Home / โรแมนติก / ท่อนแขนมังกร / Chapter 4. เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเมื่อ

Share

Chapter 4. เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเมื่อ

Author: เพลงมีนา
last update Last Updated: 2024-11-26 16:44:48

            เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเมื่อตอนที่นางอายุเก้าขวบ หลังจากช่วยงานป้าฮุยเหอแล้ว นางเดินจากครัวเพื่อกลับห้องนอนของตน แต่นางกลับเห็นชายหนุ่มผู้หนึ่งนั่งที่ศาลาหกเหลี่ยม ด้วยความสนใจจึงเดินเข้าไปใกล้ ดวงตาเป็นประกายจ้องมองชายผู้มีเส้นผมสีเงินยวง คนผู้นั้นกำลังเดินหมากล้อมเพียงลำพัง ใบหน้าสุขุมนั้นวางหมากอย่างไร้ความลังเล  นางเห็นเขาเดินหมากเพียงผู้เดียว กำหมากทั้งดำและขาวก็งุนงงจนอดถามไม่ได้

            “ท่านเดินหมากคนเดียวเช่นนี้ ต่อให้หมากขาวหรือหมากดำชนะ ท่านก็ชนะอยู่ดีไม่ใช่รึ”

            “หือ?”

            ชายผู้นั้นเงยหน้าขึ้นแล้วจ้องมองนาง

            “ขออภัย พี่ชาย ข้าแค่สงสัย” นางหดคอด้วยความรู้สึกผิด จำได้ว่าเวลาเดินหมากไม่ควรพูดแทรกหรือส่งเสียงดังรบกวนสมาธิผู้อื่น

            “เด็กน้อย เจ้ามองเห็นข้างั้นรึ”  

            ดวงตากลมจ้องมองอีกฝ่ายแล้วพยักหน้าหงึกๆ นางเห็นมุมปากยกยิ้มก็รู้สึกโล่งอก เขาเคาะนิ้วที่เก้าอี้กลม คล้ายสั่งให้นางไปนั่ง เด็กหญิงตัวน้อยจึงเดินไปนั่งใกล้ชายหนุ่มผู้มีเส้นผมงดงามนัก

            “แปลกจริงที่เจ้ามองเห็นข้า”

            “พี่ชายนั่งตรงนี้ ข้าเดินผ่านก็ย่อมมองเห็น” นางโคลงศีรษะอย่างงุนงงในสิ่งที่เขาพูด

            “ไม่หรอก ไม่ใช่ทุกคนที่จะเห็นข้า” เขายิ้ม เป็นรอยยิ้มที่ชวนให้หลงใหลนัก

            “พี่ชายเป็นแขกของท่านพ่อรึ” นางถามด้วยความสนใจ ไม่ได้

หวาดกลัวชายแปลกหน้าผู้นี้ แต่เขากลับส่ายหน้าแทนคำตอบ

            “เจ้าเดินหมากเป็นหรือไม่” เขาถามพลางวางหมากสีดำลงกระดาน

            “ไม่เป็นเจ้าค่ะ ข้าไม่ได้รับอนุญาตให้จับเม็ดหมากด้วยซ้ำ” นางพูดเสียงเบา เรื่องพวกนี้มีแต่คุณชายเท่านั้นที่มีสิทธิ์ได้เรียน

            “เช่นนั้นเจ้ามาเดินหมากเป็นเพื่อนข้าหน่อยก็แล้วกัน”

            “แต่ข้าเดินหมากไม่เป็น...”

            “ข้าจะสอนให้”

            “พี่ชายพูดจริงนะ ไม่หลอกข้านะ”

            “แล้วเจ้าไม่กลัวข้ารึ” เขาถามพลางชี้นิ้วที่หน้าตัวเอง เด็กหญิงส่ายหน้าไปมาแล้วยิ้มกว้าง

            “ท่านไม่ใช่ภูตผี มีอะไรให้ข้ากลัวเล่า”

            ชายผู้นั้นแหงนหน้าหัวเราะ ดึงนางมานั่งบนตัก สอนจับเม็ดหมาก วางหมาก เรียนรู้การเรียกจุดต่างๆ บนกระดาน กลายเป็นทุกคืนวันเพ็ญพระจันทร์เต็มดวง พี่ชายผมสีเงินยวงจะมารอที่ศาลาหกเหลี่ยม นางจึงได้เดินหมากล้อมกับเขา นางจำไม่ได้ว่าตนเองเดินหมากกับพี่ชายท่านนี้นานเพียงใด วันคืนเคลื่อนผ่านจนนางไม่ได้นั่งตักของเขาแล้ว จนถึงวันที่นางชนะเขาได้เป็นครั้งแรก

            “หนิงเหมย อีกประเดี๋ยวข้าก็ไม่ได้มาเดินหมากกับเจ้าแล้วนะ”

            “พี่ชายจะไปที่ใด” นางถามน้ำเสียงเศร้า เรื่องที่นางหัดเดินหมากกับพี่ชายท่านนี้เป็นความลับ นางจึงไม่รู้ชื่อของพี่ชายผู้นี้ด้วย 

            “หนิงเหมยเด็กดี เจ้าไม่ต้องกลัวว่าจะต้องอยู่เพียงลำพัง” มือใหญ่ยื่นมาประคองใบหน้าเล็ก “หลับตา แล้วตั้งสมาธิ เปิดดวงจิตของเจ้า เจ้าจะได้ยินเสียงเหล่าพฤกษาพูดคุยกัน”

            นางทำตามที่พี่ชายผู้นั้นบอก เดิมทีนางได้ยินเพียงเสียงใบไม้สั่นไหวยามลมพัดผ่าน แต่เมื่อตั้งใจฟัง นางได้ยินเหมือนเสียงพูดคุย บางครั้งเป็นเสียงหัวร่อต่อกระซิก เด็กหญิงลืมตา มองหน้าชายผู้นั้นแล้วยิ้มกว้าง

            “เจ้าได้ยินหรือไม่”

            นางรีบพยักหน้า ไม่กล้าส่งเสียงเพราะกลัวว่าเสียงของตนไปรบกวนการสนทนาของเหล่าต้นไม้ในสวนหย่อมนี้

            “หนิงเหมยเด็กดี การที่เจ้ามองเห็นข้า ถือเป็นวาสนาต่อกัน ข้าคือเทพมังกรดิน”

            “เทพ-มังกร-ดิน” นางเอ่ยแต่ละคำงุนงงและไม่คาดคิด พี่ชายผู้นี้ไม่ใช่มนุษย์แต่เป็นเทพมังกรดิน

            “มีมังกรเพลิงแตกแถวตนหนึ่งที่ข้าต้องไปจัดการมัน คงไม่มีเวลามาหาเจ้าอีก”

            “ท่านจะไม่มาหาข้าแล้วเหรอ”

            “ข้ามิอาจให้สัญญาใดกับเจ้าได้ แต่ข้าจะมอบพลังเล็กน้อยให้เจ้าเป็นการตอบแทนที่เจ้าเดินหมากเป็นเพื่อนข้า”

            แรกๆ นางไม่เข้าใจว่าพลังเล็กน้อยที่เทพมังกรดินเอ่ยถึงคืออะไร นางไม่เห็นตัวเองมีอะไรแปลกประหลาด เสกข้าวของอะไรก็ไม่ได้ เหาะเหินเดินอากาศก็ไม่ได้ ไม่มีเวทมนตร์อะไรสักอย่าง นอกจากการได้ยินเสียงต้นไม้ดอกไม้พูดคุยกัน นางจึงเผลอพูดแทรกไป

            “เอ๊ะ! เจ้าได้ยินที่เราคุยกัน”

            “ก็สมควรแล้ว นางเป็นสหายของเทพมังกรดินเชียวนะ”

            “นี่ๆ เทพมังกรดินเคยจับมือนางด้วยนะ”

            “พวกท่านคุยอะไรกัน ข้าไม่เห็นเข้าใจเลย”

            ทุกครั้งที่นางพูดคุยกับเหล่าพฤกษา ต้องรอจังหวะที่ปลอดผู้คน ไม่เช่นนั้นจะถูกมองว่าเป็นคนสติไม่ดี

            “เจ้าไม่เข้าใจรึ ดินคือผู้ให้กำเนิดทุกสรรพสิ่ง มังกรดินถือว่าเป็นมังกรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในหมู่มังกร ซึ่งมีมังกรดิน มังกรน้ำ มังกรเพลิงและมังกรลมอย่างไรเล่า เจ้าเองก็มีพลังในการให้ชีวิตเช่นกัน” ต้นท้ออธิบายกับนาง “นี่ๆ เจ้าลองเอาเม็ดของข้าไปวางในอุ้งมือของเจ้าดูสิ”

            นางรีบทำตามที่ต้นท้อบอก หยิบมาแล้ววิ่งไปหามีดมาผ่าเพื่อเอาเม็ดข้างใน นางวางเม็ดไว้ในฝ่ามือตั้งสมาธิเหมือนที่พี่ชายผมสีเงินผู้นั้นเอ่ย ครั้งแรกนางไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงใดๆ แต่ได้ยินเสียงเหล่าพฤกษาให้กำลังใจ นางลองทำอีกครั้ง เมื่อคลายฝ่ามือออกจึงเห็นเม็ดลูกท้อเมื่อครู่มียอดอ่อนโผล่ขึ้นมา 

            นี่นะหรือพลังเล็กน้อยที่เทพมังกรดินมอบให้นาง

            นั่นคือความลับของนาง ผู้อื่นเรียกนางว่า ‘มือเย็น’ ปลูกต้นไม้อะไรก็งอกงาม แท้ที่จริงนางมีพลังเล็กน้อยของเทพมังกรดิน ด้วยเหตุนี้ต่อให้ต้นไม้ใกล้ตายอย่างไร นางก็ปลุกชีพให้ฟื้นได้ แต่นางกลัวความลับนี้จะเปิดเผยแล้วถูกมองว่าตนเองเป็นภูตผีปีศาจ นางจึงเก็บความลับนี้ไว้กับตนเอง

            หลายปีมานี้ นางไม่พบเทพมังกรดินอีกเลย นางเดาว่ามังกรเพลิงแตกแถวที่เทพมังกรดินพูดถึงในคราวนั้นคือ มังกรเพลิงที่มอบพลังให้องค์ชายเฟยเทียน

            นางหลับตาเอนหลังพิงต้นไม้ใหญ่ ฟังเสียงต้นไม้พูดคุยความลับในวังหลวง นางได้ยินเหล่าพฤกษาพูดถึงองค์ชายเฟยเทียน แม่ทัพใหญ่คุมพลทหารนับแสน แต่ยินดีอยู่เมือง ‘ตุนหวง’ เมืองที่ไกลวังหลวงแห่งนี้ นางไม่เคยไปตุนหวง แต่รู้ว่าที่นั่นเป็นเมืองที่ถูกโอบล้อมด้วยทะเลทราย 

            ‘ฮ่องเต้เรียกองค์ชายเฟยเทียนกลับมา เห็นว่าจะประทานสมรสให้’

          ‘ใครกันหนอจะอายุสั้นได้เป็นพระชายาขององค์ชายเฟยเทียน’

            ว่านหนิงเหมยขมวดคิ้ว เจ็บแปลบที่อกซ้าย องค์ชายจะแต่งงานหรือ? แต่...คนผู้นั้นก็อายุยี่สิบเจ็ด ควรแต่งงานมีครอบครัวแล้ว เป็นหญิงนางใดกันหนอ? เท่าที่รู้...มีแต่คนหวาดกลัวคนผู้นั้นเหลือเกิน

            หญิงสาวได้แต่ถอนหายใจ นางไม่เคยหวาดกลัวเขา กลับเข้าใจ คนผู้นั้น เขาเป็นถึงองค์ชายและยังมีพลังของปีศาจ ปีศาจมังกรเพลิงตนนั้นใช้ร่างกายขององค์ชายเป็นที่หลบซ่อนเทพมังกรดิน ผู้คนหวาดกลัวเขา ต่างหาทางกำจัดเขาทิ้ง นางรู้ เรื่องพวกนี้แม้จะกระซิบไม่ให้ผู้อื่นได้ยิน แต่เหล่าพฤกษาต่างได้ยิน ส่งเสียงกระซิบมาเล่าให้นางรับรู้เสมอ นางทำได้เพียงแค่เห็นใจและเป็นห่วงชายผู้นั้น คนที่ยอมแบกรับความเกลียดชังไว้เพียงผู้เดียว

Related chapters

  • ท่อนแขนมังกร   Chapter 5. ครุ่นคิดถึงชายผู้นั้น

    กระทั่งได้ยินเสียงบัวสวรรค์กระซิบเรียกให้ตื่นจากภวังค์ หญิงสาวผุดลุกขึ้น แสร้งทำเป็นวุ่นวนดูต้นไม้ต้นนั้นที ต้นนี้ที เสียงกล้วยไม้หัวเราะนาง จะว่าไปการได้เข้าวังคือการพักผ่อนอย่างหนึ่งเลยก็ว่าได้ ครู่หนึ่งขันทีผู้หนึ่งมาตามตัวนาง พูดคุยสอบถามเล็กน้อย พอเห็นกล้วยไม้ของฮองไทเฮากลับมาสดชื่นอีกครั้งก็ดีใจจนรีบร้อนขอตัวไปรายงานฮองไทเฮา ว่านหนิงเหมยรีบใส่รองเท้า ปัดเศษดินออกจากกระโปรง รีบล้างมือให้สะอาด ก่อนออกจากสวนสี่ฤดู นางหันไปแลบลิ้นปลิ้นตาใส่ต้นไม้นานาพรรณของฮองไทเฮา ‘เจ้ากำลังหลงรักชายที่ไม่อาจรักได้’ “ข้ารู้...ข้าติดหนี้บุญคุณคนผู้นั้น” เขาแบกรับความผิดที่ไม่ได้ก่อ แผลเป็นบนแก้มนี้เกิดจากนางตกใจ ยามใดนางถูกทำร้าย ต้นไม้เหล่านั้นจะเข้าช่วยเหลือ ครานั้นนางตกใจที่เขาเดินเข้ามาหา เห็นเขายกมือขึ้นก็เข้าใจผิดว่าเขาจะทำร้าย เพราะความคิดของตน ทำให้กิ่งไม้ตวัดหมายทำร้ายองค์ชายเฟยเทียนเพื่อปกป้องนาง แต่ขณะนั้น นางยกมือขึ้นกุมศีรษะ แท้จริงแล้วมีหนอนตัวหนึ่งตกบนศีรษะของนาง นางร้องห้ามในใจทันทีที่เห็นปลายกิ่งไม้ตวัดใส่ราวกับแส้ กิ่งไม้นั

  • ท่อนแขนมังกร   Chapter 6. ตามใจ

    “ถ้าท่านคอยให้ท้ายมัน...เอ่อ...เฟยเทียนเช่นนี้ ก็ตามใจท่านเถิด แต่จะหาสตรีใดมาแต่งงานกับปีศาจเช่นเขาเล่า” “เรื่องนี้ข้าจัดการเอง” ฮองไทเฮาโบกมือไปมาคล้ายไม่ต้องการพูดถึงเรื่องพวกนี้อีก “ได้! ตราบใดที่คนผู้นั้นไม่สร้างความอัปยศให้แก่วงศ์ตระกูล ข้าก็ยังเห็นมันเป็นลูก!” ฮ่องเต้กัดฟันข่มโทสะ รีบลุกขึ้นเดินจากไปทันที ฮองไทเฮาได้แต่ถอนหายใจ สงสารหลายชายที่บิดาไม่รัก แม้เรียกว่าลูก น้ำเสียงก็แสนรังเกียจยิ่งนัก ฮองไทเฮานึกถึงมเหสีหลินหลาน นางเป็นหญิงที่ถูกวางหมากให้นั่งตำแหน่งนี้ตั้งแต่เกิด นิสัยเย่อหยิ่งเอาแต่ใจ เรื่องความงดงามนั้นเหนือผู้ใด ทว่ากลับไม่อาจครองใจฮ่องเต้ได้ อาจเป็นเพราะถูกบังคับให้อภิเษกจึงต่อต้าน หลินหลานเป็นคนยอมใครไม่เป็น ไม่รู้จักมารยา แม้ตนเองเป็นฮองเฮา เมื่อใดที่เห็นฮ่องเต้ให้ความสำคัญกับหญิงใดมากเกินไป ก็สั่งกำจัดเสีย ฮองไทเฮาย่อมรู้เรื่องเหล่านี้ดี แต่แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น จนกระทั่งสนมเอกจื่อลู่ประสูติพระโอรส ทำให้ฮองเฮาไม่พอพระทัย หวังกำจัดทั้งแม่และลูก ฮองไทเฮาจึงจำเป็นต้องยื่นมือเข้าช่วยเหลือ

  • ท่อนแขนมังกร   Chapter 7. ไล่พวกนางออกไป

    ร่างสูงใหญ่มีเพียงผ้าผืนหนึ่งพันท่อนล่างเดินออกมาจากหลังม่านไม้ไผ่ ก้าวยาวๆ ไม่กี่ก้าวก็มาถึงโต๊ะของซิ่นเจี่ยง หยิบขวดสุราเทใส่ลำคออย่างกระหาย ท่อนบนที่เปลือยเปล่าเห็นรูปมังกรเพลิงชัดเจน ซึ่งเวลานี้กลายเป็นสีแดงดุจย้อมโลหิต ทั้งสามเห็นจนเคยชินแล้ว เมื่ออยู่กันเช่นนี้ ก็ไม่ได้ถือธรรมเนียมเคร่งครัดอะไร เจิ้งหู่ เจิ้งไฉ ยังไม่หยุดมือกับการกินขนมหวาน ซิ่นเจี่ยงยังไม่ละสายตาจากหมากดำบนกระดาน “ไล่พวกนางออกไป” “ขอรับ” เจิ้งหู่ เจิ้งไฉตอบพร้อมกัน ลุกขึ้นแล้วเดินไปเชิญนางคณิกาที่นอนเปลือยกายอ่อนระทวยบนเตียงนอน “นายของพวกท่าน จะเรียกใช้พวกข้าอีกหรือไม่” หญิงนางหนึ่งเอ่ยถามแม้จะยังหอบหายใจแรงอยู่ “เรื่องนั้นข้าไม่อาจรู้ได้” เจิ้งหู่ไหวไหล่ หยิบเสื้อผ้าของพวกนางโยนใส่ไม่เกรงมารยาท “พวกข้าหวังว่าจะได้รับใช้นายของพวกท่านอีก” นางคณิกาทั้งสามแทบคลานลงจากเตียง หอบเสื้อผ้าปิดบังเรือนร่างที่ทิ้งร่องรอยไว้เป็นจุดจ้ำแล้วเดินออกไปอย่างเชื่องช้า ซิ่นเจี่ยงหยิบถุงเงินส่งให้บรรดาคณิกาทั้งสามเป็นของรางวัล พวกนางได้รับค่าตัวแล้

  • ท่อนแขนมังกร   Chapter 8. แผลเป็นก็คือแผลเป็น

    “ไม่เป็นไรหรอก แผลเป็นก็คือแผลเป็น”ปกปิดไปก็เท่านั้น เช็ดแป้งออกก็ย่อมมองเห็น นางไม่รังเกียจแผลตัวเอง ผู้อื่นจะรังเกียจก็ช่างเถอะ นางใช้ผ้าโปร่งปิดครึ่งหน้าแล้วออกไปร่วมงานเลี้ยง เพราะไม่ใช่เชื้อพระวงศ์และไม่ได้เป็นท่านหญิง นางจึงหลบเลี่ยงอยู่ด้านหลัง ใจจดจ่อกับการปรากฏกายของชายที่ทุกคนหวาดกลัว เจอกันครั้งแรกตอนนางอายุสิบสอง เขาคงจำนางไม่ได้แล้ว สำหรับนาง เขาคือผู้มีพระคุณ หากเขาไม่แบกรับความผิดที่ตัวเองไม่ได้ก่อ อาจเป็นนางที่ถูกมองว่าเป็นมารปีศาจ เพราะรอยแผลนี้ทำให้นางรอดพ้นการถูกจับแต่งงานมาตลอด เสียงหัวเราะพูดคุยหายไปทันที ทุกสรรพสิ่งเงียบงัน เพียงการปรากฏกายของบุรุษรูปร่างสูงสง่าผู้นั้น องค์ชายเฟยเทียนหรืออดีตองค์รัชทายาท ก้าวเข้ามาในอาภรณ์สีน้ำเงินเข้มขับเน้นให้ยิ่งดูน่าเกรงขาม ร่างกายกำยำองอาจสมกับเป็นยอดนักรบ แม้มีใบหน้าหล่อเหลาคมคาย แต่ไม่มีสตรีนางใดกล้าเงยหน้ามองใบหน้านั้นตรงๆ จังหวะก้าวเดินอย่างมั่นคงทำให้ปลายผมสีแดงดุจปลายพู่กันจุ่มหมึกนั้นพลิ้วไหวน้อยๆ ทหารองครักษ์สองนายที่เดินตามมานั้น มีหน้ากากเหล็กสีดำปิดครึ่งหน้า กรุ่นไอ

  • ท่อนแขนมังกร   Chapter 9. จะทำอย่างไรดี

    “จะทำอย่างไรดี สุราอาหารส่งไป ดูคล้ายไม่ถูกปากท่านอ๋องหรือแม้แต่ผู้ติดตามก็ไม่แตะต้อง” นางกำนัลสองคนที่เดินผ่านหญิงสาวบ่นอุบอิบ เมื่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับองค์ชายเฟยเทียนหรือชินอ๋องแล้ว ว่านหนิงเหมยย่อมหูผึ่งทันที เมื่อเดินไปลับตาผู้อื่น นางสอบถามกับเหล่าพฤกษาในสวนสี่ฤดู “จริงรึ? องครักษ์ทั้งสองชอบกินขนมหวาน” ว่านหนิงเหมยถึงกับโคลงศีรษะไปมา แต่ต้นหลิวที่ยืนต้นเด่นริมสระบัวกลับสั่นไหวยืนยันในสิ่งที่ได้กล่าวไปแล้ว “ที่แท้มิใช่ไม่ถูกปาก แต่ไม่ใช่ของโปรดละสิ” หญิงสาวหัวเราะเบาๆ นึกถึงจ้าวต้าของนาง แม้จะเป็นเด็กชายตัวเล็กที่มักทำท่าทีองอาจเพื่อปกป้องนาง แต่เอาเข้าจริง เขาก็คือเด็กน้อยที่นางหลอกล่อด้วยขนมหวานได้ทุกคราวไป ‘กุนซือรูปงามผู้นั้น ชอบเดินหมากล้อมเป็นที่สุด’ ‘เจิ้งหู่ เป็นแฝดผู้พี่’ ‘เจิ้งไฉเป็นแฝดผู้น้อง’ ‘ทั้งสามร่วมรบในสงครามทรายย้อมโลหิต จึงเป็นดั่งสหายรักขององค์ชายเฟยเทียน’ ‘จุ๊ๆ ต้องเรียกชินอ๋องสิ’ ‘องค์ชายไม่สนใจตำแหน่งเสียหน่อย ใจพะวงอยากกลับตุนหวงแล้ว

  • ท่อนแขนมังกร   Chapter 10. เจ้าก็เลือกเอาสักคนเถิด

    เพียงแค่คิดก็เผลอยกท่อนแขนซ้ายขึ้นดู เวลานี้มันเป็นเพียงแขนข้างซ้ายที่มีปีศาจมังกรเพลิงหลับใหลอยู่ หากเมื่อเขาต้องการ ปีศาจกระหายโลหิตตนนั้นจะปรากฏได้ในทันที หลายปีมานี้เขาใช้ความสามารถของตนเอง ผนวกกับความสามารถของกุนซือที่เขาเชื่อใจ ซ้ำยังมีองครักษ์ซ้ายขวาที่เขาชุบเลี้ยงทั้งสองมาตั้งแต่ยังวัยเยาว์ เมื่อมีคนที่ไว้ใจได้อยู่เคียงข้าง ก็ไม่มีสิ่งใดขวางชัยชนะของเขาได้ เขาไม่เคยรู้สึกผิดที่เรียกหาปีศาจ หากย้อนเวลาได้ เขายังคงทำเช่นเดิม พอยกแขนลงก็ไปแตะโดนกระดาษกองหนึ่ง เขาเพียงปรายตามองแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ ที่ไม่เข้าใจก็คือ ไฉนฮองไทเฮาถึงได้นำรูปหญิงงามมาให้เขาเลือกเป็นพระชายา “เจ้าก็เลือกเอาสักคนเถิด” เขานึกถึงเสียงรับสั่งของฮองไทเฮา ไม่คิดว่ามีสตรีอยากชะตาขาดมาให้เขาเลือกเป็นพระชายานับสิบคน คงเพราะตำแหน่งพระชายาของชินอ๋องแห่งตุนหวงเย้ายวนจนยอมเอาชีวิตมาเสี่ยงแม้ไม่ได้เงยหน้าขึ้นจากกระดานที่วางหมากอยู่นั้น แต่ก็เข้าใจความคิดของผู้เป็นนายที่ซิ่นเจี่ยงติดตามมานาน เขาเป็นเด็กกำพร้าเดิมทีใช้ชีวิตเร่ร่อน เพราะรูปร่างผอมบางตามประสาเด็กกินไม่อิ่

  • ท่อนแขนมังกร   Chapter 1. บทนำ

    คำโปรยในคราวนั้น "เฟยเทียน" เพียงต้องการพลัง เพื่อครอบครองอำนาจ จึงเรียกปีศาจมังกรเพลิงและแลกเปลี่ยนบางสิ่งเพื่อให้ได้ชัยชนะในสงคราม ทรายย้อมโลหิต ทว่าปีศาจมังกรเพลิงตนนั้นใช้แขนซ้ายของเขาเป็นที่หลบซ่อนการตามล่าจากเทพมังกรดิน จึงปรากฏรอยสักสีเพลิงรูปมังกรที่ท่อนแขนซ้าย ทว่าการสู้รบแบบโหดเหี้ยมทำเขาถูดขับออกจากตำแหน่งรัชทายาทซึ่งเขามิใส่ใจ เป็นลูกที่พ่อไม่รัก ซ้ำกำจัดไม่ได้ต้องเก็บเขาไว้เป็นเสี้ยนหนามตำหัวใจเช่นนี้ เฟยเทียนกลับรู้สึกสุขสำราญใจดี"ว่านหนิงเหมย" ในวัยสิบแปด ไม่มีวี่แววว่าจะมีใครกล้ามาสู่ขอนางไปเป็นภรรยา ไม่ใช่เพราะฐานะที่เป็นลูกอนุของเสนาบดีว่านเท่านั้น แต่เพราะรอยแผลเป็นที่แก้มขวาของนางอีกด้วย เมื่อครั้งที่นางอายุเพียงสิบสอง การพบกันครั้งแรกระหว่างนางกับองค์ชายเฟยเทียน อุบัติเหตุครั้งนั้นทำให้ผู้อื่นเข้าใจเขาผิดคิดว่าเขาใช้กรงเล็บมังกรกรีดใบหน้านางจนเสียโฉม แม้นางจะบอกทุกคนว่าไม่ใช่ความผิดของเขาก็ไม่มีใครเชื่อนาง แต่เพราะแผลเป็นนี้ทำให้นางรอดพ้นการถูกบังคับให้แต่งงานได้ ขอเพียงใช้ชีวิตเรียบง่าย แม้ต้องอยู่เพียงลำพังนางก็ยินดี"เฟยเทียน"เข้าวังหลวงตามคำสั่งของพระบิดา

  • ท่อนแขนมังกร   Chapter 2. เพียงหวัง

    เสียงเด็กชายตัวเล็กร้องด้วยความเจ็บปวดทำให้หญิงสาวที่ง่วนอยู่ในครัว รีบเงยหน้าขึ้นหันไปทางทิศทางของเสียงที่ได้ยิน นางรีบวางมือจากงานตรงหน้า ก้าวเร็วๆ ไปที่ด้านนอก สายตากวาดมองหาร่างเด็กชายผอมกะหร่องผู้หนึ่ง แต่มองหาอยู่นานก็ไม่เห็น “จ้าวต้า” หญิงสาวร้องเรียกแต่ไม่ได้ยินเสียงตอบกลับ มองหญิงรับใช้ผู้อื่นที่ยืนอยู่ไม่ไกลนัก เห็นเพียงพยักพเยิดไปทางห้องเก็บฟืน นางจึงรีบเดินไปพลางเช็ดมือกับผ้ากันเปื้อนที่คาดเอวบางของตนอยู่ “จ้าวต้า” หญิงสาวเรียกอย่างอ่อนโยน มองเข้าไปในห้องเก็บฟืน กวาดตามองก็เห็นร่างเล็กขดตัวที่มุมห้อง นางเดินเข้าไปนั่งข้างๆ ดึงร่างนั้นเข้ามากอดอย่างไม่รังเกียจ แม้อีกฝ่ายสกปรกมอมแมมเพียงใด “คุณหนูหนิงเหมย ตัวข้าสกปรกนัก ท่านอย่ามากอดข้าเลย” เด็กชายวัยสิบเอ็ดขวบเอ่ยขึ้น เขาพูดจาอู้อี้ พลางยกหลังมือปาดน้ำตา“ข้าก็สกปรกไม่เห็นเป็นไรเลย” หญิงสาวพูดปนหัวเราะ พิศดูใบหน้าของเด็กชาย หัวใจกระตุกวูบแต่ฝืนยิ้มให้ “เจ้าโดนคุณชายทั้งสองแกล้งเอาอีกละสิ” เด็กชายไม่ตอบแต่กลั้นเสียงสะอึกสะอื้นไว้ หัวใจของหญิงสาวพลอยเจ็บปวดไปด้วย นาง

Latest chapter

  • ท่อนแขนมังกร   Chapter 10. เจ้าก็เลือกเอาสักคนเถิด

    เพียงแค่คิดก็เผลอยกท่อนแขนซ้ายขึ้นดู เวลานี้มันเป็นเพียงแขนข้างซ้ายที่มีปีศาจมังกรเพลิงหลับใหลอยู่ หากเมื่อเขาต้องการ ปีศาจกระหายโลหิตตนนั้นจะปรากฏได้ในทันที หลายปีมานี้เขาใช้ความสามารถของตนเอง ผนวกกับความสามารถของกุนซือที่เขาเชื่อใจ ซ้ำยังมีองครักษ์ซ้ายขวาที่เขาชุบเลี้ยงทั้งสองมาตั้งแต่ยังวัยเยาว์ เมื่อมีคนที่ไว้ใจได้อยู่เคียงข้าง ก็ไม่มีสิ่งใดขวางชัยชนะของเขาได้ เขาไม่เคยรู้สึกผิดที่เรียกหาปีศาจ หากย้อนเวลาได้ เขายังคงทำเช่นเดิม พอยกแขนลงก็ไปแตะโดนกระดาษกองหนึ่ง เขาเพียงปรายตามองแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ ที่ไม่เข้าใจก็คือ ไฉนฮองไทเฮาถึงได้นำรูปหญิงงามมาให้เขาเลือกเป็นพระชายา “เจ้าก็เลือกเอาสักคนเถิด” เขานึกถึงเสียงรับสั่งของฮองไทเฮา ไม่คิดว่ามีสตรีอยากชะตาขาดมาให้เขาเลือกเป็นพระชายานับสิบคน คงเพราะตำแหน่งพระชายาของชินอ๋องแห่งตุนหวงเย้ายวนจนยอมเอาชีวิตมาเสี่ยงแม้ไม่ได้เงยหน้าขึ้นจากกระดานที่วางหมากอยู่นั้น แต่ก็เข้าใจความคิดของผู้เป็นนายที่ซิ่นเจี่ยงติดตามมานาน เขาเป็นเด็กกำพร้าเดิมทีใช้ชีวิตเร่ร่อน เพราะรูปร่างผอมบางตามประสาเด็กกินไม่อิ่

  • ท่อนแขนมังกร   Chapter 9. จะทำอย่างไรดี

    “จะทำอย่างไรดี สุราอาหารส่งไป ดูคล้ายไม่ถูกปากท่านอ๋องหรือแม้แต่ผู้ติดตามก็ไม่แตะต้อง” นางกำนัลสองคนที่เดินผ่านหญิงสาวบ่นอุบอิบ เมื่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับองค์ชายเฟยเทียนหรือชินอ๋องแล้ว ว่านหนิงเหมยย่อมหูผึ่งทันที เมื่อเดินไปลับตาผู้อื่น นางสอบถามกับเหล่าพฤกษาในสวนสี่ฤดู “จริงรึ? องครักษ์ทั้งสองชอบกินขนมหวาน” ว่านหนิงเหมยถึงกับโคลงศีรษะไปมา แต่ต้นหลิวที่ยืนต้นเด่นริมสระบัวกลับสั่นไหวยืนยันในสิ่งที่ได้กล่าวไปแล้ว “ที่แท้มิใช่ไม่ถูกปาก แต่ไม่ใช่ของโปรดละสิ” หญิงสาวหัวเราะเบาๆ นึกถึงจ้าวต้าของนาง แม้จะเป็นเด็กชายตัวเล็กที่มักทำท่าทีองอาจเพื่อปกป้องนาง แต่เอาเข้าจริง เขาก็คือเด็กน้อยที่นางหลอกล่อด้วยขนมหวานได้ทุกคราวไป ‘กุนซือรูปงามผู้นั้น ชอบเดินหมากล้อมเป็นที่สุด’ ‘เจิ้งหู่ เป็นแฝดผู้พี่’ ‘เจิ้งไฉเป็นแฝดผู้น้อง’ ‘ทั้งสามร่วมรบในสงครามทรายย้อมโลหิต จึงเป็นดั่งสหายรักขององค์ชายเฟยเทียน’ ‘จุ๊ๆ ต้องเรียกชินอ๋องสิ’ ‘องค์ชายไม่สนใจตำแหน่งเสียหน่อย ใจพะวงอยากกลับตุนหวงแล้ว

  • ท่อนแขนมังกร   Chapter 8. แผลเป็นก็คือแผลเป็น

    “ไม่เป็นไรหรอก แผลเป็นก็คือแผลเป็น”ปกปิดไปก็เท่านั้น เช็ดแป้งออกก็ย่อมมองเห็น นางไม่รังเกียจแผลตัวเอง ผู้อื่นจะรังเกียจก็ช่างเถอะ นางใช้ผ้าโปร่งปิดครึ่งหน้าแล้วออกไปร่วมงานเลี้ยง เพราะไม่ใช่เชื้อพระวงศ์และไม่ได้เป็นท่านหญิง นางจึงหลบเลี่ยงอยู่ด้านหลัง ใจจดจ่อกับการปรากฏกายของชายที่ทุกคนหวาดกลัว เจอกันครั้งแรกตอนนางอายุสิบสอง เขาคงจำนางไม่ได้แล้ว สำหรับนาง เขาคือผู้มีพระคุณ หากเขาไม่แบกรับความผิดที่ตัวเองไม่ได้ก่อ อาจเป็นนางที่ถูกมองว่าเป็นมารปีศาจ เพราะรอยแผลนี้ทำให้นางรอดพ้นการถูกจับแต่งงานมาตลอด เสียงหัวเราะพูดคุยหายไปทันที ทุกสรรพสิ่งเงียบงัน เพียงการปรากฏกายของบุรุษรูปร่างสูงสง่าผู้นั้น องค์ชายเฟยเทียนหรืออดีตองค์รัชทายาท ก้าวเข้ามาในอาภรณ์สีน้ำเงินเข้มขับเน้นให้ยิ่งดูน่าเกรงขาม ร่างกายกำยำองอาจสมกับเป็นยอดนักรบ แม้มีใบหน้าหล่อเหลาคมคาย แต่ไม่มีสตรีนางใดกล้าเงยหน้ามองใบหน้านั้นตรงๆ จังหวะก้าวเดินอย่างมั่นคงทำให้ปลายผมสีแดงดุจปลายพู่กันจุ่มหมึกนั้นพลิ้วไหวน้อยๆ ทหารองครักษ์สองนายที่เดินตามมานั้น มีหน้ากากเหล็กสีดำปิดครึ่งหน้า กรุ่นไอ

  • ท่อนแขนมังกร   Chapter 7. ไล่พวกนางออกไป

    ร่างสูงใหญ่มีเพียงผ้าผืนหนึ่งพันท่อนล่างเดินออกมาจากหลังม่านไม้ไผ่ ก้าวยาวๆ ไม่กี่ก้าวก็มาถึงโต๊ะของซิ่นเจี่ยง หยิบขวดสุราเทใส่ลำคออย่างกระหาย ท่อนบนที่เปลือยเปล่าเห็นรูปมังกรเพลิงชัดเจน ซึ่งเวลานี้กลายเป็นสีแดงดุจย้อมโลหิต ทั้งสามเห็นจนเคยชินแล้ว เมื่ออยู่กันเช่นนี้ ก็ไม่ได้ถือธรรมเนียมเคร่งครัดอะไร เจิ้งหู่ เจิ้งไฉ ยังไม่หยุดมือกับการกินขนมหวาน ซิ่นเจี่ยงยังไม่ละสายตาจากหมากดำบนกระดาน “ไล่พวกนางออกไป” “ขอรับ” เจิ้งหู่ เจิ้งไฉตอบพร้อมกัน ลุกขึ้นแล้วเดินไปเชิญนางคณิกาที่นอนเปลือยกายอ่อนระทวยบนเตียงนอน “นายของพวกท่าน จะเรียกใช้พวกข้าอีกหรือไม่” หญิงนางหนึ่งเอ่ยถามแม้จะยังหอบหายใจแรงอยู่ “เรื่องนั้นข้าไม่อาจรู้ได้” เจิ้งหู่ไหวไหล่ หยิบเสื้อผ้าของพวกนางโยนใส่ไม่เกรงมารยาท “พวกข้าหวังว่าจะได้รับใช้นายของพวกท่านอีก” นางคณิกาทั้งสามแทบคลานลงจากเตียง หอบเสื้อผ้าปิดบังเรือนร่างที่ทิ้งร่องรอยไว้เป็นจุดจ้ำแล้วเดินออกไปอย่างเชื่องช้า ซิ่นเจี่ยงหยิบถุงเงินส่งให้บรรดาคณิกาทั้งสามเป็นของรางวัล พวกนางได้รับค่าตัวแล้

  • ท่อนแขนมังกร   Chapter 6. ตามใจ

    “ถ้าท่านคอยให้ท้ายมัน...เอ่อ...เฟยเทียนเช่นนี้ ก็ตามใจท่านเถิด แต่จะหาสตรีใดมาแต่งงานกับปีศาจเช่นเขาเล่า” “เรื่องนี้ข้าจัดการเอง” ฮองไทเฮาโบกมือไปมาคล้ายไม่ต้องการพูดถึงเรื่องพวกนี้อีก “ได้! ตราบใดที่คนผู้นั้นไม่สร้างความอัปยศให้แก่วงศ์ตระกูล ข้าก็ยังเห็นมันเป็นลูก!” ฮ่องเต้กัดฟันข่มโทสะ รีบลุกขึ้นเดินจากไปทันที ฮองไทเฮาได้แต่ถอนหายใจ สงสารหลายชายที่บิดาไม่รัก แม้เรียกว่าลูก น้ำเสียงก็แสนรังเกียจยิ่งนัก ฮองไทเฮานึกถึงมเหสีหลินหลาน นางเป็นหญิงที่ถูกวางหมากให้นั่งตำแหน่งนี้ตั้งแต่เกิด นิสัยเย่อหยิ่งเอาแต่ใจ เรื่องความงดงามนั้นเหนือผู้ใด ทว่ากลับไม่อาจครองใจฮ่องเต้ได้ อาจเป็นเพราะถูกบังคับให้อภิเษกจึงต่อต้าน หลินหลานเป็นคนยอมใครไม่เป็น ไม่รู้จักมารยา แม้ตนเองเป็นฮองเฮา เมื่อใดที่เห็นฮ่องเต้ให้ความสำคัญกับหญิงใดมากเกินไป ก็สั่งกำจัดเสีย ฮองไทเฮาย่อมรู้เรื่องเหล่านี้ดี แต่แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น จนกระทั่งสนมเอกจื่อลู่ประสูติพระโอรส ทำให้ฮองเฮาไม่พอพระทัย หวังกำจัดทั้งแม่และลูก ฮองไทเฮาจึงจำเป็นต้องยื่นมือเข้าช่วยเหลือ

  • ท่อนแขนมังกร   Chapter 5. ครุ่นคิดถึงชายผู้นั้น

    กระทั่งได้ยินเสียงบัวสวรรค์กระซิบเรียกให้ตื่นจากภวังค์ หญิงสาวผุดลุกขึ้น แสร้งทำเป็นวุ่นวนดูต้นไม้ต้นนั้นที ต้นนี้ที เสียงกล้วยไม้หัวเราะนาง จะว่าไปการได้เข้าวังคือการพักผ่อนอย่างหนึ่งเลยก็ว่าได้ ครู่หนึ่งขันทีผู้หนึ่งมาตามตัวนาง พูดคุยสอบถามเล็กน้อย พอเห็นกล้วยไม้ของฮองไทเฮากลับมาสดชื่นอีกครั้งก็ดีใจจนรีบร้อนขอตัวไปรายงานฮองไทเฮา ว่านหนิงเหมยรีบใส่รองเท้า ปัดเศษดินออกจากกระโปรง รีบล้างมือให้สะอาด ก่อนออกจากสวนสี่ฤดู นางหันไปแลบลิ้นปลิ้นตาใส่ต้นไม้นานาพรรณของฮองไทเฮา ‘เจ้ากำลังหลงรักชายที่ไม่อาจรักได้’ “ข้ารู้...ข้าติดหนี้บุญคุณคนผู้นั้น” เขาแบกรับความผิดที่ไม่ได้ก่อ แผลเป็นบนแก้มนี้เกิดจากนางตกใจ ยามใดนางถูกทำร้าย ต้นไม้เหล่านั้นจะเข้าช่วยเหลือ ครานั้นนางตกใจที่เขาเดินเข้ามาหา เห็นเขายกมือขึ้นก็เข้าใจผิดว่าเขาจะทำร้าย เพราะความคิดของตน ทำให้กิ่งไม้ตวัดหมายทำร้ายองค์ชายเฟยเทียนเพื่อปกป้องนาง แต่ขณะนั้น นางยกมือขึ้นกุมศีรษะ แท้จริงแล้วมีหนอนตัวหนึ่งตกบนศีรษะของนาง นางร้องห้ามในใจทันทีที่เห็นปลายกิ่งไม้ตวัดใส่ราวกับแส้ กิ่งไม้นั

  • ท่อนแขนมังกร   Chapter 4. เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเมื่อ

    เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเมื่อตอนที่นางอายุเก้าขวบ หลังจากช่วยงานป้าฮุยเหอแล้ว นางเดินจากครัวเพื่อกลับห้องนอนของตน แต่นางกลับเห็นชายหนุ่มผู้หนึ่งนั่งที่ศาลาหกเหลี่ยม ด้วยความสนใจจึงเดินเข้าไปใกล้ ดวงตาเป็นประกายจ้องมองชายผู้มีเส้นผมสีเงินยวง คนผู้นั้นกำลังเดินหมากล้อมเพียงลำพัง ใบหน้าสุขุมนั้นวางหมากอย่างไร้ความลังเล นางเห็นเขาเดินหมากเพียงผู้เดียว กำหมากทั้งดำและขาวก็งุนงงจนอดถามไม่ได้ “ท่านเดินหมากคนเดียวเช่นนี้ ต่อให้หมากขาวหรือหมากดำชนะ ท่านก็ชนะอยู่ดีไม่ใช่รึ” “หือ?” ชายผู้นั้นเงยหน้าขึ้นแล้วจ้องมองนาง “ขออภัย พี่ชาย ข้าแค่สงสัย” นางหดคอด้วยความรู้สึกผิด จำได้ว่าเวลาเดินหมากไม่ควรพูดแทรกหรือส่งเสียงดังรบกวนสมาธิผู้อื่น “เด็กน้อย เจ้ามองเห็นข้างั้นรึ” ดวงตากลมจ้องมองอีกฝ่ายแล้วพยักหน้าหงึกๆ นางเห็นมุมปากยกยิ้มก็รู้สึกโล่งอก เขาเคาะนิ้วที่เก้าอี้กลม คล้ายสั่งให้นางไปนั่ง เด็กหญิงตัวน้อยจึงเดินไปนั่งใกล้ชายหนุ่มผู้มีเส้นผมงดงามนัก “แปลกจริงที่เจ้ามองเห็นข้า” “พี่ชายนั่งตรงนี้ ข

  • ท่อนแขนมังกร   Chapter 3. ไม่ต้องกลัว

    ตกใจแต่ไม่ได้กรีดร้อง งุนงงและได้แต่ทำตาปริบๆ ดวงตาคมวาวคู่นั้นเองเพียงแค่หรี่มองอย่างประหลาดใจ ทั้งสองตื่นจากภวังค์เพราะเสียงนางกำนัลที่บังเอิญผ่านมาและกรีดร้องเสียงหลงเพราะตกใจที่เห็นซีกขวาของนางมีรอยแผล เลือดสีสดไหลจากแก้มลงมาที่คางเปรอะปกเสื้อ นางรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมากดแผลตนเองเพื่อห้ามเลือด ในขณะที่ชายผู้นั้นยกมือขึ้นกอดอกยืนนิ่งดู ครู่ต่อมาฮองไทเฮารีบเสด็จมาดูด้วยพระองค์เอง ‘เฟยเทียน! ไยเจ้าทำร้ายนางซึ่งเป็นเพียงเด็กหญิงคนหนึ่งเท่านั้น’ นางจำได้ว่าตนตะลึงลานทำสิ่งใดไม่ถูก บรรดาองค์หญิงและท่านหญิงต่างพามามุงดู ทุกคนหวาดกลัวชายผู้นั้นไม่กล้าสบตา นางรีบส่ายหน้าไปมา พยายามเค้นเสียงพูดออกมาด้วยความตกใจ “มิได้เพคะ แผลนี้มิใช่ฝีมือของ...” นางไม่รู้ว่าชายผู้นี้เป็นใคร ได้ยินเพียงฮองไทเฮาเรียกชื่อเขา อีกฝ่ายก็ไม่แสดงความยำเกรงใดๆ แสดงว่าชายผู้นี้ต้องไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน “เจ้าไม่ต้องกลัว ...” ฮองไทเฮายื่นพระหัตถ์มาให้นางไปหลบด้านหลัง แต่นางกลับส่ายหน้าไปมาเร็วๆ “มิใช่เพคะ แผลนี้...แผลนี้...” นางคิดคำพูด ใจเต้นร

  • ท่อนแขนมังกร   Chapter 2. เพียงหวัง

    เสียงเด็กชายตัวเล็กร้องด้วยความเจ็บปวดทำให้หญิงสาวที่ง่วนอยู่ในครัว รีบเงยหน้าขึ้นหันไปทางทิศทางของเสียงที่ได้ยิน นางรีบวางมือจากงานตรงหน้า ก้าวเร็วๆ ไปที่ด้านนอก สายตากวาดมองหาร่างเด็กชายผอมกะหร่องผู้หนึ่ง แต่มองหาอยู่นานก็ไม่เห็น “จ้าวต้า” หญิงสาวร้องเรียกแต่ไม่ได้ยินเสียงตอบกลับ มองหญิงรับใช้ผู้อื่นที่ยืนอยู่ไม่ไกลนัก เห็นเพียงพยักพเยิดไปทางห้องเก็บฟืน นางจึงรีบเดินไปพลางเช็ดมือกับผ้ากันเปื้อนที่คาดเอวบางของตนอยู่ “จ้าวต้า” หญิงสาวเรียกอย่างอ่อนโยน มองเข้าไปในห้องเก็บฟืน กวาดตามองก็เห็นร่างเล็กขดตัวที่มุมห้อง นางเดินเข้าไปนั่งข้างๆ ดึงร่างนั้นเข้ามากอดอย่างไม่รังเกียจ แม้อีกฝ่ายสกปรกมอมแมมเพียงใด “คุณหนูหนิงเหมย ตัวข้าสกปรกนัก ท่านอย่ามากอดข้าเลย” เด็กชายวัยสิบเอ็ดขวบเอ่ยขึ้น เขาพูดจาอู้อี้ พลางยกหลังมือปาดน้ำตา“ข้าก็สกปรกไม่เห็นเป็นไรเลย” หญิงสาวพูดปนหัวเราะ พิศดูใบหน้าของเด็กชาย หัวใจกระตุกวูบแต่ฝืนยิ้มให้ “เจ้าโดนคุณชายทั้งสองแกล้งเอาอีกละสิ” เด็กชายไม่ตอบแต่กลั้นเสียงสะอึกสะอื้นไว้ หัวใจของหญิงสาวพลอยเจ็บปวดไปด้วย นาง

DMCA.com Protection Status