องค์ชายเฟยเทียนเลิกคิ้ว ‘เล่นพูดกันแบบนี้เลยรึ?’ เห็นทีว่าหญิงงามที่คัดสรรมานั้น คงได้รับการ ‘ซื้อตัว’ มาแล้ว เพียงแค่นึกถึงสตรีที่ไม่เต็มใจมาอยู่เคียงข้าง หากให้กำเนิดบุตรไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิงกับเขาแล้วจะเป็นเช่นไร เขาไม่ใช่คนรักใคร่เอ็นดูเด็ก แต่ไม่ได้รังเกียจ ตนเองกรำศึกยาวนาน จนนึกภาพยามเป็นพ่อคนไม่ออก เพียงนึกเล่นๆว่าหญิงที่ถูกบังคับให้แต่งงานและให้กำเนิดทายาทแก่เขาจะเป็นเช่นไร เขาเกิดมาเป็นลูกที่พ่อไม่รัก ความรู้สึกนี้ก็ราวกับรอยนาบของเหล็กร้อนบนหัวใจของเขาแล้ว หากนางผู้นั้นชิงชังลูกของเขาเล่า
“กระหม่อมจำเป็นต้องเลือกหนึ่งในนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ” เขาเอ่ยออกมาหลังจากนั่งฟังฮองไทเฮาเกลี้ยกล่อมอยู่นาน
“เจ้าก็เอ่ยชื่อมาสักคนเถิด” เพราะไต้ซือซู่ย้ำหนักหนาว่าต้องเป็นคนที่เฟยเทียน ‘เอ่ยชื่อ’ ออกมาด้วยตนเองเท่านั้น ถ้าไม่ติดเงื่อนไขนี้ นางคงเลือกสตรีมาเป็นพระชายาให้หลานชายเองแล้ว
ชื่อ? นั่นสิ ผู้หญิงคนนั้นชื่ออะไรกัน
พลันเขากลับคิดถึงหญิงสาวผู้นั้น แม้มีรอยแผลเป็นบนใบหน้า แต่นางไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่ขนาดต้องปกปิดครึ่งหน้าเช่นนั้น นางตัวเล็กไปสักนิด ทว่ารูปร่างนางก็ไม่เลวเหมือนกัน
“เจ้าอย่าได้เกรงใจ เลือกคนที่ถูกใจเจ้า แล้วข้าจะเป็นธุระจัดการให้” ฮองไทเฮาย้ำอย่างกระตือรือร้น
“เลือกแล้วกระหม่อมกลับตุนหวงได้เลยหรือไม่”
“เจ้ามีผู้ใดรอที่ตุนหวงรึ” ฮองไทเฮาแสร้งทำน้ำเสียงไม่พอใจ “หรือนางกำนัลของข้าดูแลเจ้าได้ไม่ดี เห็นว่าเป็นลมล้มพับไปหลายคน”
ดวงตาคมกลับมีประกายวูบไหวเล็กน้อย แสร้งยกน้ำชาขึ้นดื่มเพื่อปกปิดมุมปากที่ยกยิ้ม คิดถึงใบหน้าของหญิงสาวผู้นั้น เมื่อคืนแกล้งนางหนักมือไปหน่อย มิรู้แอบไปร้องไห้หรือไม่ ทว่าเขาลองทำตามที่นางแนะนำ ไม่ได้ดื่มเหล้ารสแรง เปลี่ยนเป็นชาเกสรดอกบัวทำให้หลับสบายอย่างน่าประหลาดใจ
“ฮองไทเฮาก็ทรงมีนางกำนัลใจกล้าอยู่นี่”
“ฮึ! ใครกันที่ไม่เป็นลมยามเจอเจ้า กรุ่นไออำมหิตของเจ้าทำเอาคนอยู่ใกล้แข้งขาอ่อนไปหมดแล้ว”
“นางผู้นั้น” เขาเงยหน้าขึ้นถาม แล้วนางเป็นใครกัน ถ้าไม่ใช่นางกำนัลของฮองไทเฮา
“ผู้ใดกัน?”
“หญิงที่มีรอยแผลเป็นบนแก้มขวา”
“เอ๋? นั่นว่านหนิงเหมยไม่ใช่รึ” ฮองไทเฮาหันไปเรียกขันทีที่อยู่ไม่ไกลมาสอบถามและได้รับการยืนยันว่าเป็นนางจริง
“นางไม่ใช่นางกำนัลของฮองไทเฮาหรอกรึ”
“เจ้าจำหนิงเหมยไม่ได้?” ฮองไทเฮาส่ายหน้าไปมา “เจ้าเป็นคนทำให้นางเสียโฉม”
“ข้ารึ?” คราวนี้งุนงงหนักเข้าไปใหญ่ เขาจำไม่ได้ว่าเคยทำร้ายผู้หญิงนี่นะ
“เจ้าอาจจำนางไม่ได้ เพราะตอนนั้นนางอายุแค่สิบสอง แต่เจ้าเป็นคนทำให้ใบหน้าของนางมีแผลเป็นเช่นนั้น เจ้าควรจำได้สิ”
พูดออกไปแล้วกลับเห็นแววตางุนงง ก็จำเป็นต้องขยายความให้เข้าใจ
“เจ้าเพิ่งเสร็จศึกรวมแผ่นดิน ข้าเรียกตัวเจ้ากลับมา ปีนั้นเจ้าอายุยี่สิบเอ็ด ครานั้นว่านหนิงเหมยเพิ่งอายุสิบสอง ติดตามพี่สาวมางานเลี้ยงฤดูร้อน เข้าวังหลวงครั้งแรกและหลงทางไปเจอเจ้า ไม่รู้ว่านางไปล่วงเกินสิ่งใด เจ้าถึงได้ใช้กรงเล็บมังกรกรีดหน้านางเป็นรอยเช่นนั้น”
“ตอนนั้น...เด็กผู้หญิงคนนั้น...” บุรุษหนุ่มพึมพำและทบทวน
“นางเกิดเป็นลูกอนุก็อาภัพมากพอแล้ว ซ้ำยังถูกเจ้าทำร้ายจนเสียโฉม ปีนี้อายุสิบแปดแล้วไม่มีผู้ใดกล้าสู่ขอนางไปเป็นภรรยา ข้าต้องเสียเงินทองเท่าไหร่เป็นค่าทำขวัญให้นางกับบิดาของนาง”
“บิดาของนางเป็นใคร”
“บิดาของนางคือใต้เท้าว่านรองเจ้ากรมอากร”
“ถ้านางไม่ใช่นางกำนัล แล้วทำไมมาอยู่ที่นี่”
“นางมีพรสวรรค์ ต้นไม้ดอกไม้ในสวนสี่ฤดูของข้าล้วนเป็นนางที่ดูแล เพราะเจ้าเอาพืชทะเลทรายมาเป็นของกำนัลให้ข้า ข้าเลยขอให้นางช่วยดูแล ปกติเรียกนางมาช่วยดูกล้วยไม้ให้อยู่แล้ว”
เขาพอนึกออกแล้ว ทว่าเขาไม่ได้กางกรงเล็บกรีดใบหน้านาง
ขันทีเข้ามารายงาน ฮองเฮาขอเข้าพบฮองไทเฮา องค์ชายเฟยเทียนสบโอกาสจึงขอตัวหลบออกมา มิน่าล่ะ นางไม่ได้มีท่าทีหวาดกลัวเขาเหมือนผู้อื่น
“พรสวรรค์หรือพรปีศาจกันแน่” ใบหน้าคมคายปรากฏรอยยิ้มที่มุมปาก แต่เป็นรอยยิ้มที่ชวนให้เสียวสันหลังเสียมากกว่าชวนหลงใหล เขาเรียกนางกำนัลที่กำลังหมุนตัวหนี เพราะไม่กล้าเดินมาทางเขาแล้วถามที่อยู่ของว่านหนิงเหมย
เพราะความเศร้าโศกของหญิงสาว ทำให้ต้นไม้ดอกไม้เหี่ยวเฉาไปมาก นางกำนัลมารายงานด้วยอาการตื่นตกใจแต่เช้าตรู่ เมื่อคืนนางหลับไปทั้งน้ำตา ดวงตาจึงบวมแดง ซ้ำยังรู้สึกเหมือนมีไข้อ่อนๆ อีกด้วย ตั้งใจว่าเช้านี้จะกลับบ้าน แต่เมื่อในสวนสี่ฤดูมีปัญหา นางจึงรีบไปดูความเรียบร้อยก่อน เมื่อไปถึงนางกวาดสายตามองไม่เห็นผู้อื่น จึงยื่นมือไปทาบที่ต้นหลิวขนาดใหญ่
“ไยพวกเจ้าเศร้าหมองกันเช่นนี้เล่า”
‘เหมยเอ๋อร์ร้องไห้’
‘หนิงเหมยที่รักกำลังเศร้า’
“โธ่ ข้าก็แค่เสียใจนิดหน่อย”
นางยิ้มกว้างออกมาได้แม้ดวงตาบวมแดงอยู่บ้าง นางไม่มีเพื่อนสนิท ใครกันอยากคบหาลูกอนุอย่างนาง หรือหากอยู่ในวงสังสรรค์ของบรรดาท่านหญิงหรือองค์หญิง นางเป็นได้แค่คนที่คอยรับคำสั่งให้ทำโน่นทำนี่ แม้นางไม่เพื่อนสนิท แต่สิ่งที่เทพมังกรดินมอบให้ทำให้นางไม่เหงา เหล่าพฤกษาที่พูดคุยกับนางเป็นดั่งสหายรัก ทั้งร่วมทุกข์และสุขไปกับนาง
“ข้าไม่เป็นอะไรหรอก พวกเจ้าก็อย่าพลอยเศร้าไปด้วยสิ”
‘จริงด้วย นางจะเป็นอะไรได้ อย่างน้อยนางก็ได้จุมพิตจากท่านอ๋อง’
‘นางได้จุมพิตจากท่านอ๋อง’
‘ท่านอ๋องจุมพิตนาง’
“หยุดนะ! พวกเจ้าหยุดพูดเรื่องน่าอายนั่นเดี๋ยวนี้!” ใบหน้านางร้อนผ่าวขึ้นมา
‘เหมยเอ๋อร์หน้าแดง’
‘ท่านอ๋องเจ้าขา’
“ข้าไม่สบายหรอกนะถึงได้หน้าแดง” นางโต้เถียง แต่เหล่าดอกไม้กลับหัวเราะคิกคัก ส่งเสียงล้อเลียนเป็นการใหญ่ เมื่อครู่นางอุตส่าห์ซึ้งใจที่พวกเขารับรู้ความทุกข์ในใจนาง แต่ตอนนี้กลับล้อนางสนุกปาก
‘เหมยเอ๋อร์ไม่สบาย ต้องให้ท่านอ๋องถ่ายลมปราณให้’
‘ท่านอ๋องเจ้าขา เหมยเอ๋อร์ไม่สบาย’
“พวกเจ้านี่หยุดพูดจาลามกได้แล้ว” ใครกันรู้ดีว่าท่านอ๋องถ่ายลมปราณให้นาง ต้นไผ่ทองรึ? ประเดี๋ยวเถอะ! นางจะหาเรื่องย้ายออกไปตากแดดให้หมดเลย!
“เลิกทำเสียงแบบนั้นด้วย”
‘อายไปไยเล่าเหมยเอ๋อร์ ร้อยทั้งร้อยบุรุษชอบให้สตรีครวญเสียงกระเส่าเช่นนี้ทั้งนั้น’
“พะ..พวกเจ้า! เป็นแค่ต้นไม้ดอกไม้ ไยรู้เรื่องลามกเช่นนี้”
ถึงนางจะเป็นหญิงพรหมจรรย์ แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่รู้เรื่องอะไรเลย ตอนที่อยู่ในอ่างอาบน้ำเดียวกับองค์ชายเฟยเทียน นางเผลอมอง ‘สิ่งนั้น’ ของเขา ด้วยความน้อยใจและเสียใจ ทำให้ไม่ได้มองเต็มตาโอ๊ย! หนิงเหมย! อย่าให้ผู้ใดรู้เชียวว่านางเผลอมอง ‘สิ่งนั้น’ ของบุรุษที่ไม่ใช่สามีของตนไปแล้ว!!! ‘อยากรู้อะไรก็ถามพวกข้าสิ’ ‘พวกนางกำนัลลอบเล่นชู้กับทหารบ่อยไป’ “มีเรื่องแบบนั้นด้วยเหรอ” ว่านหนิงเหมยหน้าแดงจัด เริ่มไม่แน่ใจว่าตัวเองเป็นไข้ หรือเพราะฟังดอกไม้เหล่านี้พูดเรื่อง...เรื่องลามก! ‘หนิงเหมย ก้มมองที่เบื้องหน้าของเจ้าสิ’เป็นเสียงทุ้มกังวานของต้นหลิวที่อายุเกือบร้อยปี ตั้งแต่นางมีโอกาสเข้าวังมา ต้นหลิวชราผู้นี้มีเมตตาเอ็นดูนางเสมอมา “อ๊ะ!...ลูกนกนี่” นางก้มมองที่พื้น เห็นลูกนกตัวน้อยส่งเสียงร้อง นางนั่งลงแล้วประคองลูกนกในอุ้งมือ แหงนหน้ามองต้นหลิวใหญ่ริมสระบัว “รังเจ้าอยู่ข้างบนใช่หรือไม่” ‘ลูกนกกางเขน เจ้าเอาขึ้นมาคืนรังหน่อยสิ’ “ได้สิ” ว่านหนิงเหมยเอาลูกนกซุกไว้กับอกเสื้อ นางยื่นมือไปกิ่งที่ใกล้และแข็งแรงที่สุด เหนี่ยวตัวเ
กิ่งไม้แหลมเล็กพุ่งเข้าใส่ปักท่อนแขนดุจลูกศรยิงจากธนู ดวงตาคมวาวจ้องมองด้วยความงุนงง ความเจ็บแปลบตอกย้ำว่านี่เป็นเรื่องจริง โลหิตสีเข้มไหลออกมา องค์ชายเฟยเทียนจึงขยับท่อนแขนพิศมองด้วยความประหลาดใจสิบปีที่ผ่านมา ไม่เคยมีสิ่งใดทำร้ายท่อนแขนมังกรข้างนี้ได้เลยสักครั้งเดียว!“ท่านอ๋อง” ว่านหนิงเหมยได้สติ ทรงตัวได้ก่อนจะล้มไปก้นกระแทกพื้น พอเห็นกิ่งไม้แหลมเล็กนั่นก็รู้ทันทีว่าเป็นเพราะนาง เมื่อหกปีก่อนก็เป็นเช่นนี้ เพราะนางตกใจและหวาดกลัวผสมกับรู้สึกถูกคุกคาม ต้นไม้จึงปกป้องโดยที่นางเองไม่ได้สั่งให้ทำร้ายใคร“ท่านอ๋อง” เป็นเสียงขององครักษ์ที่เฝ้าดูอยู่ไม่ไกลนัก เพราะติดตามองค์ชายมานาน รู้ดีถึงแขนซ้ายที่เป็นดั่งเกราะเหล็กกล้าปกป้องผู้เป็นนายได้ยอดเยี่ยมเพียงใด จึงไม่ได้ออกมาปกป้องแต่แรก ไม่คิดว่ากิ่งไม้เล็กๆ ที่จู่ๆ ก็พุ่งเข้าใส่นั้น ปักท่อนแขนซ้ำยังทำให้โลหิตหลั่งอีกด้วย!“ไม่เป็นไร เล็กน้อยเท่านั้น” องค์ชายเฟยเทียนโบกมือห้าม หากเปรียบเป็นลูกศรยามออกรบก็เรียกได้ว่านี่เป็นศรเตือน ไม่ได้ทำให้เจ็บปวดมากนักหรือจะเอาชีวิตเขาแต่อย่างใด“หม่อมฉัน...” นางพูดอะไรไม่ออก ทำไมถึงเป็นแบบนี้ ทำอย่างไรด
“ข้าทำเองได้” นางยื่นมือไปรับผ้ามาเช็ดหน้า “ขอน้ำชาข้าหน่อยสิ”“ขอรับ” จ้าวต้ารีบรินน้ำชาให้นาง ครู่ต่อมาป้าฮุยเหอพาร่างอวบอ้วนเข้ามาพร้อมชามโจ๊กหอมกรุ่น“เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”“แค่เป็นไข้นิดหน่อย” ว่านหนิงเหมยหัวเราะน้อยๆ จากที่รู้สึกโดดเดี่ยว ตอนนี้นางกลับรู้สึกว่ามีคนรักและเป็นห่วงนางอย่างจริงใจถึงสองคน“ไฉนฮองไทเฮาใช้งานคุณหนูของป้าจนไม่สบายเช่นนี้” ปกติคุณหนูของนางแข็งแรง ปีทั้งปีแทบไม่เคยเห็นเจ็บป่วยอะไรเลย“อย่าพูดเช่นนั้นเชียว ข้าแค่ตกน้ำก็เลยไม่สบายเอาน่ะ”นางนึกขึ้นได้ รีบยกข้อมือขึ้นถอดกำไลหยกออกจากข้อมือส่งให้ป้าฮุยเหอ“ฝากเก็บไว้ด้วย ถ้าเอาไว้กับข้ามีหวังโดนค้นห้องเอาไปแน่” นางยิ้มเหมือนเป็นเรื่องปกติ ของกำนัลที่ฮองไทเฮาพระราชทานให้ ส่วนใหญ่นางให้มารดาเก็บไว้ทั้งหมด มีบางชิ้นที่ชิ้นเล็กไม่สะดุดตา นางแอบเก็บไว้เอง“เก็บให้จ้าวต้าไว้เรียนหนังสือ รอเสร็จเรื่องยุ่งก่อน ข้าจะพาเจ้าไปสำนักศึกษา”“คุณหนู” จ้าวต้าทำตาโต ทั้งตื่นเต้นดีใจและกังวลใจไปพร้อมกัน“จะดีหรือเจ้าคะ จ้าวต้าเป็นแค่เด็กรับใช้ คุณหนูเสียสละเวลาสอนหนังสือให้อ่านเขียนได้ก็มากเกินไปแล้ว” ป้าฮุยเหอกลัวว่าคุณหนูขอ
จ้าวต้ามองคุณหนูด้วยความรู้สึกยากจะอธิบาย เขาไม่เคยคิดว่าจะมีใครที่ทำอะไรให้เขาได้ถึงเพียงนี้ แม้กระทั่งกับผู้เป็นบิดามารดาแท้ๆ ของเขาก็ตาม เขาถูกทิ้งขว้าง อดมื้อกินมื้อ แม้กระทั่งตอนที่บิดาตาย เขาต้องขายตัวเองเพื่อฝังศพบิดา คุณหนูว่านหนิงเหมยสงสารเขา นอกจากช่วยเขาแล้ว ยังให้เงินแก่มารดาของเขาไปจำนวนหนึ่ง เขาไม่รู้ว่ามากน้อยเพียงใด แต่ป้าฮุยเหอบอกว่ามันมากพอที่จะทำให้มารดาไม่มาทำร้ายเขาได้อีก “คุณหนู” “มาช่วยข้าเตรียมน้ำชา”นางยิ้มแย้ม เดาได้ไม่ยากว่าเด็กน้อยผู้นี้คิดอะไรอยู่ นางรู้สึกตัวเองไม่สู้ดีนัก แต่คนอย่างนางล้มหมอนนอนเสื่อก็มิได้ นอกจากจ้าวต้ากับป้าฮุยเหอแล้ว ไม่มีใครสนใจดูแลนาง หากเป็นอะไรไป ทั้งสองต้องถูกคนอื่นรังแกเป็นแน่ นางฝืนตัวเองกินโจ๊กที่ป้าฮุยเหอทำให้แล้ว จึงรีบไปหาท่านอาจารย์ที่มาสอนคุณชายคนเล็กของตระกูลว่าน เป็นจังหวะที่อาจารย์ให้คุณชายพักผ่อนพอดี นางให้จ้าวต้าช่วยยกน้ำชาให้อาจารย์ “น้ำชาเจ้าค่ะท่านอาจารย์” “กลิ่นหอมจริง” เพียงได้กลิ่นก็รู้ว่าเป็นชาดี แล้วก็อดยิ้มในการเอาอกเอาใจของหญิงสาวผู้นี้ไม่ได้
“ข้าเปาเยีย” ชายหนุ่มแนะนำตัว“ข้าเป็นตัวแทนคุณชายว่านนำของสิ่งนี้มาให้” นางยื่นซองที่ได้มาจากคุณชายว่านส่งให้ได้ยินเพียงแค่นั้นเปาเยียเข้าใจในทันที คนนี้คงเป็นคนที่รบกวนจิตใจคุณชายว่านมือหนักของเขาเป็นแน่ เปาเยียมองหญิงสาวร่างเล็ก ใบหน้ามีผ้าโปร่งปิดครึ่งหน้า มองผิวเผินแล้วนางอาจไม่ได้งดงามเท่ากับหญิงคณิกาที่เขาดูแลอยู่ แต่ถ้าขัดเกลาอีกนิด คงพอเรียกลูกค้าได้ “แม่นางเชิญด้านในก่อนเถิด ประเดี๋ยวข้าหยิบสัญญาที่กู้ยืมเงินคืนให้” หญิงสาวนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง นางลืมไปจริงๆ ถ้าไม่ฉีกสัญญาก็ต้องมาใช้หนี้ไม่จบไม่สิ้น นางยอมเดินตามเข้าไปด้านใน เปาเยียพานางเดินไปด้านหลังของโรงน้ำชาให้นางนั่งรอในห้องทำงานของเขา “แม่นาง โปรดนั่งรอสักครู่ ข้าหาสัญญาของคุณชายว่านก่อน” เปาเยียรินน้ำชาให้แล้วหมุนตัวเดินไปเหมือนค้นหาอะไรบางอย่าง ว่านหนิงเหมยยกถ้วยน้ำชาขึ้น ทำเหมือนดื่มแต่วางลงอย่างเดิม นางไม่ไว้ใจคนผู้นี้ หญิงสาวมองไปด้านนอกซึ่งเป็นสวนหย่อม มีต้นไทรขนาดใหญ่อยู่หลายต้น คาดว่าโรงน้ำชาคงสร้างทีหลัง เพราะดูอายุต้นไม้แล้วน่าจะหลายสิบปี สายลมพัดผ่านแ
รากไม้เส้นหนึ่งพุ่งมาทางบุรุษผู้มาใหม่ เขาเพียงยกแขนซ้ายขึ้นป้องกัน แต่รากไม้ที่กลายเป็นแส้นั้นเกี่ยวกระหวัดรัดท่อนแขนของเขาแน่น บุรุษผู้นั้นนิ่วหน้าไปเล็กน้อย“ปล่อย! ข้ามาช่วยนาง” เขาตวาดอย่างหงุดหงิด“ท่านอ๋อง”“เป็นข้า”เสียงที่คุ้นเคยทำให้นางรู้ว่าตนเองไม่ได้ฝันไป หญิงสาวแหงนหน้าขึ้นมอง นางส่ายหน้าอย่างสับสน เป็นไปได้อย่างไร เขามาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร นางพึมพำเรียกชื่อบุรุษเบื้องหน้าซ้ำไปซ้ำมา ดวงตาที่เบิกกว้างเมื่อครู่ค่อยๆ ปิดลงพร้อมกับสติของนางที่หลุดลอย องค์ชายเฟยเทียนรู้สึกได้ถึงร่างที่อ่อนยวบในวงแขน นางหมดสติไป รากไม้เหล่านั้นชะงักค้างในอากาศครู่หนึ่ง มันไม่ได้ทำร้ายผู้ใดถึงแก่ชีวิต เพียงแค่ ‘ปกป้อง’ นางเท่านั้น เขามองรากไม้ที่คลายจากท่อนแขนกลับคืนสู่ดินตามเดิม ราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นนอกจากรอยแผ่นดินแยก คนเหล่านั้นหวาดผวากับสิ่งที่เห็น พากันหนีเตลิดไปคนละทิศละทาง “ท่านอ๋อง” เจิ้งไฉเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด แต่กลับมาถึงตัวแม่นางผู้นี้ช้ากว่าผู้เป็นนาย เดิมทีเขาส่งเจิ้งไฉคอยติดตามดูความเคลื่อนไหวของว่านหนิงเหมย คอยส่งข่าวรายงานเขาเป็นระยะๆ แต่
“ท่านอ๋อง...” เรียกได้แค่นั้นซิ่นเจี่ยงได้แต่ส่ายหน้าไปมา ถ้าไม่เคยร่วมเป็นร่วมตายกันมา คงไม่มีทางเข้าใจท่าทางนิ่งขรึมไม่พูดจาเช่นนี้เป็นแน่ องครักษ์มองหน้ากันเลิ่กลั่ก ปกติเขาติดตามผู้เป็นนายดุจเงาตามตัว กำลังสาวเท้าเดินตาม แต่พัดของซิ่นเจี่ยงแตะไหล่ห้ามไว้ก่อน“พวกเจ้ารอด้านนอก ข้าตามท่านอ๋องเอง” ซิ่นเจี่ยงลุกขึ้นแล้วเดินเร็วๆ ตามหลังองค์ชายไป เวลานี้องครักษ์สองคนนี้ใส่หน้ากากเหล็กหน้าตาดุดันน่ากลัว หากไปยืนประกบองค์ชายเฟยเทียน รัศมีอำมหิตแผ่กระจาย ประเดี๋ยวได้หามหญิงรับใช้ออกมาอีกเพียงร่างสูงก้าวเข้าไปใกล้เตียงของหญิงสาว เขาก็เห็นร่างบางทุรนทุรายแม้ดวงตาจะปิดสนิท ราวกับนางผจญในฝันร้าย เหงื่อชุ่มราวกับตากฝน หญิงรับใช้สองคนนั้น คนหนึ่งประคองนางไว้ อีกคนถือชามยาพยายามป้อนยาให้ องค์ชายยืนดูอยู่อึดใจ เห็นทั้งสองยังป้อนยาไม่สำเร็จเสียทีจึงก้าวเข้าไป หญิงรับใช้ผวาเฮือกรีบลุกออกจากเตียงลงไปนั่งกับพื้น ปล่อยให้องค์ชายเฟยเทียนประคองนางขึ้นนั่ง ใช้แผ่นอกของตนเองให้นางพิง มือใหญ่ยื่นไปรับชามยาจากหญิงรับใช้ คนในวงแขนสะบัดหน้าไปมา เมื่ออยู่ใกล้จึงเห็นหางตาของนางมีน้ำตาไหลเปื้อนแก้มซิ่นเจี่ยงต
นางเดินได้ไม่กี่ก้าว รู้สึกว่ามีคนกำลังเข้ามาในห้อง นางหันซ้ายหันขวา เห็นเชิงเทียนทองเหลืองอยู่ใกล้มือจึงคว้าไว้ก่อนแล้วหาที่หลบซ่อนอยู่หลังแจกันทรงสูงท่วมศีรษะนางบุรุษร่างสูงผลักบานประตูเข้ามา ไม่อาจรู้ว่าเหตุใดถึงกระวนกระวายใจจนไม่อาจมีสมาธิฝึกซ้อมเพลงกระบี่ได้ จำต้องเดินกลับมาดูนางอีกรอบ ทั้งที่ซิ่นเจี่ยงเองบอกเขาแล้วว่านางปลอดภัยดี แม้ว่านางมีผู้ปกป้อง แต่ถ้าเขาไปช้าเกินไป นางจะเป็นเช่นไร หมดสติอยู่อย่างนั้นจนกว่าจะมีคนมาช่วย? สิ่งที่เห็นไม่ได้สร้างความแปลกประหลาดใจอันใดนัก แต่ที่หาคำตอบให้ตนเองไม่ได้คือ ทำไมเขาเป็นห่วงนาง คำถามที่หาคำตอบไม่ได้ทำให้เขาหงุดหงิด สองเท้าพาร่างของตนกลับมาดูนางอีกครั้งเพียงผลักบานประตูเข้าไป ด้วยประสาทสัมผัสที่ไวเป็นพิเศษ รู้สึกได้ถึงความเคลื่อนไหวใกล้ตัว ชะงักเท้าและเตรียมตั้งรับเพราะคิดไปเองว่าชิงลงมือก่อนจะได้เปรียบ ว่านหนิงเหมยพุ่งตัวออกไปพร้อมเชิงเทียนทองเหลืองในมือ นางยกมันขึ้นหมายจะฟาดใส่คนตัวโตที่เดินเข้ามา ทว่าข้อมือของนางถูกจับไว้ก่อน อีกฝ่ายออกแรงกระชากเพียงเล็กน้อย นางเสียหลักเข้าไปปะทะกับแผ่นอกแกร่งของเขาแล้ว หญิงสาวเผลอร้องออกมา ข้อมื
ลมหายใจของเขามีไว้เพื่อนาง ลมหายใจของนางมีไว้เพื่อ เรื่องย่อ เรื่องราวระหว่างเทพมังกรดิน ฮวงหลง และหญิงสาวเดินดินนามซิ่นฮวา เมื่อโชคชะตาเล่นตลกให้หญิงสาวมองเห็น ‘เทพมังกรดิน’ เขาจำ(ใจ)ต้องปรากฏกายทุกครั้งที่นางเรียกขานนามของเขา ทำให้เทพเซียนชั้นฟ้ากลายเป็นพี่เลี้ยงของเด็กหญิงตัวน้อย จวบจนนางเติบโตเป็นหญิงสาวงามสะพรั่ง กฎสวรรค์ทำให้เขาต้องหักห้ามใจ แต่เพราะนางและเขามีชะตาที่ต้องชดใช้กรรมร่วมกัน และมีเพียง ‘ลมหายใจมังกร’ เท่านั้น ที่จะต่อลมหายใจของนางได้ เส้นทางที่เขาเลือกมิใช่สิ่งที่นางปรารถนา เพียงหนึ่งชาติภพเพื่อให้ใจได้ ‘รัก’ แม้ช่วงเวลานั้นจะแสนสั้น.... นางก็ยินดี จาก ‘ท่อนแขนมังกร’ สู่ ‘ลมหายใจมังกร’ (ท่อนแขนมังกรรุ่นลูก) ‘ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น ข้าจะอยู่ข้างกายท่าน จะไม่มีวันทอดทิ้งท่านอย่างเด็ดขาด’ “แม้ว่าข้าจะกลายเป็นคนอัปลักษณ์ เจ้าก็ยังอยู่เคียงข้างข้าหรือ?” ‘แน่นอน’ นางยืนยันด้วยแววตาใสซื่อ ‘ข้ามิได้รักท่านที่หน้าตา แต่เพราะจิตใจของท่านต่างหากที่ข้าหลงรัก’ “เจ้ารักข้า?” คำสารภาพรักของนางนั้น เขาได้ยินมานับร้อยนับพันครั้งแล้วกระมัง แต่ครั้งนี้ แม้นางไม่ไ
“เช่นนั้นเจ้าไม่ลองมีลูกสาวให้เป็นเพื่อนซิ่นฮวาอีกคนเล่า เด็กๆในตำหนักมีแต่เด็กผู้ชาย ถ้ามีลูกผู้หญิงเพิ่มขึ้นอีกคนก็คงดีไม่น้อย ตอนนี้ซิ่นสือก็สามขวบแล้ว ถ้าเจ้าจะมีลูกอีกสักคนก็...”บุรุษหนุ่มผู้กรำศึกมานับไม่ถ้วนถึงกับสะอึกไปเมื่อเห็นสายตาดุๆ ของภรรยาตัวน้อย“ข้ามิใช่แม่หมูนะ” เหตุใดมาเคี่ยวเข็ญให้นางตั้งท้องขนาดนี้นะ“โธ่! เพราะเห็นเจ้าเป็นภรรยาหนึ่งเดียวของข้าถึงได้ชวนเจ้ามีลูกอีกสักคนหรือสองคนก็ได้” เขาโอบไหล่นางพานางกลับเข้าห้องพัก ปล่อยให้จ้าวต้าอยู่กับลูกชายสองคนของเขา คงเป็นวิธีเบี่ยงเบนความสนใจจากว่านหนิงเหมยให้จ้าวต้าไปรับตัวซิ่นฮวาจากสวนกระจ่างใจจ้าวต้าโคลงศีรษะไปมาแล้วมองเด็กน้อยทั้งสอง แม้ฐานะของเขาต้อยต่ำนัก แต่เขาเสมือนพี่ใหญ่ที่ต้องดูแลเด็กๆ เหล่านี้ เขาถอนหายใจก่อนยิ้มอ่อนโยน จูงมือซิ่นหลิงและอุ้มซิ่นสือไปส่งป้าฮุยเหอก่อนแล้วค่อยไปรับเด็กหญิงแสนซุกซนผู้นั้นเด็กหญิงตัวต้นเรื่องนั่งหน้าบึ้งตึงในศาลาหกเหลี่ยมของสวนกระจ่างใจ ท่านแม่ให้นางนั่งสำนึกผิดอยู่ผู้เดียว แต่กระนั้น นางก็รู้และมั่นใจว่าองครักษ์ของท่านพ่อคอยจับตาดูนางอยู่“เรื่องนิดเดียวเอง ไยท่านแม่ต้องโกรธถึงเ
ชายหนุ่มวัยสิบหกพาเรือนร่างกำยำเดินเข้าไปพร้อมรอยยิ้มประดับใบหน้าคมเข้ม แม้อายุเพียงแค่สิบหกปีแต่เพราะฝึกฝนวรยุทธ์อย่างเข้มงวด ทำให้เขาดูสูงใหญ่กว่าชายหนุ่มวัยเดียวกัน แทบไม่เหลือเค้าโครงเด็กชายผอมกะหร่องที่ค่อยติดตามพระชายาเลยแม้แต่น้อย เพียงร่างสูงเดินเข้าไปในห้องโถง พลันประสาทรับรู้ถึงการพุ่งเข้าใส่ ทว่าเขากลับไม่ปัดป้องหรือหลบหลีก ยอมให้ร่างเล็กโถมเข้าใส่สุดแรงจนเสียหลักหงายหลังล้มลงให้เด็กชายตัวน้อยวัยห้าขวบนั่งทับ “พี่จ้าวต้ากลับมาแล้ว!” มือน้อยของเด็กชายขยุ้มคอเสื้ออีกฝ่าย สีหน้าตื่นเต้นดีใจทั้งที่ไม่เจอกันแค่สามเดือน “คุณชายซิ่นหลิง” ชายหนุ่มหัวเราะขบขันกับท่าทางดีอกดีใจของอีกฝ่าย เพราะรู้ว่าผู้ที่พุ่งเข้ามาเป็นใครจึงยอมให้นั่งทับบนร่างตัวเองเช่นนี้ เขาจับไหล่เด็กชายตัวน้อย ยกตัวขึ้นเพื่อให้ตัวเองลุกขึ้นยืนได้ “พี่จ้าวต้ามาแล้ว ไปช่วยซิ่นฮวาเร็วๆ เข้า” มือน้อยกระตุกมือใหญ่แล้วชี้ไปทางด้านหลังของตำหนักดุจตะวัน “หือ? คุณหนูเป็นอะไรไปขอรับ” เขาถามพลางมองไปตามทิศทางที่นิ้วป้อมๆ ชี้ไป ถ้าคุณหนูตัวน้อยอยู่ที่สวนก
พูดได้แค่นั้นก็อยากจะอาเจียนหรือหาของเปรี้ยวมากิน คราวนี้ฮองไทเฮาอดหัวเราะไม่ได้ ในขณะที่หลานรักอย่างเขากลับรู้สึกอับอายยิ่งนัก เพราะหลบสายตาของผู้เป็นย่าจึงปะทะกับสายตาล้อเลียนขององครักษ์ฝาแฝดทั้งสอง ทำได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างไม่พอใจ ก็ใครใช้ให้เขารักนางมากขนาดนี้กันเล่า เฮ้อ!“เอาเถิดๆ อย่างไรข้าจะเป็นยายแก่หนังเหนียวรอเจ้าพาเหลนและสะใภ้กลับมาเยี่ยมอยู่ที่นี่”องค์ชายเฟยเทียนโค้งตัวอำลาฮองไทเฮา คราวนี้เขาไม่รั้งอยู่นาน ใช้วิชาตัวเบาราวล่องหนหายออกไปจากวังหลวงพร้อมองครักษ์ทั้งสองอย่างรวดเร็ว เพื่อกลับไปดูแลคนที่ทำให้เขาต้องออกอาการแพ้ท้องแทนอยู่อย่างนี้ตุนหวงรถม้ามาหยุดหน้าตำหนักดุจตะวัน หญิงวัยกลางคนโผล่หน้าออกมาจากหน้าต่างรถอย่างไม่มั่นใจนัก จนกระทั่งเห็นเด็กชายที่เคยเลี้ยงดูรีบวิ่งเข้ามาหา นางจึงยิ้มกว้างออกมา“จ้าวต้า”“ป้าฮุยเหอมาแล้ว” จ้าวตารีบไปประคองให้นางลงจากรถม้า ก่อนท่านอ๋องเดินทางไปเมืองหลวงได้สอบถามเขาถึงคนสนิทหญิงรับใช้ที่บ้านเดิม ท่านอ๋องต้องการให้พระชายามีคนคุ้นเคยอยู่ใกล้ๆ คอยช่วยเหลือยามตั้งครรภ์แรก เขาจึงนึกถึงป้าฮุยเหอที่ดูแลเขาและพระชายามาตั้งแต่เกิด แต่เ
ดวงเนตรเบิกกว้างอย่างตกใจ ไม่คิดว่าจะได้ยินโอรสที่ทรงหมางเมินกล่าวออกมาเช่นนี้ จ้องมองบุรุษเบื้องหน้าที่ใบหน้าละม้ายคล้ายกันนัก สิ่งที่ลูกชายพูดออกมานั้นล้วนอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจ ทุกครั้งที่มองใบหน้านี้จึงเหมือนมองตนเองในวันวัยเดียวกัน ยามที่เป็นเพียงองค์รัชทายาทก็ราวกับเป็นเพียงหุ่นเชิดให้ใครต่อใครบงการ พยายามอย่างยิ่งให้เป็นที่ยอมรับ ได้รับความรักจากบิดาหรือก็คืออดีตฮ่องเต้องค์ก่อน แม้รู้ว่าสิ่งที่ตนทำไปนั้นไม่ถูกต้อง แต่ไม่อาจแก้ไขอะไรได้สิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ในใจ ไม่คิดเลยว่าบุรุษเบื้องหน้าผู้ถอดแบบเขาออกมาแทบทุกกระเบียดนิ้ว จะมองออกจนทะลุปรุโปร่งเช่นนี้ “สิ่งที่กระหม่อมทำก็เพื่อแผ่นดินมังกรแห่งนี้ ศึกภายในกระหม่อมไม่ขอยุ่งเกี่ยว กระหม่อมมิสนใจว่าผู้ใดต้องการกำจัดกระหม่อม แต่ชีวิตของกระหม่อมขอเพียงได้ปกป้องราษฎรและรักษาแผ่นดินที่แลกมาด้วยหยาดโลหิตและชีวิตทหาร หากกำจัดกระหม่อมไปแล้ว เห็นทีว่าจะไม่เป็นผลดีต่อแผ่นดินนี้”“เจ้ากำลังข่มขู่ข้ากระนั้นรึ” “มิได้ กระหม่อมแค่ต้องการย้ำให้พระบิดาเข้าใจ อย่าได้สิ้นเปลืองสมองมาระแวงกระหม่อม”เสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะยกถ้วยชาขึ้นจิบอีกครั้ง
เทพมังกรดินดูผลงานของตน เฝ้ามองเหล่ามารปีศาจกลับคืนสู่นรกแล้ว จึงกลายร่างเป็นบุรุษเจ้าของเส้นผมสีเงินยวง เดินเข้าไปหาคนทั้งสอง หญิงสาวพลิกตัวใช้ร่างของตนบังร่างของชายที่นางรักไว้ แม้นางรูปร่างเล็ก แต่กางแขนออกเพื่อปกป้องเขา“หนิงเหมย” เขาปรามนาง อยากจะหัวเราะที่เวลานี้มีหญิงสาวตัวเล็กกางแขนปกป้องเขาเต็มที่ ในชีวิตของเขา จะมีใครสักกี่คนที่ยอมอยู่เคียงข้างเช่นนี้ เพียงหนึ่งชีวิตอันแสนสั้น ได้รู้จักรัก หัวใจได้รับความรักก็นับว่ามีค่าและมีเกียรติให้ตายได้อย่างสงบแล้วเป็นนางเท่านั้นที่ทำให้เขาได้เรียนรู้ที่จะรัก ได้สัมผัสความรัก เพียงเท่านี้ก็พอแล้ว พอแล้วจริงๆ เทพมังกรดินจ้องมองชายหนุ่มหญิงสาวทั้งสองแล้วก็ลอบถอนหายใจ นี่แหละหนา จึงเป็นได้เพียงมนุษย์ไม่อาจละทิ้งอาวรณ์ได้ เขายื่นมือไปใช้เพียงปลายนิ้วแตะน้ำตาของหญิงสาว ว่านหนิงเหมยเบิกตาโต เห็นน้ำตาของตนกลั่นกลายเป็นก้อนกลมเล็กดุจลูกแก้ววาววับลอยเหนือฝ่ามือของเทพมังกรดิน แล้วยื่นไปที่เบื้องหน้าขององค์ชายเฟยเทียน “นี่คือ...” ว่านหนิงเหมยพึมพำ “กลืนมันลงไป” เทพมังกรดินสั่งน้ำเสียงเฉียบขาด องค์ช
“เจ้าเรียกปีศาจได้ ไยข้าจะทำบ้างมิได้” เพื่อชัยชนะ ย่อมทำได้ทุกอย่างไม่ว่าชัยชนะนั้นจะได้มาอย่างไรก็ตาม“เจ้าแลกสิ่งใดกับการเรียกปีศาจออกมา!”แม้เขามีปีศาจมังกรเพลิงอยู่ในท่อนแขนซ้าย แต่เรียกใช้เพียงการศึกครั้งเดียว เมื่อสิบปีก่อนที่เรียกกองทัพทหารปีศาจขึ้นมา กลายเป็นฝันร้ายไปชั่วชีวิต นับแต่นั้น เขาเพียงใช้แค่เกราะปีศาจมังกรเพลิงคุ้มกันกายค่าตอบแทนของทหารปีศาจเหล่านี้คือหายนะไม่สิ้นสุด ความตายที่ไม่อาจประเมินได้อยู่เบื้องหน้า ปีศาจเหล่านี้ล้วนต้องดื่มเลือดฉีกเนื้อกินวิญญาณมนุษย์ ครานั้นปีศาจที่เขาเรียกออกมากัดกินทหารฝ่ายตรงข้าม เศษซากที่เหลือกลายเป็นศพ กองเป็นภูเขาซากศพชวนให้อาเจียนและขนหัวลุก“ข้ามิโง่เช่นเจ้าที่แลกวิญญาณตนเองหรอกนะ” ลาซูแหงนหน้าหัวเราะ ดวงตากลายเป็นสีแดงราวกับย้อมด้วยโลหิต “แต่ข้าแลกด้วยชีวิตผู้คนในตุนหวง เมื่อข้านำกองทัพเข้ายึดครองแผ่นดินของเจ้า ผู้คนของเจ้าก็จะกลายเป็นอาหารอันโอชะให้พวกมันอย่างไรเล่า เมื่อเวลานั้นมาถึง ดินแดนของเจ้าจะมีเพียงผู้คนของข้าเท่านั้นที่เหยียบยืนบนแผ่นดินเปื้อนเลือดแห่งนี้”แม้ไม่ได้ยินเสียงสนทนาของคนทั้งสอง แต่บัดนี้หญิงสาวเข้าใจแล้วว่
นางหวังให้ตัวเองส่งเสียงเตือนให้ดังกว่านี้ แต่เสียงที่เปล่งออกไปเป็นเพียงเสียงแหบแห้งและสั่นเครือ นางรวบรวมเรี่ยวแรงที่เหลือเพียงน้อยนิด อาภรณ์สีดำขลิบแดงที่นางสวมทำให้ผิวกายของนางแสบร้อน ดวงตาเบิกกว้าง นางเห็นกลุ่มคนบุกเข้าไปกำลังปะทะกับทหารมองโกล “ท่าน...อ๋อง...” เสียงของนางแผ่วเบายิ่งกว่าเสียงของสายลม น้ำตาที่ทนกลั้นกลิ้งร่วงหล่นจากดวงตาเปื้อนแก้ม ขอให้นางได้เพียงส่งเสียง ได้เพียงเตือนเขาก็ยังดี “โอ๊ย!” ว่านหนิงเหมยร้องเสียงหลง หูทั้งสองข้างราวกับมีเสียงปริแตกลั่นดังเปรี๊ยะ! มือที่ถูกมัดทำให้ไม่อาจยกขึ้นมาแตะหูของตนได้ นางเจ็บจนนิ่วหน้า รู้สึกเหมือนมีน้ำไหลออกมาจากหูทั้งสองข้างนางหลับตาพยายามสะกดกลั้นความเจ็บที่ตนได้รับ เสียงหวีดแหลมที่ทำให้หูทั้งสองข้างเจ็บปวด ทำให้นางไม่อาจได้ยินเสียงอื่นใดอีก ในชั่วลมหายใจต่อมา หญิงสาวรู้สึกว่าเชือกที่มัดนางอยู่ถูกตัดขาดอย่างรวดเร็วพร้อมร่างของนางที่ร่วงหล่น เพียงเสี้ยวเวลาอันแสนสั้นและเปราะบาง ยามนั้นนางกลับนึกถึงเมื่อครั้งที่นางตกต้นหลิวอายุเกือบร้อยปีในสวนสี่ฤดูของฮองไทเฮา หัวใจของนางหล่นวูบ
“เจ้าต้องการสิ่งใดกันแน่” มือเรียวกำแน่น เผลอจิกเล็บกับฝ่ามือของตนเอง เมื่อเห็นอีกฝ่ายตั้งใจฟัง ลาซูจึงเอ่ยขึ้น “สังหารท่านอ๋องอย่างไรเล่า คงมีแต่ท่านเท่านั้นที่จะสังหารผู้ที่ครอบครองพลังปีศาจมังกรเพลิง” ลาซูพูดราวกับเป็นเรื่องธรรมดา “อ้อ! แต่อย่าได้เป็นกังวลไป หากพระชายากลายเป็นม่าย กระหม่อมยินดีรับท่านมาอยู่เคียงข้างอย่างไม่รังเกียจ” ยังไม่ทันสิ้นประโยคดี ฝ่ามือเล็กของหญิงสาวกระทบซีกแก้มของลาซูสุดแรงที่นางมี เพราะคิดว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงหญิงไร้วรยุทธ์จึงไม่หลบหลีกยินดีให้นางตบหน้าเขาเต็มแรง ว่านหนิงเหมยลดมือที่ยกค้างอยู่ลง แสร้งทำเป็นประคองสองมือไว้บนตัก ทว่ามือข้างขวานั้นชาและสั่นระริก หญิงสาวกัดริมฝีปากตนเองไม่ให้แสดงความตื่นตระหนกออกมา ดวงตาเป็นประกายฉายแววเคืองโกรธและจ้องมองอย่างไม่เกรงกลัว “หากมือของข้าต้องเปื้อนเลือด ต้องเป็นเลือดของคนชั่วเช่นเจ้าเท่านั้น! ข้ายินดีตายแต่ไม่ยอมทำร้ายท่านอ๋องเด็ดขาด!” “ดี!” ลาซูหัวเราะเหมือนคนเสียสติ ยื่นมือไปจับข้อมือข้างที่ตบหน้าเขากระชากนางให้ลุกขึ้นพร้อมกับต