เพียงแค่คิดก็เผลอยกท่อนแขนซ้ายขึ้นดู เวลานี้มันเป็นเพียงแขนข้างซ้ายที่มีปีศาจมังกรเพลิงหลับใหลอยู่ หากเมื่อเขาต้องการ ปีศาจกระหายโลหิตตนนั้นจะปรากฏได้ในทันที หลายปีมานี้เขาใช้ความสามารถของตนเอง ผนวกกับความสามารถของกุนซือที่เขาเชื่อใจ ซ้ำยังมีองครักษ์ซ้ายขวาที่เขาชุบเลี้ยงทั้งสองมาตั้งแต่ยังวัยเยาว์ เมื่อมีคนที่ไว้ใจได้อยู่เคียงข้าง ก็ไม่มีสิ่งใดขวางชัยชนะของเขาได้
เขาไม่เคยรู้สึกผิดที่เรียกหาปีศาจ หากย้อนเวลาได้ เขายังคงทำเช่นเดิม
พอยกแขนลงก็ไปแตะโดนกระดาษกองหนึ่ง เขาเพียงปรายตามองแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ ที่ไม่เข้าใจก็คือ ไฉนฮองไทเฮาถึงได้นำรูปหญิงงามมาให้เขาเลือกเป็นพระชายา
“เจ้าก็เลือกเอาสักคนเถิด”
เขานึกถึงเสียงรับสั่งของฮองไทเฮา ไม่คิดว่ามีสตรีอยากชะตาขาดมาให้เขาเลือกเป็นพระชายานับสิบคน คงเพราะตำแหน่งพระชายาของชินอ๋องแห่งตุนหวงเย้ายวนจนยอมเอาชีวิตมาเสี่ยง
แม้ไม่ได้เงยหน้าขึ้นจากกระดานที่วางหมากอยู่นั้น แต่ก็เข้าใจความคิดของผู้เป็นนายที่ซิ่นเจี่ยงติดตามมานาน เขาเป็นเด็กกำพร้าเดิมทีใช้ชีวิตเร่ร่อน เพราะรูปร่างผอมบางตามประสาเด็กกินไม่อิ่ม ไม่มีเรี่ยวแรงมากมายไปต่อยตีกับผู้อื่น อาศัยที่ตนเองพอมีสติปัญญากับความเจ้าเล่ห์เพทุบาย เอาตัวรอดมาจนได้ อาจารย์วั่นมาพบเข้า ด้วยความเมตตาจึงรับเขาเป็นศิษย์ ให้อยู่ในสำนักศึกษาทำงานทั่วไปพร้อมกับร่ำเรียนไปด้วย และยังตั้งชื่อให้เขาอีก ซิ่นเจี่ยงจึงได้มีชีวิตใหม่ แม้ไม่ได้ร่อนเร่นอนข้างถนน ได้อยู่ในสำนักศึกษา แต่เพราะเป็นเด็กกำพร้าไม่รู้ชาติกำเนิด จึงถูกผู้อื่นดูถูกและกลั่นแกล้ง เขามุมานะเพียรพยายามในการเล่าเรียนจนเก่งกาจสอบขุนนางฝ่ายบุ๋นได้สำเร็จ
ในครานั้น องค์ชายเฟยเทียนยังครองตำแหน่งรัชทายาท มีความสามารถมากล้น สมเป็นโอรสขององค์ฮ่องเต้ วรยุทธ์สูงส่ง แม้ออกรบหลายครั้ง แต่เป็นการศึกเล็กๆ มีเพียงครั้งนั้น...ศึกที่ถูกกล่าวขานว่าเป็น ‘ทรายย้อมโลหิต’ องค์ชายเฟยเทียนนำทัพออกต้านทหารมองโกล เป็นการศึกครั้งใหญ่ กลับเลือกส่งคนที่ไม่เป็นงานมาร่วมรบกับองค์ชาย รวมทั้งเขาด้วย แม้แปลกใจที่ตนเองได้รับเลือกให้เป็นกุนซือออกรบกับองค์ชายเฟยเทียน ทว่าด้วยความมุ่งมั่นที่จะสร้างชื่อหลังได้รับชัยชนะ เขากลับพบความจริงอันแสนเศร้าที่ว่า การศึกครั้งนั้นเป็นการตั้งใจกำจัดองค์ชายเฟยเทียนอย่างสง่างาม
จะเป็นชะตาลิขิตหรือไร ซิ่นเจี่ยงไม่ได้สนใจแล้ว เชื่อว่าไม่ใช่ทุกผู้คนที่สามารถเรียกปีศาจมังกรเพลิงออกมาได้ องค์ชายเฟยเทียนได้บอกเล่าเงื่อนไขแลกเปลี่ยนครั้งนั้นแล้ว แต่เขาเห็นว่าปีศาจมังกรเพลิงนั้นเป็นทาสในอาณัติขององค์ชายมากกว่าที่องค์ชายจะเป็นทาสของปีศาจมังกรเพลิง นั่นคือเหตุผลที่เขาไม่เคยหวาดกลัวปีศาจมังกรเพลิง เพราะอย่างไรองค์ชายเฟยเทียนเป็นฝ่ายควบคุมมันได้ตลอดมา
ด้วยความเป็นองครักษ์ ประสาทการรับรู้รวดเร็วกว่าคนทั่วไป เจิ้งหู่และเจิ้งไฉตวัดสายตามองไปยังร่างของหญิงสาวที่ประคองถาดอาหารเข้ามา นางไม่ได้สวมชุดแบบนางกำนัล แต่ก็ไม่เฉิดฉันเหมือนองค์หญิงทั่วไป เป็นเพียงการแต่งกายอย่างเรียบง่าย และมีผ้าโปร่งปิดครึ่งล่างของใบหน้า
แม้ระแวดระวังจนเป็นนิสัย แต่เมื่อจมูกได้กลิ่นหอมหวานก็ลดความระแวงลงและจ้องมองสิ่งที่อยู่ในถาด
หากไม่มีผ้าโปร่งปิดครึ่งหน้าอยู่นั้น ว่านหนิงเหมยคงไม่อาจ
สะกดกลั้นรอยยิ้มของตนเองได้ เพียงนางเปิดผ้าคลุมถาดอาหารออก เผยขนมหน้าตาน่ากิน ซ้ำกลิ่นยังหอมหวานชวนลิ้มลอง นางสังเกตเห็นลำคอขององครักษ์กำลังกลืนน้ำลาย
“นี่คือตงเหยิน (บัวลอย) ทำจากแป้งข้าวเหนียวปั้นเป็นก้อนกลม ใส่ไส้หวาน เช่น งา ถั่ว หรือถั่วหวาน และนี่ถั่วตัด หวังว่าองครักษ์ทั้งสองจะชอบ”
หญิงสาวเพียงลอบมองทางองค์ชายเฟยเทียนที่เอกเขนกบนตั่งนุ่ม นางไม่กล้ามองเต็มตา จึงเบี่ยงสายตาไปทางกุนซือหนุ่มที่เงยหน้าจากกระดานหมากล้อมจ้องมองนางพอดี
“นี่ชากุหลาบช่วยบำรุงหัวใจและขับสารพิษในร่างกาย สลายความอ่อนล้าปรับความสมดุล หวังว่าท่านกุนซือจะชอบเช่นกัน”
“ขอบคุณแม่นาง”
ว่านหนิงเหมยเพียงผงกศีรษะเล็กน้อยแล้วหมุนตัวเดินออกไปได้ไม่กี่ก้าว ก็ถูกเสียงทรงอำนาจเรียกไว้ก่อน
“แล้วของข้าล่ะ”
ว่านหนิงเหมยหันกลับไป องค์ชายเฟยเทียนทรงลุกขึ้นนั่ง ดวงตาที่มองมาทางนางยากจะคาดเดาอารมณ์ได้
“ท่านอ๋องต้องการสิ่งใด หม่อมฉันจะได้ให้นางกำนัลจัดเตรียมมาให้เพคะ”
องค์ชายเฟยเทียนยื่นจอกสุราให้เจิ้งหู่รินสุรา โน้มตัวไปด้านหน้า จ้องมองใบหน้าที่ถูกปกปิดด้วยความรู้สึกรำคาญผ้าโปร่งนั่น
“เจ้ารู้ใจคนสนิททั้งสามของข้า แต่ไม่รู้รึว่าข้าต้องการสิ่งใด”
“ขออภัย หม่อมฉันไม่ทราบเพคะ”
“แล้วไยเจ้ารู้ว่าคนสนิทของเราชอบอะไร”
‘เหล่าพฤกษาบอกเพคะ’ นั่นก็พูดออกไปไม่ได้อีก นางจึงได้แต่ยืดตัวตรงแล้วพูดไปเรื่องอื่น
“นางกำนัลล้วนเป็นกังวล นำสุราอาหารมา ดูท่าไม่ถูกปากคนสนิทของท่านอ๋อง หม่อมฉันจึงคาดเดาไปว่าน่าจะชอบสิ่งเหล่านี้”
“คาดเดาได้แม่นยำจนไม่น่าไว้ใจ”
องค์ชายเฟยเทียนเอ่ยเสียงเรียบ ลุกขึ้นเดินมาทางนาง หญิงสาวไม่ทันเตรียมใจ ได้แต่ยืนนิ่งงัน ราวกับถูกดวงตาคู่นั้นสะกดไม่ให้ขยับเท้าถอยหนี ทั้งที่ในใจ หัวใจของนางกระดอนกระเด็นหนีไปหลบมุมห้องแล้ว นางไม่ได้หวาดกลัวเช่นผู้อื่น นี่เป็นครั้งแรก ไม่สิ ครั้งที่สองที่ได้ใกล้ชิดคนที่นางแอบรักต่างหาก
นางหลงรักชายผู้นี้ตั้งแต่อายุสิบสอง หกปีผ่านไป เขาก็ยังเป็นคนที่นางแอบรักแต่ไม่อาจเอื้อมมือคว้าได้
ทว่ากลับเป็นมือใหญ่ยื่นมากระตุกผ้าโปร่งที่ปิดครึ่งหน้าของนางออก ดวงตาคมหรี่มองก่อนจะใช้ปลายนิ้วเชยคางนางขึ้น ออกแรงนิดเดียวก็บิดใบหน้าของนางให้เห็นซีกหน้าด้านขวาได้ชัดเจน ใช้นิ้วกร้านไล้รอยแผลเป็นนูนราวกับสำรวจว่าเป็นของจริงหรือไม่ ว่านหนิงเหมยได้สติรีบถอยหลังไปครึ่งก้าวก็พ้นมือที่ยกค้างอยู่
สำหรับบุรุษ ผู้ใช้ชีวิตผ่านสมรภูมิรบมาโชกโชนเช่นพวกเขาแล้ว
แผลเป็นเพียงแค่นี้ถือเป็นแผลเล็กน้อยเท่านั้น ไม่มีความคิดที่ต้องปกปิด แต่เมื่ออยู่บนใบหน้าของหญิงสาว มันย่อมเป็นบาดแผลน่าอับอายที่ไม่ต้องการให้ผู้ใดพบเห็น
“หากไม่มีอะไรแล้ว หม่อมฉันขอตัวเพคะ” ว่านหนิงเหมยย่อตัวคารวะแล้วหมุนตัวเดินเร็วๆ ออกไป เพียงเท้าพ้นธรณีประตู นางก็ยกมือขึ้นทาบอกกดหัวใจที่เต้นแรงของตัวเอง
‘องค์ชาย จำหม่อมฉันไม่ได้จริงๆ’
นางเก็บงำคำถามที่ชวนให้น้อยใจนั้นลงท้อง เขาจำนางได้สิเป็นเรื่องประหลาด หกปีที่ผ่านมาเจอกันเพียงครู่เดียว นางก็ไม่ใช่ท่านหญิงจากตระกูลใหญ่โต ไม่มีรายชื่อที่ถูกนำเสนอเป็นพระชายาของท่านอ๋องด้วยซ้ำไป นางจะเอาสิทธิ์ใดไปน้อยใจได้เล่า
หญิงสาวถอนหายใจหนักหน่วง นางทำอะไรลงไป หากฮองไทเฮาทราบว่านางมาเสนอหน้าแบบนี้จะไม่เท่ากับนางกำลัง ‘เสนอตัว’ ให้ตนเองเป็นตัวเลือกในตำแหน่งพระชายาของท่านอ๋องหรอกหรือ
เห็นทีต้องไปดูว่าเหล่าขันทีและบ่าวรับใช้จัดการลงต้นไม้ทะเลทรายเรียบร้อยหรือยัง นางจะได้รีบกลับบ้านเสียที.
แม้จะไม่ใช่ ‘คนโปรด’ แต่ฮองไทเฮาก็ส่งนางกำนัลมาคอยดูแลว่านหนิงเหมยเป็นอย่างดี หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมเข้านอนแล้ว พวกนางกำนัลยังช่วยแปรงผมยาวให้ด้วย แม้นางปฏิเสธหลายครั้งเพราะไม่คุ้นชินกับการมีผู้อื่นมาปรนนิบัติ จนเมื่อนางกำนัลออกไปแล้วหญิงสาวถึงรู้สึกหายใจโล่งขึ้น หญิงสาวเดินไปที่หน้าต่าง เวลานี้ยามซวี เหม่อมองไปด้านนอกด้วยหัวใจที่ยังว้าวุ่นและสับสน ‘โธ่ น่าสงสาร คนผู้นั้นจำนางไม่ได้’ ‘จะจำได้อย่างไร ตอนนั้นนางยังเด็ก’ “พวกเจ้าหยุดล้อข้าได้แล้ว” ว่านหนิงเหมยแลบลิ้นใส่ ใบไม้สั่นไหวเป็นเสียงหัวเราะคิกคัก “จะโกรธหรือน้อยใจก็ไม่ได้ ตอนนั้นข้าอายุแค่สิบสองเอง” ‘อายุแค่นั้นก็ริรักผู้ชาย’ ‘แล้วอย่างไรเล่า คนผู้นั้นหล่อเหลาองอาจถึงเพียงนั้น’ “พอเถิด ข้าอายเหลือเกิน” นางยกมือขึ้นปิดใบหน้า นางนี่แก่แดดแก่ลมเสียจริง ตัวแค่นั้นก็ริมีความรักแล้ว ‘ตอนนั้นอายุสิบสอง ตอนนี้อายุสิบแปด เจ้าเป็นสาวสะพรั่งแล้ว ได้พบกันอีกครั้ง ไยไม่ไขว่คว้าโอกาสนี้ไว้’ “เจ้าพูดถึงเรื่องอะไรกัน” หญิงสาวถามกลับอย่า
“หากไม่พอใจหม่อมฉัน เอ่ยปากไล่ออกไป หม่อมฉันก็ไม่ดื้อดึงที่จะอยู่ แต่ทำแบบนี้... ว้าย!” ว่านหนิงเหมยร้องเสียงหลงเมื่อมือใหญ่ดึงนางเข้าไปใกล้ จับท้ายทอยของนางให้แหงนหน้าขึ้น ริมฝีปากหยักประกบริมฝีปากนางอย่างรวดเร็ว ดวงตาของหญิงสาวเบิกกว้างด้วยความตกใจ แต่กลับทำให้มองเห็นแววตาเจ้าเล่ห์ของชายหนุ่มได้ชัด และเริ่มกลายเป็นเปลวไฟจนนางต้องหลับตาริมฝีปากถูกขบเม้มและไล้เลียจนหัวใจแทบหยุดเต้น สติที่เหลือเพียงน้อยนิดสั่งให้นางผลักเขาออก แต่มือเล็กคู่นั้นทำได้แค่ทุบแผงอกเปลือยเปล่าไปไม่กี่ครั้ง นางเผลออ้าปากหวังเรียกอากาศหายใจ แต่กลับเปิดทางให้เรียวลิ้นเปียกชื้นเข้ามาเกี่ยวกระหวัดกับลิ้นน้อยๆ ของนาง ปากและลิ้นร้อนของเขาเปี่ยมไปด้วยอำนาจ เขาจุมพิตนางยึดครองเอาสติของไปหมดสิ้น เพียงแค่จูบ นางอ่อนระทวยอย่างน่าอับอายในอ้อมอกแข็งแกร่งของเขาชายหนุ่มรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายกำลังจะหมดสติ จึงส่งลมปราณให้นางแล้วถอนจุมพิตอย่างเสียดาย มองดูนางที่ไร้เรี่ยวแรงในอกของเขา พอดวงตากระจ่างใสของนางลืมตาขึ้นกะพริบถี่ๆ ท่าทางไร้เดียงสานั้นทำให้เขาขบขันจนหัวเราะลั่นออกมา“คิดจะยั่วยวนข้า แต่แม้กระทั่งจูบเจ้ายังไม่เป็น เช่น
องค์ชายเฟยเทียนเลิกคิ้ว ‘เล่นพูดกันแบบนี้เลยรึ?’ เห็นทีว่าหญิงงามที่คัดสรรมานั้น คงได้รับการ ‘ซื้อตัว’ มาแล้ว เพียงแค่นึกถึงสตรีที่ไม่เต็มใจมาอยู่เคียงข้าง หากให้กำเนิดบุตรไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิงกับเขาแล้วจะเป็นเช่นไร เขาไม่ใช่คนรักใคร่เอ็นดูเด็ก แต่ไม่ได้รังเกียจ ตนเองกรำศึกยาวนาน จนนึกภาพยามเป็นพ่อคนไม่ออก เพียงนึกเล่นๆว่าหญิงที่ถูกบังคับให้แต่งงานและให้กำเนิดทายาทแก่เขาจะเป็นเช่นไร เขาเกิดมาเป็นลูกที่พ่อไม่รัก ความรู้สึกนี้ก็ราวกับรอยนาบของเหล็กร้อนบนหัวใจของเขาแล้ว หากนางผู้นั้นชิงชังลูกของเขาเล่า “กระหม่อมจำเป็นต้องเลือกหนึ่งในนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ” เขาเอ่ยออกมาหลังจากนั่งฟังฮองไทเฮาเกลี้ยกล่อมอยู่นาน “เจ้าก็เอ่ยชื่อมาสักคนเถิด” เพราะไต้ซือซู่ย้ำหนักหนาว่าต้องเป็นคนที่เฟยเทียน ‘เอ่ยชื่อ’ ออกมาด้วยตนเองเท่านั้น ถ้าไม่ติดเงื่อนไขนี้ นางคงเลือกสตรีมาเป็นพระชายาให้หลานชายเองแล้ว ชื่อ? นั่นสิ ผู้หญิงคนนั้นชื่ออะไรกันพลันเขากลับคิดถึงหญิงสาวผู้นั้น แม้มีรอยแผลเป็นบนใบหน้า แต่นางไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่ขนาดต้องปกปิดครึ่งหน้าเช่นนั้น นางตัวเล็กไปสักนิด
ถึงนางจะเป็นหญิงพรหมจรรย์ แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่รู้เรื่องอะไรเลย ตอนที่อยู่ในอ่างอาบน้ำเดียวกับองค์ชายเฟยเทียน นางเผลอมอง ‘สิ่งนั้น’ ของเขา ด้วยความน้อยใจและเสียใจ ทำให้ไม่ได้มองเต็มตาโอ๊ย! หนิงเหมย! อย่าให้ผู้ใดรู้เชียวว่านางเผลอมอง ‘สิ่งนั้น’ ของบุรุษที่ไม่ใช่สามีของตนไปแล้ว!!! ‘อยากรู้อะไรก็ถามพวกข้าสิ’ ‘พวกนางกำนัลลอบเล่นชู้กับทหารบ่อยไป’ “มีเรื่องแบบนั้นด้วยเหรอ” ว่านหนิงเหมยหน้าแดงจัด เริ่มไม่แน่ใจว่าตัวเองเป็นไข้ หรือเพราะฟังดอกไม้เหล่านี้พูดเรื่อง...เรื่องลามก! ‘หนิงเหมย ก้มมองที่เบื้องหน้าของเจ้าสิ’เป็นเสียงทุ้มกังวานของต้นหลิวที่อายุเกือบร้อยปี ตั้งแต่นางมีโอกาสเข้าวังมา ต้นหลิวชราผู้นี้มีเมตตาเอ็นดูนางเสมอมา “อ๊ะ!...ลูกนกนี่” นางก้มมองที่พื้น เห็นลูกนกตัวน้อยส่งเสียงร้อง นางนั่งลงแล้วประคองลูกนกในอุ้งมือ แหงนหน้ามองต้นหลิวใหญ่ริมสระบัว “รังเจ้าอยู่ข้างบนใช่หรือไม่” ‘ลูกนกกางเขน เจ้าเอาขึ้นมาคืนรังหน่อยสิ’ “ได้สิ” ว่านหนิงเหมยเอาลูกนกซุกไว้กับอกเสื้อ นางยื่นมือไปกิ่งที่ใกล้และแข็งแรงที่สุด เหนี่ยวตัวเ
กิ่งไม้แหลมเล็กพุ่งเข้าใส่ปักท่อนแขนดุจลูกศรยิงจากธนู ดวงตาคมวาวจ้องมองด้วยความงุนงง ความเจ็บแปลบตอกย้ำว่านี่เป็นเรื่องจริง โลหิตสีเข้มไหลออกมา องค์ชายเฟยเทียนจึงขยับท่อนแขนพิศมองด้วยความประหลาดใจสิบปีที่ผ่านมา ไม่เคยมีสิ่งใดทำร้ายท่อนแขนมังกรข้างนี้ได้เลยสักครั้งเดียว!“ท่านอ๋อง” ว่านหนิงเหมยได้สติ ทรงตัวได้ก่อนจะล้มไปก้นกระแทกพื้น พอเห็นกิ่งไม้แหลมเล็กนั่นก็รู้ทันทีว่าเป็นเพราะนาง เมื่อหกปีก่อนก็เป็นเช่นนี้ เพราะนางตกใจและหวาดกลัวผสมกับรู้สึกถูกคุกคาม ต้นไม้จึงปกป้องโดยที่นางเองไม่ได้สั่งให้ทำร้ายใคร“ท่านอ๋อง” เป็นเสียงขององครักษ์ที่เฝ้าดูอยู่ไม่ไกลนัก เพราะติดตามองค์ชายมานาน รู้ดีถึงแขนซ้ายที่เป็นดั่งเกราะเหล็กกล้าปกป้องผู้เป็นนายได้ยอดเยี่ยมเพียงใด จึงไม่ได้ออกมาปกป้องแต่แรก ไม่คิดว่ากิ่งไม้เล็กๆ ที่จู่ๆ ก็พุ่งเข้าใส่นั้น ปักท่อนแขนซ้ำยังทำให้โลหิตหลั่งอีกด้วย!“ไม่เป็นไร เล็กน้อยเท่านั้น” องค์ชายเฟยเทียนโบกมือห้าม หากเปรียบเป็นลูกศรยามออกรบก็เรียกได้ว่านี่เป็นศรเตือน ไม่ได้ทำให้เจ็บปวดมากนักหรือจะเอาชีวิตเขาแต่อย่างใด“หม่อมฉัน...” นางพูดอะไรไม่ออก ทำไมถึงเป็นแบบนี้ ทำอย่างไรด
“ข้าทำเองได้” นางยื่นมือไปรับผ้ามาเช็ดหน้า “ขอน้ำชาข้าหน่อยสิ”“ขอรับ” จ้าวต้ารีบรินน้ำชาให้นาง ครู่ต่อมาป้าฮุยเหอพาร่างอวบอ้วนเข้ามาพร้อมชามโจ๊กหอมกรุ่น“เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”“แค่เป็นไข้นิดหน่อย” ว่านหนิงเหมยหัวเราะน้อยๆ จากที่รู้สึกโดดเดี่ยว ตอนนี้นางกลับรู้สึกว่ามีคนรักและเป็นห่วงนางอย่างจริงใจถึงสองคน“ไฉนฮองไทเฮาใช้งานคุณหนูของป้าจนไม่สบายเช่นนี้” ปกติคุณหนูของนางแข็งแรง ปีทั้งปีแทบไม่เคยเห็นเจ็บป่วยอะไรเลย“อย่าพูดเช่นนั้นเชียว ข้าแค่ตกน้ำก็เลยไม่สบายเอาน่ะ”นางนึกขึ้นได้ รีบยกข้อมือขึ้นถอดกำไลหยกออกจากข้อมือส่งให้ป้าฮุยเหอ“ฝากเก็บไว้ด้วย ถ้าเอาไว้กับข้ามีหวังโดนค้นห้องเอาไปแน่” นางยิ้มเหมือนเป็นเรื่องปกติ ของกำนัลที่ฮองไทเฮาพระราชทานให้ ส่วนใหญ่นางให้มารดาเก็บไว้ทั้งหมด มีบางชิ้นที่ชิ้นเล็กไม่สะดุดตา นางแอบเก็บไว้เอง“เก็บให้จ้าวต้าไว้เรียนหนังสือ รอเสร็จเรื่องยุ่งก่อน ข้าจะพาเจ้าไปสำนักศึกษา”“คุณหนู” จ้าวต้าทำตาโต ทั้งตื่นเต้นดีใจและกังวลใจไปพร้อมกัน“จะดีหรือเจ้าคะ จ้าวต้าเป็นแค่เด็กรับใช้ คุณหนูเสียสละเวลาสอนหนังสือให้อ่านเขียนได้ก็มากเกินไปแล้ว” ป้าฮุยเหอกลัวว่าคุณหนูขอ
จ้าวต้ามองคุณหนูด้วยความรู้สึกยากจะอธิบาย เขาไม่เคยคิดว่าจะมีใครที่ทำอะไรให้เขาได้ถึงเพียงนี้ แม้กระทั่งกับผู้เป็นบิดามารดาแท้ๆ ของเขาก็ตาม เขาถูกทิ้งขว้าง อดมื้อกินมื้อ แม้กระทั่งตอนที่บิดาตาย เขาต้องขายตัวเองเพื่อฝังศพบิดา คุณหนูว่านหนิงเหมยสงสารเขา นอกจากช่วยเขาแล้ว ยังให้เงินแก่มารดาของเขาไปจำนวนหนึ่ง เขาไม่รู้ว่ามากน้อยเพียงใด แต่ป้าฮุยเหอบอกว่ามันมากพอที่จะทำให้มารดาไม่มาทำร้ายเขาได้อีก “คุณหนู” “มาช่วยข้าเตรียมน้ำชา”นางยิ้มแย้ม เดาได้ไม่ยากว่าเด็กน้อยผู้นี้คิดอะไรอยู่ นางรู้สึกตัวเองไม่สู้ดีนัก แต่คนอย่างนางล้มหมอนนอนเสื่อก็มิได้ นอกจากจ้าวต้ากับป้าฮุยเหอแล้ว ไม่มีใครสนใจดูแลนาง หากเป็นอะไรไป ทั้งสองต้องถูกคนอื่นรังแกเป็นแน่ นางฝืนตัวเองกินโจ๊กที่ป้าฮุยเหอทำให้แล้ว จึงรีบไปหาท่านอาจารย์ที่มาสอนคุณชายคนเล็กของตระกูลว่าน เป็นจังหวะที่อาจารย์ให้คุณชายพักผ่อนพอดี นางให้จ้าวต้าช่วยยกน้ำชาให้อาจารย์ “น้ำชาเจ้าค่ะท่านอาจารย์” “กลิ่นหอมจริง” เพียงได้กลิ่นก็รู้ว่าเป็นชาดี แล้วก็อดยิ้มในการเอาอกเอาใจของหญิงสาวผู้นี้ไม่ได้
“ข้าเปาเยีย” ชายหนุ่มแนะนำตัว“ข้าเป็นตัวแทนคุณชายว่านนำของสิ่งนี้มาให้” นางยื่นซองที่ได้มาจากคุณชายว่านส่งให้ได้ยินเพียงแค่นั้นเปาเยียเข้าใจในทันที คนนี้คงเป็นคนที่รบกวนจิตใจคุณชายว่านมือหนักของเขาเป็นแน่ เปาเยียมองหญิงสาวร่างเล็ก ใบหน้ามีผ้าโปร่งปิดครึ่งหน้า มองผิวเผินแล้วนางอาจไม่ได้งดงามเท่ากับหญิงคณิกาที่เขาดูแลอยู่ แต่ถ้าขัดเกลาอีกนิด คงพอเรียกลูกค้าได้ “แม่นางเชิญด้านในก่อนเถิด ประเดี๋ยวข้าหยิบสัญญาที่กู้ยืมเงินคืนให้” หญิงสาวนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง นางลืมไปจริงๆ ถ้าไม่ฉีกสัญญาก็ต้องมาใช้หนี้ไม่จบไม่สิ้น นางยอมเดินตามเข้าไปด้านใน เปาเยียพานางเดินไปด้านหลังของโรงน้ำชาให้นางนั่งรอในห้องทำงานของเขา “แม่นาง โปรดนั่งรอสักครู่ ข้าหาสัญญาของคุณชายว่านก่อน” เปาเยียรินน้ำชาให้แล้วหมุนตัวเดินไปเหมือนค้นหาอะไรบางอย่าง ว่านหนิงเหมยยกถ้วยน้ำชาขึ้น ทำเหมือนดื่มแต่วางลงอย่างเดิม นางไม่ไว้ใจคนผู้นี้ หญิงสาวมองไปด้านนอกซึ่งเป็นสวนหย่อม มีต้นไทรขนาดใหญ่อยู่หลายต้น คาดว่าโรงน้ำชาคงสร้างทีหลัง เพราะดูอายุต้นไม้แล้วน่าจะหลายสิบปี สายลมพัดผ่านแ
ลมหายใจของเขามีไว้เพื่อนางลมหายใจของนางมีไว้เพื่อเรื่องย่อเรื่องราวระหว่างเทพมังกรดิน ฮวงหลง และหญิงสาวเดินดินนามซิ่นฮวาเมื่อโชคชะตาเล่นตลกให้หญิงสาวมองเห็น ‘เทพมังกรดิน’เขาจำ(ใจ)ต้องปรากฏกายทุกครั้งที่นางเรียกขานนามของเขาทำให้เทพเซียนชั้นฟ้ากลายเป็นพี่เลี้ยงของเด็กหญิงตัวน้อยจวบจนนางเติบโตเป็นหญิงสาวงามสะพรั่งกฎสวรรค์ทำให้เขาต้องหักห้ามใจแต่เพราะนางและเขามีชะตาที่ต้องชดใช้กรรมร่วมกันและมีเพียง ‘ลมหายใจมังกร’ เท่านั้นที่จะต่อลมหายใจของนางได้เส้นทางที่เขาเลือกมิใช่สิ่งที่นางปรารถนาเพียงหนึ่งชาติภพเพื่อให้ใจได้ ‘รัก’แม้ช่วงเวลานั้นจะแสนสั้น.... นางก็ยินดีจาก ‘ท่อนแขนมังกร’ สู่ ‘ลมหายใจมังกร’(ท่อนแขนมังกรรุ่นลูก)‘ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น ข้าจะอยู่ข้างกายท่าน จะไม่มีวันทอดทิ้งท่านอย่างเด็ดขาด’“แม้ว่าข้าจะกลายเป็นคนอัปลักษณ์ เจ้าก็ยังอยู่เคียงข้างข้าหรือ?”‘แน่นอน’ นางยืนยันด้วยแววตาใสซื่อ ‘ข้ามิได้รักท่านที่หน้าตา แต่เพราะจิตใจของท่านต่างหากที่ข้าหลงรัก’“เจ้ารักข้า?”คำสารภาพรักของนางนั้นเขาได้ยินมานับร้อยนับพันครั้งแล้วกระมังแต่ครั้งนี้ แม้นางไม่ได้เปล่งเสียงออกมาแต่ห
“เช่นนั้นเจ้าไม่ลองมีลูกสาวให้เป็นเพื่อนซิ่นฮวาอีกคนเล่า เด็กๆในตำหนักมีแต่เด็กผู้ชาย ถ้ามีลูกผู้หญิงเพิ่มขึ้นอีกคนก็คงดีไม่น้อย ตอนนี้ซิ่นสือก็สามขวบแล้ว ถ้าเจ้าจะมีลูกอีกสักคนก็...”บุรุษหนุ่มผู้กรำศึกมานับไม่ถ้วนถึงกับสะอึกไปเมื่อเห็นสายตาดุๆ ของภรรยาตัวน้อย“ข้ามิใช่แม่หมูนะ” เหตุใดมาเคี่ยวเข็ญให้นางตั้งท้องขนาดนี้นะ“โธ่! เพราะเห็นเจ้าเป็นภรรยาหนึ่งเดียวของข้าถึงได้ชวนเจ้ามีลูกอีกสักคนหรือสองคนก็ได้” เขาโอบไหล่นางพานางกลับเข้าห้องพัก ปล่อยให้จ้าวต้าอยู่กับลูกชายสองคนของเขา คงเป็นวิธีเบี่ยงเบนความสนใจจากว่านหนิงเหมยให้จ้าวต้าไปรับตัวซิ่นฮวาจากสวนกระจ่างใจจ้าวต้าโคลงศีรษะไปมาแล้วมองเด็กน้อยทั้งสอง แม้ฐานะของเขาต้อยต่ำนัก แต่เขาเสมือนพี่ใหญ่ที่ต้องดูแลเด็กๆ เหล่านี้ เขาถอนหายใจก่อนยิ้มอ่อนโยน จูงมือซิ่นหลิงและอุ้มซิ่นสือไปส่งป้าฮุยเหอก่อนแล้วค่อยไปรับเด็กหญิงแสนซุกซนผู้นั้นเด็กหญิงตัวต้นเรื่องนั่งหน้าบึ้งตึงในศาลาหกเหลี่ยมของสวนกระจ่างใจ ท่านแม่ให้นางนั่งสำนึกผิดอยู่ผู้เดียว แต่กระนั้น นางก็รู้และมั่นใจว่าองครักษ์ของท่านพ่อคอยจับตาดูนางอยู่“เรื่องนิดเดียวเอง ไยท่านแม่ต้องโกรธถึงเ
ชายหนุ่มวัยสิบหกพาเรือนร่างกำยำเดินเข้าไปพร้อมรอยยิ้มประดับใบหน้าคมเข้ม แม้อายุเพียงแค่สิบหกปีแต่เพราะฝึกฝนวรยุทธ์อย่างเข้มงวด ทำให้เขาดูสูงใหญ่กว่าชายหนุ่มวัยเดียวกัน แทบไม่เหลือเค้าโครงเด็กชายผอมกะหร่องที่ค่อยติดตามพระชายาเลยแม้แต่น้อย เพียงร่างสูงเดินเข้าไปในห้องโถง พลันประสาทรับรู้ถึงการพุ่งเข้าใส่ ทว่าเขากลับไม่ปัดป้องหรือหลบหลีก ยอมให้ร่างเล็กโถมเข้าใส่สุดแรงจนเสียหลักหงายหลังล้มลงให้เด็กชายตัวน้อยวัยห้าขวบนั่งทับ “พี่จ้าวต้ากลับมาแล้ว!” มือน้อยของเด็กชายขยุ้มคอเสื้ออีกฝ่าย สีหน้าตื่นเต้นดีใจทั้งที่ไม่เจอกันแค่สามเดือน “คุณชายซิ่นหลิง” ชายหนุ่มหัวเราะขบขันกับท่าทางดีอกดีใจของอีกฝ่าย เพราะรู้ว่าผู้ที่พุ่งเข้ามาเป็นใครจึงยอมให้นั่งทับบนร่างตัวเองเช่นนี้ เขาจับไหล่เด็กชายตัวน้อย ยกตัวขึ้นเพื่อให้ตัวเองลุกขึ้นยืนได้ “พี่จ้าวต้ามาแล้ว ไปช่วยซิ่นฮวาเร็วๆ เข้า” มือน้อยกระตุกมือใหญ่แล้วชี้ไปทางด้านหลังของตำหนักดุจตะวัน “หือ? คุณหนูเป็นอะไรไปขอรับ” เขาถามพลางมองไปตามทิศทางที่นิ้วป้อมๆ ชี้ไป ถ้าคุณหนูตัวน้อยอยู่ที่สวนก
พูดได้แค่นั้นก็อยากจะอาเจียนหรือหาของเปรี้ยวมากิน คราวนี้ฮองไทเฮาอดหัวเราะไม่ได้ ในขณะที่หลานรักอย่างเขากลับรู้สึกอับอายยิ่งนัก เพราะหลบสายตาของผู้เป็นย่าจึงปะทะกับสายตาล้อเลียนขององครักษ์ฝาแฝดทั้งสอง ทำได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างไม่พอใจ ก็ใครใช้ให้เขารักนางมากขนาดนี้กันเล่า เฮ้อ!“เอาเถิดๆ อย่างไรข้าจะเป็นยายแก่หนังเหนียวรอเจ้าพาเหลนและสะใภ้กลับมาเยี่ยมอยู่ที่นี่”องค์ชายเฟยเทียนโค้งตัวอำลาฮองไทเฮา คราวนี้เขาไม่รั้งอยู่นาน ใช้วิชาตัวเบาราวล่องหนหายออกไปจากวังหลวงพร้อมองครักษ์ทั้งสองอย่างรวดเร็ว เพื่อกลับไปดูแลคนที่ทำให้เขาต้องออกอาการแพ้ท้องแทนอยู่อย่างนี้ตุนหวงรถม้ามาหยุดหน้าตำหนักดุจตะวัน หญิงวัยกลางคนโผล่หน้าออกมาจากหน้าต่างรถอย่างไม่มั่นใจนัก จนกระทั่งเห็นเด็กชายที่เคยเลี้ยงดูรีบวิ่งเข้ามาหา นางจึงยิ้มกว้างออกมา“จ้าวต้า”“ป้าฮุยเหอมาแล้ว” จ้าวตารีบไปประคองให้นางลงจากรถม้า ก่อนท่านอ๋องเดินทางไปเมืองหลวงได้สอบถามเขาถึงคนสนิทหญิงรับใช้ที่บ้านเดิม ท่านอ๋องต้องการให้พระชายามีคนคุ้นเคยอยู่ใกล้ๆ คอยช่วยเหลือยามตั้งครรภ์แรก เขาจึงนึกถึงป้าฮุยเหอที่ดูแลเขาและพระชายามาตั้งแต่เกิด แต่เ
ดวงเนตรเบิกกว้างอย่างตกใจ ไม่คิดว่าจะได้ยินโอรสที่ทรงหมางเมินกล่าวออกมาเช่นนี้ จ้องมองบุรุษเบื้องหน้าที่ใบหน้าละม้ายคล้ายกันนัก สิ่งที่ลูกชายพูดออกมานั้นล้วนอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจ ทุกครั้งที่มองใบหน้านี้จึงเหมือนมองตนเองในวันวัยเดียวกัน ยามที่เป็นเพียงองค์รัชทายาทก็ราวกับเป็นเพียงหุ่นเชิดให้ใครต่อใครบงการ พยายามอย่างยิ่งให้เป็นที่ยอมรับ ได้รับความรักจากบิดาหรือก็คืออดีตฮ่องเต้องค์ก่อน แม้รู้ว่าสิ่งที่ตนทำไปนั้นไม่ถูกต้อง แต่ไม่อาจแก้ไขอะไรได้สิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ในใจ ไม่คิดเลยว่าบุรุษเบื้องหน้าผู้ถอดแบบเขาออกมาแทบทุกกระเบียดนิ้ว จะมองออกจนทะลุปรุโปร่งเช่นนี้ “สิ่งที่กระหม่อมทำก็เพื่อแผ่นดินมังกรแห่งนี้ ศึกภายในกระหม่อมไม่ขอยุ่งเกี่ยว กระหม่อมมิสนใจว่าผู้ใดต้องการกำจัดกระหม่อม แต่ชีวิตของกระหม่อมขอเพียงได้ปกป้องราษฎรและรักษาแผ่นดินที่แลกมาด้วยหยาดโลหิตและชีวิตทหาร หากกำจัดกระหม่อมไปแล้ว เห็นทีว่าจะไม่เป็นผลดีต่อแผ่นดินนี้”“เจ้ากำลังข่มขู่ข้ากระนั้นรึ” “มิได้ กระหม่อมแค่ต้องการย้ำให้พระบิดาเข้าใจ อย่าได้สิ้นเปลืองสมองมาระแวงกระหม่อม”เสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะยกถ้วยชาขึ้นจิบอีกครั้ง
เทพมังกรดินดูผลงานของตน เฝ้ามองเหล่ามารปีศาจกลับคืนสู่นรกแล้ว จึงกลายร่างเป็นบุรุษเจ้าของเส้นผมสีเงินยวง เดินเข้าไปหาคนทั้งสอง หญิงสาวพลิกตัวใช้ร่างของตนบังร่างของชายที่นางรักไว้ แม้นางรูปร่างเล็ก แต่กางแขนออกเพื่อปกป้องเขา“หนิงเหมย” เขาปรามนาง อยากจะหัวเราะที่เวลานี้มีหญิงสาวตัวเล็กกางแขนปกป้องเขาเต็มที่ ในชีวิตของเขา จะมีใครสักกี่คนที่ยอมอยู่เคียงข้างเช่นนี้ เพียงหนึ่งชีวิตอันแสนสั้น ได้รู้จักรัก หัวใจได้รับความรักก็นับว่ามีค่าและมีเกียรติให้ตายได้อย่างสงบแล้วเป็นนางเท่านั้นที่ทำให้เขาได้เรียนรู้ที่จะรัก ได้สัมผัสความรัก เพียงเท่านี้ก็พอแล้ว พอแล้วจริงๆ เทพมังกรดินจ้องมองชายหนุ่มหญิงสาวทั้งสองแล้วก็ลอบถอนหายใจ นี่แหละหนา จึงเป็นได้เพียงมนุษย์ไม่อาจละทิ้งอาวรณ์ได้ เขายื่นมือไปใช้เพียงปลายนิ้วแตะน้ำตาของหญิงสาว ว่านหนิงเหมยเบิกตาโต เห็นน้ำตาของตนกลั่นกลายเป็นก้อนกลมเล็กดุจลูกแก้ววาววับลอยเหนือฝ่ามือของเทพมังกรดิน แล้วยื่นไปที่เบื้องหน้าขององค์ชายเฟยเทียน “นี่คือ...” ว่านหนิงเหมยพึมพำ “กลืนมันลงไป” เทพมังกรดินสั่งน้ำเสียงเฉียบขาด องค์ช
“เจ้าเรียกปีศาจได้ ไยข้าจะทำบ้างมิได้” เพื่อชัยชนะ ย่อมทำได้ทุกอย่างไม่ว่าชัยชนะนั้นจะได้มาอย่างไรก็ตาม“เจ้าแลกสิ่งใดกับการเรียกปีศาจออกมา!”แม้เขามีปีศาจมังกรเพลิงอยู่ในท่อนแขนซ้าย แต่เรียกใช้เพียงการศึกครั้งเดียว เมื่อสิบปีก่อนที่เรียกกองทัพทหารปีศาจขึ้นมา กลายเป็นฝันร้ายไปชั่วชีวิต นับแต่นั้น เขาเพียงใช้แค่เกราะปีศาจมังกรเพลิงคุ้มกันกายค่าตอบแทนของทหารปีศาจเหล่านี้คือหายนะไม่สิ้นสุด ความตายที่ไม่อาจประเมินได้อยู่เบื้องหน้า ปีศาจเหล่านี้ล้วนต้องดื่มเลือดฉีกเนื้อกินวิญญาณมนุษย์ ครานั้นปีศาจที่เขาเรียกออกมากัดกินทหารฝ่ายตรงข้าม เศษซากที่เหลือกลายเป็นศพ กองเป็นภูเขาซากศพชวนให้อาเจียนและขนหัวลุก“ข้ามิโง่เช่นเจ้าที่แลกวิญญาณตนเองหรอกนะ” ลาซูแหงนหน้าหัวเราะ ดวงตากลายเป็นสีแดงราวกับย้อมด้วยโลหิต “แต่ข้าแลกด้วยชีวิตผู้คนในตุนหวง เมื่อข้านำกองทัพเข้ายึดครองแผ่นดินของเจ้า ผู้คนของเจ้าก็จะกลายเป็นอาหารอันโอชะให้พวกมันอย่างไรเล่า เมื่อเวลานั้นมาถึง ดินแดนของเจ้าจะมีเพียงผู้คนของข้าเท่านั้นที่เหยียบยืนบนแผ่นดินเปื้อนเลือดแห่งนี้”แม้ไม่ได้ยินเสียงสนทนาของคนทั้งสอง แต่บัดนี้หญิงสาวเข้าใจแล้วว่
นางหวังให้ตัวเองส่งเสียงเตือนให้ดังกว่านี้ แต่เสียงที่เปล่งออกไปเป็นเพียงเสียงแหบแห้งและสั่นเครือ นางรวบรวมเรี่ยวแรงที่เหลือเพียงน้อยนิด อาภรณ์สีดำขลิบแดงที่นางสวมทำให้ผิวกายของนางแสบร้อน ดวงตาเบิกกว้าง นางเห็นกลุ่มคนบุกเข้าไปกำลังปะทะกับทหารมองโกล “ท่าน...อ๋อง...” เสียงของนางแผ่วเบายิ่งกว่าเสียงของสายลม น้ำตาที่ทนกลั้นกลิ้งร่วงหล่นจากดวงตาเปื้อนแก้ม ขอให้นางได้เพียงส่งเสียง ได้เพียงเตือนเขาก็ยังดี “โอ๊ย!” ว่านหนิงเหมยร้องเสียงหลง หูทั้งสองข้างราวกับมีเสียงปริแตกลั่นดังเปรี๊ยะ! มือที่ถูกมัดทำให้ไม่อาจยกขึ้นมาแตะหูของตนได้ นางเจ็บจนนิ่วหน้า รู้สึกเหมือนมีน้ำไหลออกมาจากหูทั้งสองข้างนางหลับตาพยายามสะกดกลั้นความเจ็บที่ตนได้รับ เสียงหวีดแหลมที่ทำให้หูทั้งสองข้างเจ็บปวด ทำให้นางไม่อาจได้ยินเสียงอื่นใดอีก ในชั่วลมหายใจต่อมา หญิงสาวรู้สึกว่าเชือกที่มัดนางอยู่ถูกตัดขาดอย่างรวดเร็วพร้อมร่างของนางที่ร่วงหล่น เพียงเสี้ยวเวลาอันแสนสั้นและเปราะบาง ยามนั้นนางกลับนึกถึงเมื่อครั้งที่นางตกต้นหลิวอายุเกือบร้อยปีในสวนสี่ฤดูของฮองไทเฮา หัวใจของนางหล่นวูบ
“เจ้าต้องการสิ่งใดกันแน่” มือเรียวกำแน่น เผลอจิกเล็บกับฝ่ามือของตนเอง เมื่อเห็นอีกฝ่ายตั้งใจฟัง ลาซูจึงเอ่ยขึ้น “สังหารท่านอ๋องอย่างไรเล่า คงมีแต่ท่านเท่านั้นที่จะสังหารผู้ที่ครอบครองพลังปีศาจมังกรเพลิง” ลาซูพูดราวกับเป็นเรื่องธรรมดา “อ้อ! แต่อย่าได้เป็นกังวลไป หากพระชายากลายเป็นม่าย กระหม่อมยินดีรับท่านมาอยู่เคียงข้างอย่างไม่รังเกียจ” ยังไม่ทันสิ้นประโยคดี ฝ่ามือเล็กของหญิงสาวกระทบซีกแก้มของลาซูสุดแรงที่นางมี เพราะคิดว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงหญิงไร้วรยุทธ์จึงไม่หลบหลีกยินดีให้นางตบหน้าเขาเต็มแรง ว่านหนิงเหมยลดมือที่ยกค้างอยู่ลง แสร้งทำเป็นประคองสองมือไว้บนตัก ทว่ามือข้างขวานั้นชาและสั่นระริก หญิงสาวกัดริมฝีปากตนเองไม่ให้แสดงความตื่นตระหนกออกมา ดวงตาเป็นประกายฉายแววเคืองโกรธและจ้องมองอย่างไม่เกรงกลัว “หากมือของข้าต้องเปื้อนเลือด ต้องเป็นเลือดของคนชั่วเช่นเจ้าเท่านั้น! ข้ายินดีตายแต่ไม่ยอมทำร้ายท่านอ๋องเด็ดขาด!” “ดี!” ลาซูหัวเราะเหมือนคนเสียสติ ยื่นมือไปจับข้อมือข้างที่ตบหน้าเขากระชากนางให้ลุกขึ้นพร้อมกับต