กระทั่งได้ยินเสียงบัวสวรรค์กระซิบเรียกให้ตื่นจากภวังค์ หญิงสาวผุดลุกขึ้น แสร้งทำเป็นวุ่นวนดูต้นไม้ต้นนั้นที ต้นนี้ที เสียงกล้วยไม้หัวเราะนาง จะว่าไปการได้เข้าวังคือการพักผ่อนอย่างหนึ่งเลยก็ว่าได้ ครู่หนึ่งขันทีผู้หนึ่งมาตามตัวนาง พูดคุยสอบถามเล็กน้อย พอเห็นกล้วยไม้ของฮองไทเฮากลับมาสดชื่นอีกครั้งก็ดีใจจนรีบร้อนขอตัวไปรายงานฮองไทเฮา
ว่านหนิงเหมยรีบใส่รองเท้า ปัดเศษดินออกจากกระโปรง รีบล้างมือให้สะอาด ก่อนออกจากสวนสี่ฤดู นางหันไปแลบลิ้นปลิ้นตาใส่ต้นไม้นานาพรรณของฮองไทเฮา
‘เจ้ากำลังหลงรักชายที่ไม่อาจรักได้’
“ข้ารู้...ข้าติดหนี้บุญคุณคนผู้นั้น”
เขาแบกรับความผิดที่ไม่ได้ก่อ แผลเป็นบนแก้มนี้เกิดจากนางตกใจ ยามใดนางถูกทำร้าย ต้นไม้เหล่านั้นจะเข้าช่วยเหลือ ครานั้นนางตกใจที่เขาเดินเข้ามาหา เห็นเขายกมือขึ้นก็เข้าใจผิดว่าเขาจะทำร้าย เพราะความคิดของตน ทำให้กิ่งไม้ตวัดหมายทำร้ายองค์ชายเฟยเทียนเพื่อปกป้องนาง แต่ขณะนั้น นางยกมือขึ้นกุมศีรษะ แท้จริงแล้วมีหนอนตัวหนึ่งตกบนศีรษะของนาง นางร้องห้ามในใจทันทีที่เห็นปลายกิ่งไม้ตวัดใส่ราวกับแส้ กิ่งไม้นั้นชะงักแล้วแต่ปลายกิ่งแหลมนั่นไม่อาจหยุดได้ทัน จึงตวัดโดนแก้มของนาง
แม้แววตาจ้องมองนางอย่างประหลาดใจ แต่ไม่เอ่ยถามอะไร ยอมให้ผู้อื่นด่าประณามว่าเขาเป็นคนโหดร้าย รังแกเด็กอายุสิบสองอย่างนางได้
เสร็จธุระในวังแล้วจึงได้เวลากลับ นางให้ขันทีไปส่งแค่นอกประตูวัง นานๆ ได้ออกจากบ้านที นางมักเดินเที่ยวเล่นในตลาดก่อนกลับบ้านเสมอ หญิงสาวสวมหมวกสานมีผ้าโปร่งคลุมเพื่อซุกซ่อนใบหน้าที่มีรอยแผลเป็น เบื้องหน้าใครต่อใครคิดว่านางเป็นคนหัวอ่อน ยอมคน ไม่มีปากเสียง แต่เมื่ออยู่นอกบ้าน เมื่อไม่มีใครรู้ว่านางเป็นใคร นางกลายเป็นหญิงสาวแสนซุกซนราวลิงน้อย ถ้าวันใดได้ออกจากวังหลวงเร็ว นางจะแวะไปโรงน้ำชาสุราแดง โรงน้ำชาแห่งนี้ไม่ใช่โรงน้ำชาชั้นสูง แต่มีคุณชายหรือขุนนางแวะเวียนมาบ้างประปราย ที่นางแวะมาเพราะหาเพื่อนเล่นหมากล้อมสักกระดานเท่านั้น
“ไร้นามวันนี้แวะมาได้รึ”
“มารบกวนลุงถังแล้ว”
‘ลุงถัง’ ใครๆ ก็เรียกท่านลุงถังสั้นๆ เพียงแค่นี้ก็เข้าใจว่าเขาคือเถ้าแก่โรงน้ำชาสุราแดงแห่งนี้ เขาชื่นชอบการเล่นหมากล้อมนัก แรกทีเดียวนางรู้เพียงว่าที่นี่มีคนมาประลองหมากล้อม แต่เมื่อนางได้รู้จักเถ้าแก่ก็ได้รับความเอ็นดูให้มานั่งเล่นได้ เมื่อนางไม่เปิดเผยใบหน้าหรือชื่อแซ่ เถ้าแก่ก็เรียกนางว่า ‘ไร้นาม’ นางแค่เล่นสนุกๆ แต่บางครั้งเพื่อความสนุกย่อมต้องมีเดิมพัน ไม่เคยคิดว่าที่เทพมังกรดินสอนนางเล่นหมากล้อมในครั้งนั้น จะทำให้มีรายได้เล็กๆ น้อยๆ อย่างนี้
ช่วงที่นางเข้าวังใหม่ๆ พอเริ่มคุ้นเคยกับขันทีที่มาส่งแล้ว นางขอเดินกลับเอง จึงได้พบที่แห่งนี้ นางกับลุงถังพูดคุยกันถูกคอจึงได้รับไมตรีให้เดินหมากที่นี่ได้ แล้ววันหนึ่งหลังออกจากวังหลวง นางพบกับ ‘จ้าวต้า’ ที่ตอนนั้นนั่งร้องไห้ขายตัวเพื่อฝังศพพ่อ นางมีเงินเก็บจากที่เดิมพันหมากล้อม และถุงเงินจากขันทีที่ฮองไทเฮาประทานให้ นางจึงซื้อตัวจ้าวต้ากลับไปบ้าน นางถูกคนที่บ้านก่นด่ายกใหญ่ แต่นางยืนกรานจะรับจ้าวต้าไว้ให้ได้ เห็นเด็กชายตัวน้อยผู้นี้แล้วก็คิดถึงตนเอง นางไม่ได้มีเจตนาจะซื้อจ้าวต้าเป็นคนรับใช้ เพียงแค่หวังให้เขามีที่อยู่ ที่กิน ที่ซุกหัวนอน รอให้เติบโตกว่านี้ หาที่ทางไปได้ นางก็คืนอิสระให้แก่เขา
“ไม่ได้เจอเจ้าหลายวัน วันนี้เดินหมากกับข้าสักกระดานเถอะ”
ว่านหนิงเหมยเพียงพยักหน้ารับ แต่กวาดตามองไปรอบๆ รู้สึกว่ามีคนจากถิ่นอื่นเข้ามามาก ไม่ใช่แค่โรงน้ำชาแห่งนี้เท่านั้น ระหว่างเดินเล่นในตลาด นางก็รู้สึกว่ามีคนต่างถิ่นเข้ามาปะปนมาก
“ระยะนี้กิจการท่านดีนัก ดูสิ ผู้คนแน่นร้านกันเลย”
“แน่นร้านอย่างไรข้าก็อยากเดินหมากกับเจ้า”
“ท่านลุงถังฝีมือข้าอ่อนด้อยนัก ท่านเดินหมากกับข้าจะไม่เสียเวลาเปล่าหรือ?” หญิงสาวหัวเราะเบาๆ วิธีเดินหมากของลุงถังบอกได้ว่าเป็นคนดุดันมุทะลุ แต่นางก็พยายามตะล่อม ไม่วางหมากเร็วเกินไป
แม้จริงแล้ว นางแค่อยากมาทักทายเท่านั้น
“ตั้งแต่มีข่าวองค์ชายเฟยเทียนจะเสด็จกลับเมืองหลวงนั่นแหละ”
“อย่างนั้นรึ” นางวางหมากขาวของตนเอง ไม่ถามอะไรเพิ่ม เพียงแต่ลอบมองผู้อื่นในร้าน เพียงครู่เดียวร่างหญิงสาววัยสามสิบเดินตรงเข้ามา ทำหน้าบึ้งตึงใส่
“ท่านนี่นะ พอเจอไร้นามเข้าก็ทิ้งได้ทุกอย่าง”
“น้าฉิงจือ” ว่านหนิงเหมยส่งเสียงทักทาย รู้ดีว่าน้าฉิงจือทำเสียงดุนั่นก็เพียงดุพี่ชายหรือท่านลุงถังเท่านั้น
“เลิกๆ เลิกเดินหมากล้อมนี่แล้วไปฝึกผีผากับข้าดีกว่า” ถังฉิงจือดึงมือเล็กที่กำหมากอยู่ให้ลุกขึ้น ไม่สนใจมารยาทในวงหมากล้อมสักนิด
“นี่! เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาแย่งไร้นามของข้า” คนเป็นพี่โมโหเดือดดาล รู้ทั้งรู้ว่าชอบเดินหมากเป็นชีวิตจิตใจ แต่น้องสาวกลับไม่ชอบเลยสักนิด
ว่านหนิงเหมยหัวเราะเสียงใส อยู่ในบ้านนางไม่เคยได้หัวเราะแบบนี้ ใครต่างมองว่าชีวิตนางโชคร้าย สำหรับนางแล้ว นี่ต่างหากชีวิตที่นางปรารถนา.
.....
ในตำหนักของฮองไทเฮามีฮ่องเต้ประทับอยู่ด้วย แม้จะมีเพียงคนสนิทในห้องนี้ แต่พระองค์ยังมีสีพระพักตร์เคร่งเครียดไม่น้อย
“เสด็จแม่ คำพูดของหลวงจีนผู้นั้นเชื่อถือได้หรือไม่”
“แม่นับถือไต้ซือซู่ยิ่งนัก” ฮองไทเฮาเอ่ยย้ำในสิ่งที่ตนได้พูดออกไปแล้ว “และแม่ก็ไม่เห็นจะเสียหาย หากเจ้าผู้เป็นบิดาจะประทานสมรสให้ลูกชายตัวเอง”
“เฮอะ!” ฮ่องเต้แค่นเสียงในลำคอ “ลูกชายที่ว่านั้นคือเฟยเทียน ที่เป็นปีศาจไปแล้ว!”
“ไม่ใช่เพราะเจ้ารึ! ทำให้เขาต้องเป็นเช่นนั้น!” ฮองไทเฮาขึงตาใส่ “เป็นเพราะเจ้ารังเกียจ ‘หลินหลาน’ ของข้า มัวเมากับนางสนมเอก ‘จื่อลู่’ หวังให้นางนั่งตำแหน่งฮองเฮาแทนหลินหลาน ปลดเฟยเทียนหลานชายข้าจากตำแหน่งรัชทายาท! ส่งเขาไปตายในสนามรบ! เรื่องพวกนี้เจ้าทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นได้อยู่รึ!”
“ใครใช้ให้มันเรียกปีศาจออกมา!” พระองค์ยังไม่ยอมรับความผิดที่เกิดเมื่อสิบปีก่อน หลินหลานเป็นฮองเฮาของพระองค์ เป็นสตรีที่ฮองไทเฮาเลือกให้เคียงข้าง แต่เขารังเกียจนาง! มิเคยรักใคร่สักปลายเล็บ แต่นางก็ดันมอบพระโอรสองค์แรกให้เขา “เทพเจ้ามีมากมายไยกลับเรียกปีศาจมาเล่า!”
“แม้เป็นมารปีศาจ แต่บ้านเมืองเรารอดปลอดภัยไม่ใช่หรือไร สิบปีมานี้ เฟยเทียนขยายอาณาเขตไปเท่าไหร่ เฟยเทียนมาเรียกร้องเอาอะไรกับเจ้ารึ! โน่น! เขาอยู่ตุนหวง ไกลจากเมืองหลวงกี่ร้อยกี่พันลี้!”
“ท่านก็เข้าข้างมัน”
“มันที่เจ้าเอ่ยถึงคือหลานชายข้า และข้าได้สัญญากับหลินหลานไว้แล้วว่าจะดูแลเขาแทนนาง นางยอมตายอย่างโดดเดี่ยวในตำหนักเย็น จื่อลู่ได้เป็นฮองเฮา ฉวนโหยวก็ได้เป็นรัชทายาท เจ้าก็ควรปล่อยวางเรื่องเฟยเทียนเสียบ้าง”
“ถ้าท่านคอยให้ท้ายมัน...เอ่อ...เฟยเทียนเช่นนี้ ก็ตามใจท่านเถิด แต่จะหาสตรีใดมาแต่งงานกับปีศาจเช่นเขาเล่า” “เรื่องนี้ข้าจัดการเอง” ฮองไทเฮาโบกมือไปมาคล้ายไม่ต้องการพูดถึงเรื่องพวกนี้อีก “ได้! ตราบใดที่คนผู้นั้นไม่สร้างความอัปยศให้แก่วงศ์ตระกูล ข้าก็ยังเห็นมันเป็นลูก!” ฮ่องเต้กัดฟันข่มโทสะ รีบลุกขึ้นเดินจากไปทันที ฮองไทเฮาได้แต่ถอนหายใจ สงสารหลายชายที่บิดาไม่รัก แม้เรียกว่าลูก น้ำเสียงก็แสนรังเกียจยิ่งนัก ฮองไทเฮานึกถึงมเหสีหลินหลาน นางเป็นหญิงที่ถูกวางหมากให้นั่งตำแหน่งนี้ตั้งแต่เกิด นิสัยเย่อหยิ่งเอาแต่ใจ เรื่องความงดงามนั้นเหนือผู้ใด ทว่ากลับไม่อาจครองใจฮ่องเต้ได้ อาจเป็นเพราะถูกบังคับให้อภิเษกจึงต่อต้าน หลินหลานเป็นคนยอมใครไม่เป็น ไม่รู้จักมารยา แม้ตนเองเป็นฮองเฮา เมื่อใดที่เห็นฮ่องเต้ให้ความสำคัญกับหญิงใดมากเกินไป ก็สั่งกำจัดเสีย ฮองไทเฮาย่อมรู้เรื่องเหล่านี้ดี แต่แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น จนกระทั่งสนมเอกจื่อลู่ประสูติพระโอรส ทำให้ฮองเฮาไม่พอพระทัย หวังกำจัดทั้งแม่และลูก ฮองไทเฮาจึงจำเป็นต้องยื่นมือเข้าช่วยเหลือ
ร่างสูงใหญ่มีเพียงผ้าผืนหนึ่งพันท่อนล่างเดินออกมาจากหลังม่านไม้ไผ่ ก้าวยาวๆ ไม่กี่ก้าวก็มาถึงโต๊ะของซิ่นเจี่ยง หยิบขวดสุราเทใส่ลำคออย่างกระหาย ท่อนบนที่เปลือยเปล่าเห็นรูปมังกรเพลิงชัดเจน ซึ่งเวลานี้กลายเป็นสีแดงดุจย้อมโลหิต ทั้งสามเห็นจนเคยชินแล้ว เมื่ออยู่กันเช่นนี้ ก็ไม่ได้ถือธรรมเนียมเคร่งครัดอะไร เจิ้งหู่ เจิ้งไฉ ยังไม่หยุดมือกับการกินขนมหวาน ซิ่นเจี่ยงยังไม่ละสายตาจากหมากดำบนกระดาน “ไล่พวกนางออกไป” “ขอรับ” เจิ้งหู่ เจิ้งไฉตอบพร้อมกัน ลุกขึ้นแล้วเดินไปเชิญนางคณิกาที่นอนเปลือยกายอ่อนระทวยบนเตียงนอน “นายของพวกท่าน จะเรียกใช้พวกข้าอีกหรือไม่” หญิงนางหนึ่งเอ่ยถามแม้จะยังหอบหายใจแรงอยู่ “เรื่องนั้นข้าไม่อาจรู้ได้” เจิ้งหู่ไหวไหล่ หยิบเสื้อผ้าของพวกนางโยนใส่ไม่เกรงมารยาท “พวกข้าหวังว่าจะได้รับใช้นายของพวกท่านอีก” นางคณิกาทั้งสามแทบคลานลงจากเตียง หอบเสื้อผ้าปิดบังเรือนร่างที่ทิ้งร่องรอยไว้เป็นจุดจ้ำแล้วเดินออกไปอย่างเชื่องช้า ซิ่นเจี่ยงหยิบถุงเงินส่งให้บรรดาคณิกาทั้งสามเป็นของรางวัล พวกนางได้รับค่าตัวแล้
“ไม่เป็นไรหรอก แผลเป็นก็คือแผลเป็น”ปกปิดไปก็เท่านั้น เช็ดแป้งออกก็ย่อมมองเห็น นางไม่รังเกียจแผลตัวเอง ผู้อื่นจะรังเกียจก็ช่างเถอะ นางใช้ผ้าโปร่งปิดครึ่งหน้าแล้วออกไปร่วมงานเลี้ยง เพราะไม่ใช่เชื้อพระวงศ์และไม่ได้เป็นท่านหญิง นางจึงหลบเลี่ยงอยู่ด้านหลัง ใจจดจ่อกับการปรากฏกายของชายที่ทุกคนหวาดกลัว เจอกันครั้งแรกตอนนางอายุสิบสอง เขาคงจำนางไม่ได้แล้ว สำหรับนาง เขาคือผู้มีพระคุณ หากเขาไม่แบกรับความผิดที่ตัวเองไม่ได้ก่อ อาจเป็นนางที่ถูกมองว่าเป็นมารปีศาจ เพราะรอยแผลนี้ทำให้นางรอดพ้นการถูกจับแต่งงานมาตลอด เสียงหัวเราะพูดคุยหายไปทันที ทุกสรรพสิ่งเงียบงัน เพียงการปรากฏกายของบุรุษรูปร่างสูงสง่าผู้นั้น องค์ชายเฟยเทียนหรืออดีตองค์รัชทายาท ก้าวเข้ามาในอาภรณ์สีน้ำเงินเข้มขับเน้นให้ยิ่งดูน่าเกรงขาม ร่างกายกำยำองอาจสมกับเป็นยอดนักรบ แม้มีใบหน้าหล่อเหลาคมคาย แต่ไม่มีสตรีนางใดกล้าเงยหน้ามองใบหน้านั้นตรงๆ จังหวะก้าวเดินอย่างมั่นคงทำให้ปลายผมสีแดงดุจปลายพู่กันจุ่มหมึกนั้นพลิ้วไหวน้อยๆ ทหารองครักษ์สองนายที่เดินตามมานั้น มีหน้ากากเหล็กสีดำปิดครึ่งหน้า กรุ่นไอ
“จะทำอย่างไรดี สุราอาหารส่งไป ดูคล้ายไม่ถูกปากท่านอ๋องหรือแม้แต่ผู้ติดตามก็ไม่แตะต้อง” นางกำนัลสองคนที่เดินผ่านหญิงสาวบ่นอุบอิบ เมื่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับองค์ชายเฟยเทียนหรือชินอ๋องแล้ว ว่านหนิงเหมยย่อมหูผึ่งทันที เมื่อเดินไปลับตาผู้อื่น นางสอบถามกับเหล่าพฤกษาในสวนสี่ฤดู “จริงรึ? องครักษ์ทั้งสองชอบกินขนมหวาน” ว่านหนิงเหมยถึงกับโคลงศีรษะไปมา แต่ต้นหลิวที่ยืนต้นเด่นริมสระบัวกลับสั่นไหวยืนยันในสิ่งที่ได้กล่าวไปแล้ว “ที่แท้มิใช่ไม่ถูกปาก แต่ไม่ใช่ของโปรดละสิ” หญิงสาวหัวเราะเบาๆ นึกถึงจ้าวต้าของนาง แม้จะเป็นเด็กชายตัวเล็กที่มักทำท่าทีองอาจเพื่อปกป้องนาง แต่เอาเข้าจริง เขาก็คือเด็กน้อยที่นางหลอกล่อด้วยขนมหวานได้ทุกคราวไป ‘กุนซือรูปงามผู้นั้น ชอบเดินหมากล้อมเป็นที่สุด’ ‘เจิ้งหู่ เป็นแฝดผู้พี่’ ‘เจิ้งไฉเป็นแฝดผู้น้อง’ ‘ทั้งสามร่วมรบในสงครามทรายย้อมโลหิต จึงเป็นดั่งสหายรักขององค์ชายเฟยเทียน’ ‘จุ๊ๆ ต้องเรียกชินอ๋องสิ’ ‘องค์ชายไม่สนใจตำแหน่งเสียหน่อย ใจพะวงอยากกลับตุนหวงแล้ว
เพียงแค่คิดก็เผลอยกท่อนแขนซ้ายขึ้นดู เวลานี้มันเป็นเพียงแขนข้างซ้ายที่มีปีศาจมังกรเพลิงหลับใหลอยู่ หากเมื่อเขาต้องการ ปีศาจกระหายโลหิตตนนั้นจะปรากฏได้ในทันที หลายปีมานี้เขาใช้ความสามารถของตนเอง ผนวกกับความสามารถของกุนซือที่เขาเชื่อใจ ซ้ำยังมีองครักษ์ซ้ายขวาที่เขาชุบเลี้ยงทั้งสองมาตั้งแต่ยังวัยเยาว์ เมื่อมีคนที่ไว้ใจได้อยู่เคียงข้าง ก็ไม่มีสิ่งใดขวางชัยชนะของเขาได้ เขาไม่เคยรู้สึกผิดที่เรียกหาปีศาจ หากย้อนเวลาได้ เขายังคงทำเช่นเดิม พอยกแขนลงก็ไปแตะโดนกระดาษกองหนึ่ง เขาเพียงปรายตามองแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ ที่ไม่เข้าใจก็คือ ไฉนฮองไทเฮาถึงได้นำรูปหญิงงามมาให้เขาเลือกเป็นพระชายา “เจ้าก็เลือกเอาสักคนเถิด” เขานึกถึงเสียงรับสั่งของฮองไทเฮา ไม่คิดว่ามีสตรีอยากชะตาขาดมาให้เขาเลือกเป็นพระชายานับสิบคน คงเพราะตำแหน่งพระชายาของชินอ๋องแห่งตุนหวงเย้ายวนจนยอมเอาชีวิตมาเสี่ยงแม้ไม่ได้เงยหน้าขึ้นจากกระดานที่วางหมากอยู่นั้น แต่ก็เข้าใจความคิดของผู้เป็นนายที่ซิ่นเจี่ยงติดตามมานาน เขาเป็นเด็กกำพร้าเดิมทีใช้ชีวิตเร่ร่อน เพราะรูปร่างผอมบางตามประสาเด็กกินไม่อิ่
แม้จะไม่ใช่ ‘คนโปรด’ แต่ฮองไทเฮาก็ส่งนางกำนัลมาคอยดูแลว่านหนิงเหมยเป็นอย่างดี หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมเข้านอนแล้ว พวกนางกำนัลยังช่วยแปรงผมยาวให้ด้วย แม้นางปฏิเสธหลายครั้งเพราะไม่คุ้นชินกับการมีผู้อื่นมาปรนนิบัติ จนเมื่อนางกำนัลออกไปแล้วหญิงสาวถึงรู้สึกหายใจโล่งขึ้น หญิงสาวเดินไปที่หน้าต่าง เวลานี้ยามซวี เหม่อมองไปด้านนอกด้วยหัวใจที่ยังว้าวุ่นและสับสน ‘โธ่ น่าสงสาร คนผู้นั้นจำนางไม่ได้’ ‘จะจำได้อย่างไร ตอนนั้นนางยังเด็ก’ “พวกเจ้าหยุดล้อข้าได้แล้ว” ว่านหนิงเหมยแลบลิ้นใส่ ใบไม้สั่นไหวเป็นเสียงหัวเราะคิกคัก “จะโกรธหรือน้อยใจก็ไม่ได้ ตอนนั้นข้าอายุแค่สิบสองเอง” ‘อายุแค่นั้นก็ริรักผู้ชาย’ ‘แล้วอย่างไรเล่า คนผู้นั้นหล่อเหลาองอาจถึงเพียงนั้น’ “พอเถิด ข้าอายเหลือเกิน” นางยกมือขึ้นปิดใบหน้า นางนี่แก่แดดแก่ลมเสียจริง ตัวแค่นั้นก็ริมีความรักแล้ว ‘ตอนนั้นอายุสิบสอง ตอนนี้อายุสิบแปด เจ้าเป็นสาวสะพรั่งแล้ว ได้พบกันอีกครั้ง ไยไม่ไขว่คว้าโอกาสนี้ไว้’ “เจ้าพูดถึงเรื่องอะไรกัน” หญิงสาวถามกลับอย่า
“หากไม่พอใจหม่อมฉัน เอ่ยปากไล่ออกไป หม่อมฉันก็ไม่ดื้อดึงที่จะอยู่ แต่ทำแบบนี้... ว้าย!” ว่านหนิงเหมยร้องเสียงหลงเมื่อมือใหญ่ดึงนางเข้าไปใกล้ จับท้ายทอยของนางให้แหงนหน้าขึ้น ริมฝีปากหยักประกบริมฝีปากนางอย่างรวดเร็ว ดวงตาของหญิงสาวเบิกกว้างด้วยความตกใจ แต่กลับทำให้มองเห็นแววตาเจ้าเล่ห์ของชายหนุ่มได้ชัด และเริ่มกลายเป็นเปลวไฟจนนางต้องหลับตาริมฝีปากถูกขบเม้มและไล้เลียจนหัวใจแทบหยุดเต้น สติที่เหลือเพียงน้อยนิดสั่งให้นางผลักเขาออก แต่มือเล็กคู่นั้นทำได้แค่ทุบแผงอกเปลือยเปล่าไปไม่กี่ครั้ง นางเผลออ้าปากหวังเรียกอากาศหายใจ แต่กลับเปิดทางให้เรียวลิ้นเปียกชื้นเข้ามาเกี่ยวกระหวัดกับลิ้นน้อยๆ ของนาง ปากและลิ้นร้อนของเขาเปี่ยมไปด้วยอำนาจ เขาจุมพิตนางยึดครองเอาสติของไปหมดสิ้น เพียงแค่จูบ นางอ่อนระทวยอย่างน่าอับอายในอ้อมอกแข็งแกร่งของเขาชายหนุ่มรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายกำลังจะหมดสติ จึงส่งลมปราณให้นางแล้วถอนจุมพิตอย่างเสียดาย มองดูนางที่ไร้เรี่ยวแรงในอกของเขา พอดวงตากระจ่างใสของนางลืมตาขึ้นกะพริบถี่ๆ ท่าทางไร้เดียงสานั้นทำให้เขาขบขันจนหัวเราะลั่นออกมา“คิดจะยั่วยวนข้า แต่แม้กระทั่งจูบเจ้ายังไม่เป็น เช่น
องค์ชายเฟยเทียนเลิกคิ้ว ‘เล่นพูดกันแบบนี้เลยรึ?’ เห็นทีว่าหญิงงามที่คัดสรรมานั้น คงได้รับการ ‘ซื้อตัว’ มาแล้ว เพียงแค่นึกถึงสตรีที่ไม่เต็มใจมาอยู่เคียงข้าง หากให้กำเนิดบุตรไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิงกับเขาแล้วจะเป็นเช่นไร เขาไม่ใช่คนรักใคร่เอ็นดูเด็ก แต่ไม่ได้รังเกียจ ตนเองกรำศึกยาวนาน จนนึกภาพยามเป็นพ่อคนไม่ออก เพียงนึกเล่นๆว่าหญิงที่ถูกบังคับให้แต่งงานและให้กำเนิดทายาทแก่เขาจะเป็นเช่นไร เขาเกิดมาเป็นลูกที่พ่อไม่รัก ความรู้สึกนี้ก็ราวกับรอยนาบของเหล็กร้อนบนหัวใจของเขาแล้ว หากนางผู้นั้นชิงชังลูกของเขาเล่า “กระหม่อมจำเป็นต้องเลือกหนึ่งในนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ” เขาเอ่ยออกมาหลังจากนั่งฟังฮองไทเฮาเกลี้ยกล่อมอยู่นาน “เจ้าก็เอ่ยชื่อมาสักคนเถิด” เพราะไต้ซือซู่ย้ำหนักหนาว่าต้องเป็นคนที่เฟยเทียน ‘เอ่ยชื่อ’ ออกมาด้วยตนเองเท่านั้น ถ้าไม่ติดเงื่อนไขนี้ นางคงเลือกสตรีมาเป็นพระชายาให้หลานชายเองแล้ว ชื่อ? นั่นสิ ผู้หญิงคนนั้นชื่ออะไรกันพลันเขากลับคิดถึงหญิงสาวผู้นั้น แม้มีรอยแผลเป็นบนใบหน้า แต่นางไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่ขนาดต้องปกปิดครึ่งหน้าเช่นนั้น นางตัวเล็กไปสักนิด
ลมหายใจของเขามีไว้เพื่อนางลมหายใจของนางมีไว้เพื่อเรื่องย่อเรื่องราวระหว่างเทพมังกรดิน ฮวงหลง และหญิงสาวเดินดินนามซิ่นฮวาเมื่อโชคชะตาเล่นตลกให้หญิงสาวมองเห็น ‘เทพมังกรดิน’เขาจำ(ใจ)ต้องปรากฏกายทุกครั้งที่นางเรียกขานนามของเขาทำให้เทพเซียนชั้นฟ้ากลายเป็นพี่เลี้ยงของเด็กหญิงตัวน้อยจวบจนนางเติบโตเป็นหญิงสาวงามสะพรั่งกฎสวรรค์ทำให้เขาต้องหักห้ามใจแต่เพราะนางและเขามีชะตาที่ต้องชดใช้กรรมร่วมกันและมีเพียง ‘ลมหายใจมังกร’ เท่านั้นที่จะต่อลมหายใจของนางได้เส้นทางที่เขาเลือกมิใช่สิ่งที่นางปรารถนาเพียงหนึ่งชาติภพเพื่อให้ใจได้ ‘รัก’แม้ช่วงเวลานั้นจะแสนสั้น.... นางก็ยินดีจาก ‘ท่อนแขนมังกร’ สู่ ‘ลมหายใจมังกร’(ท่อนแขนมังกรรุ่นลูก)‘ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น ข้าจะอยู่ข้างกายท่าน จะไม่มีวันทอดทิ้งท่านอย่างเด็ดขาด’“แม้ว่าข้าจะกลายเป็นคนอัปลักษณ์ เจ้าก็ยังอยู่เคียงข้างข้าหรือ?”‘แน่นอน’ นางยืนยันด้วยแววตาใสซื่อ ‘ข้ามิได้รักท่านที่หน้าตา แต่เพราะจิตใจของท่านต่างหากที่ข้าหลงรัก’“เจ้ารักข้า?”คำสารภาพรักของนางนั้นเขาได้ยินมานับร้อยนับพันครั้งแล้วกระมังแต่ครั้งนี้ แม้นางไม่ได้เปล่งเสียงออกมาแต่ห
“เช่นนั้นเจ้าไม่ลองมีลูกสาวให้เป็นเพื่อนซิ่นฮวาอีกคนเล่า เด็กๆในตำหนักมีแต่เด็กผู้ชาย ถ้ามีลูกผู้หญิงเพิ่มขึ้นอีกคนก็คงดีไม่น้อย ตอนนี้ซิ่นสือก็สามขวบแล้ว ถ้าเจ้าจะมีลูกอีกสักคนก็...”บุรุษหนุ่มผู้กรำศึกมานับไม่ถ้วนถึงกับสะอึกไปเมื่อเห็นสายตาดุๆ ของภรรยาตัวน้อย“ข้ามิใช่แม่หมูนะ” เหตุใดมาเคี่ยวเข็ญให้นางตั้งท้องขนาดนี้นะ“โธ่! เพราะเห็นเจ้าเป็นภรรยาหนึ่งเดียวของข้าถึงได้ชวนเจ้ามีลูกอีกสักคนหรือสองคนก็ได้” เขาโอบไหล่นางพานางกลับเข้าห้องพัก ปล่อยให้จ้าวต้าอยู่กับลูกชายสองคนของเขา คงเป็นวิธีเบี่ยงเบนความสนใจจากว่านหนิงเหมยให้จ้าวต้าไปรับตัวซิ่นฮวาจากสวนกระจ่างใจจ้าวต้าโคลงศีรษะไปมาแล้วมองเด็กน้อยทั้งสอง แม้ฐานะของเขาต้อยต่ำนัก แต่เขาเสมือนพี่ใหญ่ที่ต้องดูแลเด็กๆ เหล่านี้ เขาถอนหายใจก่อนยิ้มอ่อนโยน จูงมือซิ่นหลิงและอุ้มซิ่นสือไปส่งป้าฮุยเหอก่อนแล้วค่อยไปรับเด็กหญิงแสนซุกซนผู้นั้นเด็กหญิงตัวต้นเรื่องนั่งหน้าบึ้งตึงในศาลาหกเหลี่ยมของสวนกระจ่างใจ ท่านแม่ให้นางนั่งสำนึกผิดอยู่ผู้เดียว แต่กระนั้น นางก็รู้และมั่นใจว่าองครักษ์ของท่านพ่อคอยจับตาดูนางอยู่“เรื่องนิดเดียวเอง ไยท่านแม่ต้องโกรธถึงเ
ชายหนุ่มวัยสิบหกพาเรือนร่างกำยำเดินเข้าไปพร้อมรอยยิ้มประดับใบหน้าคมเข้ม แม้อายุเพียงแค่สิบหกปีแต่เพราะฝึกฝนวรยุทธ์อย่างเข้มงวด ทำให้เขาดูสูงใหญ่กว่าชายหนุ่มวัยเดียวกัน แทบไม่เหลือเค้าโครงเด็กชายผอมกะหร่องที่ค่อยติดตามพระชายาเลยแม้แต่น้อย เพียงร่างสูงเดินเข้าไปในห้องโถง พลันประสาทรับรู้ถึงการพุ่งเข้าใส่ ทว่าเขากลับไม่ปัดป้องหรือหลบหลีก ยอมให้ร่างเล็กโถมเข้าใส่สุดแรงจนเสียหลักหงายหลังล้มลงให้เด็กชายตัวน้อยวัยห้าขวบนั่งทับ “พี่จ้าวต้ากลับมาแล้ว!” มือน้อยของเด็กชายขยุ้มคอเสื้ออีกฝ่าย สีหน้าตื่นเต้นดีใจทั้งที่ไม่เจอกันแค่สามเดือน “คุณชายซิ่นหลิง” ชายหนุ่มหัวเราะขบขันกับท่าทางดีอกดีใจของอีกฝ่าย เพราะรู้ว่าผู้ที่พุ่งเข้ามาเป็นใครจึงยอมให้นั่งทับบนร่างตัวเองเช่นนี้ เขาจับไหล่เด็กชายตัวน้อย ยกตัวขึ้นเพื่อให้ตัวเองลุกขึ้นยืนได้ “พี่จ้าวต้ามาแล้ว ไปช่วยซิ่นฮวาเร็วๆ เข้า” มือน้อยกระตุกมือใหญ่แล้วชี้ไปทางด้านหลังของตำหนักดุจตะวัน “หือ? คุณหนูเป็นอะไรไปขอรับ” เขาถามพลางมองไปตามทิศทางที่นิ้วป้อมๆ ชี้ไป ถ้าคุณหนูตัวน้อยอยู่ที่สวนก
พูดได้แค่นั้นก็อยากจะอาเจียนหรือหาของเปรี้ยวมากิน คราวนี้ฮองไทเฮาอดหัวเราะไม่ได้ ในขณะที่หลานรักอย่างเขากลับรู้สึกอับอายยิ่งนัก เพราะหลบสายตาของผู้เป็นย่าจึงปะทะกับสายตาล้อเลียนขององครักษ์ฝาแฝดทั้งสอง ทำได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างไม่พอใจ ก็ใครใช้ให้เขารักนางมากขนาดนี้กันเล่า เฮ้อ!“เอาเถิดๆ อย่างไรข้าจะเป็นยายแก่หนังเหนียวรอเจ้าพาเหลนและสะใภ้กลับมาเยี่ยมอยู่ที่นี่”องค์ชายเฟยเทียนโค้งตัวอำลาฮองไทเฮา คราวนี้เขาไม่รั้งอยู่นาน ใช้วิชาตัวเบาราวล่องหนหายออกไปจากวังหลวงพร้อมองครักษ์ทั้งสองอย่างรวดเร็ว เพื่อกลับไปดูแลคนที่ทำให้เขาต้องออกอาการแพ้ท้องแทนอยู่อย่างนี้ตุนหวงรถม้ามาหยุดหน้าตำหนักดุจตะวัน หญิงวัยกลางคนโผล่หน้าออกมาจากหน้าต่างรถอย่างไม่มั่นใจนัก จนกระทั่งเห็นเด็กชายที่เคยเลี้ยงดูรีบวิ่งเข้ามาหา นางจึงยิ้มกว้างออกมา“จ้าวต้า”“ป้าฮุยเหอมาแล้ว” จ้าวตารีบไปประคองให้นางลงจากรถม้า ก่อนท่านอ๋องเดินทางไปเมืองหลวงได้สอบถามเขาถึงคนสนิทหญิงรับใช้ที่บ้านเดิม ท่านอ๋องต้องการให้พระชายามีคนคุ้นเคยอยู่ใกล้ๆ คอยช่วยเหลือยามตั้งครรภ์แรก เขาจึงนึกถึงป้าฮุยเหอที่ดูแลเขาและพระชายามาตั้งแต่เกิด แต่เ
ดวงเนตรเบิกกว้างอย่างตกใจ ไม่คิดว่าจะได้ยินโอรสที่ทรงหมางเมินกล่าวออกมาเช่นนี้ จ้องมองบุรุษเบื้องหน้าที่ใบหน้าละม้ายคล้ายกันนัก สิ่งที่ลูกชายพูดออกมานั้นล้วนอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจ ทุกครั้งที่มองใบหน้านี้จึงเหมือนมองตนเองในวันวัยเดียวกัน ยามที่เป็นเพียงองค์รัชทายาทก็ราวกับเป็นเพียงหุ่นเชิดให้ใครต่อใครบงการ พยายามอย่างยิ่งให้เป็นที่ยอมรับ ได้รับความรักจากบิดาหรือก็คืออดีตฮ่องเต้องค์ก่อน แม้รู้ว่าสิ่งที่ตนทำไปนั้นไม่ถูกต้อง แต่ไม่อาจแก้ไขอะไรได้สิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ในใจ ไม่คิดเลยว่าบุรุษเบื้องหน้าผู้ถอดแบบเขาออกมาแทบทุกกระเบียดนิ้ว จะมองออกจนทะลุปรุโปร่งเช่นนี้ “สิ่งที่กระหม่อมทำก็เพื่อแผ่นดินมังกรแห่งนี้ ศึกภายในกระหม่อมไม่ขอยุ่งเกี่ยว กระหม่อมมิสนใจว่าผู้ใดต้องการกำจัดกระหม่อม แต่ชีวิตของกระหม่อมขอเพียงได้ปกป้องราษฎรและรักษาแผ่นดินที่แลกมาด้วยหยาดโลหิตและชีวิตทหาร หากกำจัดกระหม่อมไปแล้ว เห็นทีว่าจะไม่เป็นผลดีต่อแผ่นดินนี้”“เจ้ากำลังข่มขู่ข้ากระนั้นรึ” “มิได้ กระหม่อมแค่ต้องการย้ำให้พระบิดาเข้าใจ อย่าได้สิ้นเปลืองสมองมาระแวงกระหม่อม”เสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะยกถ้วยชาขึ้นจิบอีกครั้ง
เทพมังกรดินดูผลงานของตน เฝ้ามองเหล่ามารปีศาจกลับคืนสู่นรกแล้ว จึงกลายร่างเป็นบุรุษเจ้าของเส้นผมสีเงินยวง เดินเข้าไปหาคนทั้งสอง หญิงสาวพลิกตัวใช้ร่างของตนบังร่างของชายที่นางรักไว้ แม้นางรูปร่างเล็ก แต่กางแขนออกเพื่อปกป้องเขา“หนิงเหมย” เขาปรามนาง อยากจะหัวเราะที่เวลานี้มีหญิงสาวตัวเล็กกางแขนปกป้องเขาเต็มที่ ในชีวิตของเขา จะมีใครสักกี่คนที่ยอมอยู่เคียงข้างเช่นนี้ เพียงหนึ่งชีวิตอันแสนสั้น ได้รู้จักรัก หัวใจได้รับความรักก็นับว่ามีค่าและมีเกียรติให้ตายได้อย่างสงบแล้วเป็นนางเท่านั้นที่ทำให้เขาได้เรียนรู้ที่จะรัก ได้สัมผัสความรัก เพียงเท่านี้ก็พอแล้ว พอแล้วจริงๆ เทพมังกรดินจ้องมองชายหนุ่มหญิงสาวทั้งสองแล้วก็ลอบถอนหายใจ นี่แหละหนา จึงเป็นได้เพียงมนุษย์ไม่อาจละทิ้งอาวรณ์ได้ เขายื่นมือไปใช้เพียงปลายนิ้วแตะน้ำตาของหญิงสาว ว่านหนิงเหมยเบิกตาโต เห็นน้ำตาของตนกลั่นกลายเป็นก้อนกลมเล็กดุจลูกแก้ววาววับลอยเหนือฝ่ามือของเทพมังกรดิน แล้วยื่นไปที่เบื้องหน้าขององค์ชายเฟยเทียน “นี่คือ...” ว่านหนิงเหมยพึมพำ “กลืนมันลงไป” เทพมังกรดินสั่งน้ำเสียงเฉียบขาด องค์ช
“เจ้าเรียกปีศาจได้ ไยข้าจะทำบ้างมิได้” เพื่อชัยชนะ ย่อมทำได้ทุกอย่างไม่ว่าชัยชนะนั้นจะได้มาอย่างไรก็ตาม“เจ้าแลกสิ่งใดกับการเรียกปีศาจออกมา!”แม้เขามีปีศาจมังกรเพลิงอยู่ในท่อนแขนซ้าย แต่เรียกใช้เพียงการศึกครั้งเดียว เมื่อสิบปีก่อนที่เรียกกองทัพทหารปีศาจขึ้นมา กลายเป็นฝันร้ายไปชั่วชีวิต นับแต่นั้น เขาเพียงใช้แค่เกราะปีศาจมังกรเพลิงคุ้มกันกายค่าตอบแทนของทหารปีศาจเหล่านี้คือหายนะไม่สิ้นสุด ความตายที่ไม่อาจประเมินได้อยู่เบื้องหน้า ปีศาจเหล่านี้ล้วนต้องดื่มเลือดฉีกเนื้อกินวิญญาณมนุษย์ ครานั้นปีศาจที่เขาเรียกออกมากัดกินทหารฝ่ายตรงข้าม เศษซากที่เหลือกลายเป็นศพ กองเป็นภูเขาซากศพชวนให้อาเจียนและขนหัวลุก“ข้ามิโง่เช่นเจ้าที่แลกวิญญาณตนเองหรอกนะ” ลาซูแหงนหน้าหัวเราะ ดวงตากลายเป็นสีแดงราวกับย้อมด้วยโลหิต “แต่ข้าแลกด้วยชีวิตผู้คนในตุนหวง เมื่อข้านำกองทัพเข้ายึดครองแผ่นดินของเจ้า ผู้คนของเจ้าก็จะกลายเป็นอาหารอันโอชะให้พวกมันอย่างไรเล่า เมื่อเวลานั้นมาถึง ดินแดนของเจ้าจะมีเพียงผู้คนของข้าเท่านั้นที่เหยียบยืนบนแผ่นดินเปื้อนเลือดแห่งนี้”แม้ไม่ได้ยินเสียงสนทนาของคนทั้งสอง แต่บัดนี้หญิงสาวเข้าใจแล้วว่
นางหวังให้ตัวเองส่งเสียงเตือนให้ดังกว่านี้ แต่เสียงที่เปล่งออกไปเป็นเพียงเสียงแหบแห้งและสั่นเครือ นางรวบรวมเรี่ยวแรงที่เหลือเพียงน้อยนิด อาภรณ์สีดำขลิบแดงที่นางสวมทำให้ผิวกายของนางแสบร้อน ดวงตาเบิกกว้าง นางเห็นกลุ่มคนบุกเข้าไปกำลังปะทะกับทหารมองโกล “ท่าน...อ๋อง...” เสียงของนางแผ่วเบายิ่งกว่าเสียงของสายลม น้ำตาที่ทนกลั้นกลิ้งร่วงหล่นจากดวงตาเปื้อนแก้ม ขอให้นางได้เพียงส่งเสียง ได้เพียงเตือนเขาก็ยังดี “โอ๊ย!” ว่านหนิงเหมยร้องเสียงหลง หูทั้งสองข้างราวกับมีเสียงปริแตกลั่นดังเปรี๊ยะ! มือที่ถูกมัดทำให้ไม่อาจยกขึ้นมาแตะหูของตนได้ นางเจ็บจนนิ่วหน้า รู้สึกเหมือนมีน้ำไหลออกมาจากหูทั้งสองข้างนางหลับตาพยายามสะกดกลั้นความเจ็บที่ตนได้รับ เสียงหวีดแหลมที่ทำให้หูทั้งสองข้างเจ็บปวด ทำให้นางไม่อาจได้ยินเสียงอื่นใดอีก ในชั่วลมหายใจต่อมา หญิงสาวรู้สึกว่าเชือกที่มัดนางอยู่ถูกตัดขาดอย่างรวดเร็วพร้อมร่างของนางที่ร่วงหล่น เพียงเสี้ยวเวลาอันแสนสั้นและเปราะบาง ยามนั้นนางกลับนึกถึงเมื่อครั้งที่นางตกต้นหลิวอายุเกือบร้อยปีในสวนสี่ฤดูของฮองไทเฮา หัวใจของนางหล่นวูบ
“เจ้าต้องการสิ่งใดกันแน่” มือเรียวกำแน่น เผลอจิกเล็บกับฝ่ามือของตนเอง เมื่อเห็นอีกฝ่ายตั้งใจฟัง ลาซูจึงเอ่ยขึ้น “สังหารท่านอ๋องอย่างไรเล่า คงมีแต่ท่านเท่านั้นที่จะสังหารผู้ที่ครอบครองพลังปีศาจมังกรเพลิง” ลาซูพูดราวกับเป็นเรื่องธรรมดา “อ้อ! แต่อย่าได้เป็นกังวลไป หากพระชายากลายเป็นม่าย กระหม่อมยินดีรับท่านมาอยู่เคียงข้างอย่างไม่รังเกียจ” ยังไม่ทันสิ้นประโยคดี ฝ่ามือเล็กของหญิงสาวกระทบซีกแก้มของลาซูสุดแรงที่นางมี เพราะคิดว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงหญิงไร้วรยุทธ์จึงไม่หลบหลีกยินดีให้นางตบหน้าเขาเต็มแรง ว่านหนิงเหมยลดมือที่ยกค้างอยู่ลง แสร้งทำเป็นประคองสองมือไว้บนตัก ทว่ามือข้างขวานั้นชาและสั่นระริก หญิงสาวกัดริมฝีปากตนเองไม่ให้แสดงความตื่นตระหนกออกมา ดวงตาเป็นประกายฉายแววเคืองโกรธและจ้องมองอย่างไม่เกรงกลัว “หากมือของข้าต้องเปื้อนเลือด ต้องเป็นเลือดของคนชั่วเช่นเจ้าเท่านั้น! ข้ายินดีตายแต่ไม่ยอมทำร้ายท่านอ๋องเด็ดขาด!” “ดี!” ลาซูหัวเราะเหมือนคนเสียสติ ยื่นมือไปจับข้อมือข้างที่ตบหน้าเขากระชากนางให้ลุกขึ้นพร้อมกับต