้สึกได้'รู้อย่างนี้ไปกับหนูนาดีกว่า ดูท่าวันนี้จะเปียกฝนก่อนกลับถึงหอแน่เลย' ลัลน์พึมพำในใจ มองท้องฟ้าท
ท่ามกลางท้องฟ้าดำมืดอึมครึมไร้แสงจันทรา สายฝนที่โหมกระหน่ำ ส่งผลต่อทัศนวิสัยในการมองเห็นทาง มีเพียงแสงไฟตลอดสองข้างทางที่พอให้ความสว่างในยามราตรีนี้ได้ แต่ก็ไม่อาจทำให้รถหรูของชายหนุ่มขับเคลื่อนไปได้ไวมากนัก ภายในมีเสียงเพลงเปิดคลอเบาระหว่างทางพอให้บรรยากาศไม่เงียบเหงาจนเกินไป"หออยู่แถวไหน" ชายหนุ่มปรายตาหันมาถามหญิงสาวข้างกายที่ตอนนี้จะหนาวจนตัวสั่นงันงก ริมฝีปากอวบอิ่มขบเม้มเข้าหากันจนไม่ปรากฏสีเลือด สองแขนโอบกอดให้ความอบอุ่นตัวเอง คิณณ์จึงเลื่อนมือไปเปิดฮีตเตอร์ให้สาวน้อยคลายความหนาว"อยู่แถวมหาลัย VRB ค่ะ""อืม อยู่ไกลที่ฝึกงานพอควร""ยังไม่อยากคืนห้องค่ะ เดี๋ยวต้องไปสอบก่อนทำเรื่องจบด้วย เลยต้องทนนั่งรถไกลสักหน่อยค่ะ" เสียงใสเอ่ยบอกเขา"อืม" เขาครางรับในลำคอ แต่ก็ไม่ได้เอ่ยปากถามหญิงสาวต่อไป"แล้วคุณอยู่แถวไหนหรือคะ" "อยู่แถวนี้นั่นล่ะ" คิณณ์ตอบเธออย่างคลุมเครือ จ้องมองทางข้างหน้าอย่างไม่สนใจหญิงสาว เธอคิดว่าเขาคงอยากมีความเป็นส่วนตัวไม่อยากบอกที่พักให้คนอื่นรู้จึงไม่ได้ถามอะไรชายหนุ่มอีกต่อไปภายในรถหรูเงียบไร้บทสนทนา หญิงสาวเหลือบมองคิณณ์อย่างอดเสียไม่ได้ ใบหน้าหล่อค
หญิงสาวลงจากรถหรูเดินไปตามทางอย่างงุนงง เธอไม่ได้ตาฝาดไปใช่ไหมที่เขาส่งยิ้มอ่อนโยนมาให้เธอ หญิงสาวยังคงไม่อยากเชื่อสายตาของตนเมื่อเสือยิ้มยากอย่างคิณณ์ส่งยิ้มมาให้เธอลัลน์เดินไปเรื่อยๆจนกระทั่งถึงตึกสำนักงาน แต่ดูเหมือนว่าเธอจะมาเช้าเกินไปยังคงไม่มีใครมาไขกุญแจเปิดประตูให้เธอ หญิงสาวหย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้รอพี่ๆมาทำงาน คำถามมากมายผุดพรายเข้ามาในหัวสรุปแล้วคิณณ์จีบเธอใช่หรือไม่ เพียงแต่เขาไม่ได้เอ่ยปากเธอจึงไม่กล้าคิดความสัมพันธ์นี้ไปไกล ไม่ว่าจะฐานะทางสังคมหรือหน้าตาเธอนั้นก็ไม่ควรกันกับเขา ก่อนที่เธอจะคิดฟุ้งซ่านไปไกลกว่านี้ลัลน์เอามือตบแก้มสองข้างเบาๆ เรียกสติของตนให้อยู่กับความเป็นจริงในปัจจุบัน"น้องลัลน์มาเช้าจังเลยคะวันนี้หรือเมื่อคืนนี้นอนไม่หลับกลุ้มใจอยากเปลี่ยนสำนักงานแล้ว" หญิงสาวรุ่นพี่ในสำนักงานเอ่ยสัพยอกนักศึกษาสาวตรงหน้า"พี่นกก็เย้าหนูไปเมื่อคืนลัลน์นอนหลับสบายดีค่ะเลยตื่นเช้า ไม่รู้ว่าจะทำอะไรเลยมาสำนักงานเลยค่ะ" ลัลน์เอ่ยตอบเนตรนภาอย่างกลั้วหัวเราะในความช่างหยอกของพี่เขา ทำให้เธอไม่รู้สึกเกร็งและกดดันมากนัก"อ่ะนี่ ลองเอาสำนวนไปอ่านก่อนว่าเขาร่างฟ้องกันยังไง ใช
“พร้อมจะเป็นเมียพี่รึยังครับ?” เสียงทุ้มเสียงแตกพร่าตามความต้องการที่ดูเหมือนจะพุ่งทะยานสูงยิ่งขึ้น สายตาคมจับจ้องใบหน้าหวานหยาดเยิ้มพลางปลดเปลื้องเสื้อผ้าของตนให้พ้นทาง ท่อนเอ็นลำใหญ่ดีดผึงออกมาชี้หน้าประกาศศักดาตน ลัลน์เบิกตาโพลงกลืนน้ำลายดังเอื้อกจ้องมองลำเอ็นเขาที่ชี้หน้าเธออย่างหวาดหวั่น ถึงแม้ว่าครั้งนี้จะไม่ใช่ครั้งแรกของเธอแต่เมื่อมองขนาดของมันแล้ว ความรู้สึกเจ็บจี๊ดแล่นสู่ปลายประสาททั่วกาย ไม่ว่าจะพบเห็นสักกี่ทีเธอก็ไม่อาจชินกับขนาดใหญ่โตนี้ได้ ชายหนุ่มช้อนตัวอุ้มหญิงสาวไว้แนบอกก่อนจะค่อยๆวางร่างบางลงบนเตียง เมื่อแผ่นหลังบางสัมผัสได้ที่นอนความกลัวในจิตใจแล่นปาดเข้ามาอย่างไม่อาจต้านทาน ถามว่าเธอรักเขาไหม เธอตอบได้ตรงนี้เลยว่าใช่แต่เธอก็กลัวท่อนเอ็นที่ใหญ่ยาวเกินไปเช่นเดียวกัน “หนูยังกลัวมันอยู่อีกเหรอ” คิณณ์ถามกลั้วน้ำเสียงหัวเราะ มองหญิงสาวอย่างเอ็นดูในความขี้ขลาดของเธอ เขายอมให้เธอได้ทุกเรื่องยกเว้นเรื่องนี้ หากเธอร้องขอเขาให้หยุดเขาจะไม่มีวันหยุดทำรักกับเธอเด็ดขาด “มันใหญ่เกินไป” หญิงสาวกลั้นใจตอบเสียงแผ่วเบา เธอไม่ได้เคยเห็นมันครั้งแรกอี
หลังจากงอนอยู่นาน นางเอกก็รู้สึกเหนื่อยเกินจะทนต่อความพยายามของชายหนุ่มที่ยืนโน้มน้าวอย่างไม่หยุดหย่อน ดวงตาอ่อนโยนของเขาที่มองมาเต็มไปด้วยความจริงใจ รอยยิ้มอบอุ่นที่แฝงความรู้สึกผิดค่อยๆ คลายปมในใจของเธอทีละน้อย"ถ้าหนูยังงอนพี่ พี่ง้อหนูจนถึงพรุ่งนี้เช้าได้เลยนะ" ริมฝีปากหนากระตุกยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ ราวกับกำลังท้าทายให้เธอลองใจแข็งต่ออีกหน่อย“หนูไม่มีเวลามาฟังพี่ถึงเช้าหรอกนะคะ เพราะพรุ่งนี้หนูต้องไปทำงาน” หญิงสาวถอนหายใจยาวก่อนจะกอดอกหลบสายตา ใบหน้าแดงระเรื่ออย่างเขินอาย“แสดงว่าหนูยอมคืนดีกับพี่แล้วใช่ไหมคนดี” คิณณ์หัวเราะเบาๆอย่างเอ็นดูท่าทีเขินอายของร่างบาง ก่อนจะขยับเข้าไปใกล้จนใบหน้าทั้งสองใกล้กันจนสามารถสัมผัสถึงลมหายใจอุ่นๆของกันและกันได้ “หนูไม่ได้บอกสักคำว่าหนูหายโกรธแล้ว ยังต้องดูพฤติกรรมพี่ไปอีกนาน” ลัลน์เบือนหน้าหนี ใบหน้ายังคงแดงจัดกับการถึงเนื้อถึงตัวของชายหนุ่ม"พี่ขอจับมือหนูได้ใช่ไหมคะ?" คิณณ์พูดพร้อมยื่นมือมาข้างหน้าอย่างไม่รอคำตอบให้เธอปฏิเสธเขา ทันทีที่มือเล็กๆ ของเธอสัมผัสมือใหญ่ของเขา คนตัวโตกว่ากระชับมือแน่นขึ้น ดึงตัวเธอเข้ามาใกล้จนแทบจะได้ยินเส
"ไม่ ออกไปนะบอกให้ออกไปไง!" ลัลน์ไม่อาจกลั้นน้ำตาได้อีกต่อไป ร้องไห้โฮพร้อมตลอดชายหนุ่มที่พยายามจะเข้าห้องเธอ สุดท้ายเมื่อเธอไม่อาจสู้แรงเขาได้จึงทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นห้องแสนเย็นเฉียบนี้"ลัลน์ หนูเป็นอะไรหรือเปล่า!" คิณณ์รีบโผตัวเข้ามากอดร่างผอมบางไว้เมื่อเธอทิ้งตัวลงนั่งกองอยู่กับพื้นห้อง"ท่านต้องการอะไรจากหนูอีก ท่านได้ไปหมดทุกอย่างแล้วหนูไม่มีอะไรจะให้ท่านแล้ว ช่วยปล่อยหนูไปจะได้ไหม" หญิงสาวร้องไห้โฮสะบัดตัวออกมาจากอ้อมอกกว้างก็ไม่หลุดพ้น กำปั้นเล็กทุบเขายังระบายความเจ็บปวดในจิตใจแต่ทว่ากลับไร้เรี่ยวแรงคิณณ์ปล่อยให้หญิงสาวถูกอกตัวเองจนพอใจ ร่างเล็กยังคงร้องไห้อย่างหนักน้ำตาเปียกชุ่มไปทั้งเสื้อเชิ้ต เมื่อเห็นว่าแรงทุบอกของตนไม่ทำให้ร่างแกร่งสะทกสะท้านแม้แต่น้อยประกอบกับเรี่ยวแรงของเธอเริ่มหมดลงไปเรื่อยๆ ลัลน์จึงปล่อยให้ตัวเองจมลงในอ้อมกอดที่เธอรู้สึกว่าแสนจะอบอุ่น นึกรังเกียจตัวเองที่ยังคงโหยหาอ้อมกอดนี้ทุกเมื่อเชื่อวัน"หนูเกลียดท่าน เกลียด เกลียดมากด้วย ฮือออ" เสียงของเธอแหบพร่าพูดเบาราวกับกระซิบ แต่ถ้าว่าดังลึกเข้าโสตประสาทของคิณณ์อย่างชัดเจน เสียงของเธอเหมือนลิ่มที่ตอกลงก
ความทรงจำไหลพรั่งพรูเข้ามาราวกับคลื่นน้ำทะเลซัดเข้าหาชายฝั่ง ชายหนุ่มตื่นจากภวังค์ความคิดเมื่อณรงค์เปิดประตูเข้ามาในห้อง ภายในห้องเงียบกริบไม่มีบทสนทนาใดๆ ณรงค์หันหลังแขวนชุดครุยเสร็จสาวเท้าไปนั่งลงบนโซฟาหยิบแก้วน้ำที่วางขึ้นมาจิบก่อนจะหันไปถามคิณณ์นั่งเงียบอยู่ที่โต๊ะทำงาน"คิณณ์แกมีปัญหาอะไรกับเด็กคนนั้นหรือเปล่า?" เสียงทุ้มต่ำจริงจัง สายตาของรุ่นพี่ที่ผ่านประสบการณ์ชีวิตมามากจ้องมองไปยังชายหนุ่มที่เหมือนจะพยายามจดจ่อกับเอกสารตรงหน้าแต่ดูเหมือนว่าความคิดจะลอยไปไกลอยู่ที่อื่น"ทำไมพี่ถึงทำแบบนั้น?" คิณณ์หยุดมือที่กำลังเกษียณคำสั่งลงสำนวน ถามกลับเสียงเรียบทว่าแววตาสั่นไหวเล็กน้อย สายตาที่ปิดไม่มิดว่ากำลังมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ในใจ"ทั้งแกและเด็กคนนั้นสภาพเป็นกันอย่างนี้ คิดว่าคนอย่างฉันจะดูไม่ออกหรือไง แกเองตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมาก็ใจลอยไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว พอฉันเจอกับเด็กคนนั้นวันนี้สภาพก็ย่ำแย่ จะปล่อยให้มันคาราคากระสังแบบนี้ไปอีกนานเท่าไหร่" คำถามนี้เหมือนตอกย้ำในจิตใจของคิณณ์ เขาก้มหน้าลงมองประธานสำนวนมือกำปากกาแน่นจนเส้นเลือดปูดขึ้นชัด แต่ก็ไม่ตอบกลับอะไรกับชายหนุ่มรุ่นพี่
หลังจากกลับจากการพิจารณาคดี คิณณ์ก้าวเข้ามายังห้องพักผู้พิพากษา ภาพร่างผอมบางของลัลน์ที่นั่งอยู่ในห้องพิจารณาอยู่มุมหนึ่ง ท่าทางของเธอเรากับคนไร้วิญญาณสายตาที่เคยสดใสกลับมืดมนจนเขารู้สึกหน่วงใจในตอนนั้นเขาพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติ รวบรวมความเย็นชาไว้เป็นเกราะกำบัง สายตามองผ่านเธอไปไม่หันไปมองใบหน้าอมทุกข์นั้น คิณณ์ปิดประตูห้องพักเบาๆ แล้วทรุดนั่งลงที่โต๊ะทำงานสองมือค้ำศีรษะอย่างใช้ความคิด'สิ่งที่เราทำอยู่ในตอนนี้ มันถูกต้องแล้วใช่ไหม?' คำถามนั้นดังก้องอยู่ในหัวราวกับเขาถูกตรึงไว้ด้วยความรู้สึกผิดและอดีตที่ไม่เคยลบเลือนไปไหน ภาพของหญิงสาวในวันนี้เมื่อเขามองไปกลับสะท้อนภาพเงาของเขาในอดีต วันที่โลกทั้งใบของเขาพังทลายลงต่อหน้าต่อตา...อดีตเมื่อ 7 ปีที่แล้ว…ชายหนุ่มหล่อเหลาร่างกายสูงโปร่งคาดว่าคงสูงไม่ต่ำกว่า 185 เซนติเมตร เดินเข้าประตูคฤหาสน์หลังงานอันแสนคุ้นเคย รอยยิ้มบางเบาเปื้อนอยู่บนใบหน้าคมเข้มทว่าอ่อนเยาว์ของเขา ดวงตาสีดำสนิทเป็นประกายขณะที่ผิวเข้มสีน้ำผึ้งขับกับผมสีดำที่ถูกเซตมาเป็นอย่างดีทำให้หน้ามองยิ่งขึ้น ชุดสูทสีกรมท่าที่สวมใส่เข้ากับร่างสูงสามารถเสริมให้เขาดูภูมิฐานแ
ดวงตากลมโตแดงช้ำกวาดสายตาไปตามโถงทางเดิน ก่อนจะพบกับบุคคลที่เธอคะนึงหากำลังยืนสนทนากับบุคคลที่เธอไม่รู้จัก ราวกับภาพหลอนใต้จิตสำนึก ร่างกายหยุดชะงักแข็งทื่อหัวใจเหมือนถูกบีบรัดเอกสารในมือเริ่มสั่นเล็กน้อย หญิงสาวพยายามควบคุมสติกัดริมฝีปากแน่นเพื่อกลั้นความรู้สึกที่กำลังจะทะลักออกมา คาดหวังว่าภาพที่เธอเห็นอาจเป็นภาพหลอนของเธอ แต่ภายในใจลึกๆนั้นกลับภาวนาขอให้เป็นเขา"อ้าว นกเป็นไงมาคดีอะไรวันนี้" บุคคลที่กำลังยืนสนทนากับคิณณ์หันมาเอ่ยทักทายกับเนตรนภาอยากสนิทสนม"ท่านคิณณ์สวัสดีค่ะ มาคดีแบงค์เหมือนเดิมค่ะพี่วัลลภ ไม่ได้เจอกันนานเลยสบายดีนะคะ" เนตรนภาเดินตรงเข้ามาทักทายคิณณ์ก่อนจะเอ่ยตอบวัลลภพร้อมรอยยิ้มสดใส"สวัสดีค่ะ" หญิงสาวสูดหายใจเข้าลึกๆ ทำท่าทีเป็นปกติยกมือไหว้สวัสดีวัลลภ ก่อนจะหันไปสวัสดีเขาโดยท่าทีเย็นชาชายหนุ่มพยักหน้ารับเล็กน้อย แต่สายตาคมกลับจดจ้องอยู่ที่ร่างบางที่เหลือแต่หนังหุ้มกระดูกด้วยสายตาที่ลัลน์อ่านไม่ออก หลังจากทักทายกันเสร็จหญิงสาวก้มหน้าก้มตาเดินตามเนตรนภาไปโดยไม่หันกลับไปมองผู้พิพากษาหนุ่มอีก ทุกย่างก้าวของเธอที่เดินไปนั้นหนักจนแทบก้าวขาไม่ออก ความรู้สึกเต็มไปด้วย
ครืด ครืด ครืดเสียงข้อความสั่นรัวบนโต๊ะทำงานภายในห้องพักผู้พิพากษาดึงความสนใจของคิณณ์จากกองเอกสารที่เขาพยายามจดจ่ออยู่ เขาเองก็ไม่มีสติที่จะทำงานเช่นเดียวกัน ดวงตาคมกริบเหลือบมองโทรศัพท์อย่างลังเลกลัวว่าจะเป็นคนที่เขาคะนึงหาเป็นคนส่งมาแล้วเขาจะตัดใจออกห่างจากเธอไม่ได้ ก่อนจะตัดสินใจเอื้อมมือหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาบนหน้าจอปรากฏขึ้น "Jed7" เจษฎาเพื่อนสนิทที่เหลือเพียงคนเดียวของเขา คิณณ์กดเปิดข้อความปรากฏว่าเป็นผู้หญิงคนหนึ่งกำลังเดินหันหลังเข้าไปในหอพักอันแสนคุ้นเคย ร่างกายที่ดูซูบผอมลงแทบจะพยุงตัวเองไม่ไหว ข้อความถัดมาเป็นวีดีโอสั้นๆเผื่อให้เห็นในช่วงวินาทีที่เธอโดนโซซัดโซเซอย่างน่าสงสาร คิณณ์มองคลิปนั้นด้วยหัวใจสั่นระรัวความรู้สึกเหมือนถูกบางอย่างบีบัดหัวใจจนหายใจไม่ออกJed7: เด็กมึงดูท่าอาการหนัก รีบจัดการความรู้สึกของตัวเองก่อนที่จะสายไปคิณณ์ทำโทรศัพท์จนฝ่ามือหนาขาวซีดไร้สีเลือด คิ้วขมวดเป็นปมดวงตาคมฉายแววสับสนจับจ้องข้อความนั้นอยู่นาน เป็นเวลานานกว่าเขาจะตัดสินใจวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะเอนหลังพิงกับพนักเก้าอี้ ภาพของลัลน์ยังคงวนเวียนอยู่ในสมองเขาซ้ำไปซ้ำมา เสียงหวานของเธอยังคงดังกึกก้องอย
คฤหาสน์หรูตั้งตระหง่านท่ามกลางสวนดอกไม้ที่มีแต่กุหลาบสีขาวซึ่งเป็นดอกไม้ที่โปรดปรานของคุณผู้หญิงเจ้าของวันเกิดในวันนี้ แสงไฟจากโคมระย้าภายในห้องโถงใหญ่ส่องประกายกระทบกับเครื่องเรือนหรูหราอันไม่อาจประเมินค่าได้ ผู้คนในงานเลี้ยงเล็กๆมาเพื่อฉลองวันเกิดของคุณหญิงไอย์ลดามารดาของคิณณ์ซึ่งต่างพูดคุยกันอย่างออกรสท่ามกลางเสียงดนตรีคลาสสิคบรรเลงคลอเบาๆคิณณ์ยืนอยู่มุมหนึ่งของงานอย่างหลีกเลี่ยงผู้คน ใบหน้าหล่อเหลาเย็นชาราวกับประติมากรรมไร้ชีวิต มือถือแก้วไวน์ไว้จิบไปพลางนึกถึงหญิงสาวที่เขาพบเจอเมื่อตอนเย็น"คิณณ์ลูก" เสียงหวานเอ่ยเรียกชายหนุ่มจากด้านหลัง เขาหันไปพบกับคุณหญิงไอย์ลดาอยู่ในชุดราตรีสีงาช้างยืนมองเขาด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน โดยมียักษ์หน้าตาถมึงทึงบอกบุญไม่รับอบเอวภรรยาของตนเดินเข้ามาหาชายหนุ่ม"สวัสดีค่ะคุณแม่ สวัสดีครับผัวแม่" คิณณ์เดินเข้าไปหยดลงตรงหน้าก่อนยกมือไหว้สวัสดีพร้อมกับเหน็บพ่อของตัวเองที่หวงเมียแม้กระทั่งกับลูก ก่อนจะเข้าสวมกอดร่างบางของแม่"เออ! ปล่อยเมียฉันได้แล้วอย่าลวนลามให้มาก" ไม่น่ามีอายุแต่ทว่ารอเราคมคายตามวัยอายุ 55 ปี แต่ติดเย็นชาดังที่คิณณ์เป็นย่อมสืบทอดมาจากวิ
"พี่คิณณ์! ทำบ้าอะไรของพี่เนี่ยขนลุกซู่เลย" รินทร์ร้องโวยวายกับการกระทำของพี่ชายของเธอ อยู่ๆก็เดินเข้ามาโอบเอวเธอไว้ทำตัวเป็นพี่ชายที่แสนอบอุ่นซะงั้น!"ทำไมยัยรินทร์เดี๋ยวนี้ห่วงตัวกับพี่?" ใบหน้าหล่อเหลาเลิกคิ้วมองรินทร์อย่างยียวนกวนประสาท"โถๆๆ พี่ชายจอมเย็นชาคะ ปกติคุณพี่ชายแสดงความอ่อนโยนแบบนี้กับน้องสาวคนสวยที่ไหนล่ะคะ นึกว่าผีเข้าต้องไปวัดเอาน้ำมนต์มาพรมพี่ไล่ผีซะแล้ว" รินทร์ยนต์คิ้วมองหน้าคิณณ์มือพลางลูบขนแขนทำท่าขนลุก"อืม ไม่ทำแล้วก็ได้ส่วนของพวกนี้ก็จ่ายเองนะ พอดีพี่ชายคนนี้มันเย็นชาและไม่อยากทำตัวอ่อนโยนให้ใคร" คิณณ์ยิ้มบางๆก่อนจะปล่อยมือออกจากเอวของรินทร์พร้อมพูดแกล้งน้องสาวตัวแสบ"เดี๋ยวๆนะคะคุณคิณณ์ภัทร นี่น้องสาวนะคะถ้าไม่ดูแลน้องสาวจะให้ไปดูแลสาวที่ไหนถูกไหม ฉะนั้นเชิญคุณพี่ทำตัวผิดเข้าเหมือนเดิมได้เลยค่ะ""รีบๆไปเลือกจะได้กลับบ้านไปหาคุณแม่" เสียงเรียบเอ่ยดุรินทร์เตือนธุรกิจที่ต้องรีบไปกันในวันนี้"ค่าๆๆ แค่นี้ก็ทำเสียงดุไปได้วันเกิดแม่ไอย์ทั้งทีต้องเลือกให้พิถีพิถันหน่อย" รินทร์ต่อล้อต่อเถียงกับคิณณ์ยังไม่ยี่หระก่อนจะก้มหน้าก้มตาเลือกเครื่องประดับให้มารดาของตน