กระทั่งได้ยินเสียงบัวสวรรค์กระซิบเรียกให้ตื่นจากภวังค์ หญิงสาวผุดลุกขึ้น แสร้งทำเป็นวุ่นวนดูต้นไม้ต้นนั้นที ต้นนี้ที เสียงกล้วยไม้หัวเราะนาง จะว่าไปการได้เข้าวังคือการพักผ่อนอย่างหนึ่งเลยก็ว่าได้ ครู่หนึ่งขันทีผู้หนึ่งมาตามตัวนาง พูดคุยสอบถามเล็กน้อย พอเห็นกล้วยไม้ของฮองไทเฮากลับมาสดชื่นอีกครั้งก็ดีใจจนรีบร้อนขอตัวไปรายงานฮองไทเฮา
ว่านหนิงเหมยรีบใส่รองเท้า ปัดเศษดินออกจากกระโปรง รีบล้างมือให้สะอาด ก่อนออกจากสวนสี่ฤดู นางหันไปแลบลิ้นปลิ้นตาใส่ต้นไม้นานาพรรณของฮองไทเฮา
‘เจ้ากำลังหลงรักชายที่ไม่อาจรักได้’
“ข้ารู้...ข้าติดหนี้บุญคุณคนผู้นั้น”
เขาแบกรับความผิดที่ไม่ได้ก่อ แผลเป็นบนแก้มนี้เกิดจากนางตกใจ ยามใดนางถูกทำร้าย ต้นไม้เหล่านั้นจะเข้าช่วยเหลือ ครานั้นนางตกใจที่เขาเดินเข้ามาหา เห็นเขายกมือขึ้นก็เข้าใจผิดว่าเขาจะทำร้าย เพราะความคิดของตน ทำให้กิ่งไม้ตวัดหมายทำร้ายองค์ชายเฟยเทียนเพื่อปกป้องนาง แต่ขณะนั้น นางยกมือขึ้นกุมศีรษะ แท้จริงแล้วมีหนอนตัวหนึ่งตกบนศีรษะของนาง นางร้องห้ามในใจทันทีที่เห็นปลายกิ่งไม้ตวัดใส่ราวกับแส้ กิ่งไม้นั้นชะงักแล้วแต่ปลายกิ่งแหลมนั่นไม่อาจหยุดได้ทัน จึงตวัดโดนแก้มของนาง
แม้แววตาจ้องมองนางอย่างประหลาดใจ แต่ไม่เอ่ยถามอะไร ยอมให้ผู้อื่นด่าประณามว่าเขาเป็นคนโหดร้าย รังแกเด็กอายุสิบสองอย่างนางได้
เสร็จธุระในวังแล้วจึงได้เวลากลับ นางให้ขันทีไปส่งแค่นอกประตูวัง นานๆ ได้ออกจากบ้านที นางมักเดินเที่ยวเล่นในตลาดก่อนกลับบ้านเสมอ หญิงสาวสวมหมวกสานมีผ้าโปร่งคลุมเพื่อซุกซ่อนใบหน้าที่มีรอยแผลเป็น เบื้องหน้าใครต่อใครคิดว่านางเป็นคนหัวอ่อน ยอมคน ไม่มีปากเสียง แต่เมื่ออยู่นอกบ้าน เมื่อไม่มีใครรู้ว่านางเป็นใคร นางกลายเป็นหญิงสาวแสนซุกซนราวลิงน้อย ถ้าวันใดได้ออกจากวังหลวงเร็ว นางจะแวะไปโรงน้ำชาสุราแดง โรงน้ำชาแห่งนี้ไม่ใช่โรงน้ำชาชั้นสูง แต่มีคุณชายหรือขุนนางแวะเวียนมาบ้างประปราย ที่นางแวะมาเพราะหาเพื่อนเล่นหมากล้อมสักกระดานเท่านั้น
“ไร้นามวันนี้แวะมาได้รึ”
“มารบกวนลุงถังแล้ว”
‘ลุงถัง’ ใครๆ ก็เรียกท่านลุงถังสั้นๆ เพียงแค่นี้ก็เข้าใจว่าเขาคือเถ้าแก่โรงน้ำชาสุราแดงแห่งนี้ เขาชื่นชอบการเล่นหมากล้อมนัก แรกทีเดียวนางรู้เพียงว่าที่นี่มีคนมาประลองหมากล้อม แต่เมื่อนางได้รู้จักเถ้าแก่ก็ได้รับความเอ็นดูให้มานั่งเล่นได้ เมื่อนางไม่เปิดเผยใบหน้าหรือชื่อแซ่ เถ้าแก่ก็เรียกนางว่า ‘ไร้นาม’ นางแค่เล่นสนุกๆ แต่บางครั้งเพื่อความสนุกย่อมต้องมีเดิมพัน ไม่เคยคิดว่าที่เทพมังกรดินสอนนางเล่นหมากล้อมในครั้งนั้น จะทำให้มีรายได้เล็กๆ น้อยๆ อย่างนี้
ช่วงที่นางเข้าวังใหม่ๆ พอเริ่มคุ้นเคยกับขันทีที่มาส่งแล้ว นางขอเดินกลับเอง จึงได้พบที่แห่งนี้ นางกับลุงถังพูดคุยกันถูกคอจึงได้รับไมตรีให้เดินหมากที่นี่ได้ แล้ววันหนึ่งหลังออกจากวังหลวง นางพบกับ ‘จ้าวต้า’ ที่ตอนนั้นนั่งร้องไห้ขายตัวเพื่อฝังศพพ่อ นางมีเงินเก็บจากที่เดิมพันหมากล้อม และถุงเงินจากขันทีที่ฮองไทเฮาประทานให้ นางจึงซื้อตัวจ้าวต้ากลับไปบ้าน นางถูกคนที่บ้านก่นด่ายกใหญ่ แต่นางยืนกรานจะรับจ้าวต้าไว้ให้ได้ เห็นเด็กชายตัวน้อยผู้นี้แล้วก็คิดถึงตนเอง นางไม่ได้มีเจตนาจะซื้อจ้าวต้าเป็นคนรับใช้ เพียงแค่หวังให้เขามีที่อยู่ ที่กิน ที่ซุกหัวนอน รอให้เติบโตกว่านี้ หาที่ทางไปได้ นางก็คืนอิสระให้แก่เขา
“ไม่ได้เจอเจ้าหลายวัน วันนี้เดินหมากกับข้าสักกระดานเถอะ”
ว่านหนิงเหมยเพียงพยักหน้ารับ แต่กวาดตามองไปรอบๆ รู้สึกว่ามีคนจากถิ่นอื่นเข้ามามาก ไม่ใช่แค่โรงน้ำชาแห่งนี้เท่านั้น ระหว่างเดินเล่นในตลาด นางก็รู้สึกว่ามีคนต่างถิ่นเข้ามาปะปนมาก
“ระยะนี้กิจการท่านดีนัก ดูสิ ผู้คนแน่นร้านกันเลย”
“แน่นร้านอย่างไรข้าก็อยากเดินหมากกับเจ้า”
“ท่านลุงถังฝีมือข้าอ่อนด้อยนัก ท่านเดินหมากกับข้าจะไม่เสียเวลาเปล่าหรือ?” หญิงสาวหัวเราะเบาๆ วิธีเดินหมากของลุงถังบอกได้ว่าเป็นคนดุดันมุทะลุ แต่นางก็พยายามตะล่อม ไม่วางหมากเร็วเกินไป
แม้จริงแล้ว นางแค่อยากมาทักทายเท่านั้น
“ตั้งแต่มีข่าวองค์ชายเฟยเทียนจะเสด็จกลับเมืองหลวงนั่นแหละ”
“อย่างนั้นรึ” นางวางหมากขาวของตนเอง ไม่ถามอะไรเพิ่ม เพียงแต่ลอบมองผู้อื่นในร้าน เพียงครู่เดียวร่างหญิงสาววัยสามสิบเดินตรงเข้ามา ทำหน้าบึ้งตึงใส่
“ท่านนี่นะ พอเจอไร้นามเข้าก็ทิ้งได้ทุกอย่าง”
“น้าฉิงจือ” ว่านหนิงเหมยส่งเสียงทักทาย รู้ดีว่าน้าฉิงจือทำเสียงดุนั่นก็เพียงดุพี่ชายหรือท่านลุงถังเท่านั้น
“เลิกๆ เลิกเดินหมากล้อมนี่แล้วไปฝึกผีผากับข้าดีกว่า” ถังฉิงจือดึงมือเล็กที่กำหมากอยู่ให้ลุกขึ้น ไม่สนใจมารยาทในวงหมากล้อมสักนิด
“นี่! เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาแย่งไร้นามของข้า” คนเป็นพี่โมโหเดือดดาล รู้ทั้งรู้ว่าชอบเดินหมากเป็นชีวิตจิตใจ แต่น้องสาวกลับไม่ชอบเลยสักนิด
ว่านหนิงเหมยหัวเราะเสียงใส อยู่ในบ้านนางไม่เคยได้หัวเราะแบบนี้ ใครต่างมองว่าชีวิตนางโชคร้าย สำหรับนางแล้ว นี่ต่างหากชีวิตที่นางปรารถนา.
.....
ในตำหนักของฮองไทเฮามีฮ่องเต้ประทับอยู่ด้วย แม้จะมีเพียงคนสนิทในห้องนี้ แต่พระองค์ยังมีสีพระพักตร์เคร่งเครียดไม่น้อย
“เสด็จแม่ คำพูดของหลวงจีนผู้นั้นเชื่อถือได้หรือไม่”
“แม่นับถือไต้ซือซู่ยิ่งนัก” ฮองไทเฮาเอ่ยย้ำในสิ่งที่ตนได้พูดออกไปแล้ว “และแม่ก็ไม่เห็นจะเสียหาย หากเจ้าผู้เป็นบิดาจะประทานสมรสให้ลูกชายตัวเอง”
“เฮอะ!” ฮ่องเต้แค่นเสียงในลำคอ “ลูกชายที่ว่านั้นคือเฟยเทียน ที่เป็นปีศาจไปแล้ว!”
“ไม่ใช่เพราะเจ้ารึ! ทำให้เขาต้องเป็นเช่นนั้น!” ฮองไทเฮาขึงตาใส่ “เป็นเพราะเจ้ารังเกียจ ‘หลินหลาน’ ของข้า มัวเมากับนางสนมเอก ‘จื่อลู่’ หวังให้นางนั่งตำแหน่งฮองเฮาแทนหลินหลาน ปลดเฟยเทียนหลานชายข้าจากตำแหน่งรัชทายาท! ส่งเขาไปตายในสนามรบ! เรื่องพวกนี้เจ้าทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นได้อยู่รึ!”
“ใครใช้ให้มันเรียกปีศาจออกมา!” พระองค์ยังไม่ยอมรับความผิดที่เกิดเมื่อสิบปีก่อน หลินหลานเป็นฮองเฮาของพระองค์ เป็นสตรีที่ฮองไทเฮาเลือกให้เคียงข้าง แต่เขารังเกียจนาง! มิเคยรักใคร่สักปลายเล็บ แต่นางก็ดันมอบพระโอรสองค์แรกให้เขา “เทพเจ้ามีมากมายไยกลับเรียกปีศาจมาเล่า!”
“แม้เป็นมารปีศาจ แต่บ้านเมืองเรารอดปลอดภัยไม่ใช่หรือไร สิบปีมานี้ เฟยเทียนขยายอาณาเขตไปเท่าไหร่ เฟยเทียนมาเรียกร้องเอาอะไรกับเจ้ารึ! โน่น! เขาอยู่ตุนหวง ไกลจากเมืองหลวงกี่ร้อยกี่พันลี้!”
“ท่านก็เข้าข้างมัน”
“มันที่เจ้าเอ่ยถึงคือหลานชายข้า และข้าได้สัญญากับหลินหลานไว้แล้วว่าจะดูแลเขาแทนนาง นางยอมตายอย่างโดดเดี่ยวในตำหนักเย็น จื่อลู่ได้เป็นฮองเฮา ฉวนโหยวก็ได้เป็นรัชทายาท เจ้าก็ควรปล่อยวางเรื่องเฟยเทียนเสียบ้าง”
“ถ้าท่านคอยให้ท้ายมัน...เอ่อ...เฟยเทียนเช่นนี้ ก็ตามใจท่านเถิด แต่จะหาสตรีใดมาแต่งงานกับปีศาจเช่นเขาเล่า” “เรื่องนี้ข้าจัดการเอง” ฮองไทเฮาโบกมือไปมาคล้ายไม่ต้องการพูดถึงเรื่องพวกนี้อีก “ได้! ตราบใดที่คนผู้นั้นไม่สร้างความอัปยศให้แก่วงศ์ตระกูล ข้าก็ยังเห็นมันเป็นลูก!” ฮ่องเต้กัดฟันข่มโทสะ รีบลุกขึ้นเดินจากไปทันที ฮองไทเฮาได้แต่ถอนหายใจ สงสารหลายชายที่บิดาไม่รัก แม้เรียกว่าลูก น้ำเสียงก็แสนรังเกียจยิ่งนัก ฮองไทเฮานึกถึงมเหสีหลินหลาน นางเป็นหญิงที่ถูกวางหมากให้นั่งตำแหน่งนี้ตั้งแต่เกิด นิสัยเย่อหยิ่งเอาแต่ใจ เรื่องความงดงามนั้นเหนือผู้ใด ทว่ากลับไม่อาจครองใจฮ่องเต้ได้ อาจเป็นเพราะถูกบังคับให้อภิเษกจึงต่อต้าน หลินหลานเป็นคนยอมใครไม่เป็น ไม่รู้จักมารยา แม้ตนเองเป็นฮองเฮา เมื่อใดที่เห็นฮ่องเต้ให้ความสำคัญกับหญิงใดมากเกินไป ก็สั่งกำจัดเสีย ฮองไทเฮาย่อมรู้เรื่องเหล่านี้ดี แต่แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น จนกระทั่งสนมเอกจื่อลู่ประสูติพระโอรส ทำให้ฮองเฮาไม่พอพระทัย หวังกำจัดทั้งแม่และลูก ฮองไทเฮาจึงจำเป็นต้องยื่นมือเข้าช่วยเหลือ
ร่างสูงใหญ่มีเพียงผ้าผืนหนึ่งพันท่อนล่างเดินออกมาจากหลังม่านไม้ไผ่ ก้าวยาวๆ ไม่กี่ก้าวก็มาถึงโต๊ะของซิ่นเจี่ยง หยิบขวดสุราเทใส่ลำคออย่างกระหาย ท่อนบนที่เปลือยเปล่าเห็นรูปมังกรเพลิงชัดเจน ซึ่งเวลานี้กลายเป็นสีแดงดุจย้อมโลหิต ทั้งสามเห็นจนเคยชินแล้ว เมื่ออยู่กันเช่นนี้ ก็ไม่ได้ถือธรรมเนียมเคร่งครัดอะไร เจิ้งหู่ เจิ้งไฉ ยังไม่หยุดมือกับการกินขนมหวาน ซิ่นเจี่ยงยังไม่ละสายตาจากหมากดำบนกระดาน “ไล่พวกนางออกไป” “ขอรับ” เจิ้งหู่ เจิ้งไฉตอบพร้อมกัน ลุกขึ้นแล้วเดินไปเชิญนางคณิกาที่นอนเปลือยกายอ่อนระทวยบนเตียงนอน “นายของพวกท่าน จะเรียกใช้พวกข้าอีกหรือไม่” หญิงนางหนึ่งเอ่ยถามแม้จะยังหอบหายใจแรงอยู่ “เรื่องนั้นข้าไม่อาจรู้ได้” เจิ้งหู่ไหวไหล่ หยิบเสื้อผ้าของพวกนางโยนใส่ไม่เกรงมารยาท “พวกข้าหวังว่าจะได้รับใช้นายของพวกท่านอีก” นางคณิกาทั้งสามแทบคลานลงจากเตียง หอบเสื้อผ้าปิดบังเรือนร่างที่ทิ้งร่องรอยไว้เป็นจุดจ้ำแล้วเดินออกไปอย่างเชื่องช้า ซิ่นเจี่ยงหยิบถุงเงินส่งให้บรรดาคณิกาทั้งสามเป็นของรางวัล พวกนางได้รับค่าตัวแล้
“ไม่เป็นไรหรอก แผลเป็นก็คือแผลเป็น”ปกปิดไปก็เท่านั้น เช็ดแป้งออกก็ย่อมมองเห็น นางไม่รังเกียจแผลตัวเอง ผู้อื่นจะรังเกียจก็ช่างเถอะ นางใช้ผ้าโปร่งปิดครึ่งหน้าแล้วออกไปร่วมงานเลี้ยง เพราะไม่ใช่เชื้อพระวงศ์และไม่ได้เป็นท่านหญิง นางจึงหลบเลี่ยงอยู่ด้านหลัง ใจจดจ่อกับการปรากฏกายของชายที่ทุกคนหวาดกลัว เจอกันครั้งแรกตอนนางอายุสิบสอง เขาคงจำนางไม่ได้แล้ว สำหรับนาง เขาคือผู้มีพระคุณ หากเขาไม่แบกรับความผิดที่ตัวเองไม่ได้ก่อ อาจเป็นนางที่ถูกมองว่าเป็นมารปีศาจ เพราะรอยแผลนี้ทำให้นางรอดพ้นการถูกจับแต่งงานมาตลอด เสียงหัวเราะพูดคุยหายไปทันที ทุกสรรพสิ่งเงียบงัน เพียงการปรากฏกายของบุรุษรูปร่างสูงสง่าผู้นั้น องค์ชายเฟยเทียนหรืออดีตองค์รัชทายาท ก้าวเข้ามาในอาภรณ์สีน้ำเงินเข้มขับเน้นให้ยิ่งดูน่าเกรงขาม ร่างกายกำยำองอาจสมกับเป็นยอดนักรบ แม้มีใบหน้าหล่อเหลาคมคาย แต่ไม่มีสตรีนางใดกล้าเงยหน้ามองใบหน้านั้นตรงๆ จังหวะก้าวเดินอย่างมั่นคงทำให้ปลายผมสีแดงดุจปลายพู่กันจุ่มหมึกนั้นพลิ้วไหวน้อยๆ ทหารองครักษ์สองนายที่เดินตามมานั้น มีหน้ากากเหล็กสีดำปิดครึ่งหน้า กรุ่นไอ
“จะทำอย่างไรดี สุราอาหารส่งไป ดูคล้ายไม่ถูกปากท่านอ๋องหรือแม้แต่ผู้ติดตามก็ไม่แตะต้อง” นางกำนัลสองคนที่เดินผ่านหญิงสาวบ่นอุบอิบ เมื่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับองค์ชายเฟยเทียนหรือชินอ๋องแล้ว ว่านหนิงเหมยย่อมหูผึ่งทันที เมื่อเดินไปลับตาผู้อื่น นางสอบถามกับเหล่าพฤกษาในสวนสี่ฤดู “จริงรึ? องครักษ์ทั้งสองชอบกินขนมหวาน” ว่านหนิงเหมยถึงกับโคลงศีรษะไปมา แต่ต้นหลิวที่ยืนต้นเด่นริมสระบัวกลับสั่นไหวยืนยันในสิ่งที่ได้กล่าวไปแล้ว “ที่แท้มิใช่ไม่ถูกปาก แต่ไม่ใช่ของโปรดละสิ” หญิงสาวหัวเราะเบาๆ นึกถึงจ้าวต้าของนาง แม้จะเป็นเด็กชายตัวเล็กที่มักทำท่าทีองอาจเพื่อปกป้องนาง แต่เอาเข้าจริง เขาก็คือเด็กน้อยที่นางหลอกล่อด้วยขนมหวานได้ทุกคราวไป ‘กุนซือรูปงามผู้นั้น ชอบเดินหมากล้อมเป็นที่สุด’ ‘เจิ้งหู่ เป็นแฝดผู้พี่’ ‘เจิ้งไฉเป็นแฝดผู้น้อง’ ‘ทั้งสามร่วมรบในสงครามทรายย้อมโลหิต จึงเป็นดั่งสหายรักขององค์ชายเฟยเทียน’ ‘จุ๊ๆ ต้องเรียกชินอ๋องสิ’ ‘องค์ชายไม่สนใจตำแหน่งเสียหน่อย ใจพะวงอยากกลับตุนหวงแล้ว
เพียงแค่คิดก็เผลอยกท่อนแขนซ้ายขึ้นดู เวลานี้มันเป็นเพียงแขนข้างซ้ายที่มีปีศาจมังกรเพลิงหลับใหลอยู่ หากเมื่อเขาต้องการ ปีศาจกระหายโลหิตตนนั้นจะปรากฏได้ในทันที หลายปีมานี้เขาใช้ความสามารถของตนเอง ผนวกกับความสามารถของกุนซือที่เขาเชื่อใจ ซ้ำยังมีองครักษ์ซ้ายขวาที่เขาชุบเลี้ยงทั้งสองมาตั้งแต่ยังวัยเยาว์ เมื่อมีคนที่ไว้ใจได้อยู่เคียงข้าง ก็ไม่มีสิ่งใดขวางชัยชนะของเขาได้ เขาไม่เคยรู้สึกผิดที่เรียกหาปีศาจ หากย้อนเวลาได้ เขายังคงทำเช่นเดิม พอยกแขนลงก็ไปแตะโดนกระดาษกองหนึ่ง เขาเพียงปรายตามองแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ ที่ไม่เข้าใจก็คือ ไฉนฮองไทเฮาถึงได้นำรูปหญิงงามมาให้เขาเลือกเป็นพระชายา “เจ้าก็เลือกเอาสักคนเถิด” เขานึกถึงเสียงรับสั่งของฮองไทเฮา ไม่คิดว่ามีสตรีอยากชะตาขาดมาให้เขาเลือกเป็นพระชายานับสิบคน คงเพราะตำแหน่งพระชายาของชินอ๋องแห่งตุนหวงเย้ายวนจนยอมเอาชีวิตมาเสี่ยงแม้ไม่ได้เงยหน้าขึ้นจากกระดานที่วางหมากอยู่นั้น แต่ก็เข้าใจความคิดของผู้เป็นนายที่ซิ่นเจี่ยงติดตามมานาน เขาเป็นเด็กกำพร้าเดิมทีใช้ชีวิตเร่ร่อน เพราะรูปร่างผอมบางตามประสาเด็กกินไม่อิ่
คำโปรยในคราวนั้น "เฟยเทียน" เพียงต้องการพลัง เพื่อครอบครองอำนาจ จึงเรียกปีศาจมังกรเพลิงและแลกเปลี่ยนบางสิ่งเพื่อให้ได้ชัยชนะในสงคราม ทรายย้อมโลหิต ทว่าปีศาจมังกรเพลิงตนนั้นใช้แขนซ้ายของเขาเป็นที่หลบซ่อนการตามล่าจากเทพมังกรดิน จึงปรากฏรอยสักสีเพลิงรูปมังกรที่ท่อนแขนซ้าย ทว่าการสู้รบแบบโหดเหี้ยมทำเขาถูดขับออกจากตำแหน่งรัชทายาทซึ่งเขามิใส่ใจ เป็นลูกที่พ่อไม่รัก ซ้ำกำจัดไม่ได้ต้องเก็บเขาไว้เป็นเสี้ยนหนามตำหัวใจเช่นนี้ เฟยเทียนกลับรู้สึกสุขสำราญใจดี"ว่านหนิงเหมย" ในวัยสิบแปด ไม่มีวี่แววว่าจะมีใครกล้ามาสู่ขอนางไปเป็นภรรยา ไม่ใช่เพราะฐานะที่เป็นลูกอนุของเสนาบดีว่านเท่านั้น แต่เพราะรอยแผลเป็นที่แก้มขวาของนางอีกด้วย เมื่อครั้งที่นางอายุเพียงสิบสอง การพบกันครั้งแรกระหว่างนางกับองค์ชายเฟยเทียน อุบัติเหตุครั้งนั้นทำให้ผู้อื่นเข้าใจเขาผิดคิดว่าเขาใช้กรงเล็บมังกรกรีดใบหน้านางจนเสียโฉม แม้นางจะบอกทุกคนว่าไม่ใช่ความผิดของเขาก็ไม่มีใครเชื่อนาง แต่เพราะแผลเป็นนี้ทำให้นางรอดพ้นการถูกบังคับให้แต่งงานได้ ขอเพียงใช้ชีวิตเรียบง่าย แม้ต้องอยู่เพียงลำพังนางก็ยินดี"เฟยเทียน"เข้าวังหลวงตามคำสั่งของพระบิดา
เสียงเด็กชายตัวเล็กร้องด้วยความเจ็บปวดทำให้หญิงสาวที่ง่วนอยู่ในครัว รีบเงยหน้าขึ้นหันไปทางทิศทางของเสียงที่ได้ยิน นางรีบวางมือจากงานตรงหน้า ก้าวเร็วๆ ไปที่ด้านนอก สายตากวาดมองหาร่างเด็กชายผอมกะหร่องผู้หนึ่ง แต่มองหาอยู่นานก็ไม่เห็น “จ้าวต้า” หญิงสาวร้องเรียกแต่ไม่ได้ยินเสียงตอบกลับ มองหญิงรับใช้ผู้อื่นที่ยืนอยู่ไม่ไกลนัก เห็นเพียงพยักพเยิดไปทางห้องเก็บฟืน นางจึงรีบเดินไปพลางเช็ดมือกับผ้ากันเปื้อนที่คาดเอวบางของตนอยู่ “จ้าวต้า” หญิงสาวเรียกอย่างอ่อนโยน มองเข้าไปในห้องเก็บฟืน กวาดตามองก็เห็นร่างเล็กขดตัวที่มุมห้อง นางเดินเข้าไปนั่งข้างๆ ดึงร่างนั้นเข้ามากอดอย่างไม่รังเกียจ แม้อีกฝ่ายสกปรกมอมแมมเพียงใด “คุณหนูหนิงเหมย ตัวข้าสกปรกนัก ท่านอย่ามากอดข้าเลย” เด็กชายวัยสิบเอ็ดขวบเอ่ยขึ้น เขาพูดจาอู้อี้ พลางยกหลังมือปาดน้ำตา“ข้าก็สกปรกไม่เห็นเป็นไรเลย” หญิงสาวพูดปนหัวเราะ พิศดูใบหน้าของเด็กชาย หัวใจกระตุกวูบแต่ฝืนยิ้มให้ “เจ้าโดนคุณชายทั้งสองแกล้งเอาอีกละสิ” เด็กชายไม่ตอบแต่กลั้นเสียงสะอึกสะอื้นไว้ หัวใจของหญิงสาวพลอยเจ็บปวดไปด้วย นาง
ตกใจแต่ไม่ได้กรีดร้อง งุนงงและได้แต่ทำตาปริบๆ ดวงตาคมวาวคู่นั้นเองเพียงแค่หรี่มองอย่างประหลาดใจ ทั้งสองตื่นจากภวังค์เพราะเสียงนางกำนัลที่บังเอิญผ่านมาและกรีดร้องเสียงหลงเพราะตกใจที่เห็นซีกขวาของนางมีรอยแผล เลือดสีสดไหลจากแก้มลงมาที่คางเปรอะปกเสื้อ นางรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมากดแผลตนเองเพื่อห้ามเลือด ในขณะที่ชายผู้นั้นยกมือขึ้นกอดอกยืนนิ่งดู ครู่ต่อมาฮองไทเฮารีบเสด็จมาดูด้วยพระองค์เอง ‘เฟยเทียน! ไยเจ้าทำร้ายนางซึ่งเป็นเพียงเด็กหญิงคนหนึ่งเท่านั้น’ นางจำได้ว่าตนตะลึงลานทำสิ่งใดไม่ถูก บรรดาองค์หญิงและท่านหญิงต่างพามามุงดู ทุกคนหวาดกลัวชายผู้นั้นไม่กล้าสบตา นางรีบส่ายหน้าไปมา พยายามเค้นเสียงพูดออกมาด้วยความตกใจ “มิได้เพคะ แผลนี้มิใช่ฝีมือของ...” นางไม่รู้ว่าชายผู้นี้เป็นใคร ได้ยินเพียงฮองไทเฮาเรียกชื่อเขา อีกฝ่ายก็ไม่แสดงความยำเกรงใดๆ แสดงว่าชายผู้นี้ต้องไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน “เจ้าไม่ต้องกลัว ...” ฮองไทเฮายื่นพระหัตถ์มาให้นางไปหลบด้านหลัง แต่นางกลับส่ายหน้าไปมาเร็วๆ “มิใช่เพคะ แผลนี้...แผลนี้...” นางคิดคำพูด ใจเต้นร
เพียงแค่คิดก็เผลอยกท่อนแขนซ้ายขึ้นดู เวลานี้มันเป็นเพียงแขนข้างซ้ายที่มีปีศาจมังกรเพลิงหลับใหลอยู่ หากเมื่อเขาต้องการ ปีศาจกระหายโลหิตตนนั้นจะปรากฏได้ในทันที หลายปีมานี้เขาใช้ความสามารถของตนเอง ผนวกกับความสามารถของกุนซือที่เขาเชื่อใจ ซ้ำยังมีองครักษ์ซ้ายขวาที่เขาชุบเลี้ยงทั้งสองมาตั้งแต่ยังวัยเยาว์ เมื่อมีคนที่ไว้ใจได้อยู่เคียงข้าง ก็ไม่มีสิ่งใดขวางชัยชนะของเขาได้ เขาไม่เคยรู้สึกผิดที่เรียกหาปีศาจ หากย้อนเวลาได้ เขายังคงทำเช่นเดิม พอยกแขนลงก็ไปแตะโดนกระดาษกองหนึ่ง เขาเพียงปรายตามองแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ ที่ไม่เข้าใจก็คือ ไฉนฮองไทเฮาถึงได้นำรูปหญิงงามมาให้เขาเลือกเป็นพระชายา “เจ้าก็เลือกเอาสักคนเถิด” เขานึกถึงเสียงรับสั่งของฮองไทเฮา ไม่คิดว่ามีสตรีอยากชะตาขาดมาให้เขาเลือกเป็นพระชายานับสิบคน คงเพราะตำแหน่งพระชายาของชินอ๋องแห่งตุนหวงเย้ายวนจนยอมเอาชีวิตมาเสี่ยงแม้ไม่ได้เงยหน้าขึ้นจากกระดานที่วางหมากอยู่นั้น แต่ก็เข้าใจความคิดของผู้เป็นนายที่ซิ่นเจี่ยงติดตามมานาน เขาเป็นเด็กกำพร้าเดิมทีใช้ชีวิตเร่ร่อน เพราะรูปร่างผอมบางตามประสาเด็กกินไม่อิ่
“จะทำอย่างไรดี สุราอาหารส่งไป ดูคล้ายไม่ถูกปากท่านอ๋องหรือแม้แต่ผู้ติดตามก็ไม่แตะต้อง” นางกำนัลสองคนที่เดินผ่านหญิงสาวบ่นอุบอิบ เมื่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับองค์ชายเฟยเทียนหรือชินอ๋องแล้ว ว่านหนิงเหมยย่อมหูผึ่งทันที เมื่อเดินไปลับตาผู้อื่น นางสอบถามกับเหล่าพฤกษาในสวนสี่ฤดู “จริงรึ? องครักษ์ทั้งสองชอบกินขนมหวาน” ว่านหนิงเหมยถึงกับโคลงศีรษะไปมา แต่ต้นหลิวที่ยืนต้นเด่นริมสระบัวกลับสั่นไหวยืนยันในสิ่งที่ได้กล่าวไปแล้ว “ที่แท้มิใช่ไม่ถูกปาก แต่ไม่ใช่ของโปรดละสิ” หญิงสาวหัวเราะเบาๆ นึกถึงจ้าวต้าของนาง แม้จะเป็นเด็กชายตัวเล็กที่มักทำท่าทีองอาจเพื่อปกป้องนาง แต่เอาเข้าจริง เขาก็คือเด็กน้อยที่นางหลอกล่อด้วยขนมหวานได้ทุกคราวไป ‘กุนซือรูปงามผู้นั้น ชอบเดินหมากล้อมเป็นที่สุด’ ‘เจิ้งหู่ เป็นแฝดผู้พี่’ ‘เจิ้งไฉเป็นแฝดผู้น้อง’ ‘ทั้งสามร่วมรบในสงครามทรายย้อมโลหิต จึงเป็นดั่งสหายรักขององค์ชายเฟยเทียน’ ‘จุ๊ๆ ต้องเรียกชินอ๋องสิ’ ‘องค์ชายไม่สนใจตำแหน่งเสียหน่อย ใจพะวงอยากกลับตุนหวงแล้ว
“ไม่เป็นไรหรอก แผลเป็นก็คือแผลเป็น”ปกปิดไปก็เท่านั้น เช็ดแป้งออกก็ย่อมมองเห็น นางไม่รังเกียจแผลตัวเอง ผู้อื่นจะรังเกียจก็ช่างเถอะ นางใช้ผ้าโปร่งปิดครึ่งหน้าแล้วออกไปร่วมงานเลี้ยง เพราะไม่ใช่เชื้อพระวงศ์และไม่ได้เป็นท่านหญิง นางจึงหลบเลี่ยงอยู่ด้านหลัง ใจจดจ่อกับการปรากฏกายของชายที่ทุกคนหวาดกลัว เจอกันครั้งแรกตอนนางอายุสิบสอง เขาคงจำนางไม่ได้แล้ว สำหรับนาง เขาคือผู้มีพระคุณ หากเขาไม่แบกรับความผิดที่ตัวเองไม่ได้ก่อ อาจเป็นนางที่ถูกมองว่าเป็นมารปีศาจ เพราะรอยแผลนี้ทำให้นางรอดพ้นการถูกจับแต่งงานมาตลอด เสียงหัวเราะพูดคุยหายไปทันที ทุกสรรพสิ่งเงียบงัน เพียงการปรากฏกายของบุรุษรูปร่างสูงสง่าผู้นั้น องค์ชายเฟยเทียนหรืออดีตองค์รัชทายาท ก้าวเข้ามาในอาภรณ์สีน้ำเงินเข้มขับเน้นให้ยิ่งดูน่าเกรงขาม ร่างกายกำยำองอาจสมกับเป็นยอดนักรบ แม้มีใบหน้าหล่อเหลาคมคาย แต่ไม่มีสตรีนางใดกล้าเงยหน้ามองใบหน้านั้นตรงๆ จังหวะก้าวเดินอย่างมั่นคงทำให้ปลายผมสีแดงดุจปลายพู่กันจุ่มหมึกนั้นพลิ้วไหวน้อยๆ ทหารองครักษ์สองนายที่เดินตามมานั้น มีหน้ากากเหล็กสีดำปิดครึ่งหน้า กรุ่นไอ
ร่างสูงใหญ่มีเพียงผ้าผืนหนึ่งพันท่อนล่างเดินออกมาจากหลังม่านไม้ไผ่ ก้าวยาวๆ ไม่กี่ก้าวก็มาถึงโต๊ะของซิ่นเจี่ยง หยิบขวดสุราเทใส่ลำคออย่างกระหาย ท่อนบนที่เปลือยเปล่าเห็นรูปมังกรเพลิงชัดเจน ซึ่งเวลานี้กลายเป็นสีแดงดุจย้อมโลหิต ทั้งสามเห็นจนเคยชินแล้ว เมื่ออยู่กันเช่นนี้ ก็ไม่ได้ถือธรรมเนียมเคร่งครัดอะไร เจิ้งหู่ เจิ้งไฉ ยังไม่หยุดมือกับการกินขนมหวาน ซิ่นเจี่ยงยังไม่ละสายตาจากหมากดำบนกระดาน “ไล่พวกนางออกไป” “ขอรับ” เจิ้งหู่ เจิ้งไฉตอบพร้อมกัน ลุกขึ้นแล้วเดินไปเชิญนางคณิกาที่นอนเปลือยกายอ่อนระทวยบนเตียงนอน “นายของพวกท่าน จะเรียกใช้พวกข้าอีกหรือไม่” หญิงนางหนึ่งเอ่ยถามแม้จะยังหอบหายใจแรงอยู่ “เรื่องนั้นข้าไม่อาจรู้ได้” เจิ้งหู่ไหวไหล่ หยิบเสื้อผ้าของพวกนางโยนใส่ไม่เกรงมารยาท “พวกข้าหวังว่าจะได้รับใช้นายของพวกท่านอีก” นางคณิกาทั้งสามแทบคลานลงจากเตียง หอบเสื้อผ้าปิดบังเรือนร่างที่ทิ้งร่องรอยไว้เป็นจุดจ้ำแล้วเดินออกไปอย่างเชื่องช้า ซิ่นเจี่ยงหยิบถุงเงินส่งให้บรรดาคณิกาทั้งสามเป็นของรางวัล พวกนางได้รับค่าตัวแล้
“ถ้าท่านคอยให้ท้ายมัน...เอ่อ...เฟยเทียนเช่นนี้ ก็ตามใจท่านเถิด แต่จะหาสตรีใดมาแต่งงานกับปีศาจเช่นเขาเล่า” “เรื่องนี้ข้าจัดการเอง” ฮองไทเฮาโบกมือไปมาคล้ายไม่ต้องการพูดถึงเรื่องพวกนี้อีก “ได้! ตราบใดที่คนผู้นั้นไม่สร้างความอัปยศให้แก่วงศ์ตระกูล ข้าก็ยังเห็นมันเป็นลูก!” ฮ่องเต้กัดฟันข่มโทสะ รีบลุกขึ้นเดินจากไปทันที ฮองไทเฮาได้แต่ถอนหายใจ สงสารหลายชายที่บิดาไม่รัก แม้เรียกว่าลูก น้ำเสียงก็แสนรังเกียจยิ่งนัก ฮองไทเฮานึกถึงมเหสีหลินหลาน นางเป็นหญิงที่ถูกวางหมากให้นั่งตำแหน่งนี้ตั้งแต่เกิด นิสัยเย่อหยิ่งเอาแต่ใจ เรื่องความงดงามนั้นเหนือผู้ใด ทว่ากลับไม่อาจครองใจฮ่องเต้ได้ อาจเป็นเพราะถูกบังคับให้อภิเษกจึงต่อต้าน หลินหลานเป็นคนยอมใครไม่เป็น ไม่รู้จักมารยา แม้ตนเองเป็นฮองเฮา เมื่อใดที่เห็นฮ่องเต้ให้ความสำคัญกับหญิงใดมากเกินไป ก็สั่งกำจัดเสีย ฮองไทเฮาย่อมรู้เรื่องเหล่านี้ดี แต่แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น จนกระทั่งสนมเอกจื่อลู่ประสูติพระโอรส ทำให้ฮองเฮาไม่พอพระทัย หวังกำจัดทั้งแม่และลูก ฮองไทเฮาจึงจำเป็นต้องยื่นมือเข้าช่วยเหลือ
กระทั่งได้ยินเสียงบัวสวรรค์กระซิบเรียกให้ตื่นจากภวังค์ หญิงสาวผุดลุกขึ้น แสร้งทำเป็นวุ่นวนดูต้นไม้ต้นนั้นที ต้นนี้ที เสียงกล้วยไม้หัวเราะนาง จะว่าไปการได้เข้าวังคือการพักผ่อนอย่างหนึ่งเลยก็ว่าได้ ครู่หนึ่งขันทีผู้หนึ่งมาตามตัวนาง พูดคุยสอบถามเล็กน้อย พอเห็นกล้วยไม้ของฮองไทเฮากลับมาสดชื่นอีกครั้งก็ดีใจจนรีบร้อนขอตัวไปรายงานฮองไทเฮา ว่านหนิงเหมยรีบใส่รองเท้า ปัดเศษดินออกจากกระโปรง รีบล้างมือให้สะอาด ก่อนออกจากสวนสี่ฤดู นางหันไปแลบลิ้นปลิ้นตาใส่ต้นไม้นานาพรรณของฮองไทเฮา ‘เจ้ากำลังหลงรักชายที่ไม่อาจรักได้’ “ข้ารู้...ข้าติดหนี้บุญคุณคนผู้นั้น” เขาแบกรับความผิดที่ไม่ได้ก่อ แผลเป็นบนแก้มนี้เกิดจากนางตกใจ ยามใดนางถูกทำร้าย ต้นไม้เหล่านั้นจะเข้าช่วยเหลือ ครานั้นนางตกใจที่เขาเดินเข้ามาหา เห็นเขายกมือขึ้นก็เข้าใจผิดว่าเขาจะทำร้าย เพราะความคิดของตน ทำให้กิ่งไม้ตวัดหมายทำร้ายองค์ชายเฟยเทียนเพื่อปกป้องนาง แต่ขณะนั้น นางยกมือขึ้นกุมศีรษะ แท้จริงแล้วมีหนอนตัวหนึ่งตกบนศีรษะของนาง นางร้องห้ามในใจทันทีที่เห็นปลายกิ่งไม้ตวัดใส่ราวกับแส้ กิ่งไม้นั
เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเมื่อตอนที่นางอายุเก้าขวบ หลังจากช่วยงานป้าฮุยเหอแล้ว นางเดินจากครัวเพื่อกลับห้องนอนของตน แต่นางกลับเห็นชายหนุ่มผู้หนึ่งนั่งที่ศาลาหกเหลี่ยม ด้วยความสนใจจึงเดินเข้าไปใกล้ ดวงตาเป็นประกายจ้องมองชายผู้มีเส้นผมสีเงินยวง คนผู้นั้นกำลังเดินหมากล้อมเพียงลำพัง ใบหน้าสุขุมนั้นวางหมากอย่างไร้ความลังเล นางเห็นเขาเดินหมากเพียงผู้เดียว กำหมากทั้งดำและขาวก็งุนงงจนอดถามไม่ได้ “ท่านเดินหมากคนเดียวเช่นนี้ ต่อให้หมากขาวหรือหมากดำชนะ ท่านก็ชนะอยู่ดีไม่ใช่รึ” “หือ?” ชายผู้นั้นเงยหน้าขึ้นแล้วจ้องมองนาง “ขออภัย พี่ชาย ข้าแค่สงสัย” นางหดคอด้วยความรู้สึกผิด จำได้ว่าเวลาเดินหมากไม่ควรพูดแทรกหรือส่งเสียงดังรบกวนสมาธิผู้อื่น “เด็กน้อย เจ้ามองเห็นข้างั้นรึ” ดวงตากลมจ้องมองอีกฝ่ายแล้วพยักหน้าหงึกๆ นางเห็นมุมปากยกยิ้มก็รู้สึกโล่งอก เขาเคาะนิ้วที่เก้าอี้กลม คล้ายสั่งให้นางไปนั่ง เด็กหญิงตัวน้อยจึงเดินไปนั่งใกล้ชายหนุ่มผู้มีเส้นผมงดงามนัก “แปลกจริงที่เจ้ามองเห็นข้า” “พี่ชายนั่งตรงนี้ ข
ตกใจแต่ไม่ได้กรีดร้อง งุนงงและได้แต่ทำตาปริบๆ ดวงตาคมวาวคู่นั้นเองเพียงแค่หรี่มองอย่างประหลาดใจ ทั้งสองตื่นจากภวังค์เพราะเสียงนางกำนัลที่บังเอิญผ่านมาและกรีดร้องเสียงหลงเพราะตกใจที่เห็นซีกขวาของนางมีรอยแผล เลือดสีสดไหลจากแก้มลงมาที่คางเปรอะปกเสื้อ นางรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมากดแผลตนเองเพื่อห้ามเลือด ในขณะที่ชายผู้นั้นยกมือขึ้นกอดอกยืนนิ่งดู ครู่ต่อมาฮองไทเฮารีบเสด็จมาดูด้วยพระองค์เอง ‘เฟยเทียน! ไยเจ้าทำร้ายนางซึ่งเป็นเพียงเด็กหญิงคนหนึ่งเท่านั้น’ นางจำได้ว่าตนตะลึงลานทำสิ่งใดไม่ถูก บรรดาองค์หญิงและท่านหญิงต่างพามามุงดู ทุกคนหวาดกลัวชายผู้นั้นไม่กล้าสบตา นางรีบส่ายหน้าไปมา พยายามเค้นเสียงพูดออกมาด้วยความตกใจ “มิได้เพคะ แผลนี้มิใช่ฝีมือของ...” นางไม่รู้ว่าชายผู้นี้เป็นใคร ได้ยินเพียงฮองไทเฮาเรียกชื่อเขา อีกฝ่ายก็ไม่แสดงความยำเกรงใดๆ แสดงว่าชายผู้นี้ต้องไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน “เจ้าไม่ต้องกลัว ...” ฮองไทเฮายื่นพระหัตถ์มาให้นางไปหลบด้านหลัง แต่นางกลับส่ายหน้าไปมาเร็วๆ “มิใช่เพคะ แผลนี้...แผลนี้...” นางคิดคำพูด ใจเต้นร
เสียงเด็กชายตัวเล็กร้องด้วยความเจ็บปวดทำให้หญิงสาวที่ง่วนอยู่ในครัว รีบเงยหน้าขึ้นหันไปทางทิศทางของเสียงที่ได้ยิน นางรีบวางมือจากงานตรงหน้า ก้าวเร็วๆ ไปที่ด้านนอก สายตากวาดมองหาร่างเด็กชายผอมกะหร่องผู้หนึ่ง แต่มองหาอยู่นานก็ไม่เห็น “จ้าวต้า” หญิงสาวร้องเรียกแต่ไม่ได้ยินเสียงตอบกลับ มองหญิงรับใช้ผู้อื่นที่ยืนอยู่ไม่ไกลนัก เห็นเพียงพยักพเยิดไปทางห้องเก็บฟืน นางจึงรีบเดินไปพลางเช็ดมือกับผ้ากันเปื้อนที่คาดเอวบางของตนอยู่ “จ้าวต้า” หญิงสาวเรียกอย่างอ่อนโยน มองเข้าไปในห้องเก็บฟืน กวาดตามองก็เห็นร่างเล็กขดตัวที่มุมห้อง นางเดินเข้าไปนั่งข้างๆ ดึงร่างนั้นเข้ามากอดอย่างไม่รังเกียจ แม้อีกฝ่ายสกปรกมอมแมมเพียงใด “คุณหนูหนิงเหมย ตัวข้าสกปรกนัก ท่านอย่ามากอดข้าเลย” เด็กชายวัยสิบเอ็ดขวบเอ่ยขึ้น เขาพูดจาอู้อี้ พลางยกหลังมือปาดน้ำตา“ข้าก็สกปรกไม่เห็นเป็นไรเลย” หญิงสาวพูดปนหัวเราะ พิศดูใบหน้าของเด็กชาย หัวใจกระตุกวูบแต่ฝืนยิ้มให้ “เจ้าโดนคุณชายทั้งสองแกล้งเอาอีกละสิ” เด็กชายไม่ตอบแต่กลั้นเสียงสะอึกสะอื้นไว้ หัวใจของหญิงสาวพลอยเจ็บปวดไปด้วย นาง