ภายในห้องพักผู้พิพากษามีเพียงชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคมคาย ร่างกายหนากำยำภายใต้เชิ้ตสีขาวนั่งอ่านสำนวนคดีที่อยู่ในความรับผิดชอบของตนอยู่บนโต๊ะอยู่ในห้องเพียงลำพัง เมื่อมีเสียงประตูห้องเปิดเข้ามาชายหนุ่มจึงเงยหน้าจากเอกสาร มองชายอายุอานามประมาณสี่สิบกว่าสวมชุดครุยผู้พิพากษาเปิดประตูเข้ามาในห้องพักแล้วจึงเดินไปนั่งยังโต๊ะทำงานของตน
“พี่บอกหลายครั้งแล้วนะคิณณ์ ไอ้อาการเย็นชาไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมเนี่ยให้ลดๆ ซะบ้าง ทุกวันนี้นอกจากพี่แล้วก็ไม่มีใครกล้าคบค้าสมาคมกับแกแล้วนะ เป็นแบบนี้การทำงานมันจะลำบากเอานะ” ณรงค์ผู้พิพากษาซึ่งเป็นทั้งพี่เลี้ยงและผู้พิพากษาบัลลังก์เดียวกับคิณณ์บ่นกับพฤติกรรมของชายหนุ่มที่ไม่เคยจะสนใจอะไร แต่ก็นับว่าดีขึ้นกว่าห้าปีที่แล้วนักที่เขายอมลดความเย็นชาลงและยอมพูดจากับคนแปลกหน้าบ้าง ไม่เช่นนั้นตอนนี้คงไม่มีผู้พิพากษาที่ชื่อคิณณ์ณภัทรมานั่งพิจารณาคดีร่วมกับเขาได้!!! “ผมว่าผมพูดไปมากแล้วนะครับพี่ณรงค์” กล่าวจบก็ก้มหน้าเซ็นเอกสารของตนปล่อยให้คนพูดโมโหอยู่คนเดียว “เออ!!! ใช่ที่นายพูดมากขึ้นน่ะนายพูดถูก แต่ไอ้อาการเย็นชาทำตัวน่ากลัวเมื่อไหร่จะปรับลดให้เป็นผู้เป็นคนเหมือนคนอื่นมากกว่านี้” "ครับพี่" ชายหนุ่มขานรับคำรุ่นพี่อย่างเสียไม่ได้ "ดูมันพูดมากกว่านี้กลัวดอกพิรุณจะร่วงจากปากรึไง" ณรงค์หงุดหงิดกับหนุ่มรุ่นน้องวิชาชีพเดียวกันกับตนนักที่เป็นคนประหยัดถ้อยคำ ถ้าไม่คุยถึงปัญหากฎหมายปรึกษาคดีกันแล้ว อย่าหวังว่ามันจะพูดประโยคยาวๆกับคนอื่นได้ "ครับ ผมจะพยายามเป็นมิตรดับคนอื่นตามที่พี่บอกนะครับ" ปกติเขาก็เป็นคนพูดน้อยอยู่แล้ว แต่เมื่อมาทำงานก็เป็นการบีบบังคับให้เขาพูดมากขึ้น แต่ก็ไม่ได้ทำให้เขาอยากคบหาใครมากยิ่งขึ้นไปด้วย "คิณณ์ วันนี้ไปนั่งกินเหล้าชิวๆ กันที่บาร์ไหม เครียดๆแบบนี้ต้องไปนั่งมองสาวๆแล้วจิบเหล้าไปนี่แหละ" เรื่องแบบนี้ก็ต้องมีกันบ้างล่ะ ผู้พิพากษาก็คนเหมือนกันใช้ชีวิตเหมือนปุถุชนคนธรรมดาที่ต้องมีการสังสรรค์กันบ้าง "เมียพี่?" "เมียฉันก็อยู่บ้านซิวะ จะหิ้วมาทำพระแสงอะไร เดี๋ยวเปลี่ยนจากการนั่งชิวกินเหล้ามองสาวเป็นกินเหล้าอาบเลือดแทน" ดูมันยอกย้อน พูดถึงเมียที่บ้านแล้วก็ขนลุกซู่ด้วยว่าเขาเคยมีประวัติอย่างโชกโชนเมียเขาเลยหวาดระแวงเป็นพิเศษ ถึงแม้ตอนนี้เขาจะแก่แล้วเรื่องแบบนั้นก็เลิกไปแล้วแต่ดูเหมือนว่าเมียเขาจะไม่เลิกจ้องจับผิดเรื่องผู้หญิงตามไปด้วย "พูดอย่างนี้พี่จะหิ้วสาว?" "ไอ้น้องเวรนี่ ฉันมีลูกมีเมียแล้วนะเห้ย น่าซัดสักหมัดจริงเชียว " ก๊อกๆๆๆ เสียงเคาะประตูห้องเหมือนการห้ามปรามเสียงทะเลาะของทั้งคู่ จะเรียกว่าทะเลาะกันก็ไม่เชิงในเมื่อณรงค์เป็นฝ่ายโมโหซะฝ่ายเดียว "น้องคิณณ์ทานอะไรรึยังคะ พี่ซื้อข้าวร้านโปรดของคิณณ์มาให้เลยนะคะ" หญิงสาวร่างเล็กสูง 158 มาตรฐานหญิงไทยก้าวเข้ามาในห้องพลางเดินตรงไปหาชายหนุ่มที่ตนหมายปอง “แหมๆ มีพี่อยู่ตรงนี้ทั้งคน แต่ท่านกุลนันท์บัลลังก์ 10 กลับสนใจซื้อข้าวมาให้แต่เจ้าคิณณ์รึเนี่ย” “พี่ณรงค์ก็หยอกหนูไป เห็นว่าปกติคิณณ์เขาทำงานจนลืมทานข้าวหนูเลยเป็นห่วงซื้อมาฝากน้องเขาเท่านั้นเอง” หญิงสาวเขินอายแก้มแดงเมื่อถูกณรงค์แซวกับการกระทำที่ดูเหมือนว่าจะชอบคิณณ์หนุ่มรุ่นน้องจนออกหน้าออกตา ตั้งแต่ชายหนุ่มมาประจำอยู่ที่ศาลนี้เธอก็ตกหลุมรักในใบหน้าอันหล่อเหลาราวกับนายแบบซึ่งขัดกับลุคผู้พิพากษาทั่วไปที่ถึงแม้จะมีหน้าตาดีแต่ก็ไม่อาจเทียบได้กับความหล่อของคิณณ์ “ไม่เป็นไรครับ ผมจะออกไปทานกับพี่ณรงค์พอดี ไม่รบกวนท่านกุลนันท์ให้คอยเป็นห่วงผม” ชายหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาติดห่างเหิน เมื่อกล่าวจบคิณณ์จึงคว้ากุญแจรถและโทรศัพท์เครื่องหรูใส่กระเป๋ากางเกงแบรนด์เนม แล้วเดินออกไปไม่สนใจใยดีกล่องข้าวที่กุลนันท์ซื้อมาให้เขาแม้แต่น้อย กุลนันท์ถึงกับหน้าม้านน้ำตาเอ่อรื้นขอบตาที่ชายหนุ่มปฏิเสธเธออย่างไม่ไยดีถึงแม้ว่าคิณณ์จะเป็นเช่นนี้มาตลอด 2 ปี ชายหนุ่มรุ่นน้องจะไม่มีท่าทีชอบพอตนแต่ก็รับของที่เธอซื้อมาฝากให้ตลอด การที่ชายหนุ่มปฏิเสธน้ำใจตนขนาดนี้ทำให้เธอเสียใจยิ่งนัก “ไม่เป็นไรนะนันท์ เจ้าคิณณ์ก็เป็นแบบนี้แหละ ใช่ว่าเธอจะพึ่งรู้จักมันเสียเมื่อไหร่ เดี๋ยวพี่ไปกินข้าวกับมันก่อนนะ” ณรงค์พูดปลอบใจกุลนันท์เสร็จจึงรีบเดินตามคิณณ์ออกไป “แกก็ไม่น่าไปปฏิเสธกับนันท์รุนแรงขนาดนี้เลย ไม่คิดจะรักษาน้ำใจเพื่อนร่วมงานบ้างหรือว่ะ” “ตัดไฟแต่ต้นลม” เขารู้ตั้งแต่ที่เข้ามาประจำอยู่ที่ศาลนี้แล้วว่ากุลนันท์ชอบพอเขาเป็นอย่างมาก แต่ที่ผ่านมานานๆครั้งเธอถึงจะซื้อของมาฝากบ้าง เขาก็รับไว้เพื่อไม่ให้เธอเสียน้ำใจ แต่ดูเหมือนว่าพักหลังมานี้เธอจะเทียวไปเทียวมาหาเขาถี่เกินไปนัก ครั้งนี้เขาจึงต้องปฏิเสธเพื่อไม่ให้มีปัญหาเรื่องชู้สาวในภายภาคหน้า “ฉันก็รู้นะว่าความรักมันห้ามกันไม่ได้และบีบบังคับให้รักกันไม่ได้ด้วย แต่ทำไมแกถึงไม่สนใจนันท์เขาว่ะคิณณ์ รูปร่างหน้าตาเธอก็ดีแถมยังเป็นคนเก่งอีกต่างหาก หรือเป็นเพราะว่านันท์เขาแก่กว่าแกห้าปี แกเลยไม่ชอบเขา” เมื่อคิณณ์เดินถึงรถลัมโบร์กีนีคันสีดำซึ่งจะดูเหมือนว่ารถหรูคันนี้จะจอดอยู่ผิดที่ผิดทาง ไม่ใช่ว่าที่จอดรถนี้จะไม่มีรถหรูคันอื่นเสียเลย แต่มีเพียงรถของชายหนุ่มเท่านั้นที่เป็นรถสปอร์ตอยู่คันเดียว คิณณ์เปิดประตูรถเข้าไปแล้วจึงหันไปตอบณรงค์ “เปล่าครับ ถ้าคนมันใช่ต่อให้ไม่ทำอะไรก็เป็นคนที่ใช่อยู่ดี” เมื่อคิณณ์พูดจบภาพของหญิงสาวน้ำตานองหน้าคนหนึ่งก็ลอยเข้ามาในความคิดเขา "แกยังลืมแม่เม็ดทรายไม่ได้อีกหรือว่ะ เรื่องก็ผ่านมาจะสิบปีอยู่แล้ว มันทำให้แกไม่ลืมความเจ็บพอที่จะเริ่มต้นใหม่กับใครได้บ้างรึไง" ณรงค์กล่าวถึงอดีตแฟนสาวของคิณณ์ ตัวเขาเองก็ไม่เคยเจอผู้หญิงคนนี้เพียงแต่เคยได้ยินจากปากรุ่นน้องที่เคยเรียนอยู่ด้วยกันกับคิณณ์เพียงเท่านั้น "มันไม่ใช่ว่าทำใจไม่ได้ แค่ขยาดกับการถูกทรยศหักหลังเท่านั้น อยู่เป็นโสดแบบนี้ก็ดีผมจะทำอะไรไปต่อกับใครก็ได้" “ครับๆๆ พ่อหนุ่มหล่อเลือกได้ แล้วสรุปว่าคืนนี้จะกินไหมล่ะเจ้าคิณณ์” “ครับ เดี๋ยวผมชวนเจษไปด้วย พี่สะดวกใจไหมครับ” นานๆทีเขาจะออกไปสังสรรค์จึงคิดถึงเพื่อนสนิทที่ไม่ได้เจอกันข้างนอกมานาน เจอกันทีก็เจอแต่ในห้องพิจารณาไม่มีโอกาสได้พูดคุยตามประสาเพื่อนสักที “อ่อเจ้าเจษรึ เอาซิชวนมันมากินด้วยกันเลย มีพวกกินเยอะๆสนุกดี” ณรงค์เคยเจอหน้าเพื่อนคนนี้ของคิณณ์อยู่บ่อยครั้ง เพราะส่วนใหญ่แล้วคดีของเจษนั้นเขามักจะเป็นเจ้าของสำนวนจึงรู้จักคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี “เมียอนุญาตแล้ว?” “ยัง ค่อยไปอ้อนขอตอนกลับบ้าน” “ฮึๆๆ” คิณณ์หัวเราะเบาๆอยู่ในลำคอ ขำในความกลัวเมียของรุ่นพี่ตน ชีวิตใครชีวิตมันรับผิดชอบตัวเองไป มนุษย์เราย่อมมีเสรีภาพในการดำเนินชีวิต จะมาถูกจำกัดเพียงเพราะผู้หญิงคนหนึ่งแล้วนั้นเป็นเขาๆก็ไม่ยอมเสียหรอก!!!ภายในห้องพักผู้พิพากษามีเพียงชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคมคาย ร่างกายหนากำยำภายใต้เชิ้ตสีขาวนั่งอ่านสำนวนคดีที่อยู่ในความรับผิดชอบของตนอยู่บนโต๊ะอยู่ในห้องเพียงลำพัง เมื่อมีเสียงประตูห้องเปิดเข้ามาชายหนุ่มจึงเงยหน้าจากเอกสาร มองชายอายุอานามประมาณสี่สิบกว่าสวมชุดครุยผู้พิพากษาเปิดประตูเข้ามาในห้องพักแล้วจึงเดินไปนั่งยังโต๊ะทำงานของตน “พี่บอกหลายครั้งแล้วนะคิณณ์ ไอ้อาการเย็นชาไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมเนี่ยให้ลดๆ ซะบ้าง ทุกวันนี้นอกจากพี่แล้วก็ไม่มีใครกล้าคบค้าสมาคมกับแกแล้วนะ เป็นแบบนี้การทำงานมันจะลำบากเอานะ” ณรงค์ผู้พิพากษาซึ่งเป็นทั้งพี่เลี้ยงและผู้พิพากษาบัลลังก์เดียวกับคิณณ์บ่นกับพฤติกรรมของชายหนุ่มที่ไม่เคยจะสนใจอะไร แต่ก็นับว่าดีขึ้นกว่าห้าปีที่แล้วนักที่เขายอมลดความเย็นชาลงและยอมพูดจากับคนแปลกหน้าบ้าง ไม่เช่นนั้นตอนนี้คงไม่มีผู้พิพากษาที่ชื่อคิณณ์ณภัทรมานั่งพิจารณาคดีร่วมกับเขาได้!!!“ผมว่าผมพูดไปมากแล้วนะครับพี่ณรงค์” กล่าวจบก็ก้มหน้าเซ็นเอกสารของตนปล่อยให้คนพูดโมโหอยู่คนเดียว“เออ!!! ใช่ที่นายพูดมากขึ้นน่ะนายพูดถูก แต่ไอ้อาการเย็นชาทำตัวน่ากลัวเมื่อไหร่จะปรับลดให้เป็
ภายใต้แสงอาทิตย์สีส้มยามพระอาทิตย์อัสดง หญิงสาวผิวขาว ใบหน้าซูบตอบ ดวงตากลมโตยังคงบวมช้ำถึงแม้เวลาจะผ่านมาได้เดือนหนึ่งแล้วก็ตาม เธอก็ยังคงเสียใจกับการโดนทิ้งนั้นอยู่ ลัลน์ซึ่งนอนพักอยู่ในคอนโดของหนูนา สายตาเหม่อยลอยออกไปยังหน้าต่าง จ้องมองแสงอาทิตย์ที่ลาลับขอบฟ้าเห็นเพียงแต่แสงสีส้มด้วยจิตใจเศร้าหมอง เมื่อไหร่กันนะที่เธอจะลืมความรักครั้งนี้ได้คิดแล้วน้ำตาก็เอ่อรื้นที่ขอบตาก๊อกๆๆๆ เสียงเคาะประตูห้องพลันดึงสติหญิงสาวให้อยู่กับความเป็นจริง แล้วเปล่งเสียงดังเล็กน้อยบอกเพื่อนเธอให้เปิดประตูเข้ามาได้“ลัลน์จ๋า คืนนี้ไปเปิดหูเปิดตากันหน่อยไหม เขาว่าอกหักต้องใช้เหล้าย้อมใจนะ” หนูนาวิ่งถลามาที่เตียง แล้วเอ่ยปากชวนเพื่อนไปเที่ยวอย่างออดอ้อนพร้อมกับเอาหน้าถือแขนลัลน์พลางทำตาปริบๆ ให้เพื่อนเอ็นดู“พาเพื่อนไปย้อมใจหรืออยากไปเที่ยวเองคะ” ลัลน์พูดดักคอหนูนาอย่างรู้ทัน“ก็แหมม อยากไปเที่ยวด้วยแล้วก็อยากพาลัลน์ไปด้วย นะๆลัลน์นะ ไปด้วยกันนะๆๆ” หนูนาทำหน้าตาอ้อนเพื่อนอย่างสุดฤทธิ์หวังว่าเพื่อนจะใจอ่อนยอมไปเที่ยวกับเธอ ที่ชวนลัลน์ไปนั้นเธอก็ไม่ได้หวังให้เพื่อนเธอเมาหัวราน้ำหรือได้ผู้ชายกลับมาหรอก
ท่ามกลางร่มไม้เขียวขจีข้างริมสระน้ำ ใต้ร่มไม้มีหญิงสาวร่างท้วมคนหนึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะม้าหินอ่อน หญิงสาวแต่งกายด้วยชุดนักศึกษาตัวโคร่งใส่กระโปรงพลีทยาวคลุมข้อเท้า ดวงตาภายใต้กรอบแว่นหนากำลังสอดส่องเหมือนหาใครอยู่ “ลัลน์จ๋าาา ฉันมาแล้วขอโทษนะที่มาช้าพอดีว่าติดธุระ ขอโทษที่ทำให้แกรอนานนะ” สาวเจ้าร่างบางหน้าตาคมสวย ใส่ชุดนักศึกษาวิ่งกระหืดกระหอบพลางตะโกนเรียกหาเพื่อนรักซึ่งกำลังนั่งรออยู่ “หนูนานี่นะตลอดเลย น่าน้อยใจชะมัด” “โอ๋ๆๆๆ ไม่โกรธนะจ๊ะลัลน์จ๋า ทำแก้มป่องๆแบบนี้เดี๋ยวพี่มาร์คจะไม่รักนะ” หนูนากล่าวไปพลางหยิกแก้มลัลน์ไปด้วยความเอ็นดู “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับพี่มาร์คเขาเล่า” ลัลน์ว่าพลางหน้าแดงขวยเขินเมื่อหนูนาเอ่ยถึงแฟนหนุ่มของตน “แหมๆๆ อิจฉาคนรักกันหวานชื่นเนอะ เมื่อไหร่ฟ้าจะส่งผู้ชายหน้าตาดีแบบพี่มาร์คมาให้ฉันซักคนบ้าง” “ไม่ต้องมาทำแซวเลยมาคุยธุระของเรากันดีกว่า เราไปติดต่อกับทางคณะเรื่องฝึกงานแล้ว เห็นว่าให้ส่งเอกสารฝึกงานภายในอาทิตย์หน้า ว่าแต่หนูนาจะไปฝึกสำนักงานอัยการจังหวัดจริงใช่ไหม แกไม่คิดเปลี่ยนใจไปสำนักงานทนายความกั
เมื่อหญิงสาวมาถึงหน้าห้องแฟนหนุ่มแล้วจึงกดรหัสเข้าห้องไปในห้อง แต่เมื่อลัลน์เปิดประตูห้องเข้าไปกลับเจอรองเท้าส้นสูงสีแดงของผู้หญิงวางระเกะระกะ เมื่อไล่สายตาไปตามทางเดินกลับมีเสื้อผ้าชายหญิงที่ถอดทิ้งไว้อย่างไม่ไยดี เสียงเนื้อกระทบเนื้อปนกับเสียงครางของชายหญิงดังลั่นห้อง หญิงสาวกลั้นใจเดินไปที่ห้องนั่งเล่นเพื่อให้เห็นถึงความจริง“อ๊าส์ อ๊าส์ อื้อออ มาร์คขาา อ๊ะส์ ญดาเสียวจังเลย อ๊าส์ๆๆ”พลั่บๆๆๆๆๆ เสียงเนื้อกระทบเนื้อดังลั่นห้อง“ฮึม ซี๊ดดด ตอดอีกดา อืมม แม่งเอามันชิบ”หญิงสาวผมยาวสีทองกำลังขึ้นขี่ขย่มมาร์คอย่างเมามัน ชายหนุ่มครางในลำคอยึดสะโพกญดาแทงเอ็นตอกสวนร่องฉ่ำ ปากจูบแลกลิ้นกันอย่างดูดดื่มโดยไม่รู้เลยว่ามีแขกที่ไม่ได้รับเชิญกำลังรับชมหนังสดนี้อยู่“พะ พะ พี่มาร์คคะ” ลัลน์เรียกมาร์คด้วยเสียงอันสั่นเครือ น้ำตาไหลเต็มนองหน้าสาว ทำให้กิจกรรมเข้าจังหวะระหว่างมาร์คกับญดาพลันชะงักลง“ว้ายยย นังบ้าแกเข้ามาในห้องของคนอื่นได้ยังไง ไม่มีมารยาท!!!” ญดากรีดร้องเสียงดัง มือขาวควานหาผ้ามาคลุมร่างกายขาวผ่องไว้“ละ ลัลน์ ” ชายผู้ก่อเรื่องสร้างปัญหาเรียกแฟนสาวของตนเสียงค่อย พลางอ้ำอึ้งน้ำล
ภายใต้แสงอาทิตย์สีส้มยามพระอาทิตย์อัสดง หญิงสาวผิวขาว ใบหน้าซูบตอบ ดวงตากลมโตยังคงบวมช้ำถึงแม้เวลาจะผ่านมาได้เดือนหนึ่งแล้วก็ตาม เธอก็ยังคงเสียใจกับการโดนทิ้งนั้นอยู่ ลัลน์ซึ่งนอนพักอยู่ในคอนโดของหนูนา สายตาเหม่อยลอยออกไปยังหน้าต่าง จ้องมองแสงอาทิตย์ที่ลาลับขอบฟ้าเห็นเพียงแต่แสงสีส้มด้วยจิตใจเศร้าหมอง เมื่อไหร่กันนะที่เธอจะลืมความรักครั้งนี้ได้คิดแล้วน้ำตาก็เอ่อรื้นที่ขอบตาก๊อกๆๆๆ เสียงเคาะประตูห้องพลันดึงสติหญิงสาวให้อยู่กับความเป็นจริง แล้วเปล่งเสียงดังเล็กน้อยบอกเพื่อนเธอให้เปิดประตูเข้ามาได้“ลัลน์จ๋า คืนนี้ไปเปิดหูเปิดตากันหน่อยไหม เขาว่าอกหักต้องใช้เหล้าย้อมใจนะ” หนูนาวิ่งถลามาที่เตียง แล้วเอ่ยปากชวนเพื่อนไปเที่ยวอย่างออดอ้อนพร้อมกับเอาหน้าถือแขนลัลน์พลางทำตาปริบๆ ให้เพื่อนเอ็นดู“พาเพื่อนไปย้อมใจหรืออยากไปเที่ยวเองคะ” ลัลน์พูดดักคอหนูนาอย่างรู้ทัน“ก็แหมม อยากไปเที่ยวด้วยแล้วก็อยากพาลัลน์ไปด้วย นะๆลัลน์นะ ไปด้วยกันนะๆๆ” หนูนาทำหน้าตาอ้อนเพื่อนอย่างสุดฤทธิ์หวังว่าเพื่อนจะใจอ่อนยอมไปเที่ยวกับเธอ ที่ชวนลัลน์ไปนั้นเธอก็ไม่ได้หวังให้เพื่อนเธอเมาหัวราน้ำหรือได้ผู้ชายกลับมาหรอก
ภายในห้องพักผู้พิพากษามีเพียงชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคมคาย ร่างกายหนากำยำภายใต้เชิ้ตสีขาวนั่งอ่านสำนวนคดีที่อยู่ในความรับผิดชอบของตนอยู่บนโต๊ะอยู่ในห้องเพียงลำพัง เมื่อมีเสียงประตูห้องเปิดเข้ามาชายหนุ่มจึงเงยหน้าจากเอกสาร มองชายอายุอานามประมาณสี่สิบกว่าสวมชุดครุยผู้พิพากษาเปิดประตูเข้ามาในห้องพักแล้วจึงเดินไปนั่งยังโต๊ะทำงานของตน “พี่บอกหลายครั้งแล้วนะคิณณ์ ไอ้อาการเย็นชาไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมเนี่ยให้ลดๆ ซะบ้าง ทุกวันนี้นอกจากพี่แล้วก็ไม่มีใครกล้าคบค้าสมาคมกับแกแล้วนะ เป็นแบบนี้การทำงานมันจะลำบากเอานะ” ณรงค์ผู้พิพากษาซึ่งเป็นทั้งพี่เลี้ยงและผู้พิพากษาบัลลังก์เดียวกับคิณณ์บ่นกับพฤติกรรมของชายหนุ่มที่ไม่เคยจะสนใจอะไร แต่ก็นับว่าดีขึ้นกว่าห้าปีที่แล้วนักที่เขายอมลดความเย็นชาลงและยอมพูดจากับคนแปลกหน้าบ้าง ไม่เช่นนั้นตอนนี้คงไม่มีผู้พิพากษาที่ชื่อคิณณ์ณภัทรมานั่งพิจารณาคดีร่วมกับเขาได้!!!“ผมว่าผมพูดไปมากแล้วนะครับพี่ณรงค์” กล่าวจบก็ก้มหน้าเซ็นเอกสารของตนปล่อยให้คนพูดโมโหอยู่คนเดียว“เออ!!! ใช่ที่นายพูดมากขึ้นน่ะนายพูดถูก แต่ไอ้อาการเย็นชาทำตัวน่ากลัวเมื่อไหร่จะปรับลดให้เป็
ภายในห้องพักผู้พิพากษามีเพียงชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคมคาย ร่างกายหนากำยำภายใต้เชิ้ตสีขาวนั่งอ่านสำนวนคดีที่อยู่ในความรับผิดชอบของตนอยู่บนโต๊ะอยู่ในห้องเพียงลำพัง เมื่อมีเสียงประตูห้องเปิดเข้ามาชายหนุ่มจึงเงยหน้าจากเอกสาร มองชายอายุอานามประมาณสี่สิบกว่าสวมชุดครุยผู้พิพากษาเปิดประตูเข้ามาในห้องพักแล้วจึงเดินไปนั่งยังโต๊ะทำงานของตน “พี่บอกหลายครั้งแล้วนะคิณณ์ ไอ้อาการเย็นชาไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมเนี่ยให้ลดๆ ซะบ้าง ทุกวันนี้นอกจากพี่แล้วก็ไม่มีใครกล้าคบค้าสมาคมกับแกแล้วนะ เป็นแบบนี้การทำงานมันจะลำบากเอานะ” ณรงค์ผู้พิพากษาซึ่งเป็นทั้งพี่เลี้ยงและผู้พิพากษาบัลลังก์เดียวกับคิณณ์บ่นกับพฤติกรรมของชายหนุ่มที่ไม่เคยจะสนใจอะไร แต่ก็นับว่าดีขึ้นกว่าห้าปีที่แล้วนักที่เขายอมลดความเย็นชาลงและยอมพูดจากับคนแปลกหน้าบ้าง ไม่เช่นนั้นตอนนี้คงไม่มีผู้พิพากษาที่ชื่อคิณณ์ณภัทรมานั่งพิจารณาคดีร่วมกับเขาได้!!!“ผมว่าผมพูดไปมากแล้วนะครับพี่ณรงค์” กล่าวจบก็ก้มหน้าเซ็นเอกสารของตนปล่อยให้คนพูดโมโหอยู่คนเดียว“เออ!!! ใช่ที่นายพูดมากขึ้นน่ะนายพูดถูก แต่ไอ้อาการเย็นชาทำตัวน่ากลัวเมื่อไหร่จะปรับลดให้เป็
เมื่อหญิงสาวมาถึงหน้าห้องแฟนหนุ่มแล้วจึงกดรหัสเข้าห้องไปในห้อง แต่เมื่อลัลน์เปิดประตูห้องเข้าไปกลับเจอรองเท้าส้นสูงสีแดงของผู้หญิงวางระเกะระกะ เมื่อไล่สายตาไปตามทางเดินกลับมีเสื้อผ้าชายหญิงที่ถอดทิ้งไว้อย่างไม่ไยดี เสียงเนื้อกระทบเนื้อปนกับเสียงครางของชายหญิงดังลั่นห้อง หญิงสาวกลั้นใจเดินไปที่ห้องนั่งเล่นเพื่อให้เห็นถึงความจริง“อ๊าส์ อ๊าส์ อื้อออ มาร์คขาา อ๊ะส์ ญดาเสียวจังเลย อ๊าส์ๆๆ”พลั่บๆๆๆๆๆ เสียงเนื้อกระทบเนื้อดังลั่นห้อง“ฮึม ซี๊ดดด ตอดอีกดา อืมม แม่งเอามันชิบ”หญิงสาวผมยาวสีทองกำลังขึ้นขี่ขย่มมาร์คอย่างเมามัน ชายหนุ่มครางในลำคอยึดสะโพกญดาแทงเอ็นตอกสวนร่องฉ่ำ ปากจูบแลกลิ้นกันอย่างดูดดื่มโดยไม่รู้เลยว่ามีแขกที่ไม่ได้รับเชิญกำลังรับชมหนังสดนี้อยู่“พะ พะ พี่มาร์คคะ” ลัลน์เรียกมาร์คด้วยเสียงอันสั่นเครือ น้ำตาไหลเต็มนองหน้าสาว ทำให้กิจกรรมเข้าจังหวะระหว่างมาร์คกับญดาพลันชะงักลง“ว้ายยย นังบ้าแกเข้ามาในห้องของคนอื่นได้ยังไง ไม่มีมารยาท!!!” ญดากรีดร้องเสียงดัง มือขาวควานหาผ้ามาคลุมร่างกายขาวผ่องไว้“ละ ลัลน์ ” ชายผู้ก่อเรื่องสร้างปัญหาเรียกแฟนสาวของตนเสียงค่อย พลางอ้ำอึ้งน้ำล
ท่ามกลางร่มไม้เขียวขจีข้างริมสระน้ำ ใต้ร่มไม้มีหญิงสาวร่างท้วมคนหนึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะม้าหินอ่อน หญิงสาวแต่งกายด้วยชุดนักศึกษาตัวโคร่งใส่กระโปรงพลีทยาวคลุมข้อเท้า ดวงตาภายใต้กรอบแว่นหนากำลังสอดส่องเหมือนหาใครอยู่ “ลัลน์จ๋าาา ฉันมาแล้วขอโทษนะที่มาช้าพอดีว่าติดธุระ ขอโทษที่ทำให้แกรอนานนะ” สาวเจ้าร่างบางหน้าตาคมสวย ใส่ชุดนักศึกษาวิ่งกระหืดกระหอบพลางตะโกนเรียกหาเพื่อนรักซึ่งกำลังนั่งรออยู่ “หนูนานี่นะตลอดเลย น่าน้อยใจชะมัด” “โอ๋ๆๆๆ ไม่โกรธนะจ๊ะลัลน์จ๋า ทำแก้มป่องๆแบบนี้เดี๋ยวพี่มาร์คจะไม่รักนะ” หนูนากล่าวไปพลางหยิกแก้มลัลน์ไปด้วยความเอ็นดู “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับพี่มาร์คเขาเล่า” ลัลน์ว่าพลางหน้าแดงขวยเขินเมื่อหนูนาเอ่ยถึงแฟนหนุ่มของตน “แหมๆๆ อิจฉาคนรักกันหวานชื่นเนอะ เมื่อไหร่ฟ้าจะส่งผู้ชายหน้าตาดีแบบพี่มาร์คมาให้ฉันซักคนบ้าง” “ไม่ต้องมาทำแซวเลยมาคุยธุระของเรากันดีกว่า เราไปติดต่อกับทางคณะเรื่องฝึกงานแล้ว เห็นว่าให้ส่งเอกสารฝึกงานภายในอาทิตย์หน้า ว่าแต่หนูนาจะไปฝึกสำนักงานอัยการจังหวัดจริงใช่ไหม แกไม่คิดเปลี่ยนใจไปสำนักงานทนายความกั